เร้นรักมธุรสลวง

-

เขียนโดย Phaky

วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.20 น.

  39 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562 13.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) นักปีนป่าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 
แก๊ก!
 
เสียงเหมือนมีบางอย่างกระทบกับประตูห้องนอนด้านหลังซึ่งเชื่อมต่อกับระเบียงแว่วเข้าหู เรียกความสนใจจากลันลาดาที่กำลังนั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเตรียมตัวเข้านอนให้หันหน้ากลับไปมอง คิ้วเรียวขมวดน้อยๆก่อนหันหน้ากลับมามองกระจกตามเดิมด้วยคิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะตอนนี้ก็เวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เป็นเวลาที่แม่บ้านและคนงานต้องอยู่ในที่พักของตัวเอง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายอะไรที่บ้านใหญ่ เสียงที่ได้ยินจึงอาจเป็นพวกกิ่งไม้ใบหญ้าที่ปลิวตามลมมากระทบประตู
 
แก๊ก!
 
แต่เพราะเสียงแบบเดิมดังขึ้นอีกครั้งที่บริเวณเดียวกันราวกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ลันลาดาไม่อยากนั่งระแวงให้สมองคิดฟุ้งซ่านจึงตัดสินใจวางหวีไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วลุกเดินไปยังระเบียงหลังห้อง ในใจปลอบตัวเองว่าคงเป็นแค่เศษกิ่งไม้ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว แต่ฝ่าเท้าบอบบางกลับลงน้ำหนักสัมผัสพื้นแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้อะไรบางอย่างตรงระเบียงหลังห้องรู้ตัวก่อนที่หญิงสาวจะจับได้ ในขณะที่สองเท้าก้าวเข้าไปใกล้ หัวใจดวงน้อยก็หวิวไหวตุ้มๆต่อมๆ ลำคอเหยียดยืดเพื่อชะเง้อมองหาสิ่งผิดปกติ
 
บานประตูค่อยๆแง้มออกพอให้ลอดศีรษะออกไปสังเกตตรงระเบียง ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังพื้นที่ว่างโล่งของพื้นที่ระเบียงห้อง มองกวาดซ้ายไปขวา ย้อนกลับจากฝั่งขวาไปทางซ้ายซ้ำอีกรอบ เสียงลมหายใจทอดถอนยืดยาวด้วยความโล่งอกเมื่อไม่เห็นคนงานหรือมนุษย์แปลกหน้าอย่างที่นึกกลัว ร่างบางที่ถูกห่อด้วยชุดคลุมแน่นหนาหมุนร่างเตรียมตัวกลับเข้าไปในห้องนอน ตั้งใจว่าจะสวดมนต์อย่างที่เคยปฏิบัติ ทว่ายังไม่ทันที่มือบางจะได้ดึงประตูกลับคืน ระหว่างคิดอะไรเพลินๆกลับมีเสียงที่คุ้นเคยดังแทรกจนไหล่บางสะดุ้งโหยง
 
“จ๊ะเอ๋!”
 
“อุ้ย!”
 
ลันลาดาหันขวับไปมองทางด้านหลังตามทิศทางของเสียง ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นมือหนาคู่ที่ชอบลูบไล้ผิวแก้มของเธอเกาะอยู่กับราวระเบียง ร่างบางรีบพุ่งตัวไปหาก่อนที่มือบางยกมือทาบอกเมื่อเห็นร่างสูงของคมพัชญ์ทรงตัวอยู่กับบันไดเหล็กที่พาดไว้กับระเบียงหลังห้องของเธอดูน่าหวาดเสียว และเมื่อชายหนุ่มขยับขึ้นบันไดมาอีกขั้นจนใบหน้าของเขากับเธอเสมอกัน ลันลาดาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในความพิเรนทร์ของลูกชายเจ้าของไร่
 
“พี่คม! เล่นอะไรแบบนี้คะ มันอันตราย!”
 
ความกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ลันลาดาจึงรีบใช้สองมือช่วยจับมือหนาของคมพัชญ์ไว้ป้องกันชายหนุ่มร่วงลงสู่พื้นด้านล่าง ก่อนที่เจ้าของร่างเล็กจะรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีส่งต่อไปที่มือด้วยหวังว่าจะดึงร่างสูงให้ขึ้นมายืนอยู่บนระเบียง มันเป็นเรื่องที่คิดได้ง่ายแต่ทำยากมากเพราะเรี่ยวแรงของลันลาดานั้นน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับขนาดร่างกายของคมพัชญ์ ทว่าหญิงสาวก็ไม่ย่อท้อพยายามออกแรงดึงจนเหงื่อใสซึมกรอบใบหน้า แต่คมพัชญ์กลับทำให้ทุกอย่างเสียแรงเปล่า เพราะนอกจากจะไม่ยอมขยับตัว ชายหนุ่มยังพลิกข้อมือแล้วเป็นฝ่ายพันธนาการมือน้อยไว้ในอุ้งมือหนาก่อนหงายฝ่ามือนุ่มนิ่มขึ้นมาจูบ ซ้ำยังทำมึนด้วยการถามเรื่องอื่นหน้าตาเฉย
 
“มือเย็นเชียว เพิ่งอาบน้ำมาเหรอ”
 
“พี่คม รีบขึ้นมาเถอะค่ะ ยืนอยู่แบบนี้มันอันตราย”
 
คนออกแรงดึงก็หน้าซีดเผือดเป็นห่วงใจจะขาด ส่วนคนที่ยืนอยู่บนบันไดก็ไม่ได้อนาทรต่อความร้อนอกร้อนใจของลันลาดาเลย แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเวลาผ่าน รอยยิ้มของคมพัชญ์ก็ยิ่งฉีกกว้าง พร้อมความเจ้าเล่ห์ในดวงตาที่ฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ
 
“หอมแก้มพี่ก่อนสิ ไม่งั้นพี่จะยืนตากลมมันอยู่แบบนี้แหละ เมื่อยมากๆก็คงกลิ้งตกลงไปเอง”
 
“พี่คม อย่าแกล้งลาดาสิคะ”
 
จริงอยู่ว่าคมพัชญ์รุกรานแก้มนุ่มด้วยปลายจมูกโด่งและสองแขนล่ำก็ฉวยโอกาสโอบกอดร่างเนียนเป็นว่าเล่น แต่ทุกครั้งเป็นคนรอบจัดที่ใช้ความเจ้าเล่ห์ฉกฉวยโอกาส ทว่าครั้งนี้คมพัชญ์กลับร้องขอแกมสั่งให้ลันลาดาเป็นฝ่ายปฏิบัติด้วยการใช้ความปลอดภัยของตัวเองเป็นข้อต่อรอง คนเจ้าเล่ห์กระหยิ่มยิ้มด้วยรู้ว่าอย่างไรตัวเองก็ได้รับในสิ่งที่ต้องการเพราะดวงตาของลันลาดาที่มองสบตาดวงตาคู่คมสลับกับชะโงกหน้ามองพื้นเบื้องล่างนั้นเป็นกังวลชัดเจน
 
จุ๊บ!
 
“ชื่นใจจริง”
 
หากคมพัชญ์ปล่อยให้ตัวเองตกลงไปจนเจ็บตัวจริงๆก็คงไม่ใช่ความผิดของลันลาดาเลยสักนิด แต่กระนั้นหญิงสาวที่ถูกนำความรู้สึกมาเป็นเครื่องต่อรองกลับไม่สามารถทำใจแข็งได้เมื่อคมพัชญ์แกล้งขยับตัวเอนออกห่างจากราวระเบียงเพื่อกระตุ้นคนตัวเล็ก ไวกว่าความคิดคือสองมือนุ่มของลันลาดาที่รีบตะครุบไหล่หนาเข้าหาตัว จากนั้นริมฝีปากสีสดก็กดจูบลงบนแก้มสากที่เต็มไปด้วยหนวดเคราแข็งกระด้าง ก่อนตวัดแขนกอดรัดร่างหนาไว้กับตัว ป้องกันไม่ให้คมพัชญ์พลาดตกลงไป
 
‘โถ! เด็กน้อยของพี่ แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็บ่อน้ำตาแตก’
 
คมพัชญ์เลิกแกล้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความสั่นของเรียวแขนที่กอดเขาไว้ ความสูงจากชั้นสองตกลงไปไม่ตายแต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากเสี่ยงให้ตัวเองต้องบาดเจ็บหรือพิการก่อนได้เมียแสนสวยมานอนกอด คนตัวโตจึงดันร่างเล็กของลันลาดาถอยเข้าไปให้พ้นเขตอันตราย ก่อนไต่บันไดขึ้นมาจนสุดแล้วกระโดดข้ามราวระเบียงขึ้นมายืนบนพื้นห้อง คนขี้แกล้งมองสบตากับลันลาดา ดวงตากลมของหญิงสาวที่มองมาจะว่าขุ่นเคืองก็ไม่ใช่ หรือหากจะตัดพ้อก็ไม่เชิงนัก เดาว่าคนตัวเล็กคงกำลังตกใจก็เลยทำหน้าเหมือนเด็กน้อยถูกกลั่นแกล้งจนอยากจะร้องไห้
 
“ลาดา ตกใจเหรอ โอ๋ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะคนดีของพี่”
 
เมื่อเห็นเด็กร้องไห้ แถมเด็กขี้แยตรงหน้ายังน่ารักสุดใจขาดดิ้นขนาดนี้ ผู้ใหญ่แสนดีอย่างคมพัชญ์จึงจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องดึงร่างเล็กเข้ามากอดปลอบ กอดแนบกอดแน่น กอดจนไร้ช่องว่างให้อากาศแทรกผ่าน มือหนากดศีรษะเล็กซุกอกแข็งกระด้างจนร่างนุ่มนิ่มของลันลาดาจมหายไปในอ้อมอกกว้างพลางโยกตัวช้าๆปลอบขวัญหญิงสาวในอ้อมแขน
 
“พี่คม อย่าเล่นแบบนี้อีกนะคะ ถ้าตกลงไปจะทำยังไง”
 
นานหลายนาทีกว่าที่คมพัชญ์จะยอมปล่อยมือที่กดศีรษะเล็กบังคับให้ใบหน้าหวานของลันลาดาผละห่างจากอกแกร่ง แต่อ้อมแขนล่ำยังคงโอบเอวเล็กไว้หลวมๆ ซึ่งพอได้รับอิสระ ลันลาดาก็รีบเงยหน้าขึ้นร้องขอ เป็นธรรมดาสำหรับสาวน้อยที่ถูกเลี้ยงให้เป็นกุลสตรีมาตลอดจึงไม่ถนัดกับเรื่องผาดโผน แม้แต่การปีนป่ายต้นไม้เล่นซุกซนตามประสาเด็กน้อยก็ยังไม่เคยทำ การปีนบันไดลักลอบเข้าหาสาวของคมพัชญ์ครั้งนี้จึงถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับลันลาดายิ่งนัก
 
“พี่ก็เจ็บไงจ๊ะ”
 
คนดุหน้าหวานจ๋อยแถมเสียงเพราะขนาดนี้มีหรือที่คมพัชญ์จะกลัว นอกจากจะไม่มีทีท่าสลด ชายหนุ่มยังแกล้งบีบจมูกโด่ง ซ้ำยังจงใจยิ้มหวานล้อเลียนใส่ตาลันลาดาไปอีกที ทำเอาคนขี้กังวลอดงอนไม่ได้
 
“พี่คม! ลาดาจริงจังนะคะ”
 
“โอ๋ๆ เด็กน้อย แค่ปีนบันไดเองครับ พี่ไม่เป็นอะไรหรอก”
 
คมพัชญ์เกือบหลุดปากไปแล้วเชียวว่าช่วงชีวิตสามสิบสองปีที่รอดมายืนทำตาหวานเยิ้มใส่คนขี้กังวลตอนนี้ผ่านเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตสาหัสสากรรจ์มานับไม่ถ้วน ทั้งท้าชกกับคู่อริตอนเรียนมหา’ลัยจนหน้าตาแตก ทั้งฟัดกับคนงานขี้เมาในไร่แล้วถูกมันเล่นทีเผลอใช้มีดพกปักชายโครงจนเลือดท่วม หรือกระทั่งดวลความแม่นด้วยปืนกับพวกกุ๊ยสถุลที่หมั่นไส้เขาตอนได้สาวสวยในสถานบันเทิงไปต่อกันข้างนอก ถ้าเทียบกับความเสี่ยงอีกมากมายที่เอาตัวรอดมาได้ กะอีแค่ปีนบันไดจึงไม่นับรวมเป็นเรื่องอันตรายเลยสักนิด แต่พออ้าปากจะเล่าแล้วเจอสายตาตื่นตระหนกของว่าที่ภรรยา คมพัชญ์ก็รีบหุบปากฉับและตั้งปณิธานว่าจะไม่แพร่งพรายให้ลันลาดารู้วีรกรรมเสี่ยงตายที่ผ่านมาเป็นอันขาด
 
“แล้วทำไมต้องปีนให้เสี่ยงเจ็บตัวด้วยล่ะคะ”
 
“ปีนบันไดน่ะแค่เสี่ยง แต่ถ้าเข้าทางประตู อารันต์กับพ่อตีพี่เลือดหัวอาบแน่”
 
“พี่คมมีธุระสำคัญจะพูดกับลาดาเหรอคะ”
 
‘เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา’
 
คมพัชญ์มองใบหน้าหวานที่เอียงคอมองมาที่เขาตาแป๋วดูน่ารักจนต้องกระชับอ้อมแขนรัดร่างเล็กให้แน่นขึ้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วยิ้มขำกับดวงดาวบนนั้น ก็ทำขนาดนี้ พูดอ่อยมาขนาดนี้ลันลาดาก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อ ไม่รู้แม่คุณจะซื่อไปถึงไหนถึงไม่เข้าใจเสียทีว่าผู้ชายปีนห้องเข้าหาสาวแบบนี้คิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นป่านนี้คงลากกันเข้าไปกินตับในห้องนอนเรียบร้อย แต่ก็นะ เพราะความอ่อนเดียงสานี่ไม่ใช่หรือที่ทำให้เสือร้ายอย่างเขาติดบ่วงความน่ารักของหญิงสาวจนดิ้นไม่หลุด
 
“ครับ สำคัญมากด้วย”
 
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
 
“คิดถึง”
 
คำตอบที่ไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะได้ยินทำให้คนตั้งใจรอฟังธุระของคมพัชญ์ยืนตัวแข็งทื่อ มีเพียงดวงตากลมแป๋วเท่านั้นที่ยังกะพริบปริบๆมองมาให้รู้ว่าลันลาดายังมีชีวิตอยู่ แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้นผิวแก้มขาวนวลก็ค่อยๆซับสีเลือดจนแดงก่ำไปทั้งหน้า ดวงตาที่เคยจ้องมองคมพัชญ์ก็รีบหลุบมองลงต่ำ ขัดเขินเหลือเกินกับคำบอกเล่าสั้นๆแต่ความหมายของมันกลับเขย่าหัวใจดวงน้อยให้เต้นโครมคราม
 
“พี่คม แกล้งลาดาอีกแล้วนะคะ”
 
ที่อกข้างซ้ายคล้ายกำลังเกิดแผ่นดินไหว มันเก้อมันเขินไปหมดจนคิดอ่านอะไรไม่ถูก แม้แต่จะผินแก้มหนีปลายจมูกโด่งที่โน้มลงมาสูดดมกลิ่นหอมของสองแก้มนุ่มยังสั่งตัวเองไม่ได้ ลันลาดาจึงหาทางออกให้ตัวเองรอดพ้นจากช่วงเวลาหวั่นไหวได้เพียงป้ายสีให้คมพัชญ์เป็นคนใจร้ายช่างแกล้งเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น
 
“พี่พูดจริง”
 
ไม่แปลกที่ลันลาดาจะไม่เชื่อ เพราะแม้แต่คมพัชญ์เองยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็นเอามากถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตั้งแต่เช้าหลังรับประทานอาหารเสร็จ ลันลาดาก็ถูกเขาลากติดตัวไปด้วยตลอด จะมีก็แค่ช่วงตะวันตกดินที่เขาต้องเข้าไปทำธุระในตัวเมืองจึงจำเป็นต้องพาคนตัวเล็กไปส่งบ้านและพลาดรับประทานอาหารเย็นแกล้มหน้าหวานๆของลันลาดา พอกลับมาถึงก็เจอแค่หน้ากวนๆของกวินพลที่รีบรายงานกึ่งเยาะเย้ยว่าลันลาดาขึ้นนอนไปแล้ว พอรู้ว่าในคืนนี้จะไม่ได้เห็นแก้มแดงๆกับตากลมๆของลันลาดาเป็นแน่ เขาก็คล้ายคนลงแดง จะนอนจะนั่งก็ไม่เป็นสุขจนต้องทำตัวเยี่ยงมหาโจรปีนป่ายขึ้นมาขอมองหน้าหวานๆของว่าที่เมียให้ชื่นใจก่อนนอน
 
“พี่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ไอ้วินบอกว่าพ่อกำลังคุยกับอารันต์อยู่ในห้องทำงาน ลาดารู้ใช่ไหมว่าท่านกำลังคุยกันเรื่องอะไร”
 
ดวงตาเอียงอาย กอปรกับผิวแก้มแดงๆบนใบหน้าหวานที่ถูกปลายมือหนาดันให้แหงนเงยขึ้นสบตานั้นเป็นคำตอบชัดเจนว่าลันลาดาเองก็รู้เหมือนที่เขารู้ว่าพ่อเลี้ยงนภัทรกำลังเจรจาทาบทามขอหมั้นหญิงสาวมาเป็นว่าที่สะใภ้เล็กของไร่บารมีเสียดฟ้า หลังจากที่เมื่อคืนถูกเขากระตุ้น วันนี้คนดีใจที่จะมีลูกสะใภ้ก็เลยรีบดำเนินการให้ทันที ที่ต้องรีบไม่ใช่ว่าพ่อเลี้ยงนภัทรกลัวเขาเปลี่ยนใจ แต่คุณพ่อสุดที่รักน่าจะกลัวลูกชายตัวแสบแอบฉุดลันลาดามาทำเมียก่อนได้จัดงานหากผู้ใหญ่ชักช้าเสียมากกว่า
 
“พี่อยากให้ลาดาอยู่ที่นี่ต่อ อยู่กับพี่นะ”
 
คำขอของคมพัชญ์ได้รับการตอบรับเป็นการพยักหน้าแทนคำพูดนั่นเพราะเวลานี้ลันลาดาเขินจัดจนริมฝีปากสั่นระริกไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำ แต่ถึงพูดเป็นคำได้ก็คงไม่กล้าอยู่ดี เพราะการตอบรับก็ไม่ต่างจากการป่าวประกาศให้คมพัชญ์และคนอื่นๆได้ทราบความรู้สึกภายในใจ เป็นเรื่องน่าอายมิใช่น้อยสำหรับลูกผู้หญิงที่ถูกพร่ำสอนให้เป็นกุลสตรี แต่แค่นั้นก็มากเกินแล้วสำหรับคนรอฟังคำตอบ คมพัชญ์กระชับอ้อมแขนรัดร่างเล็กเข้ามากอดแนบแน่น หากสามารถทำได้ ชายหนุ่มแทบไม่อยากปล่อยร่างนี้ให้ห่างกายเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากเชื่อนักว่านี่คือความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะเมื่อลองปล่อยลันลาดาให้เป็นอิสระแค่เพียงเสี้ยววินาที อ้อมแขนที่ว่างเปล่าก็รู้สึกโหยหาจนต้องดึงร่างบางเข้ามาชิดอกอีกครั้ง
 
บางครั้งช่วงเวลาที่ดีไม่จำเป็นต้องมีคำพูด เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ที่คมพัชญ์กับลันลาดาเลือกจะยืนกอดกันอยู่เงียบๆ แต่ทั้งสองกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายนั่นเพราะคมพัชญ์กับลันลาดากำลังใช้หัวใจคุยกัน เวลาเลยผ่านไปนับสิบนาทีกว่าจะเป็นคมพัชญ์ที่เอ่ยทำลายความเงียบ 
 
“หน้าผากลาดากับปากพี่ อยู่พอดีกันเลย”
 
และสาเหตุที่ทำให้คมพัชญ์ยอมทิ้งบรรยากาศแสนหวานนั่นก็เพราะชายหนุ่มรู้สึกอยากลวนลามผิวเนื้อหอมๆของสตรีในอ้อมแขนซึ่งแน่นอนว่าหวานหยดย้อยกว่าบรรยากาศชวนฝันนี่เป็นไหนๆ และหน้าผากเกลี้ยเกลาเป็นสิ่งแรกที่ชายหนุ่มเริ่มรุกราน ทันทีที่คมพัชญ์พูดจบ ลันลาดาก็เงยหน้าขึ้นมองคนพูดตามสัญชาตญาณ คมพัชญ์จึงฉวยโอกาสนั้นกดริมฝีปากลงจุมพิตหน้าผากเนียนไปเต็มรักเสียงดังจุ๊บ
 
“อ้อมแขนของพี่ก็กอดลาดาได้ทั้งตัวพอดีเลยเหมือนกัน”
 
‘สิบปากว่าหรือจะสู้สัมผัสเอง’
 
เพื่อให้ลันลาดาเห็นภาพชัดเจน ทุกคำพูดจึงต้องมีการสาธิตประกอบ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจุมพิตหน้าผากเนียนจนใบหน้าหวานแดงก่ำจนไม่สามารถแดงได้มากไปกว่านี้ อ้อมแขนแข็งแรงก็กระชับร่างเล็กที่แนบชิดกันอยู่แล้วให้ชิดจนแทบเป็นร่างเดียวกัน แม้จะอึดอัดจนคล้ายจะหายใจไม่ออกแต่ลันลาดาก็ยินดี ขอแค่เจ้าของแขนที่กอดเธอไว้คู่นี้เป็นของคมพัชญ์คนเดียวก็พอ
 
“ลาดาว่าแปลกไหม ที่เราสองคน...ช่างพอดีกัน”
 
จูบก็แล้ว กอดก็แล้ว แต่ลันลาดาก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา คมพัชญ์จึงถามหยั่งเชิงหลังจากพูดอ่อยจนเหนื่อย แต่ก็ดูเหมือนจะเหนื่อยเปล่า เพราะเท่าที่ดูจากแววตากลมแป๋วที่เงยขึ้นมองมาคล้ายจะถามว่า...มันแปลกยังไงไหนเหรอคะ? ทำให้คมพัชญ์ต้องรีบเฉลย ไม่งั้นอ่อยยันเช้า ลันลาดาก็คงจะยังไม่เข้าใจ
 
“พี่หมายถึง ลาดาเกิดมาเพื่อเป็นของพี่” คนเดียวเท่านั้น!
 
ขี้ตู่และเข้าข้างตัวเองที่สุดในสามโลกเวลานี้คงไม่มีใครเกินคมพัชญ์ ที่นอกจากจะแอบดอดขึ้นมาหาลันลาดา แล้วยังทำกร่าง รวบรัดทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหญิงสาวหน้าตาเฉยโดยที่พ่อเขาตกปากรับคำยอมยกให้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง เพราะคนถูกตู่เป็นสมบัติส่วนตัวของชายหนุ่มก็หาได้โวยวายหรือมีทีท่าไม่พอใจสักนิดให้เห็น กลับตรงข้ามเสียด้วย เมื่อถูกคนที่ต้องใจแสดงความเป็นเจ้าของ แก้มของลันลาดาก็พองขึ้นจนดูคล้ายจะปริ อาการยิ้มแก้มแตกมันเป็นเช่นนี้นี่เอง
 
“พี่จะให้พ่อหมั้นลาดาไว้แล้วอยู่กับพี่ที่นี่ก่อน ให้เราได้เรียนรู้กันอีกนิด แล้วค่อยแต่งงานกัน ตกลงนะ”
 
ไม่ใช่ตัวชายหนุ่มที่ยังไม่มั่นใจ ใจจริงคมพัชญ์ก็อยากให้บิดาจัดงานแต่งวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำเพราะมั่นใจว่าผู้หญิงในอ้อมแขนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อเป็นคู่ชีวิตของเขา แต่ก็ติดที่ตัวเขาเอง คมพัชญ์รู้ตัวว่าตัวเองมีนิสัยด้านมืดที่ผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนโยนอย่างลันลาดาอาจทำใจรับไม่ได้ ชายหนุ่มจึงอยากให้ลันลาดาใช้ชีวิตอยู่กับเขาที่ไร่ไปก่อน เพื่อให้หญิงสาวซึมซับและเข้าใจเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมบางครั้งเขาจึงต้องเลือดเย็น
 
“ถ้าพี่คมอยากให้อยู่ ลาดาก็จะอยู่กับพี่คมที่นี่ ไม่ไปไหนค่ะ”
 
หวานกว่าบรรยากาศระหว่างสองหนุ่มสาวที่มีหัวใจตรงกันก็น้ำตาลแล้วล่ะ
 
คำตอบเสียงใสจากเจ้าของหน้าหวานทำให้คมพัชญ์ยิ้มออก ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนที่คมพัชญ์จะก้มหน้าลงแล้วขยี้หน้าผากของตัวเองกับหน้าผากเนียนเกลี้ยงเกลาพลางโอบกระชับร่างเล็กที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้หญิงของเขาชิดอกอุ่น แฝดน้องคิดถึงบิดาที่กำลังเจรจากับคุณการันต์อยู่ในห้องทำงานแล้วภาวนาให้คำตอบออกมาอย่างที่ต้องการ แต่ถึงคุณการันต์จะปฏิเสธ อย่างไรซะคมพัชญ์ก็จะไม่มีทางยอมปล่อย เพราะชายหนุ่มได้ตีตราจองลันลาดาไว้เป็นของตัวเองตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้สบตากับหญิงสาวที่งานศพเพื่อนบิดาโน่นแล้ว คนหวงของแอบมาดหมายอยู่ในใจเงียบๆ
 
หากคุณการันต์หวงมาก เขาจะฉุด! หากมีใครคิดแย่ง เขาเอามันตาย!
 
*****************************************

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา