สลักใจจอมทัพ
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.
23 บท
0 วิจารณ์
19.77K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บทที่ 4-1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความด้านนอกระเบียงของโรงเตี๊ยมหนานเทียนวางโต๊ะหลายตัวสำหรับให้ลูกค้าได้ใช้ หนึ่งในนั้นก็คือเซ่าเจินที่เข้ามาพักในโรงเตี๊ยมนี้ เพียงแต่ขณะที่มองผู้คนเดินตลาดกันขวักไขว่อย่างเบื่อหน่ายอยู่นั้น กลับคิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาได้เจอเข้ากับคนที่น่าสนใจอยู่ในนั้น จึงให้หู่พั่วพาคนผู้นั้นมาคุยเล่น
เขารินชาให้นาง แล้วเท้าคางเอียงศีรษะมองไปที่นางอย่างสบายอารมณ์ “สิบสอง ลมอะไรพัดเจ้ามาที่นี่ทั้งยังแต่งตัวเช่นนี้อีก? แล้วทำไมถึงไม่พาคนคุ้มกันมาด้วย?”
จีสิบสองใจไม่สงบหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด สองตาสอดส่ายไปมา “วัง วังหลวงและพี่สามกลบเกลื่อนอ๋องราชบิดาไม่บอกความเคลื่อนไหวของพี่สามให้ชัดเจน จึงให้ข้ามาตามพี่หกกลับไป ส่วนคนคุ้มกันข้ารู้สึกเกะกะจึงไม่พามา” นางกลืนน้ำลาย “ที่แต่งเช่นนี้...เป็นเพราะการลงโทษที่ข้าแพ้พนันกับพี่สาม”
“โห? พนันเรื่องอะไรกันหรือ” การพนันกันระหว่างนางกับเจ้าสามมักจะไม่มีความหมายอะไรเสมอ
จีสิบสองหลบสายตาเล็กน้อย “องค์หญิงหยงเหอ...อีกไม่กี่วันก็จะเข้าต้าหรานแล้ว”
พอได้ยินชื่อนี้เซ่าเจินก็เผยอมุมปากยิ้มเล็กน้อย “โห เจ้าหญิงที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนที่แคว้นฉวีหลินนั่นน่ะหรือ” เขาย้อนนึกฉากที่เจอกันในอดีต “ตอนนั้นเหมือนนางจะเกิดรักแรกพบกับเจ้าหก และพยายามแต่งงานสานสัมพันธ์กับพวกเรา ทว่าอ๋องฉวีหลินนั่นกลับไม่มีใจอยากจะรวมญาติกับพวกเรา ดูเหมือนว่าหยงเหอก็ดิ้นรนอย่างสุดความสามารถสุดท้ายถึงได้หมั้นหมายกันใช่หรือไม่”
“ยังไม่แน่นอน สำหรับพวกเราแล้วแคว้นฉวีหลินมีทั้งประโยชน์และโทษ ถึงแม้ว่าการแต่งงานสานสัมพันธ์จะไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เป้าหมายที่เลือกไว้เป็นพี่หก ท่านพ่อจึงรู้สึกลำบากใจไม่น้อย”
เขาเลิกคิ้ว ท่าทางที่ดื่มชาชะงักลงเล็กน้อย “มีประโยชน์และโทษเดิมทีเป็นเรื่องปกติ แต่การแต่งงานสานสัมพันธ์นี้คิดว่าวังหลวงคงดีใจกว่าอ๋องราชบิดากระมัง เพราะอย่างไรก็หวังผลการเติบโตของแผ่นดินในอนาคตได้เป็นอย่างมาก” ครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วจะให้เจ้าหกแต่งงานอย่างเชื่อฟังก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หลังจากนั้นจะปฏิบัติต่อนางก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้รีบตามหาเช่นนี้ คิดว่าคงจะนึกถึงใจของหยงเหอที่มีต่อเจ้าหกจึงคิดจะให้เขารีบกลับไปสร้างความสัมพันธ์กับหยงเหอกระมัง” เขาวางแก้วลง มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา “มันไม่ง่ายขนาดนั้น เรื่องที่นี่ยังจัดการไม่เสร็จเขาจะไปได้อย่างไร”
จีสิบสองได้ยินดังนั้น จึงถามกลับไปว่า “พี่สี่ได้เจอพี่หกแล้วงั้นเหรอ?”
“เจอแล้ว” เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รอยยิ้มประดับอยู่เต็มใบหน้าของเขา “ทั้งยังเห็นเขาจูงมือแม่นางจากไปต่อหน้าข้าด้วย”
ได้ยินดังนั้น จีสิบสองทำตาโตที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ?”
“ข้าเป็นคนที่ชอบโกหกงั้นหรือ?” เขาเลิกคิ้วยิ้มถามขึ้น
จีสิบสองห่อไหล่ยิ้มแห้ง “ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่” เห้อ พี่สี่ก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นนี้ นิสัยทำเอาคนอื่นคาดเดาไม่ได้ มิน่าพี่น้องคนอื่นมักบอกว่าพี่สี่เสวนายาก
แต่ว่าพี่หกถึงกับมีความเกี่ยวพันกับผู้หญิง นี่ช่างทำเอาน่าตกใจเสียจริง
“สิบสอง ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ไหน?” เขากินขนมกุ้ยฮวา แล้วถามไปตามอารมณ์
นางไม่คิดอะไรมากแล้วตอบว่า “บ้านตระกูลตัน”
เซ่าเจินตกใจเล็กน้อย จนเกือบจะติดคอ “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อวาน”
เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “ทำไมข้าเพิ่งก้าวออกจากบ้านตระกูลตัน เจ้ากลับก้าวตามหลังเข้าอาศัยเสียแล้ว”
“ข้าก็แค่ไปขอร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าสามของตระกูลตัน จึงถูกเขาเชิญไปเป็นแขกที่บ้าน ไม่นอนก็ออกจะเสียดาย”
เห็นนางพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ด้วยความเป็นพี่น้องเตือนนางเสียหน่อยก็ดี “สิบสอง ถ้าไม่มีธุระอะไรก็รีบออกไปเถอะ เทศกาลดอกไม้ไฟนี้ไม่สงบ” โดยเฉพาะบ้านตระกูลตัน
นานๆ ทีถึงจะได้ยินคำพูดเป็นห่วงคนอื่นของพี่สี่ จึงถามด้วยความอยากรู้ว่า “ที่ที่ข้าอยู่ตอนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เซ่าเจินหรี่ตายิ้มพูดว่า “สิบสอง คำพูดของข้าจำให้ขึ้นใจก็พอแล้ว”
เห็นเขาหรี่ตายิ้มเช่นนี้ จึงรีบลุกขึ้นโค้งตัวพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว รอให้เทศกาลดอกไม้ไฟผ่านไปไม่ว่าข้าจะได้เจอพี่หกหรือไม่ข้าก็จะไป” พูดจบ นางก็รีบลงไปทันที
เห็นนางรีบเดินจากไป เซ่าเจินกระตุกปากอย่างอดไม่ได้ พูดว่า “บอกแล้วว่าเทศกาลดอกไม้ไฟไม่สงบไม่ใช่หรือ ยังคิดจะรอให้เทศกาลดอกไม้ไฟผ่านพ้นแล้วค่อยไป นี่เท่ากับพูดเสียเปล่าเลยไม่ใช่หรือ” เขาถอนหายใจที่สิบสองไม่ฟัง สายตาเคลื่อนไปทางหู่พั่วพูดว่า “ตรวจสอบแล้วเจออะไรบ้าง?”
หู่พั่วเข้าไปใกล้เขาพลางพูดกระซิบ เซ่าเจินฟังไปสีหน้าก็เครียดลงเรื่อยๆ
“ช่างเป็นข่าวที่ไม่ดีเสียจริง มิน่าตันฮั่นถึงพูดเช่นนั้น และมิน่าวังหลวงถึงไม่ยอมบอกความเคลื่อนไหวของเจ้าหกให้อ๋องราชบิดาชัดเจน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...” เขามองไปที่ขอบฟ้าสีครามที่มีเมฆเป็นหย่อมๆ ด้วยแววตาคมกริบ “ทีนี้จะไม่ใช่ตายคนเดียวง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว เรื่องสกปรกเช่นนี้ก็มีแต่เจ้าหกที่ยอมแบกอยู่คนเดียว”
“ใต้เท้าจะทำอย่างไร?”
เซ่าเจินเหลือบตามอง “แม้จะไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ แต่จะให้เสียหน้าไม่ได้ ได้มีบุญคุณกับวังหลวงก็ไม่เลว ไปสั่งคนให้เฝ้าทางเข้าเมืองไว้ มีแต่คนคนนั้นที่ปล่อยผ่านได้ นอกเหนือจากนั้นก็...”
คำพูดชะงักกะทันหัน คำพูดที่ยังพูดไม่จบ หู่พั่วเข้าใจได้ทันที
ตอนเที่ยง ในหอหมั่นเว่ย ตันโหรวอีรีบจะกลับบ้านไปให้ช่างตัดเย็บวัดตัวใหม่อีกครั้ง แต่กลับต้องนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกับตันฮั่น
“พี่ใหญ่! ข้านัดช่างตัดเย็บจะตัดเสื้อผ้าเอาไว้แล้ว ข้าวมื้อนี้ไว้ค่อยกินรอบหน้าเถอะ”
“ไม่รีบ กินอิ่มแล้วค่อยว่ากัน” แล้วคีบปลาใส่ให้ในชามของนาง “พี่ใหญ่อุตส่าเชิญเจ้าออกมากินข้าว ทำไมถึงไม่ไว้หน้าเช่นนี้”
ตันโหรวอีได้ยินดังนั้น จึงไม่ทำตัวดื้อดึงแล้วกินปลาเข้าไป ตันฮั่นเห็นท่าก็คีบอาหารอย่างอื่นให้นางอีก ตันโหรวอีไม่ปฏิเสธ เขาคีบอะไรนางก็กินหมด จนนางรู้สึกว่ากินไม่ลงแล้วจริงๆ ถึงห้ามการคีบอาหารของเขา
“พี่ใหญ่ ข้ากินไม่ลงแล้วจริงๆ อาหารพวกนี้ดูแล้วอย่างไรก็ไม่เหมือนกันปริมาณของสองคนเลย ทำไมถึงได้สั่งเยอะเช่นนี้”
“ตอนแรกก็จะลากเจ้าตันกุ้ยมาด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนแต่เช้า ปริมาณนี้สั่งไว้ตั้งแต่เช้าจะยกเลิกก็เกรงใจ”
เห็นเขากินอย่างช้าๆ ตันโหรวอียิ่งรู้สึกแปลกใจ ถึงแม้ว่าเขายังจัดการเรื่องในบ้านเช่นปกติ แต่ตั้งแต่ที่คุยธุระกับท่านพ่อในห้องอ่านหนังสือก็มักจะดูไม่มีความสุข นางอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเรื่องของตระกูลฮวงที่เป็นข่าวลืออยู่ช่วงนี้ทำเขากังวล จึงอดไม่ได้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พี่ใหญ่ ช่วงนี้มักรู้สึกว่าพี่ไม่มีชีวิตชีวา” แล้วนางก็กุมมือเขา “เป็นเพราะว่าฮวงเซ่าเหรินของตระกูลฮวงถูกคนสังหารหรือไม่?”
ตันฮั่นนิ่งเงียบทันที มองดูน้องสาวคนเล็กที่ทั้งดื้อทั้งเอาแต่ใจตั้งแต่เด็กคนนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงกับเติบโตขึ้นมาเป็นห่วงพี่ชายตัวเองแล้ว จนเขายิ้มด้วยความรู้สึกยินดีขึ้นมา “พี่ใหญ่จะไม่ปิดบังเจ้า สาเหตุการตายของฮวงเซ่าเหรินมากน้อยก็เกี่ยวข้องกับข้าอยู่บ้างจริงๆ”
ตันโหรวอีอ้าปากค้าง “พี่ พี่ใหญ่...พี่พูดเรื่องจริงหรือ?”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า
“พี่ พี่ตกลงไปทำอะไรมา!” นางลุกขึ้นด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน “พี่กับฮวงเซ่าเหรินที่วันๆ ไม่ทำอะไรนั่นก็แค่เพื่อนดื่มเพื่อนเที่ยว ถึงกับเกิดเรื่องถึงชีวิตได้!"
“เจ้าใจเย็นก่อน นั่งลง!” ตันฮั่นรีบดึงนางให้นั่งลง เห็นนางทำท่าถ้าไม่พูดให้ชัดเจนก็จะไม่ยอมเลิกราเช่นนั้น เขากลับมีความลำบากใจที่จะเล่า
“โหรวอี เรื่องเป็นอย่างไรเจ้าอย่ารู้เลยจะดีกว่า ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก ตรงนี้ข้ารับประกันได้” เห็นเขามีสีหน้าจริงจัง ตันโหรวอียังคงไม่สบายใจ “พี่ใหญ่ ท่านพ่อก็รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่”
“อืม”
“งั้นทำไมท่านพ่อถึงไม่ช่วยพี่หาวิธี?”
เขายิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ “ท่านพ่อให้ข้าออกจากหนานหยางเพื่อไปหลบซ่อนชั่วคราว”
“แล้วทำ...”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไปหลบซ่อนก็จะแก้ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องอยู่ที่นี่เพื่อสะสางเรื่องที่เหลืออยู่”
“เรื่องที่เหลืออยู่อะไร พี่ใหญ่พูดให้ชัดเจนก่อน อย่าให้น้องสาวอย่างข้าต้องเป็นกังวลเลย”
ตันฮั่นกลับมีแววตาล่องลอยไม่ตอบนาง และลุกขึ้นตบไหล่นาง “กลับไปเถอะ เจ้าจะรีบกลับไปให้ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าไม่ใช่หรือ เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะ”
“พี่ใหญ่!”
“พอแล้ว! รู้มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า กลับไปได้แล้ว” เขารีบไล่นางกลับไป สีหน้ามีความหงุดหงิดอยู่บ้าง
ตันโหรวอีเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรอีก รู้ว่านิสัยของเขาพอปากแข็งขึ้นมาต่อให้เอามีดมาฟันก็ไม่จำยอม จึงได้แต่ล้มเลิก ลุกขึ้นกำลังจะจากไปก็ก้มหน้ามองอาหารที่อยู่เต็มโต๊ะ ดวงตาแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว “พี่ใหญ่ มื้อนี้น้องหวังจริงๆ ว่าจะไม่ใช่มื้อสุดท้าย”
ได้ยินเช่นนั้น ตันฮั่นก็พลันเงยหน้าขึ้น เสียงสะอื้นหลุดออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ได้แต่พยักหน้าไม่หยุด กลับไม่กล้าออกเสียงรับปาก ทางเดินนี้ได้ก้าวเดินออกไปแล้วจะหันกลับก็ไม่มีทางให้กลับแล้ว
รอให้ตันโหรวอีจากไป เขาสงบอารมณ์กลับมาเหมือนเดิมแล้วเดินไปห้องแขกส่วนตัวที่อยู่ชั้นสอง เหลืออาหารเอาไว้เต็มโต๊ะ
ส่วนเซ่าเหยียนที่แอบติดตามพวกเขามาโดยตลอด จ้องมองจนเขาเดินขึ้นไปที่ห้องแขกส่วนตัวชั้นสองแล้วดื่มสุราที่อยู่ในแก้วรวดเดียวหมด พอวางแก้วลง แววตาก็มีจิตสังหารที่เย็นชาแล่นผ่าน แล้วลุกขึ้นเดินตามขึ้นไปอย่างเงียบๆ
เดินขึ้นไปชั้นสองห้องสุดท้าย ตันฮั่นเคาะประตูเหมือนเคาะรหัสลับอย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งประตูเปิดออกและก็ถูกกระชากเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------
เขารินชาให้นาง แล้วเท้าคางเอียงศีรษะมองไปที่นางอย่างสบายอารมณ์ “สิบสอง ลมอะไรพัดเจ้ามาที่นี่ทั้งยังแต่งตัวเช่นนี้อีก? แล้วทำไมถึงไม่พาคนคุ้มกันมาด้วย?”
จีสิบสองใจไม่สงบหน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด สองตาสอดส่ายไปมา “วัง วังหลวงและพี่สามกลบเกลื่อนอ๋องราชบิดาไม่บอกความเคลื่อนไหวของพี่สามให้ชัดเจน จึงให้ข้ามาตามพี่หกกลับไป ส่วนคนคุ้มกันข้ารู้สึกเกะกะจึงไม่พามา” นางกลืนน้ำลาย “ที่แต่งเช่นนี้...เป็นเพราะการลงโทษที่ข้าแพ้พนันกับพี่สาม”
“โห? พนันเรื่องอะไรกันหรือ” การพนันกันระหว่างนางกับเจ้าสามมักจะไม่มีความหมายอะไรเสมอ
จีสิบสองหลบสายตาเล็กน้อย “องค์หญิงหยงเหอ...อีกไม่กี่วันก็จะเข้าต้าหรานแล้ว”
พอได้ยินชื่อนี้เซ่าเจินก็เผยอมุมปากยิ้มเล็กน้อย “โห เจ้าหญิงที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนที่แคว้นฉวีหลินนั่นน่ะหรือ” เขาย้อนนึกฉากที่เจอกันในอดีต “ตอนนั้นเหมือนนางจะเกิดรักแรกพบกับเจ้าหก และพยายามแต่งงานสานสัมพันธ์กับพวกเรา ทว่าอ๋องฉวีหลินนั่นกลับไม่มีใจอยากจะรวมญาติกับพวกเรา ดูเหมือนว่าหยงเหอก็ดิ้นรนอย่างสุดความสามารถสุดท้ายถึงได้หมั้นหมายกันใช่หรือไม่”
“ยังไม่แน่นอน สำหรับพวกเราแล้วแคว้นฉวีหลินมีทั้งประโยชน์และโทษ ถึงแม้ว่าการแต่งงานสานสัมพันธ์จะไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เป้าหมายที่เลือกไว้เป็นพี่หก ท่านพ่อจึงรู้สึกลำบากใจไม่น้อย”
เขาเลิกคิ้ว ท่าทางที่ดื่มชาชะงักลงเล็กน้อย “มีประโยชน์และโทษเดิมทีเป็นเรื่องปกติ แต่การแต่งงานสานสัมพันธ์นี้คิดว่าวังหลวงคงดีใจกว่าอ๋องราชบิดากระมัง เพราะอย่างไรก็หวังผลการเติบโตของแผ่นดินในอนาคตได้เป็นอย่างมาก” ครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วจะให้เจ้าหกแต่งงานอย่างเชื่อฟังก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หลังจากนั้นจะปฏิบัติต่อนางก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้รีบตามหาเช่นนี้ คิดว่าคงจะนึกถึงใจของหยงเหอที่มีต่อเจ้าหกจึงคิดจะให้เขารีบกลับไปสร้างความสัมพันธ์กับหยงเหอกระมัง” เขาวางแก้วลง มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา “มันไม่ง่ายขนาดนั้น เรื่องที่นี่ยังจัดการไม่เสร็จเขาจะไปได้อย่างไร”
จีสิบสองได้ยินดังนั้น จึงถามกลับไปว่า “พี่สี่ได้เจอพี่หกแล้วงั้นเหรอ?”
“เจอแล้ว” เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รอยยิ้มประดับอยู่เต็มใบหน้าของเขา “ทั้งยังเห็นเขาจูงมือแม่นางจากไปต่อหน้าข้าด้วย”
ได้ยินดังนั้น จีสิบสองทำตาโตที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ?”
“ข้าเป็นคนที่ชอบโกหกงั้นหรือ?” เขาเลิกคิ้วยิ้มถามขึ้น
จีสิบสองห่อไหล่ยิ้มแห้ง “ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่” เห้อ พี่สี่ก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นนี้ นิสัยทำเอาคนอื่นคาดเดาไม่ได้ มิน่าพี่น้องคนอื่นมักบอกว่าพี่สี่เสวนายาก
แต่ว่าพี่หกถึงกับมีความเกี่ยวพันกับผู้หญิง นี่ช่างทำเอาน่าตกใจเสียจริง
“สิบสอง ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ไหน?” เขากินขนมกุ้ยฮวา แล้วถามไปตามอารมณ์
นางไม่คิดอะไรมากแล้วตอบว่า “บ้านตระกูลตัน”
เซ่าเจินตกใจเล็กน้อย จนเกือบจะติดคอ “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อวาน”
เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “ทำไมข้าเพิ่งก้าวออกจากบ้านตระกูลตัน เจ้ากลับก้าวตามหลังเข้าอาศัยเสียแล้ว”
“ข้าก็แค่ไปขอร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าสามของตระกูลตัน จึงถูกเขาเชิญไปเป็นแขกที่บ้าน ไม่นอนก็ออกจะเสียดาย”
เห็นนางพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ด้วยความเป็นพี่น้องเตือนนางเสียหน่อยก็ดี “สิบสอง ถ้าไม่มีธุระอะไรก็รีบออกไปเถอะ เทศกาลดอกไม้ไฟนี้ไม่สงบ” โดยเฉพาะบ้านตระกูลตัน
นานๆ ทีถึงจะได้ยินคำพูดเป็นห่วงคนอื่นของพี่สี่ จึงถามด้วยความอยากรู้ว่า “ที่ที่ข้าอยู่ตอนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เซ่าเจินหรี่ตายิ้มพูดว่า “สิบสอง คำพูดของข้าจำให้ขึ้นใจก็พอแล้ว”
เห็นเขาหรี่ตายิ้มเช่นนี้ จึงรีบลุกขึ้นโค้งตัวพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว รอให้เทศกาลดอกไม้ไฟผ่านไปไม่ว่าข้าจะได้เจอพี่หกหรือไม่ข้าก็จะไป” พูดจบ นางก็รีบลงไปทันที
เห็นนางรีบเดินจากไป เซ่าเจินกระตุกปากอย่างอดไม่ได้ พูดว่า “บอกแล้วว่าเทศกาลดอกไม้ไฟไม่สงบไม่ใช่หรือ ยังคิดจะรอให้เทศกาลดอกไม้ไฟผ่านพ้นแล้วค่อยไป นี่เท่ากับพูดเสียเปล่าเลยไม่ใช่หรือ” เขาถอนหายใจที่สิบสองไม่ฟัง สายตาเคลื่อนไปทางหู่พั่วพูดว่า “ตรวจสอบแล้วเจออะไรบ้าง?”
หู่พั่วเข้าไปใกล้เขาพลางพูดกระซิบ เซ่าเจินฟังไปสีหน้าก็เครียดลงเรื่อยๆ
“ช่างเป็นข่าวที่ไม่ดีเสียจริง มิน่าตันฮั่นถึงพูดเช่นนั้น และมิน่าวังหลวงถึงไม่ยอมบอกความเคลื่อนไหวของเจ้าหกให้อ๋องราชบิดาชัดเจน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...” เขามองไปที่ขอบฟ้าสีครามที่มีเมฆเป็นหย่อมๆ ด้วยแววตาคมกริบ “ทีนี้จะไม่ใช่ตายคนเดียวง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว เรื่องสกปรกเช่นนี้ก็มีแต่เจ้าหกที่ยอมแบกอยู่คนเดียว”
“ใต้เท้าจะทำอย่างไร?”
เซ่าเจินเหลือบตามอง “แม้จะไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ แต่จะให้เสียหน้าไม่ได้ ได้มีบุญคุณกับวังหลวงก็ไม่เลว ไปสั่งคนให้เฝ้าทางเข้าเมืองไว้ มีแต่คนคนนั้นที่ปล่อยผ่านได้ นอกเหนือจากนั้นก็...”
คำพูดชะงักกะทันหัน คำพูดที่ยังพูดไม่จบ หู่พั่วเข้าใจได้ทันที
ตอนเที่ยง ในหอหมั่นเว่ย ตันโหรวอีรีบจะกลับบ้านไปให้ช่างตัดเย็บวัดตัวใหม่อีกครั้ง แต่กลับต้องนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกับตันฮั่น
“พี่ใหญ่! ข้านัดช่างตัดเย็บจะตัดเสื้อผ้าเอาไว้แล้ว ข้าวมื้อนี้ไว้ค่อยกินรอบหน้าเถอะ”
“ไม่รีบ กินอิ่มแล้วค่อยว่ากัน” แล้วคีบปลาใส่ให้ในชามของนาง “พี่ใหญ่อุตส่าเชิญเจ้าออกมากินข้าว ทำไมถึงไม่ไว้หน้าเช่นนี้”
ตันโหรวอีได้ยินดังนั้น จึงไม่ทำตัวดื้อดึงแล้วกินปลาเข้าไป ตันฮั่นเห็นท่าก็คีบอาหารอย่างอื่นให้นางอีก ตันโหรวอีไม่ปฏิเสธ เขาคีบอะไรนางก็กินหมด จนนางรู้สึกว่ากินไม่ลงแล้วจริงๆ ถึงห้ามการคีบอาหารของเขา
“พี่ใหญ่ ข้ากินไม่ลงแล้วจริงๆ อาหารพวกนี้ดูแล้วอย่างไรก็ไม่เหมือนกันปริมาณของสองคนเลย ทำไมถึงได้สั่งเยอะเช่นนี้”
“ตอนแรกก็จะลากเจ้าตันกุ้ยมาด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนแต่เช้า ปริมาณนี้สั่งไว้ตั้งแต่เช้าจะยกเลิกก็เกรงใจ”
เห็นเขากินอย่างช้าๆ ตันโหรวอียิ่งรู้สึกแปลกใจ ถึงแม้ว่าเขายังจัดการเรื่องในบ้านเช่นปกติ แต่ตั้งแต่ที่คุยธุระกับท่านพ่อในห้องอ่านหนังสือก็มักจะดูไม่มีความสุข นางอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเรื่องของตระกูลฮวงที่เป็นข่าวลืออยู่ช่วงนี้ทำเขากังวล จึงอดไม่ได้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พี่ใหญ่ ช่วงนี้มักรู้สึกว่าพี่ไม่มีชีวิตชีวา” แล้วนางก็กุมมือเขา “เป็นเพราะว่าฮวงเซ่าเหรินของตระกูลฮวงถูกคนสังหารหรือไม่?”
ตันฮั่นนิ่งเงียบทันที มองดูน้องสาวคนเล็กที่ทั้งดื้อทั้งเอาแต่ใจตั้งแต่เด็กคนนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงกับเติบโตขึ้นมาเป็นห่วงพี่ชายตัวเองแล้ว จนเขายิ้มด้วยความรู้สึกยินดีขึ้นมา “พี่ใหญ่จะไม่ปิดบังเจ้า สาเหตุการตายของฮวงเซ่าเหรินมากน้อยก็เกี่ยวข้องกับข้าอยู่บ้างจริงๆ”
ตันโหรวอีอ้าปากค้าง “พี่ พี่ใหญ่...พี่พูดเรื่องจริงหรือ?”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า
“พี่ พี่ตกลงไปทำอะไรมา!” นางลุกขึ้นด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน “พี่กับฮวงเซ่าเหรินที่วันๆ ไม่ทำอะไรนั่นก็แค่เพื่อนดื่มเพื่อนเที่ยว ถึงกับเกิดเรื่องถึงชีวิตได้!"
“เจ้าใจเย็นก่อน นั่งลง!” ตันฮั่นรีบดึงนางให้นั่งลง เห็นนางทำท่าถ้าไม่พูดให้ชัดเจนก็จะไม่ยอมเลิกราเช่นนั้น เขากลับมีความลำบากใจที่จะเล่า
“โหรวอี เรื่องเป็นอย่างไรเจ้าอย่ารู้เลยจะดีกว่า ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก ตรงนี้ข้ารับประกันได้” เห็นเขามีสีหน้าจริงจัง ตันโหรวอียังคงไม่สบายใจ “พี่ใหญ่ ท่านพ่อก็รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่”
“อืม”
“งั้นทำไมท่านพ่อถึงไม่ช่วยพี่หาวิธี?”
เขายิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ “ท่านพ่อให้ข้าออกจากหนานหยางเพื่อไปหลบซ่อนชั่วคราว”
“แล้วทำ...”
“เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไปหลบซ่อนก็จะแก้ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องอยู่ที่นี่เพื่อสะสางเรื่องที่เหลืออยู่”
“เรื่องที่เหลืออยู่อะไร พี่ใหญ่พูดให้ชัดเจนก่อน อย่าให้น้องสาวอย่างข้าต้องเป็นกังวลเลย”
ตันฮั่นกลับมีแววตาล่องลอยไม่ตอบนาง และลุกขึ้นตบไหล่นาง “กลับไปเถอะ เจ้าจะรีบกลับไปให้ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าไม่ใช่หรือ เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะ”
“พี่ใหญ่!”
“พอแล้ว! รู้มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า กลับไปได้แล้ว” เขารีบไล่นางกลับไป สีหน้ามีความหงุดหงิดอยู่บ้าง
ตันโหรวอีเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรอีก รู้ว่านิสัยของเขาพอปากแข็งขึ้นมาต่อให้เอามีดมาฟันก็ไม่จำยอม จึงได้แต่ล้มเลิก ลุกขึ้นกำลังจะจากไปก็ก้มหน้ามองอาหารที่อยู่เต็มโต๊ะ ดวงตาแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว “พี่ใหญ่ มื้อนี้น้องหวังจริงๆ ว่าจะไม่ใช่มื้อสุดท้าย”
ได้ยินเช่นนั้น ตันฮั่นก็พลันเงยหน้าขึ้น เสียงสะอื้นหลุดออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ได้แต่พยักหน้าไม่หยุด กลับไม่กล้าออกเสียงรับปาก ทางเดินนี้ได้ก้าวเดินออกไปแล้วจะหันกลับก็ไม่มีทางให้กลับแล้ว
รอให้ตันโหรวอีจากไป เขาสงบอารมณ์กลับมาเหมือนเดิมแล้วเดินไปห้องแขกส่วนตัวที่อยู่ชั้นสอง เหลืออาหารเอาไว้เต็มโต๊ะ
ส่วนเซ่าเหยียนที่แอบติดตามพวกเขามาโดยตลอด จ้องมองจนเขาเดินขึ้นไปที่ห้องแขกส่วนตัวชั้นสองแล้วดื่มสุราที่อยู่ในแก้วรวดเดียวหมด พอวางแก้วลง แววตาก็มีจิตสังหารที่เย็นชาแล่นผ่าน แล้วลุกขึ้นเดินตามขึ้นไปอย่างเงียบๆ
เดินขึ้นไปชั้นสองห้องสุดท้าย ตันฮั่นเคาะประตูเหมือนเคาะรหัสลับอย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งประตูเปิดออกและก็ถูกกระชากเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ