สาบสมิง

-

เขียนโดย ลูกคนเดียว

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.

  30 ตอน
  3 วิจารณ์
  26.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่สาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                 เที่ยงกว่าจอมขวัญจึงเดินอย่างอ่อนเพลียมาที่โต๊ะอาหาร บิดาและพี่ชายของหล่อนนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะแววตาของพี่ชายนั้นเต็มไปด้วยความกังวล เขาถามขึ้นทันทีที่หล่อนนั่งเรียบร้อย
                “เป็นยังไงบ้างยัยขวัญ”
                หญิงสาวยิ้มเซียว
                “ดีขึ้นแล้วพี่ภพ ไม่มีอะไรหรอก”
                พูดจบก็ปิดปากหาว เมื่อคืนในความรู้สึกของจอมขวัญเหมือนจะไม่ได้นอนหลับสนิทเลย หล่อนฝันร้ายเกือบตลอดทั้งคืน ความฝันที่บางครั้งที่ดูเหมือนจริงจนน่าขนลุก เจ้าปิศาจตนนั้น เสียงหัวเราะอย่างลำพองใจยังคงก้องอยู่ในหู จนเกือบย่ำรุ่งนั่นแหละบุตรสาวคนเล็กจึงพอจะหลับลงได้บ้าง
                “พ่อ เมื่อคืนโรคเก่าขวัญกำเริบอีกแล้วใช่มั้ย”
                จอมพลผงกหัว
                “แต่โรคนั้นมันหายไปเกือบหกเดือนแล้ว”
                “ก็ช่วงนี้ขวัญทำงานหนักไงลูก พอขวัญพักผ่อนน้อย โรคมันถึงกลับมา วันนี้พ่อว่าขวัญควรจะพักผ่อนให้มากเข้าไว้นะลูก”
                หญิงสาวไม่ได้ตอบคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
                “กินข้าวกันเถอะ” ผู้เป็นบิดาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ทั้งหมดจึงเริ่มรับประทานอาหาร กับข้าวเป็นแบบง่ายๆ มีแกงจืดเต้าหู้หมูสับใส่ใบตำลึงควันลอยกรุ่น ไข่เจียวสีเหลืองนวลสวยงาม ผัดพริกแกงหมูกรอบสีจัดจ้าน และผัดผักรวมตัดเลี่ยน จอมขวัญกินข้าวได้น้อยกว่าปกติ ผิดกับจอมภพที่กินไม่หยุดจนกระทั่งจอมพลทักขึ้น
                “ไปหิวมาจากไหนตาภพ”
                “ก็คนมันหิวนะพ่อ ผมเพิ่งกลับจากไร่ก็ต้องหิวเป็นธรรมดา”
                “เมื่อเช้าหัวหน้ากัมปนาทมาหาฉัน”
                ชายหนุ่มชะงัก เหลือบมองสายตาเยือกเย็นของบิดา
                “มาทำไม”
                “ก็เมื่อคืนแกทำอะไรไว้ล่ะ”
                “โธ่พ่อ ก็หมูป่ามันจะลงไร่เรา ผมก็ต้องป้องกัน”
                “ด้วยการยิงมันทิ้ง แล้วกินเนื้อมันแทน”
                จอมพลหัวเราะหึ
                “ในที่สุดแกก็ยอมรับแล้วสินะ”
                ชายหนุ่มยักไหล่
                “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายนะพ่อ”
                “ก็ใช่ แต่แกทำให้หัวหน้ากัมปนาทเพ่งเล็ง ต่อไปถ้าแกทำความผิดขึ้นมา เขาก็คงจะไม่เอาแกไว้”
                “ผมไม่เคยกลัวอยู่แล้ว ก็เราไม่ได้ทำผิด”
                จอมพลส่ายหน้าอย่างระอา มองเห็นเงาของตัวเองในวัยรุ่นอยู่ในตัวลูกชายคนโต
                “ดีแล้วที่แกไม่ได้ทำผิด เพราะถ้าแกทำผิด ฉันก็ไม่ช่วยแก ปล่อยให้หัวหน้าจัดการแกตามกฎหมาย แล้วอีกอย่าง เลิกซะทีเถอะเรื่องล้างผลาญชีวิตคนอื่นเนี่ย เราไม่ได้อดอยากถึงขนาดต้องล่าสัตว์มากิน”
                “ผมแค่ป้องกันไร่เรานะพ่อ ไม่จำเป็นก็ไม่อยากทำหรอกครับ” แล้วเขาก็ทำทีเป็นเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “จะบ่ายแล้ว ผมไปก่อนนะพ่อ นัดชัชวาลตรวจไร่ไว้นะครับ”
                “ตรวจไร่หรือทำอะไร แกสองคนนี่เข้าขากันดีจริงนะ”
                จอมภพเพียงหัวเราะแล้วบอกลาบิดากับน้องสาว เดินออกจากห้องไป หญิงสาวก็รวบช้อน
                “อิ่มแล้วเหรอลูก”
                “ค่ะพ่อ ขวัญกินไม่ลง”
                “งั้นขวัญกลับไปพักผ่อนนะลูก จะได้ดีขึ้น”
                “ค่ะพ่อ แต่ขวัญขอออกไปเดินเล่นก่อนนะคะ ขวัญอยู่ในห้องแล้วอึดอัด”
                “ได้สิ เดี๋ยวพ่อให้ป้านวลไปเป็นเพื่อนนะ”
                “ค่ะพ่อ” 
 
                ศาลาหกเหลี่ยมขนาดกะทัดรัดทำจากไม้สักทั้งหลังตั้งเด่นอยู่ในร่มเงาของจามจุรีใหญ่ ลำธารสายเล็ก ความลึกระดับครึ่งลำตัวของผู้ชายร่างสูงไหลเอื่อย จอมขวัญนั่งมองผิวน้ำใสดั่งกระจก บางคราก็มองเลยผ่านไปยังกอไผ่ซึ่งเสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าด หญิงสาวเผลอถอนหายใจจนผู้มีวัยมากกว่าที่นั่งอยู่ทางเบื้องหลังมองอย่างเป็นห่วง
                “เป็นอะไรไปคะคุณขวัญ”   
                “ขวัญป่วยอีกแล้วป้านวล โรคเก่า ไม่รู้เมื่อไหร่จะหายขาดซะที”
                “คุณขวัญต้องอดทน แล้วก็พักผ่อนให้เยอะๆนะคะ ป้าเชื่อว่าอีกไม่นานคุณขวัญต้องหายอย่างแน่นอน”
                “ช่างมันเถอะป้านวล ขวัญไม่อยากที่จะไปสนใจมันแล้ว”
                หญิงสูงวัยได้แต่ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นอาการท้อแท้ของหญิงสาว
                “คุณขวัญเคยฟังตำนานของอำเภอนี้หรือเปล่า”
                ป้านวลพูดขึ้นหวังจะเบี่ยงเบนไม่ให้หล่อนรู้สึกไม่ดีหลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ หญิงสูงวัยซึ่งเปรียบเสมือนมารดาคนที่สองรู้ดีว่าจอมขวัญเป็นนักอ่านรวมถึงนักฟังตัวยง หล่อนชอบเรื่องปรัมปรา นิทาน หรือตำนานต่างๆ และก็ได้ผล จอมขวัญหันมามองป้านวลด้วยสายตาสงสัย
                “ตำนานของที่นี่”
                “ใช่ค่ะ ยังไม่มีใครเล่าให้คุณขวัญฟังละสิ”
                จอมขวัญส่ายหัว
                “เขาเล่าต่อๆกันมาว่าเดิมที่ป่าสักแห่งในบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของนครโบราณมาก่อน”
                “นครโบราณ”
                “ใช่ค่ะ”
                แล้วป้านวลก็เริ่มเล่าตำนานที่สืบทอดกันต่อๆมาเนิ่นนาน แม้ว่าในปัจจุบันจะเหลือคนที่รู้อยู่น้อยเต็มที หญิงสูงอายุเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
                “นครแห่งนั้นชื่อว่า สุวรรณนคร ว่ากันว่าอิฐทุกก้อนที่นำมาสร้างพระราชวังล้วนทำมาจากทองคำ ผู้คนในนครแห่งนั้นอยู่กันอย่างสงบสุข เพียงแต่พวกเขากักขังตัวเองอยู่ภายในอาณาจักรเท่านั้น ไม่ได้ติดต่อกับอาณาจักรอื่นเลย ชาวสุวรรณนครรู้ดีว่าคนอื่นอยากได้ทองคำของพวกเขามากแค่ไหน แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องแปลกประหลาด เกิดฝนตกติดต่อกันสิบห้าวัน หลังจากนั้นเกิดแผ่นดินม้วนตลบเอามหานครทองคำสู่ใต้แผ่นพิภพ นครโบราณอันยิ่งใหญ่จึงสูญหายไปตลอดโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุของอาเพสครั้งนั้น แต่โชคยังดีที่หลงเหลือชาวสุวรรณนครบางส่วนซึ่งออกมาล่าสัตว์อยู่นอกอาณาจักร พวกเขาหลบภัยบนเขาสูงจึงมองเห็นจุดจบของนครนั้นได้ หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาจึงอพยพเคลื่อนย้ายลงมาตั้งรกรากอยู่บริเวณนี้”
                “แล้วทำไมที่นี่ถึงเรียกว่าหนองเสือร้องคะ”
                ป้านวลยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเล่าต่อ
                “ชาวสุวรรณนครลงหลักปักฐาน เริ่มก่อสร้างบ้านเมือง ในระยะแรกพวกเขาต้องสู้กับสัตว์ร้ายและความเจ็บป่วยต่างๆ แต่พอหลายปีผ่านไป ผู้คนเริ่มอพยพมาตั้งถิ่นฐานจนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ วันหนึ่งนายบ้านซึ่งเป็นชาวสุวรรณนครออกไปล่าสัตว์ จนกระทั่งถึงริมหนองน้ำขนาดใหญ่ นายบ้านคนนั้นพบเจอกับเสือลักษณะประหลาดยืนเด่นบนก้อนหินริมบึงน้ำ เสือนั้นใหญ่กว่าเสือปกติถึงสามเท่าตัว สีของตัวเป็นสีทองเหลืองอร่าม ทันทีที่มองเห็นนายบ้านหวนนึกถึงรูปปั้นเสือใจกลางสุวรรณนคร ลักษณะของเสือทั้งสองเหมือนกันราวกับแกะ ก่อนที่นายบ้านจะทำอะไรลงไป เสือตัวนั้นก็คำรามขึ้นสามครั้งด้วยเสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่า ดังจนนายบ้านหงายหลังลงนอนแล้วหมอบกราบอยู่บนพื้นดิน พอแกได้สติเงยหน้าขึ้นมาอีกที เสือตัวนั้นก็หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงรอยเท้ายืนยันถึงการมีอยู่ของเสือยักษ์ หลังจากนั้นนายบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่าหนองเสือร้อง”
                “จริงเหรอคะ”
                “ป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในสมัยก่อน บางครั้งพวกพรานที่เข้าไปล่าสัตว์มักจะพบเจออะไรแปลกๆ”
                “เช่น”
                “เช่นบางครั้งพบเจอกับคนกลุ่มใหญ่แต่งตัวโบราณ หรือบางครั้งอยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นปราสาทราชวังทำจากทองคำ หรือแม้กระทั่งพอเจอขุมทรัพย์หลายอย่างทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำมาจากทองคำ”
                “ยังงี้คนไม่แย่งกันหาสมบัติเหรอคะ”
                “ตอนที่ป้ายังเด็ก มีคนหวังรวยทางลัดเดินหายเข้าป่ากันมากมาย แต่แทบไม่มีใครได้กลับออกมาอีกเลย พวกที่ออกมาได้ก็กลายเป็นพวกสติไม่สมประกอบ วันๆพูดถึงแต่ผีปิศาจเฝ้าสมบัติ หลังจากนั้นไม่นานก็มีอาถรรพ์เกิดขึ้นในอำเภอ มีผู้คนตายติดต่อกันถึงสิบห้าคนโดยไม่รู้ใครรู้สาเหตุ หมอที่ตรวจก็บอกแค่เพียงว่าหัวใจล้มเหลว ทุกคนที่ตายเป็นญาตพี่น้องของพวกที่ค้นหาสมบัติ เหตุการณ์นั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว เลิกตามหาสมบัติ พอดีกับที่ทางราชการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เรื่องสมบัติของสุวรรณนครจึงถูกพูดถึงน้อยลงจนตอนนี้เหลือคนที่จำได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น”
                จอมขวัญนิ่งเงียบ ป้านวลก็หยุดพูด ลมพัดเอื่อยเฉื่อย มีเพียงเสียงของใบไม้และเสียงเกาของไอ้ดำ หมาซึ่งมักจะทำตัวเป็นองครักษ์ของหญิงสาวทุกครั้งที่มีโอกาสเท่านั้น
                “ป้านวลเชื่อมั้ยคะ”
                หล่อนถามออกมาแผ่วเบา หวนนึกถึงเหตุการณ์บางอย่าง
                “ตอนแรกป้าก็ไม่เชื่อ” หญิงสูงวัยเว้นระยะ “จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของป้ากลับออกมาจากป่าพร้อมกับบางอย่าง”
                “อะไรคะ”
                “สร้อยคอโบราณ สร้อยคอที่ทำจากทองคำทั้งเส้น เหลืองอร่ามและสวยงามเกินกว่าสิ่งของใดๆที่ป้าเคยเห็น ตอนนั้นป้ายังเด็กเลยตื่นเต้นดีใจยกใหญ่”
                “ขอขวัญดูหน่อยได้มั้ยคะ”
                ป้านวลส่ายหน้า หญิงสาวทำหน้าผิดหวัง
                “ไม่ใช่ว่าป้าจะหวงไม่ให้คุณจอมขวัญดูนะ แต่ว่าหลังจากที่พ่อได้สร้อยมา ครอบครัวป้าก็ไม่เคยสงบสุขอีกเลย ต้องมีเรื่องเดือดร้อน พ่อกับแม่ทะเลาะกันทุกวัน นอกจากนั้นพ่อยังพูดทุกวันว่าพวกนั้นกำลังจะมาเอาสร้อยคืน สุดท้ายพ่อเลยขายสร้อยไปแบบถูกๆให้เสี่ยที่มาจากกรุงเทพ แล้วเรื่องร้ายต่างๆก็เงียบหายไป”
                “อาถรรพ์ของสร้อยเหรอคะ”
                “ไม่รู้สิ แต่ว่าหลังจากวันนั้น พ่อของป้าก็เลิกเข้าป่าตลอดชีวิต รวมทั้งไม่เคยเล่าด้วยว่าพ่อได้สร้อยมาจากที่ไหน”
                ลมพัดมาวูบหนึ่ง หนาวเย็นจนหญิงสาวขนลุกอย่างประหลาด ป้านวลเองก็คงรู้สึกจึงเอ่ยปากกับจอมขวัญเบาๆ
                “ป้าว่านี่ก็บ่ายมากแล้ว คุณขวัญควรจะพักผ่อนได้แล้วนะคะ เดี๋ยวอาการจะกำเริบอีก”
                หญิงสาวพยักหน้าอย่างใจลอย หล่อนกำลังคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อคืน
 
                ดวงจันทร์ที่เริ่มเว้าแหว่งเล็กน้อยหลบอยู่หลังเมฆทะมึนก้อนใหญ่ แสงที่เคยสาดส่องจางหาย มืดสนิท เหลือเพียงแสงวอบแวมจากกองไฟซึ่งสุมไล่ยุงให้วัวในคอกเท่านั้น ทิดน้อยตรวจตราความเรียบร้อยจนกระทั่งแน่ใจว่าทุกอย่างเป็นปกติดีแล้วจึงอ้าปากหาว  เอี้ยวตัวไล่ความเมื่อยขบ บ้านของทิดน้อยเป็นบ้านหลังสุดท้ายอยู่ติดกับเขตป่าของอุทยานแห่งชาติ บรรยากาศรอบด้านจึงวังเวงและเงียบเชียบ จะได้ยินก็เพียงแต่เสียงแมลงกลางคืน บางครั้งก็แว่วเสียงนกกลางคืนบางชนิด ทิดน้อยลองส่องไฟฉายไปในความมืดเพื่อหาสิ่งผิดปกติอีกครั้ง เมื่อไม่พบจึงลูบหัวไอ้แดง  หมาเฝ้าคอกวัว
                “ไอ้แดง ฝากวัวด้วยนะ ข้าไปนอนละ”
                พูดจบ เขาก็หันหลัง เดินกลับเข้าสู่ตัวบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้นั้น ไอ้แดงทำหูตก ตัวสั่น มองทิดน้อยเดินจากไป คอกวัวกับตัวบ้านอยู่ห่างกันประมาณสิบเมตร หลังจากทิดน้อยเข้าบ้านได้ไม่นานนัก ไอ้แดงก็จับสังเกตสิ่งผิดปกติได้ มันคำรามเสียงต่ำในลำคอ ก่อนเห่ากรรโชกเสียงดังลั่นแล้วครวญครางอย่างหวาดกลัว ดวงตาทั้งคู่ของหมาร่างผอมมองจ้องในเงามืดอย่างหวาดหวั่น สักพักทิดน้อยก็เดินถือลูกซองออกมา เขากวาดไฟฉายไปยังทิศทางที่ไอ้แดงเห่า แต่ทุกสิ่งปกติดี นอกจากว่าครั้งหนึ่งเขามองเห็นเงามืดๆดำๆพุ่งวาบผ่านไปในเงามืดหลังพุ่มไม้
                “ไม่เห็นจะมีอะไรเลยไอ้แดง นอนได้แล้วเอ็ง อย่าเห่ามั่วซั่วสิว่ะ”
                ทิดน้อยหายเข้าบ้านไปนานแล้ว หมาประจำคอกวัวเองก็เงียบเสียง แต่ดวงตาทั้งสองยังจับจ้องในทิศเดิมคล้ายกับว่ามันพบเจอบางสิ่งที่น่ากลัว ไอ้แดงพยายามนอนใกล้กองไฟให้มากที่สุดเหมือนกับมันรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นยังหวั่นเกรงต่อความร้อนแรงของพระเพลิง
                ยิ่งตกดึก กองไฟยิ่งมอดลงเรื่อยๆเหมือนกับเวลาในชีวิตของไอ้แดง ชั่วขณะหนึ่ง มันลุกขึ้นเห่าดังลั่น แล้วก็เปลี่ยนเป็นครางหงิงอย่างหวาดกลัว แต่น่าแปลกที่คราวนี้ทิดน้อยไม่เดินออกมาดูเหมือนเช่นทุกที และนั่นคือจุดจบของไอ้แดงหมาผอม หมาสีแดงพยายามวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อจะมาให้ถึงประตูบ้าน สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมันในตอนนี้ แต่ก็ไม่ทัน ร่างผอมๆของมันโดนเงามืดสีดำสนิทตะครุบไว้ ไอ้แดงส่งเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะถูกลากหายไปในเงามืดของป่ารกทึบ ลมพัดวูบหนึ่ง กองไฟที่กำลังจะมอดลุกติดขึ้นมาจนแสงสาดไปทั่ว แต่ไร้วี่แววของไอ้แดง หมาประจำคอกวัวหายไปแล้ว
                กว่าจะพ้นค่ำคืนนั้น หมาอีกห้าชีวิตประสบชะตากรรมเดียวกันกับไอ้แดง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา