I'm BOY : ผมนี่แหละ สตรีมีหาง [Yaoi]
เขียนโดย นนิรา
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 15.13 น.
แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 15.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 5 : แข่งบาส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 5 : แข่งบาส
ผมกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มพากันอ่านเนื้อเรื่องสำหรับแสดงละครหน้าห้อง ตัวละครสำคัญของเรื่องมีพระอภัยมณี สินสมุทร นางยักษ์ นางเงือกและฤาษี กลุ่มผมมีกันแค่สี่คนแต่ต้องใช้ตัวดำเนินเรื่องถึงหกคน รวมนางยักษ์ตอนแปลงกายเป็นมนุษย์ด้วย
“คนไม่พออ่ะ เรามีกันสี่แต่ตัวละครมีมากกว่าพวกเราอีก เอาไงอ่ะ?” ผมถามขึ้น
“ไม่เห็นจะยากเลย ก็หลัก ๆ เลยนะจะมีพระอภัยฯ สินสมุทร นางเงือกแล้วก็นางยักษ์ ถ้าใครเป็นนางยักษ์เวลาจะแปลงร่างก็คนก็เอาเขี้ยวออก แปลงกลับก็ใส่เขี้ยว ส่วนฤาษีก็วาด ๆ ใส่ร้อยปอนด์หรือแผ่นโฟมแล้วเอาไปแปะนั่งอยู่บนโขดหินเฉย ๆ ก็ได้ บทไม่ได้มีอะไรมาก นอกนั้นก็บรรยายเอา”
ทำไมผมถึงคิดแบบนี้ไม่ได้นะ
“งั้นตกลงตามนั้น พวกเรามาจับฉลากตัวละครกันเถอะจะได้ไม่ต้องแย่งกัน”
จากนั้นอลิษาก็ทำฉลากขึ้นมากแล้วม้วน ๆ ใส่ไว้ในอุ้งมือก่อนเขย่าไปมาให้มันปน ๆ กันก่อนแง้มมือออกเพื่อให้ทุกคนได้จับกัน
“กูเป็นสินสมุทร” ไอ้ตูนบอกทุกคนก่อนยื่นกระดาษที่จับได้ให้ดู
“เรานางยักษ์ วินล่ะได้ไร?”
ผมค่อย ๆ คลี่กระดาษออก ‘นางเงือก’ ทำไมผมต้องเป็นนางเงือกด้วย อยากจะร้องไห้
“ได้นางเงือก” พูดจบทุกคนก็พากันหัวเราะแล้วก็บอกกับผมว่าผมได้บทที่เหมาะสมมากถึงมากที่สุด เพราะผมสวยที่สุดแล้ว? ส่วนมานพได้บทพระอภัยมณีซึ่งเป็นพระเอกของผม
หลังจากที่ได้รับบทบาทของตัวละครแล้วครูประจำชั้นก็เข้ามาพร้อมกับบอกว่าวันนี้จะมาเลือกหัวหน้าและรองหัวหน้าห้อง
“หัวหน้าห้องผมขอเสนอมาวินครับ!” เสียงตะโกนดังข้างหูผม ไม่ใช่ใครที่ไหนที่เสนอ ไอ้มานพนั้นเอง เมื่อมีคนที่หนึ่งเปิดอลิษาก็เสนอชื่อผมตามมานพ สุดท้ายตำแหน่งหัวหน้าห้องก็ไม่พ้นผม เพราะทุกคนในห้องต่างไม่อยากรับภาระนี้ไว้
“แล้วรองหัวหน้าล่ะ คราวนี้ครูขอเป็นผู้หญิงนะ ได้จะช่วยบางเรื่องที่ผู้ชายไม่รู้ได้”
“ผมเสนออลิษาครับ!” ผมรีบยกมือเสนอชื่ออลิษาทันทีหลังจากที่ครูพูดจบ อยากเสนอชื่อผมตามไอ้นพดีนัก มาเป็นรองหัวหน้ากับผมซะดี ๆ
“ตกลงเราได้หัวหน้าและรองหัวหน้าแล้วนะ เป็นมาวินกับอลิษา” เพื่อน ๆ ในห้องต่างพากันปรบมือร้องเฮแสดงความยินดีที่พวกตนไม่ได้ถูกเลือกเป็นหนึ่งในรายชื่อ
โป๊ก!
เสียงกระดาษที่ถูกขย้ำเป็นก้อนกลม ๆ ลอยมากระแทกใส่หัวผมก่อนตกลงบนโต๊ะและผมก็มองไปยังทิศทางที่มันลอยมาก็เห็นอลิษาชี้มือไปมาพร้อมทำหน้ายู่ประกอบ ผมจึงหันกลับมาแกะก้อนกระดาษที่ถูกขยำมา
‘ไอ้เชี่ยวิน!’
นี่คือข้อความในกระดาษที่ถูกส่งมาหาผม...โห ผมคงต้องมองอลิษาใหม่แล้วแหละ ผมอ่านจบก็วางกระดาษลงบนโต๊ะก่อนหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้กับอลิษา
“วิน แกรู้ป่ะว่าทำไมที่ตรงหลังห้องติดหน้าต่างถึงว่าง”
“เออทำไม อยากรู้อยู่เหมือนกัน” จู่ ๆ มานพก็ชี้ไปยังโตํะตัวหลังห้องที่เว้นว่างไว้ ผมรู้ว่าเจ้าของโต๊ะตัวนั้นชื่ออะไร แต่ผมนึกหน้าไม่ออกจริง ๆ ที่ผมรู้ก็เพราะว่าหลังจากที่ผมได้รับตำแหน่งทรงเกียรติแล้ว ผมเลยได้ใบรายชื่อสมาชิกของห้อง ม.4/5 สมาชิกมีทั้งหมด 40 คน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง 39 คน ครูบอกว่าเพื่อนมีปัญหานิดหน่อยเลยจำเป็นจะต้องหายไปหนึ่งเทอมเต็ม ๆ
“ที่ตรงนั้นมันเป็นของไอ้โต้งผู้โด่งดังของโรงเรียนแห่งนี้ แกไม่ต้องสงสัยว่าดังยังไง มันดังในเรื่องเลวทราม แต่ที่ไม่โดนไล่ออกสักที่เพราะพ่อมันใหญ่”
ดังในเรื่องเลว ๆ ? หรือว่าจะเป็นคนที่ผมไปเจอนอนเมาอยู่แถวโรงเก็บอุปกรณ์กีฬา อาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้
“ใช่คนที่เอาเหล้าบุหรี่เข้ามาดื่ม มาสูบในโรงเรียนเปล่า? ที่โรงเรียนเกือบไฟไหม้?” ผมถามมันออกไปตามคำที่ได้ยินมาจากครูฝ่ายปกครองวันนั้น
“ใช่เลย แกรู้ได้ไงเนี่ย เรื่องมันเกิดปีที่แล้วนะ”
“พอดีได้ยินผ่านหูมาน่ะ เลยลองถามดูว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า”
“เป๊ะเลย”
“แล้วสรุปว่าตอนนี้หายไปไหน?”
“โดนพักการเรียนไปแล้ว แต่เดี๋ยวเทอมหน้าก็กลับมาเรียนตามปกติเหมือนเดิมนั่นแหละ”
หลังจากออดพักเที่ยงดังขึ้นทุกคนก็ต่างพากันตรงไปที่โรงอาหาร ซึ่งวันนี้มีสมาชิกร่วมโต๊ะเพิ่มมาหนึ่งคือ อลิษา
“กินเสร็จแล้วไปซ้อมบทใต้อาคารมะ?” อลิษาพูดพลางเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ
“ได้ งั้นไปเลยไหม?” ไอ้ตูนถามขึ้นเพราะมันอิ่มนานแล้ว
“เดี๋ยวสิ ฉันกินอยู่ ขอคำสุดท้ายแล้วไปกัน”
ผมมองซ้ายมองขวาก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะ หวังว่าพี่เมฆคงจะไม่ได้อยู่แถวนี้นะ
“มองไรเหรอวิน?”
“เปล่า ไปกันเถอะ” ผมตอบปฏิเสธคนช่างถาม ถามได้ทุกเรื่อง แต่ก็ดีนะไม่เหงาดี ถามทั้งวัน ยิ่งนั่งข้างกันอีก แต่ผมก็ตอบมันนะเป็นบางครั้งเท่านั้นที่จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่มันพูด
“ไหน ใครได้อ่านมาบ้าง เล่าย่อ ๆ มาให้ฟังหน่อย” อลิษาถามขึ้น ซึ่งคนที่ทำหน้าที่นั้นก็คือผม เพราะผมดันหาข้อมูลมาคนเดียว พวกนี้มัวแต่ทำอะไรอยู่นะถึงไม่ยอมอ่านมากัน
พวกเราทั้งสี่คนพากันนั่งขัดสมาธิพิงเสาใต้อาคารและผมก็เริ่มบรรยายเนื้อเรื่อง
‘พระอภัยฯอาศัยอยู่กับนางผีเสื้อสมุทรและมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งตน ชื่อ สินสมุทร จนสินสมุทรอายุได้ 8 ปี เมื่อเห็นบิดาหลับอยู่ก็ได้แอบไปวิ่งเล่นและไปผลักผนังถ้ำที่มารดาปิดเอาไว้ตอนออกไปหาอาหาร ด้วยพละกำลังที่มีอยู่แล้วจึงจำให้ปากถ้ำถูกเปิดออก สินสมุทรจึงได้เห็นหาดทราย ทะเลและป่าที่ไม่เคยเห็นว่าก่อน จึงตื่นตาตื่นใจแล้วหนีไปวิ่งเล่นด้วยความสนุกสนาน จากนั้นจึงไปว่ายน้ำเล่นและจับนางเงือบกลับมาให้บิดาดู เมื่อบิดาเห็นดังนั้นก็รู้ว่าบุตรของตนมีกำลังมากจึงคิดวางแผนหนีนางผีเสื้อสมุทร นางเงือกบอกหับตนว่าหากจะหนีต้องหนีไปที่เกาะแก้วพิสดารเพราะที่นั้นมีโยคีผู้มีมนตร์และนางว่ายน้ำไปถึงที่นั้นใช้เวลาถึงเจ็ดวัน หากหนีไปตอนที่นางผีเสื้อออกไปหาอาหาร นางก็จะตามทันเพราะนางมีกำลังมาก ในขณะเดียวกันเป็นจังหวะที่นางผีเสื้อสมุทรฝันไม่ดี จึงเล่าความฝันให้ผู้เป็นสามีทำนาย ฝ่ายพระอภัยฯได้โอกาสจึงบอกว่ามัจจุราชจะมาเอาชีวิต ต้องไปสะเดาะเคราะห์ที่ป่าใหญ่พร้อมกับอดข้าวอดน้ำเป็นเวลาสามวัน ฝ่ายผีเสื้อสมุทรจึงทำตามเมื่อครบกำหนดก็กลับมาที่ถ้ำด้วยความหมดแรงแต่ก็ไม่พบผู้ใดอยู่ในถ้ำจึงรู้ว่าตนถูกหลอก........จากนั้นพระอภัยจึงเป่าปี่ ในที่สุดนางผีเสื้อสมุทรก็สิ้นใจ’
“ก็จะประมาณนี้ พอจับเนื้อเรื่องกันได้อยู่นะ” ผมเล่าเสร็จก็ถามเพื่อน ๆ ในกลุ่ม แต่ก็พบว่า ไอ้ตูนมันนั่งหลับ ผมจึงถีบมันไปหนึ่งป๊าบ
“โอ๊ย ถีบกูทำไม” ไอ้ตูนที่หลับ ๆ อยู่สะดุ้งตื่นก่อนโวยวายให้ผม
“ก็หลับ เราอุตส่าห์ตั้งใจเล่าให้ฟัง” ผมกอดอกทำหน้าเซ็งและเก็บเท้าที่ยื่นออกไปเข้ามาที่เดิม
“แต่พี่ตั้งใจฟังนะ” ผมหันไปมองเสียงที่พูดข้างตัวผมก็พบพี่เมฆที่นอนเอามือเท้าคางอยู่บนพื้นกระเบื้อง มาตอนไหนวะเนี่ย?
“พี่มาได้ยังไง?”
“ก็เดินมาสิ ถามแปลกนะเราน่ะ”
“ผมรู้ พี่คงไม่คลานมาหรอก แล้วมาทำไมครับ?”
“คิดถึงเลยมาหา”
“เอาดี ๆ ครับ” ผมพูดน้ำเสียงห้วน ๆ แต่ก็ยังคงมี ‘ครับ’ ตบท้ายเผื่อให้คำพูดดูซอฟท์ลงบ้าง
ระหว่างที่ผมกับพี่เมฆคุยกันพวกเพื่อน ๆ ผมก็นั่งมองผมพูดที พี่เมฆพูดที คงดูเชิงว่าจะทะเลาะกันตอนไหน เพราะถ้าฟังจากน้ำเสียงของผมก็พร้อมเหวี่ยง
“ก็ได้ ๆ พี่ว่าจะชวนพวกเราไปดูพี่แข่งบาสตอนเย็นหลังเลิกเรียน”
“ไป ๆ พวกเราไปครับ/ค่ะ” ทุกคนขานรับพี่เมฆ จากนั้นพี่เขาเลยหันมาถามผมที่ยังไม่ตอบ “แล้วเราล่ะ?”
“ผมไม่ไป ไม่ว่าง” ผมตอบปฏิเสธไป ไม่ใช่ผมไม่ว่างเพียงแต่ผมไม่อยากไป ทำไมผมต้องไปดูพี่เมฆแข่งบาสด้วย กลับบ้านไปนอนเปิดแอร์ตีพุงไม่สบายกว่าเหรอ ตอนผมตอบออกไปอย่างนั้นพี่เมฆก็แสดงสีหน้าผิดหวังแป๊บนึงก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ
“เหรอ? งั้นไม่เป็นไร พี่ไปซ้อมก่อนนะ พี่แข่งตอนห้าโมงครึ่งนะ ที่สนามเลย” พี่เมฆหันไปบอกคนที่รับปากว่าจะไปดูก่อนกลับไปซ้อมตามเดิม
“ทำไมไม่ไป? พี่เขาอุตส่าห์มาชวนด้วยตัวเองนะเลย” มานพที่ตื่นเต้นกับการที่ได้คุยกับพี่เมฆบอกผมพลางเขย่าตัวผมไปด้วย
“เออน่า พวกแกไปกันเถอะ”
..........................................................................................................................................
ในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าสนามบาส ผมยืนถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเอง ทำไมขาผมถึงเดินมาที่นี่ได้เนี่ย ไหน ๆ ก็มาแล้วยืนดูหน่อยแล้วกัน ผมยืนเกาะรั้วนอกสนามเพราะกว่าผมจะเดินมาถึงตรงนี้ สแตนเชียร์ที่นั่งก็ถูกจับจองเต็มหมดแล้ว ผมคาดว่าคงมาจองกันตั้งแต่เลิกเรียนแน่ ๆ คนดังของโรงเรียนลงแข่งทั้งที
เมื่อทั้งสองทีมเดินลงสนามจับมือทักทายกันก็มีเสียงร้องกริ๊ดต้อนรับของผู้ชมดังกระหึ่มเหมือนมีคอนเสิร์ตระดับโลกมาจัดแสดง ทีมถูกแบ่งเป็นสีแดงและสีน้ำเงิน ทีมสีแดงคือทีมของโรงเรียนซึ่งคือทีมพี่เมฆนั่นเอง ส่วนทีมสีฟ้ามาจากอีกโรงเรียน ผมมองหาหมายเลขประจำของพี่เมฆจะได้จำง่ายขึ้นเวลาแข่งอยู่ในสนาม เสื้อที่พี่เมฆใส่คือหมายเลขเก้า
เมื่อทุกคนยืนประจำที่ในสนามแล้วเสียงนกวีดถูกเป่าเป็นสัญญาณว่าการแข่งขันได้เริ่มขึ้น ซึ่งอีกฝ่ายเป็นคนได้ลูกไปก่อนแต่ก็ถูกแย่งไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือฉกาจของพี่แฟรงค์ เลี้ยงลูกอ้อมหลังก่อนจับโยนส่งต่อไปยังพี่เสือแล้วค่อยส่งต่อไปยังผู้เล่นที่อยู่ใกล้ห่วงบาสที่สุดนั้นคือพี่เมฆ พี่เมฆจึงทำสแลมดังก์ตามคาด
1 - 0
ในที่สุดทีมของโรงเรียนเราก็ทำแต้มได้ก่อนแต่ก็ดีใจไม่นานเมื่อจู่ ๆ คะแนนก็ถูกตีเสมอและถูกอีกฝ่ายนำไปในที่สุด ถึงทีมของโรงเรียนเราจะเก่งขนาดไหนก็ยังสูสีกับทีมฝ่ายน้ำเงินของโรงเรียนนี้อยู่ดี ทีมนี้เป็นคู่ปรับตลอดกาล ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่บ่อย ๆ
22 - 25
หลังจากพักครึ่งแรกเสร็จแล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เหมือนสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีกและเวลาก็เหลือน้อยเต็มที เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดทุกคนในทีมที่คอยจับสังเกตวิธีการเล่นในแมตช์นี้เริ่มมองวิธีของฝ่ายตรงข้ามออก จึงทำให้เริ่มตีเสมอขึ้นมาได้อีกครั้ง คะแนนถูกทำโดยพี่หาญโดยการชู้ต 3 แต้ม
ผมเหลือบไปดูเวลา ซึ่งตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบหน้าวินาทีและทีมของเราต้องทำให้ได้อีกหนึ่งแต้มภายในเวลาที่เหลือจะได้ชนะขาด
ตอนนี้ลูกบาสอยู่ในมือของพี่ภีมแล้วอีกฝ่ายพยายามเข้ามาแย่งแต่พี่ภีมได้ส่งลูกต่อไปยังพี่เสือและโยนต่อไปให้พี่เมฆทันที ตอนนี้เวลาอยู่ที่ 3....2.....
“สู้ ๆ ครับพี่เมฆ” ผมเผลอตะโกนเชียร์ออกไปด้วยอาการลุ้น
ปี๊ดดดดดดดดดด เสียงเป่านกหวีดของกรรมการดังขึ้นเป็นจังหวะที่พี่เมฆชู้ตลูกลงห่วงพอดี คราวนี้ต้องมาลุ้นกันแล้วว่าลูกบาสลงห่วงก่อนหรือหลังกรรมการเป่าหมดเวลา ไม่นานกรรมการปรับป้ายคะแนนเป็น 26 - 25
เสียงกองเชียร์บนสแตนดังสนั่นและเสียงกลองถูกตีรัว ๆ ต้อนรับชัยชนะในครั้งนี้ สาว ๆ และหนุ่มที่จะเป็นสาวต่างพากันหอบหิ้วสิ่งของแสดงความยินดีติดไม้ติดมือไปให้นักกีฬาที่เพิ่งแข่งขันจบไปเมื่อครู่ ถึงแม้จะแข่งแพ้พวกหล่อนก็จะมอบสิ่งที่นำมาให้อยู่ดีเพื่อเป็นการปลอบใจ
การแข่งขันจบลงแล้ว ผมคงต้องกลับบ้านของจริงแล้วอีกอย่างคนรุมพวกพี่ ๆ เขาเต็มไปหมดผมเข้าไปแสดงความยินดีด้วยไม่ได้หรอก คงเบียดเข้าไปไม่ได้ขนาดพวกเพื่อน ๆ ที่มาดูแข่งบาสผมยังหาพวกมันไม่เจอเลย
“วิน วินนี่” ผมกำลังเดินหันหลังกลับก็ถูกคนในสนามเรียกเอาไว้ “ไหนบอกว่าจะไม่มาไง”
“พอดีผมเดินผ่านมาพอดี ก็เลยแวะดูครับ” ผมโกหกออกไป ความจริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเดินมาที่นี่ได้ คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ดี ๆ ก็โผล่มายังสนามบาสเสียแล้ว พี่เมฆทันได้คุยกับผมต่อ ผมก็พูดขึ้นมาก่อนหลังจากก้มดูนาฬิกาบอกเวลาอีกไม่กี่นาทีจะสองทุ่ม “ผมกลับก่อนนะครับพี่ เดี๋ยวถึงบ้านค่ำ”
“อ๋อ โอเค ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ บาย” พี่เมฆโบกมือลาผมก่อนเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนตามเดิม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ