สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  20.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 1-3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โรงเตี๊ยมหนานเทียนเป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ของเมืองหนานหยางที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารรสเลิศและบริการชั้นเยี่ยม และที่เป็นหัวข้อการสนทนาสนุกปากที่สุดก็คือเจ้าของที่อยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่ที่โรงเตี๊ยมหนานเทียนเปิดที่นี่ก็ไม่เคยมีใครเห็นเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่ว่าคนดูแลโรงเตี๊ยมก็เหมือนอย่างกับเจ้าของอย่างนั้น ไม่เหมือนกับว่าเป็นคนดูแลโรงเตี๊ยมที่รับค่าจ้างจากเขาอีกที พอนานวันเข้ามันก็ได้กลายเป็นหัวข้อการสนทนาที่ลึกลับที่สุดของเมืองหนานหยางแห่งนี้

วันนี้โรงเตี๊ยมหนานเทียนยังคงคึกคักเช่นเดิม นอกจากชายชุดดำสองคนที่อยู่ตรงมุมสีหน้าเคร่งเครียด ลูกตาสี่ลูกต่างจ้องซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

เฟิ่งอี้และคาเชวี่ยทั้งสองคนมองอาหารมากมายบนโต๊ะ เดิมพวกเขาควรจะทานอาหารรสชาติเลิศล้ำบนโต๊ะนี้อย่างมีความสุข แต่ทำอย่างไรก็กินไม่ลง ได้แต่มองเหมือนอย่างกับชื่นชมภาพวาดเสียอย่างนั้น

สาเหตุที่ทำเอาไม่มีอารมณ์ก็เพราะจดหมายฉบับหนึ่ง จดหมายนี้ได้รับเมื่อประมาณสองวันก่อน เนื้อหาเขียนว่าองค์ชายที่สิบสอง เซ่าชิง จะมาหาองค์ชายหกด้วยตัวเอง เห็นได้ว่าท่านอ๋องรอไม่ไหวคิดจะส่งองค์ชายมารับโดยตรง แต่ว่าการจะให้องค์ชายสิบสองมามันไม่เหมือนกับคำสั่งที่ท่านอ๋องจะสั่ง เพราะอย่างไรด้วยนิสัยขององค์ชายหก ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายสิบสองก็ไม่กล้าแตะต้ององค์ชายหกอยู่แล้ว“ไปหรือ?” คาเชวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลว่าจะไปหาองค์ชายหกอีกหรือไม่

เฟิ่งอี้พูดเสียงต่ำ “องค์ชาย ท่าน...” ยังไม่ทันพูดจบ ทั้งสองคนก็ลอบถอนหายใจเบาๆ พร้อมกันราวกับนัดกันมา

ต่อให้พูดแล้วก็ไม่น่าจะมีการตอบสนองอะไรมั้ง ตั้งแต่ที่มาถึงเมืองหนานหยางจนถึงตอนนี้องค์ชายท่านนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวเลย หากพวกเขาไปปรากฏต่อหน้าเขาอีก จะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องคิดก็รู้

สำหรับพวกเขาที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว การที่องค์ชายจะมาที่นี่ย่อมสำคัญแน่นอน แต่การกระทำและความคิดขององค์ชายหกไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเดาได้ แน่นอนว่าองค์ชายสิบสองจะมีน้ำหนักมากมายเท่าไหร่ในสายตาองค์ชายหกยิ่งไม่มีใครรู้

“กลัวว่าองค์ชายสิบสองจะไม่ได้อยู่ในสายตาขององค์ชายหกเลย” การไม่เห็นคนอยู่ในสายตาก็เป็นนิสัยเสียขององค์ชายหกเช่นกัน

“งั้นก็ไม่ต้องไป ขืนไปก็เปล่าประโยชน์” คาเชวี่ยพูดตรงๆ ออกมา

ทั้งสองคนจึงคิดว่ารอให้องค์ชายสิบสองมาถึงหนานหยางก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธี เฟิ่งอี้เก็บจดหมายกลับไป แล้วหยิบตะเกียบกินอาหารรสเลิศบนโต๊ะ

ทันใดนั้น เฟิ่งอี้ก็หรี่ตาลงมองคนสองคนที่เดินออกไปจากโต๊ะคิดเงิน จากนั้นก็กดตัวให้ต่ำลงและยื่นคอออก ส่งสัญญาณให้คาเชวี่ยทำตาม คาเชวี่ยถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจแต่ก็ทำตาม

“ทำไมหรือ?” คาเชวี่ยถาม

“เจ้าดูสิว่าคนที่เดินออกจากโรงเตี๊ยมนั่นเป็นคนของแคว้นเหลียวหยางหรือไม่?” เขาใช้สายตาส่งสัญญาณ

คาเชวี่ยได้ยินดังนั้นก็หันไปมองที่ประตู เห็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดเรียบง่ายมีผ้าคลุมหน้ากับชายอีกคนที่สวมชุดผ้าแพรเดินออกจากโรงเตี๊ยม และสองคนนั่นก็เดินผ่านพวกเขาที่นั่งตรงริมหน้าต่าง ทำให้เขาทั้งสองคนรีบกดตัวให้ต่ำลง คางแทบจะชนอาหาร

เฟิ่งอี้หรี่ตาลงอยากจะเห็นใบหน้าของชายสวมชุดเรียบง่ายให้ชัด แต่ก็ถูกชายอีกคนบดบังสายตาเอาไว้ตลอด ทว่าดูจากผิวของชายสวมชุดเรียบง่ายนั้นก็มั่นใจได้ว่าไม่ใช่คนในแคว้นของพวกเขา เพราะแคว้นเหลียวหยางร้อนตลอดทั้งปี แม้แต่หน้าฝนก็มักจะแดดออก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็มักจะมีผิวที่คล้ำผิดปกติ เทียบกับผิวที่ขาวอมเหลืองของพวกเขาแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้คนคนนั้นจะพยายามปกปิดผิวของตัวเอง แต่ก็ยังคงเห็นได้ว่าผิวรอบดวงตาของชายคนนั้นค่อนข้างจะคล้ำ

แต่ที่น่าแปลกคือทำไมคนของแคว้นเหลียวหยางถึงได้ปรากฏตัวที่นี่ ตามที่พวกเขาได้รู้มาก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับแคว้นเหลียวหยางน่าจะอยู่ในระหว่างทำศึกสงครามกันอยู่ ด้วยภูมิประเทศของเมืองหูโค่วใช่ว่าจะสามารถนำกองทัพเข้ามาบริเวณชายแดนได้ในสองวัน  นอกจากนั้นแล้วระหว่างชายแดนก็น่าจะมีการควบคุมการเข้าออกของคนแคว้นเหลียวหยางถึงจะถูก

“เรื่องนี้ประหลาดนัก คนที่ยืนข้างคนแคว้นเหลียวหยางเหมือนจะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลตันในเมืองนี้” เฟิ่งอี้ขมวดคิ้วพูดขึ้น

“ตระกูลตัน?” คาเชวี่ยละสายตากลับมา “ตระกูลตันเกี่ยวข้องอะไรกับแคว้นเหลียวหยาง?”

ตามที่ทราบมาตระกูลตันเป็นตระกูลเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ ทำการค้าที่ส่งสินค้าไปที่เมืองอื่นๆ ต่อให้แอบทำเรื่องไม่ดีอยู่บ้างก็ไม่ถึงกับเกี่ยวข้องกับคนแคว้นเหลียวหยางถึงจะถูก

“ไม่รู้ เรื่องนี้พวกเราจะเข้ามาแทรกมั่วๆ ไม่ได้” เพราะอย่างไรเจ้านายพวกเขาก็ไม่ได้บัญชาคำสั่งอยู่ข้างๆ  แน่นอนว่าพวกเขาจะคิดเองเออเองไม่ได้ โดยเฉพาะองค์ชายเป็นวังหลวงส่งมาปฏิบัติงาน ไม่ไปยุ่งมากเกินไปถึงจะดี

“แต่บางทีเรื่องที่องค์ชายทำก็คือเรื่องนี้ ข้าว่าอย่างไรเสียไปรายงานกันเถอะ”

“มีอะไรก็รีบๆ ไปบอกเขาสิ ลังเลแบบนี้อย่างกับแม่นางจริงๆ“

จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏระหว่างเขาทั้งสองคน ทำเอาคาเชวี่ยและเฟิ่งอี้ตกใจไม่น้อย ทั้งสองคนตั้งสติมองดู แล้วหลุดพูดออกมาอย่างประหลาดใจว่า “โม่ฉิงหลิง!”

ชายท่าทางสง่าสวมชุดสีน้ำเงินประณีตที่แบกห่อผ้า กุมมือแล้วโค้งคำนับพวกเขาอย่างสบายใจ “เป็นอย่างไรบ้าง” “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกัน

เขาหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากโดยไม่มีใครเชิญ พลางพูดขึ้น “ข้าก็แค่ท่องไปเรื่อยๆ บังเอิญมาถึงเมืองนี้จึงเยี่ยมผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ไอ้หยา ปลาเปรี้ยวหวานนี่อร่อยจริงๆ “

“ผู้อาวุโส?” คาเชวี่ยและเฟิ่งอี้ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน “เจ้ายังมีญาติอะไรอีกหรือ?” ตามที่พวกเขาทราบ ตระกูลโม่ก็เหลือแค่เขากับ...

“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าผู้เฒ่าโม่ก็อยู่ในเมืองนี้?” เขาจ้องมองคาเชวี่ย ทานอย่างเอร็ดอร่อยแม้แต่ข้าวยังแย่งมากิน

ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนก็ตกใจ นึกไม่ถึงว่าโม่เหยียนก็อยู่ในเมืองนี้ด้วย

ทันใดนั้นเฟิ่งอี้ก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่าน แล้วเตะคาเชวี่ยใต้โต๊ะเบาๆ คาเชวี่ยเข้าใจทันทีว่าเขาอยากจะพูดอะไร

“คุณชายโม่พวกข้าทั้งสองคนขอร้องเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”

โม่ฉิงหลิงเงยหน้ามองแล้วก็ก้มหน้ากินต่อ “ลองพูดมา”

คาเชวี่ยหยิบจดหมายออกมาแล้วพูดว่า “พวกข้าสองคนได้รับจดหมาย บนนั้นเขียนว่าองค์ชายสิบสองจะมาหาองค์ชายหก ไม่ทรากว่าจะฝากท่านบอกต่อได้หรือไม่?”

พอได้ยินว่าจะให้บอกต่อ ก้างปลาชิ้นหนึ่งก็ติดอยู่ที่คอ ไออย่างไรก็ไม่ออกเสียที เฟิ่งอี้เห็นท่าไม่ดีจึงรีบยกชาให้เขาดื่มทันที

“แค่กๆ... แค่ก...” เขาไอไปพลางกินข้าวอีกหลายคำเอาก้างปลาที่ติดคออยู่กลืนลงท้อง “เกือบตายเพราะก้างปลาอันเดียวจริงๆ เลย”

คาเชวี่ยและเฟิ่งอี้ไม่ตอบอะไร ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าสาเหตุที่จู่ๆ เขาก็ก้างปลาติดคอได้

หลังจากดื่มชาอีกหลายคำ เขาก็เกาคอมองไปที่พวกเขา เห็นเขาทั้งสองคนก็ทำหน้าจนปัญญา เขาจึงพูดอย่างเบื่อหน่ายขึ้นว่า “บอกไว้ก่อนเลย เขาจะดูหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับข้า ถ้าโดนลงโทษพวกเจ้าอย่าลากข้าไปด้วยล่ะ” ช่างโชคร้ายเสียจริง ถ้าไม่ใช่โลภมากอยากจะกินก็จะทำเป็นไม่เห็นเจ้าทั้งสองคนแล้ว

“ขอบคุณมาก” ทั้งสองคนกล่าวอย่างจริงใจ

ขณะที่เขายกมือขึ้นกำลังจะทานต่อเพื่อคลายอารมณ์ที่เสียอยู่นั้น จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้แล้วขยับตะเกียบไปมาพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว ระหว่างทางที่ข้ามาที่นี่ก็ได้รับข่าว ได้ยินว่าในเมืองนี้เกิดคดีฆาตกรรมปริศนา ข่าวไปถึงสำนักราชทัณฑ์บอกว่าจะส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้”

“ตรวจสอบคดี?” คาเชวี่ยงุเล็กน้อย “คงไม่ใช่คดีของตระกูลฮวงมั้ง?”

โม่ฉิงหลิงมองซ้ายมองขวาเข้าใกล้พวกเขาอย่างลึกลับ พูดเสียงเบาว่า “ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่มีค่าพอให้ท่านอ๋องสนใจ แต่การตายที่ผิดปกติแบบนั้นน่าจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดความสนใจขึ้นมา” พอพูดจบ เขาก็ไม่แกล้งทำลองเชิงและทำท่าพวกเจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วแบบนั้น

ไม่ต้องบอกให้ชัดเจน คิดว่าทั้งสองคนนี้ก็รู้วิชาที่ฆ่าคนไม่หลั่งเลือด พอหลั่งเลือดออกมาก็เป็นแม่น้ำนอกจากเจ้านายพวกเขาแล้ว ตอนนี้ยังจะมีใครที่รู้วิชาทารุณแบบนี้อีก

คาเชวี่ยและเฟิ่งอี้ไม่กล้าส่งเสียง เพียงแต่แอบอธิษฐานในใจไม่ว่าสำนักราชทัณฑ์จะส่งใครมา ขออย่าส่ง ‘องค์ชาย’ ผู้นั้นมาก็เป็นพอ องค์ชายหกกับองค์ชายผู้นั้นปะทะกันแล้วไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

---------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา