สลักใจจอมทัพ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 1-2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมืองหนานหยาง
หลังประตูบ้านสง่างามแห่งหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งเปิดประตูหิ้วตะกร้าเดินออกมา เธอนับหมั่นโถวสีขาวปนเทาที่อยู่ในตะกร้าอย่างละเอียด “ไม่รู้ว่าจะพอพวกเด็กๆ กินไหม” พลางกัดฟันลูบรอยช้ำตรงแขนที่ถูกบีบ “วันนี้ถูกนางเห็นข้าแอบขโมยหมั่นโถว หลังจากนี้คงจะแอบหยิบไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้ว”
นางมักจะใช้เวลาที่ออกไปซื้อของแอบหยิบหมั่นโถววางไว้ในตะกร้าแล้วเอาไปให้เด็กๆ ที่อยู่วัดร้างใกล้ๆ กิน แต่วันนี้ดันถูกนางครัวจับได้ ตอนที่ถูกนางครัวตีก็ทำหมั่นโถวร่วงลงพื้นโดยไม่ตั้งใจ เลยมีฝุ่นติดมาบ้างเล็กน้อย
นางค่อยๆ เดินไปที่ตลาด แล้วปัดฝุ่นบนหมั่นโถวอย่างละเอียด ตอนนี้เองหางตาก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงยาวเลยไหล่เล็กน้อย
จะว่าไปคนคนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตอนไหน ตอนแรกที่นางเห็นคนคนนี้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเจอกลิ่นอายที่ปิดกั้นคนอื่นทั่วทั้งตัวแบบเขามาก่อน ทำให้คนหวาดกลัวและหลบเขาไป
เสวี่ยหรั่นเม้มริมฝีปากแล้วหยิบหมั่นโถวออกจากตะกร้าพูดกับตัวเองว่า “ไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะกินไหม” นางไม่ได้คิดอะไรมาก เดินไปที่คนผู้นั้นแล้วย่อตัวลงต่อหน้าเขา
เห็นเขานั่งพิงใต้ต้นไทรแก่หลับตาพักผ่อน จึงเอาหมั่นโถวยื่นไปตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า “วันนี้เจ้าก็ไม่หิวหรือ? ข้าเห็นเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว”
ถึงแม้เขาจะมองนางแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับหมั่นโถว แม้แต่ประโยคที่จะบอกว่าเอาหรือไม่เอาก็ไม่พูด นานเข้า มือที่ยื่นไปเริ่มเมื่อยจนนางต้องยอมแพ้ “ก็ยังไม่เอาหรือ”
คนคนนี้ไม่ยอมขยับเลยจริงๆ ทำเหมือนกับว่านางเป็นอากาศแม้มือจะเมื่อยแล้วก็ยังไม่มีการตอบสนอง เห็นท่าทางที่เขาหลับตาไม่สนใจนางทำให้นางยิ้มเจื่อนๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอขอทานที่ยโสเช่นนี้
พอเงยหน้ามองดูสีของท้องฟ้า ยังต้องรีบไปซอยคนเร่ร่อนแล้วไปซื้อของอีก จึงลุกขึ้นยืนขณะที่หันหลังจะเดินไป ทว่าก็ยังคงทนไม่ไหวหยุดเดินแล้วมองไปที่เขา
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจคว้ามือที่เปื้อนฝุ่นของคนคนนั้น เวลาเดียวกันนั้น เขาจ้องหน้าขมวดคิ้วทำเอานางตกใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเอาหมั่นโถววางใว้ในมือเขาและจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
เซ่าเหยียนเห็นคนจากไป ไม่คิดอะไรขว้างหมั่นโถวลงพื้นทันที และก็ถูกหมาจรจัดหิวโหยที่รออยู่แล้วคาบไป
เขา ไม่ได้ขอให้ใครมาให้ทานเขา ดังนั้นจะกินหรือไม่กินเขาจะเป็นคนตัดสินใจเอง
เขาพิงกลับไปที่ต้นไทร แล้วหลับตาลงอย่างสบายอารมณ์ ตลาดที่คึกคักรอบๆ เขาก็เหมือนดั่งเมฆที่ลอยผ่านไม่มีความน่าสนใจแม้แต่นิด
หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงพระอาทิตย์ก็ตกดินอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วยามตลาดที่ยังคึกคักในตอนเช้าก็ค่อยๆ เงียบลงหลังจากที่ผู้คนกลับไป ได้ยินเพียงเสียงหมาแมวไม่กี่ตัวที่เห่าอยู่
เขามองแสงจันทร์คล้ายกับเหม่อลอย ทันใดนั้นก็มีเงาสองร่างกระโดดลงมาจากหลังคาแล้วคุกเข่าอย่างนอบน้อมตรงหน้าเขา
“องค์ชาย!” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ไสหัวไป” เขาพูดอย่างเย็นชา
ถึงแม้จะเป็นคำพูดง่ายๆ ทว่ากลับมีความน่าเกรงขามต่อชายสองคนอย่างมาก
“องค์ชาย ท่านอ๋องมีคำสั่งให้องค์ชายกลับวัง” เฟิ่งอี้ทำใจแข็งแล้วพูดขึ้นมา สำหรับการปรากฏตัวโดยไม่มีคำสั่งจากเขาก็ต้องทนความโกรธจากเขาอยู่แล้ว ครั้งนี้ที่องค์ชายหกออกมาทำงานเป็นเพราะวังหลวงลอบออกคำสั่งเอง ดังนั้นสำหรับท่านอ๋องที่ไม่รู้เรื่องก็รู้เพียงแค่ว่าเขาอยู่บนสนามรบ กลับไม่รู้ว่าเขาทำให้สงครามยุติลงและเร่ร่อนอยู่ที่ผิงโจว แน่นอนว่าคำพูดที่ว่าอยู่ผิงโจวเป็นคำพูดขององค์ชายสามเซ่าหย่ง ท่านอ๋องถึงแม้จะเชื่อ แต่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงจงใจส่งพวกเขาสองคนมาสืบความจริงเท็จ
แต่ จะมีความจริงเท็จที่ไหนกัน ต่อให้เป็นเท็จก็ทำเสียเรื่ององค์ชายลี่ไม่ได้
“ท่านอ๋องออกคำสั่งด่วนให้องค์ชาย ขอให้องค์ชายกลับวังโดยด่วน” คาเชวี่ยพูดเสริมขึ้นมา
แต่ผ่านไปนานกลับไม่เห็นเขามีการตอบสนองอะไร ทั้งสองคนจึงยังคงคุกเข่าที่พื้นไม่กล้าเงยหน้ามอง
“เฟิ่งอี้ คาเชวี่ย” จู่ๆ เขาก็เปิดปากพูดขึ้นมา
จิตใจของคนทั้งสองสงบลง และตอบรับทันที “ขอรับ!”
“ท่านอ๋องออกคำสั่งลงมามีเรื่องใหญ่อะไรหรือ?” สองตาเรียวยาวของเขาคมดั่งมีดดาบ
“ทูตจากแคว้นฉวีหลินส่งสารมาจะขอสมรสสร้างสายสัมพันธ์กับแคว้นพวกเรา อีกฝ่ายหมายตาท่านไว้ ดังนั้น...” เฟิ่งอี้ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา
“ไสหัวไป” ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดอย่างชัดเจน
เฟิ่งอี้และคาเชวี่ยรู้ดีว่าขืนยังดื้อดึงอยู่ต่อ ไม่ใช่แค่หัวของพวกเขาทั้งสองที่จะหลุดออกจากบ่า เงาร่างขององค์ชายหกก็จะหายไปจากที่นี่ด้วย “องค์ชาย หากมีเรื่องอะไรขอเชิญไปที่โรงเตี๊ยมหนานเทียน” พูดจบ ทั้งสองคนก็หันหลังจากไป
เห็นทั้งสองคนหายไปเขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางทิศตะวันออก ระหว่างที่เดินไปการก้าวเดินของเขามั่นคง กลิ่นอายภายในกายหลอมรวมเข้ากับสายลม เหมือนจงใจไม่ให้คนสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติ
ปลายเท้าขยับและกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ทั้งรวดเร็วและแม่นยำไม่ทันที่ฝุ่นจะแตะตัวก็กระโดดขึ้นไปอีกครั้ง สายตาค้นหาเป้าหมายเดียวของเขา ขุนนางของเมืองนี้...ตระกูลฮวง
ลมยามค่ำคืนที่เย็นสบายตามด้วยเมฆที่บดบังแสงจันทร์ไปครึ่งหนึ่ง เงาคนที่เคลื่อนที่อยู่ดั่งผีสิงผุบๆ โผล่ๆ เมื่อฝีเท้าหยุดลงก็อยู่บนหลังคาของบ้านตระกูลฮวงแล้ว เขาเสยผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าเผยให้เห็นแววตาเยียบเย็นที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง มุมปากเผยรอยยิ้มที่สนุกอย่างประหลาด ทำเอาขนลุกไปทั้งตัว
ก้มมองทหารยามที่ตรวจตราผ่านไป เขาเอียงศีรษะเหลือบมอง จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังคาราวสายฟ้าฝาดและซ่อนกายอยู่หลังเสา คนที่อยู่ในห้องตรงหน้าก็คือเป้าหมายที่เขาจะลงมือ
เขาเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ อาศัยประสาทสัมผัสฟังเสียงหายใจที่เป็นจังหวะและเหมือนจะมีการซ้อนทับอยู่ ถึงขั้นมีกลิ่นหอมของน้ำหอมผู้หญิง แววตาที่คมกริบแล่นผ่าน แสงสีเงินพุ่งไปที่คนบนเตียง ไม่ทันไรเขาก็ถอยออกจากห้องกระโดดขึ้นไปบนหลังคา กระบี่ที่ติดตัวอยู่เก็บกลับเข้าฝักโดยไม่เปื้อนเลือดใดๆ
บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าที่เย็นชา แต่รอยยิ้มที่ไม่มีความเข้ากันที่มุมปากกลับยิ่งน่ากลัว เขาเงยหน้ารับลมและจากไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่ที่มั่นใจได้คือ หลังจากคืนนี้เมืองหนานหยางจะต้องนองเลือดอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน เสวี่ยหรั่นที่ยุ่งเรื่องในบ้านเสร็จก็ได้พักผ่อนกินมื้อเย็นเสียที มือถือชามที่ใส่ข้าวปลาอยู่เต็มนั่งที่บันไดนอกห้อง มองแสงจันทร์สลัวกินบ้างหยุดบ้าง แล้วย้อนนึกถึงวันนี้ตอนไปให้หมั่นโถวกับเหล่าเด็กๆ ที่วัดร้าง ได้เจอท่านโม่เหยียนที่เล่านิทานอยู่
พูดถึงการปรากฏตัวของท่านโม่เหยียนก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสีย เหมือนกับชายคนที่อยู่ใต้ต้นไทรคนนั้น
ท่านโม่เหยีนไม่ใช่คนในเมืองนี้ เหมือนจะเป็นนักเดินทางที่ออกไปท่องเที่ยว แล้วบังเอิญมาถึงเมืองหนานหยางพักอยู่ที่ซอยข้างๆ ชั่วคราว บางครั้งก็มาที่วัดร้างเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังจึงได้รู้จักกัน
วันนี้จู่ๆ อารมณ์ไหนก็ไม่รู้จ้องนางสักพักแล้วคว้ามือของนางขึ้นมาดูและทำให้นางที่ไม่รู้ว่าท่านโม่เหยียนมีวิชาดูลายมือรู้สึกประหลาดใจ
ตอนนั้นนางถามว่าทำไมจู่ๆ ถึงดูลายมือของนาง พอเงยหน้ามา รอยย่นที่ดวงตาของท่านโม่เหยียนลึกเข้าไปอีก ทำเอานางรู้สึกกังวลขึ้นมา
แต่คำพูดถัดมาของท่านโม่เหยียนกลับทำให้นางสงสัยไม่หาย
“ข้ากับเจ้าถึงแม้จะรู้จักกันไม่นาน คำพูดอาจจะทำให้เจ้าเชื่อไม่ได้ แต่ช่วงนี้ให้ระวังตัว เมื่อเจอคนที่มีคำว่า ‘เจิ้น’ อยู่ในชื่อก็อย่าได้สุงสิงมากเกินไปนัก”
‘เจิ้น?’ นางไม่เข้าใจเล็กน้อย ถ้าเจอคนที่มีคำว่า ‘เจิ้น’ อยู่ในชื่อจะเจอเรื่องร้ายจริงๆ หรือ?
ยังไม่ทันที่นางจะเข้าใจ โม่เหยียนก็ตบไหล่นางเบาๆ บอกนางว่าอย่าคิดมากเกินไปทำตามที่เขาบอกก็พอ จากนั้นทั้งสองคนก็มองใบไม้แห้งๆ ของฤดูใบไม้ร่วงที่ไหวอยู่บนต้นไม้โดยไม่พูดอะไร
และในใจของนางก็ได้จำคำเตือนของโม่เหยียนเอาไว้
ทีนี้ก็ได้มีเวลามานั่งคิด นางนึกถึงชายใต้ต้นไทรคนนั้นขึ้นมาทันที ช่วงนี้คนที่นางได้เจอก็มีแต่เขา แต่เหมือนว่าเขาคงจะไม่บอกชื่อตัวเองก่อนกระมัง
อย่างไรวันนี้ได้เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของท่านโม่เหยียน ก็หวังว่าอย่าได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย นางวางชามลง ในปากยังเคี้ยวข้าวอยู่และค่อยๆ อธิษฐาน
ค่ำคืนนี้ภาพที่นางหลับตาอธิษฐานอย่างมุ่งมั่น ส่วนเซ่าเหยียนที่เพิ่งเข้ามาที่ตระกูลตันนั่งอยู่บนหลังคา มองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของนางแล้วจมเข้าสู่ห้วงความคิด
---------------------------------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ