สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  20.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) บทที่ 4-2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตันฮั่นมองคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลม พวกเขาสวมชุดสีดำทั้งยังใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าของตัวเอง โผล่ออกมาแค่ดวงตาใหญ่โตที่ลึกล้ำคู่หนึ่ง

เขาพินิจพวกเขา พวกเขาก็พินิจเขาเช่นกัน

“เจ้าอยู่กับใคร เลยเวลานัดแล้ว” หนึ่งในสองคนนั้นอ้าปากถามขึ้น

ตันฮั่นฟังสำเนียงที่ไม่เป็นจังหวะ ไม่ได้ตอบตรงๆ พูดเพียงว่า “เรื่องของตระกูลฮวงทำให้สำนักราชทัณฑ์ส่งคนมาตรวจสอบ พวกเจ้าไม่ได้ยินข่าวหรือ ถึงกับไม่ยอมเลิกยังจะทำต่ออีก!”

“แล้วจะอย่างไร เรื่องที่เจ้ารับปากว่าจะทำยังทำไม่เสร็จ”

เขาขมวดคิ้ว “พวกเจ้าไม่กลัวจริงๆ หรือว่าพวกเราติดต่อกันบ่อยเกินไปจะถูกจับได้ ขุนนางของสำนักราชทัณฑ์มาถามคำถามที่บ้านตระกูลตันของข้าแล้ว ขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนว่าอย่าเคลื่อนไหวสะดุดตาเกินไปนัก”

“เรือออกจากฝั่งไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ต่อให้กระโดดลงเรือก็ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งไม่ได้ เจ้าและฮวงเซ่าเหรินน่าจะรู้อยู่แล้ว”

ตันฮั่นหัวเราะเยาะตัวเอง “ฮวงเซ่าเหรินยังไม่ทันได้กระโดดลงจากเรือก็ถูกลากลงน้ำไปตายเสียแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะขู่อะไรข้าอีก บีบข้าไม่ให้เหลือทางรอดก็แค่ตายไปพร้อมๆ กันเท่านั้นเอง”

ชายปิดหน้าสบตากัน โดยที่ไม่พูดอะไร

“สมแล้วที่เป็นคุณชายใหญ่ผู้มาจากตระกูลค้าขาย ไม่รับการขู่คำพูดก็ห้าวอยู่ไม่น้อย แต่ว่าตอนนี้จะมาพลิกหน้าก็ไม่ได้เป็นเรื่องดีสำหรับคนบนเรือลำนี้ อีกอย่างเรื่องการฆ่าคนเช่นนั้นจะให้พวกข้าทำก็ไม่ยากเย็นนัก” ได้ยินเสียงดังมาจากข้างๆ ตันฮั่นเหลือบมองไปที่ต้นเสียง มองไปที่ม่านลูกปัดกั้น ปรากฏชายคนหนึ่งพิงอยู่บนเตียง ที่ผินหน้ามาเพียงครึ่งหนึ่ง ชายคนนี้คือใคร? ตั้งแต่ที่ทำการค้าขายก็ไม่เคยเจอเขา และสำเนียงของเขาก็ไม่ใช่คนเหลียวหยางกลับเหมือนคนต้าหรานมากกว่า “เจ้าคือใคร?”

“ข้าเป็นใครเจ้าไม่ต้องรู้ ที่เจ้าต้องรู้มีเพียงว่าเจ้าต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าลากคนอื่นให้มาลำบากด้วย เจ้าคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

“เจ้าอย่าคิดใช้คนของตระกูลตันมาขู่ข้า ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ทำ เรื่องร้ายๆ นี้ข้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็หนีไม่รอด” เขาตะโกน เดือดพล่านอย่างควบคุมไม่ได้ขึ้นมา

แต่กลับไม่กระตุ้นอารมณ์ของชายผู้นั้น “เรื่องที่สำนักราชทัณฑ์ส่งคนมาพวกเรารู้นานแล้ว ทั้งคนคนนี้ยังอยู่ในเมืองหนานหยาง จะว่าไปก็กลัวเรื่องนี้จะยุ่งยากจัดการไม่ได้ รอให้เรื่องในครั้งนี้สำเร็จก็จะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก” ชายคนนั้นหันไปพูดกับคนเหลียวหยางว่า “เอาสมุดให้เขา”

คนเหลียวหยางเอาสมุดเล่มหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ หลังม่านลูกปัดก็มีเสียงลอยมาอีกว่า “เก็บสมุดเล่มนี้ไว้ให้ดีๆ นี่เป็นรายละเอียดของของที่จะส่งมาในครั้งนี้”

สีหน้าของตันฮั่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ถึงแม้จะไม่ต้องการแต่ก็เลิกไม่ได้ แต่ถ้าครั้งการลอบขนสินค้าสิ้นสุดลงพวกเขาก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เช่นนั้นก็จะสามารถถอนตัวได้โดยสิ้นเชิง คงต้องลงมือทำเท่านั้น

“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกันอีก” เขารับสมุดที่คนเหลียวหยางให้มาเก็บเข้าเสื้อแล้วเปิดประตูจากไป

เหล่าชายปิดหน้าสบตากัน แล้วพูดกับชายที่อยู่หลังม่านลูกปัดว่า “ทำไมถึงต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้ แค่แอบไปแจ้งสำนักราชทัณฑ์ก็จับเขาได้แล้ว”

ที่จริงแล้วการแอบขนส่งสินค้าในรอบนี้ไม่ได้มีอยู่จริง รายละเอียดที่เขียนไว้บนสมุดล้วนปั้นแต่งขึ้นมาเอง ก็เพื่อให้คนที่สำนักราชทัณฑ์ส่งมาพุ่งเป้าไปที่สมุดแล้วหันเหความสนใจทั้งหมดไปที่ตันฮั่น ส่วนพวกเขาก็จะสามารถออกจากต้าหรานแล้วหลบภัยในครั้งนี้ได้

ชายคนนั้นหัวเราะส่ายหน้า “ในเมื่อมีความเป็นไปได้ว่าจะหลุดปากขายพวกเรา เช่นนั้นทำไมไม่หาเพชรฆาตจัดการแทนพวกเราตรงๆ เสียเลยล่ะ”

“เพชรฆาต?”

ชายคนนั้นลืมตาขึ้นด้วยท่าทางแกมโกง “คนคนนั้นไม่ได้อยู่สำนักราชทัณฑ์ ทำงานลับให้กับใครบางคนที่ออกคำสั่ง จะฆ่าก็ฆ่าไม่ไว้ชีวิต ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็มีจุดจบเดียวกัน” เขาหรี่ตาลง สิ่งที่เขาเล่าเหมือนกับเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอย่างนั้น เขาลงจากเตียงเปิดม่านลูกปัดครึ่งหนึ่ง สีหน้าเย็นชา “แต่เพื่อให้แน่ใจ พวกเจ้าก็ส่งคนไปเฝ้าคุณชายใหญ่นั่นเอาไว้  เพื่อป้องกันความผิดพลาดอะไรที่จะเกิดขึ้น”

คนเหลียวหยางพยักหน้า “แต่ว่าถ้าหากข่าวไม่ผิดละก็ พวกเราก็จะถูกพบเข้าในไม่ช้า ต้องเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน”

ชายคนนั้นได้ยินก็ไม่มีทีท่ากังวล “มะรืนนี้ก็เป็นเทศกาลใหญ่ของเมืองนี้ ใช้โอกาสนี้หลบออกไปเป็นใช้ได้”

“ขอรับ!”

ในเวลาเดียวกันเซ่าเหยียนที่ยืนหลับตาอยู่นอกประตูกำลังตั้งใจฟังบทสนทนาที่อยู่ข้างใน สองตาเรียวยาวพลันลืมขึ้น แววตาคมกริบมีความร้ายกาจ ตัดสินใจทันทีเวลาลงมือก็คือเทศกาลดอกไม้ไฟ

ขณะที่เซ่าเหยียนจากไปอย่างเงียบเชียบ ประตูก็เปิดออกในเวลาเดียวกัน คนที่เดินออกมาก็คือชายที่อยู่หลังม่านลูกปัดคนนั้น เขาที่ปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งเลิกหางตาขึ้น เหมือนจะคาดเดาไว้อยู่แล้วถึงการปรากฏตัวของเซ่าเหยียน

“องค์ชายสอง เช่นนี้จะดีจริงหรือ?” คนเหลียวหยางเดินตามออกมา อดไม่ได้ถามขึ้น

คนที่ถูกเรียกว่าองค์ชายสองเอามือไขว้หลัง “แน่นอน ให้เขารู้แผนการก็ไม่ได้ขัดขวางการทำงานของพวกเรา” เขาหัวเราะเย็นชา “เพราะความจริงเท็จในแผนก็มีแต่พวกเราสามคนเท่านั้นที่รู้ ให้เขายุ่งอยู่กับตันฮั่นเถอะ” เขาทำสีหน้าได้ใจ ไม่หวาดกลัวต่อผู้ที่แอบฟังบทสนทนาของพวกเขา

 

กลางดึก

ขณะที่คนตีฆ้องบอกเวลาเดินอยู่ในซอยที่เงียบสงัดไร้ผู้คน ลมเย็นๆ พัดใบไม้แห้งบนต้นไม้ร่วงหล่นลงมา ค่ำคืนนี้เสมือนแฝงไปด้วยบรรยากาศวังเวงบางอย่าง

เงาสีดำสายหนึ่งแล่นผ่านแสงจันทร์ย่องเข้าไปในโรงเตี๊ยมหนานเทียนอย่างเงียบเชียบ ไม่ต้องตามหานานเดินตรงไปที่ห้องห้องหนึ่งแล้วผลักหน้าต่างเข้าไปอย่างเงียบๆ แสงจันทร์กลายเป็นแสงที่ทำให้เขามองเห็น สองตาที่เรียวยาวกวาดมองดูในความมืด เขาก้าวเท้าเดินไปที่ขอบโต๊ะ ฝีเท้าเบาจนไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว

เขาไม่แตะของที่อยู่บนโต๊ะแล้วนั่งลง พร้อมกันนั้น สองคนที่นอนอยู่บนเตียงพลันลืมตาจ้องมอง ตกใจกับชายที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางไม่ขยับคนนั้น

“มัวแต่ตกใจอะไร?” น้ำเสียงที่เย็นชา ทำให้คนสองคนที่อยู่บนเตียงรีบลงจากเตียงแล้วคุกเข่าต่อหน้าเขา

“องค์ชายหก!” เสียงของคนทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

สีหน้าที่เย็นชามองไปที่พวกเขา “คาเชวี่ย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเฝ้าติดตามตันฮั่นรายงานทุกอย่างที่เขาทำทั้งหมด เฟิ่งอี้ไปสั่งการให้อั่นเซียวมา”

พอทั้งสองคนได้ยินว่าจะสั่งการอั่นเซียว ก็เข้าใจทันทีว่าองค์ชายหกเตรียมเก็บกวาดครั้งสุดท้ายแล้ว “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

เขาหยิบซองจดหมายวางไว้บนโต๊ะ “เอาจดหมายนี้ส่งให้กับองค์ชายสี่”

“องค์ชายหก องค์ชายสี่ได้รับคำสั่งจากสำนักราชทัณฑ์มาตรวจสอบคดีลูกชายตระกูลฮวงที่ถูกสังหาร มันอาจจะเกี่ยวโยงถึงท่าน ขืนเป็นเช่นนั้น...”

“จำเรื่องที่สั่งได้หรือยัง?” เขาไม่สนใจ แววตาวูบไหวเล็กน้อย

ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก “จำได้แล้วขอรับ” สิ้นเสียง ตรงหน้าก็ไร้เงาคนทันที

 

เทศกาลดอกไม้ไฟพอเริ่มขึ้นก็คึกคักมากมาย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไม่ขาดสาย เสียงหัวเราะดีใจมีเต็มทั้งเมืองหนานหยาง ขณะที่ดวงอาทิตย์สีส้มค่อยๆ ตกดิน แสงไฟในตลาดกลางคืนสว่างขึ้น ผู้คนเดินเล่นกันอยู่ในซอกซอยต่างๆ คึกคักไม่แพ้วันตรุษจีน

สถานที่ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนนอกจากโรงเตี๊ยมหนานเทียนและหอหมั่นเว่ยแล้วยังมีทะเลสาบจิ้งสุ่ยที่เป็นจุดปล่อยพลุไฟ จุดที่ปล่อยพลุไฟของทุกปีก็คือที่นี่ ผู้ชมจะอยู่ฝั่งตะวันออกของทะเลสาบส่วนพลุจะปล่อยทางฝั่งตะวันตก ขณะที่จุดพลุผิวน้ำของทะเลสาบที่เหมือนดั่งกระจก ก็จะสะท้อนท้องฟ้าที่มีพลุไฟให้สวยงามชัดเจนมากขึ้น

ที่ริมทะเลสาบก็มีตระกูลร่ำรวยเช่าเรือเที่ยวทะเลสาบชมดอกไม้ไฟ ส่วนคนมาเที่ยวทั่วไปก็จะรวมกลุ่มกันที่ริมฝั่งพูดคุยไปพลางชมดอกไม้ไฟไปพลาง

ทะเลสาบจิ้งสุ่ยตั้งแต่ช่วงเวลาห้าโมงเย็นขึ้นไปจนถึงหนึ่งทุ่มจะมีผู้คนแย่งจุดที่ชมวิวที่ดีที่สุดแล้วรออยู่ที่นั่น ในนั้นยังมีเรือลำหนึ่งยังรออยู่ที่ฝั่งไม่ได้ออกไป และเรือลำนั้นก็คือเรือของตระกูลตัน

เหล่าคนใช้กำลังยกของที่ต้องใช้และอาหารขึ้นเรือไปทีละชิ้น กลัวว่าตรงไหนที่เตรียมไว้ไม่ดีจะทำเจ้านายอารมณ์เสียแล้วพาลโกรธพวกเขา

เสวี่ยหรั่นและเป่าฉือก็ถือของเดินไปที่เรือ ไม่ไกลจากนั้นเห็นสาวใช้และคนใช้ไม่น้อยกำลังยุ่งอยู่กับการทยอยขนของขึ้นเรือ

“คุณชายและนายหญิงน้อยขึ้นเรือไปแล้วใช่ไหม” นางเงยหน้ามองไปที่ดาดฟ้าเรือ เห็นตันโหรวอีนั่งอยู่บนที่นั่งรับรองแล้ว ข้างๆ จีสิบสองที่พิงเรือชมทะเลสาบก็มีตันกุ้ยคอยตามติดเอาอกเอาใจ

“ทำไมไม่เห็นคุณชายใหญ่?”

“คุณชายใหญ่บอกว่าต้องรีบตรวจสอบบัญชีจึงไม่ออกมาดูดอกไม้ไฟ” เสี่ยวฉิงที่หิ้วของเดินมาตอบกลับ เสวี่ยหรั่นพยักหน้า เสี่ยวฉิงก็พูดอีกว่า ”ขึ้นเรือเถอะ เรือจะออกแล้ว”

เสวี่ยหรั่นและเสี่ยวฉิงคุยเล่นกันขึ้นไปบนเรือ ไม่สังเกตว่าเซ่าเหยียนก็อยู่ตรงนั้น เห็นพวกนางเดินขึ้นเรือ เขาก็มองไปที่ทะเลสาบจิ้งสุ่ย เอามือไขว้หลังมองผิวทะเลสาบที่ใสดั่งบ่อน้ำแล้วใช้ความคิด ทันใดนั้น ก็มีเงาหนึ่งเดินมาตรงหน้าเขา เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “เป็นอย่างไร?”

“วันนี้ตันฮั่นไม่ได้ออกจากบ้าน และไม่มีคนที่น่าสงสัยเข้าไปในบ้านตระกูลตัน ทางประตูเมืองได้สั่งคนเฝ้าเอาไว้อย่างลับๆ แล้ว” คาเชวี่ยกดเสียงให้ต่ำลงอย่างมากแล้วพูดว่า “นอกจากนั้นที่ประตูเมืองก็มีคนขององค์ชายสี่ ไม่รู้ว่าจะมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราหรือไม่”

เซ่าเหยียนไม่ส่งเสียง แววตาเหลือบมองเรือลำที่ขยับไปทางทะเลสาบนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ขณะที่เรือลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนจนอยู่ที่กลางทะเลสาบจิ้งสุ่ยจึงออกคำสั่งอีกครั้ง “แจ้งให้เฟิ้งอี้เตรียมตัวเองไว้ ที่ประตูเมืองไม่ว่าเกิดอะไรก็อย่าไปแย่งกับพี่สี่ ลงมือหลังเที่ยงคืน”

“ขอรับ!” เขารับคำสั่งแล้วหันหลังจากไป

จ้องมองเรือที่อยู่ข้างหน้า ร่างที่อยู่ใต้แสงจันทร์เหมือนดั่งวิญญาณล่องลอยไม่เห็นเงา ประกายประหลาดที่เตรียมพร้อมจะลงมือในแววตายิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มที่น่ากลัวเผยอขึ้นแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา