สาบสมิง
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) บทที่ยี่สิบสี่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศสดใส ลมพัดเย็นสบายวันหนึ่งตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา มันเป็นช่วงปลายของฤดูหนาวที่ชาวอำเภอหนองเสือร้องจะต้องจดจำและจะกลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์อันน่าสยดสยอง มีคนพบศพอินและครอบครัว หลังจากอินไม่ไปทำงานสองวัน เจิมมาหาอินที่บ้านก่อนจะพบกับภาพสยองขวัญ นอกจากนั้นเมื่อคืนนี้เสือโคร่งซึ่งตอนนี้ทุกคนเชื่อว่ามันคือสมิงก็ได้ออกอาละวาดเข่นฆ่าชาวบ้านไปถึงห้าศพในคืนเดียว บางศพมันแทะกิน แต่บางศพก็คล้ายฆ่าเล่นอย่างสนุกสนาน ตำรวจภูธรวิ่งวุ่นเพื่อจัดการกับความวุ่นวายและความหวาดกลัว ชานนท์กับลูกน้องต้องออกพื้นที่เพื่อตรวจสอบร่องรอยต่างๆอันจะบ่งบอกว่าเป็นการกระทำของเสือร้าย เขาได้แต่ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เหยื่อทุกคนอยู่ในตัวบ้านอันมั่นคงแข็งแรง บ้านก็อยู่ใจกลางตัวเมือง ผู้คนพลุกพล่าน ตอนนี้ชานนท์เชื่อแล้วว่ามันไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดา เสือโคร่งทั่วไปไม่มีวันทำแบบนี้ได้
ตอนสายของวันเดียวกัน ข่าวร้ายก็ถูกส่งผ่านจากปากต่อปากอีกครั้ง หลวงพ่อดำ พระภิกษุชราซึ่งเป็นที่นับถือของชาวบ้านละสังขารอยู่ภายในกุฏิของท่าน เรื่องที่สร้างความประหลาดใจระคนอัศจรรย์ใจก็คือหลวงพ่อมรณภาพในขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ เจ้าหนุ่ยเด็กวัดเป็นคนกระจายข่าวหลังจากกลับมาแล้วพบร่างหลวงพ่อเป็นคนแรก ผู้ช่วยหนุ่มกำลังนั่งจิบกาแฟด้วยสมองที่เคร่งเครียดตอนที่ได้ยินวงสนทนาอันมีตาเฒ่าสุขเป็นหัวโจกพูดคุยกัน
“ไอ้หนุ่ยมันเห็นกับตา” ตาเฒ่าเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง วันนี้แกซดกาแฟร้อนแทนเหล้า “หลวงพ่อท่านมรณภาพตอนนั่งสมาธิ”
มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นอย่างสงสัย ชานนท์เงี่ยหูฟังพลางคิดถึงพระภิกษุชรา เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ถึงสาเหตุซึ่งทำให้ท่านละสังขาร ชายหนุ่มเชื่อว่าจะต้องมีความเกี่ยวพันถึงเรื่องความลี้ลับที่กำลังปกคลุมอำเภอเล็กนี้อยู่อย่างแน่นอน แต่ยังไม่ทันที่ชานนท์จะได้คิดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้น
“นนท์ คุณอยู่ไหน” เสียงของกัมปนาทดังมาตามสาย เขาเพิ่งแยกกับหัวหน้าหลังจากไปตรวจสอบสภาพศพและร่องรอยด้วยกันในตอนเช้าตรู่ กัมปนาทกลับอุทยานส่วนตัวเขาขอแวะดื่มกาแฟที่นี่ก่อน
“อยู่ร้านกาแฟครับ หัวหน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมมีเรื่องด่วนจะคุยด้วย เดี๋ยวเจอกันที่ห้องทำงานผมนะนนท์”
“ได้ครับหัวหน้า”
จอมขวัญได้ยินข่าวความสยดสยองในอำเภอบ้านเกิดของหล่อนจากเพื่อนสนิท สุพรเล่าด้วยอาการตื่นเต้นปนตกใจกลัวเล็กน้อย
“สามศพเลยนะขวัญที่ตายมาหลายวันแล้ว แล้วก็อีกห้าศพเมื่อคืนนี้เอง ทุกศพนอนตายอยู่ในบ้านตัวเองทั้งนั้น ถ้ามันไม่ใช่เสือผีแล้วจะเป็นตัวอะไรล่ะขวัญ”
แล้วเพื่อนสนิทของหล่อนก็วิจารณ์ไปต่างๆนานาจนกระทั่งถึงเวลาต้องเข้าสอนหนังสือ เมื่อนั้นเองจอมขวัญจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาชานนท์เพื่อสอบถามความจริง หล่อนเริ่มกังวลถึงมหัตภัยที่กำลังคุกคามอำเภอแห่งนี้อยู่ ภัยมืดจากเจ้าปิศาจร้าย
“ว่ายังไงครับคุณขวัญ” เสียงของชายหนุ่มดังมาตามสายอย่างสดใส
“ขวัญมีเรื่องจะถามค่ะคุณนนท์” แล้วหล่อนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟังมา สุดท้ายจึงสรุปถามว่า “เรื่องจริงใช่มั้ยคะที่เสือตัวนั้นกินคน”
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เสียงของเขาเคร่งขรึมมากขึ้น
“ครับคุณขวัญ ผมไม่ปฏิเสธครับ ครั้งนี้หลักฐานชัดเจนมากครับ เสือตัวนั้นเป็นเสือกินคนครับ”
“แล้วมันเข้าไปกินคนในบ้านได้ยังไงคะ”
“เรื่องนั้นผมยังไม่ทราบครับ ตำรวจเองก็จนปัญญาที่จะตอบครับ”
“ถ้ายังงั้นมันก็เป็นเสือสมิงเสือผีแบบที่คนเขาลือกัน”
ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ เขาเพียงบอกแค่ว่า
“ต่อไปนี้คุณขวัญต้องระวังตัวนะครับ เวลาไปไหนมาไหนตอนกลางคืนค่อนข้างอันตรายครับ”
“แล้วคุณนนท์จะยังไงกับเสือตัวนั้นคะ ยิงมันทิ้งเหรอ”
“ตอนนี้ผมยอมรับว่าผมเองก็ยังมืดแปดด้านครับ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน คงจะต้องปรึกษากับหัวหน้าก่อนครับ แต่รับรองว่าจะต้องมีวิธีจัดการได้แน่นอนครับ”
“หวังว่าจะเป็นเร็วๆนี้นะคะ ไม่งั้นต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นอีกมากแน่นอน”
“ครับ อีกไม่นานครับ”
กัมปนาทรอเขาอยู่ภายในห้องทำงาน ทันทีที่ชานนท์เปิดประตูเข้าไป เขาก็มองเห็นผู้ชายสองคนกำลังนั่งสนทนากับหัวหน้าของเขา หนึ่งในนั้นหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้ ชานนท์ยิ้มรับแล้วทักเบาๆ
“ไอ้รุต”
“ไม่นึกว่าแกจะมาเป็นผู้ช่วยอยู่ที่นี่” รุตหรือศรุต เพื่อนรุ่นเดียวกันกับเขาพูดมา กัมปนาทกับชายอีกคนหันมาให้ความสนใจกับทั้งคู่ พอชานนท์นั่งลงอย่างเรียบร้อย หัวหน้าของเขาก็แนะนำทั้งคู่พร้อมจุดประสงค์
“นนท์ นี่คือคุณชาญชัย หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่า ทางกรมฯส่งคุณชาญชัยมาจัดการเรื่องเสือกินคนที่กำลังอาละวาดอยู่ ส่วนอีกคนคุณคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว”
ชานนท์ทำความเคารพชาญชัย
“ครับหัวหน้า รุตเป็นเพื่อนผมเองครับ”
กัมปนาทพยักหน้า
“เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาพูดกันต่อดีกว่าครับ นนท์ลองอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้คุณทั้งสองคนนี้ฟังหน่อย”
ผู้ช่วยหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วจึงพูดขึ้น
“ก่อนอื่นต้องขอเรียนให้ทราบตามตรงว่าตอนนี้เสือตัวนั้นได้กลายเป็นมหัตภัยร้ายแรงของชาวบ้านแล้ว มันทำร้ายคนไปไม่ต่ำกว่าเก้าศพด้วยกัน” แล้วชายหนุ่มก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ศรุตจดบันทึกลงกระดาษ ส่วนชาญชัยก็จะถามหากมีข้อสงสัย ชานนท์สรุปปิดท้าย “จากกล้องสิบตัวที่เราติดเพื่อดักถ่ายมันนั้น มีกล้องเพียงตัวเดียวที่ถ่ายรูปมันไว้ได้ครับ และที่สำคัญชาวบ้านคิดว่ามันเป็นเสือสมิง”
ชาญชัยพยักหน้าอย่างหนักใจเล็กน้อย เขาและทีมเป็นนักวิจัยเสือโคร่งที่เชี่ยวชาญคนหนึ่งของประเทศ เขาหรี่ตาอย่างครุ่นคิด
“ก่อนอื่นผมคงต้องสำรวจสถานที่ทั้งหมดก่อน หลังจากนั้นคงต้องติดตั้งกล้องดักถ่ายเพิ่ม แล้วผมกับทีมก็จะวางกับดักเพื่อจับมันในเบื้องต้น” เขาหยุดคิดเล็กน้อย “ถ้าหากว่าเราจับมันได้แล้วคงจะต้องนำไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าก่อน เสือดุร้ายขนาดนี้ปล่อยไว้เป็นอันตราย”
“คุณจะดักมันยังไงครับ” กัมปนาทถามขึ้น
“เราจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า snare trap มันเป็นกับดักในลักษณะบ่วงเชือก โดยเราจะต้องหาจุดสเปรย์ของเสือโคร่งเพื่อที่จะวางกับดักในบริเวณใกล้เคียง” สเปรย์ของเสือโคร่งก็คือจุดที่เสือตัวนั้นทำสัญลักษณ์เอาไว้ด้วยการฉี่ เพื่อบ่งบอกว่าเป็นอาณาเขตของมัน
“แล้วจะได้ผลมั้ย ทำไมถึงไม่ใช้กรงดักล่ะครับ”
“เท่าที่ผมทำงานมาหลายปี วิธีนี้ได้ผลมากที่สุด บางครั้งการใช้กรงดักเสือโคร่งรู้ทันก็จะไม่เข้า หรือเราอาจจะได้เสืออื่นแทน เป็นต้นว่าเสือดำเสือดาว เสือดาวบางตัวฉลาดมาก ตอนทำวิจัยเมื่อสองปีก่อนมีเสือดาวตัวหนึ่งเข้ากับดักถึงสามครั้งด้วยกัน”
“ทำไมครับ”
ชาญชัยยิ้ม
“เพราะมันรู้ว่าจะได้กินของฟรีไงครับ แล้วมันก็รู้ว่าเราจะไม่ทำอะไรมัน สุดท้ายเราก็ปล่อยมันไปอยู่ดี มันถึงมากินเหยื่อถึงสามครั้ง”
“ฉลาดมาก”
“เพราะฉะนั้นวิธีที่ได้ผลที่สุดก็คงจะเป็นวิธีที่ผมบอกในเบื้องต้นครับ”
“นนท์ เดี๋ยวคุณช่วยนำทีมของคุณชาญชัยไปสำรวจพื้นที่แล้วก็ช่วยอำนวยความสะดวกด้วยนะ ตอนบ่ายผมมีประชุมที่สำนักบริหารฯ อาจจะไม่มีเวลามาช่วย ฝากด้วยนะนนท์”
“ได้ครับหัวหน้า ไม่มีปัญหาครับ”
ชานนท์นำทีมของชาญชัยขับรถไปตมจุดต่างๆที่มีรายงานการพบเห็นเสือโคร่ง ช่วงหนึ่งเมื่อสบโอกาส ศรุตจึงถามเสียงเบา
“มันเป็นสมิงจริงเหรอว่ะไอ้นนท์”
ชานนท์มองเพื่อนอย่างค้นหา เมื่อเห็นว่าศรุตถามด้วยความอยากรู้จริงๆ เขาจึงยิ้ม
“งั้นแกฟังเรื่องที่ฉันเจอมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” ผู้ช่วยหนุ่มเล่าเรื่องในคืนที่เขาเผชิญหน้ากับสมิงร้ายจนกระทั่งหลวงพ่อดำออกมาช่วยเหลือไว้ได้จนจบก่อนจะตบท้ายว่า
“ฉันก็ไม่รู้ว่าที่ฉันเจอมันคืออะไรกันแน่ แต่ฉันบอกแกได้คำเดียวว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดา”
ศรุตลุคางอย่างใช้ความคิดหนัก ใจหนึ่งเขาก็เชื่อเรื่องของเพื่อน แต่อีกใจกลับแย้งเบาๆพร้อมทั้งถามหาความเป็นไปได้
“แกไม่เชื่อล่ะสิ” ชานนท์ถามเมื่อเพื่อนเงียบไปนาน
“บอกตรงๆว่าตอนนี้ฉันยังไม่เชื่อแกว่ะ มันน่าเหลือเชื่อเกินไป”
“ฉันรู้ บางเรื่องมันก็แปลกเกินไป”
“แต่ถ้าฉันเจอด้วยตัวเองก็อาจจะเชื่อก็ได้”
ชานนท์พยักหน้ารับพลางคิดภาวนาว่าอย่าให้เพื่อนของเขาต้องเจอกับเสือสมิงตัวนั้นเลย มันจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี
ในที่สุดทีมงานของชาญชัยก็ตัดสินใจทีจะเลือกวางกับดักห้าจุดด้วยกัน หลังจากถกเถียงรวมทั้งหารือนานเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม นักวิจัยทุกคนทำงานนี้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยว่าการจับเสือตัวนี้มีชีวิตของชาวบ้านจำนวนมากเป็นเดิมพัน พวกเขาจึงวางกับดักทุกแห่งด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด กว่าจะวางกับดักที่สุดท้ายเสร็จสิ้นที่เกือบจะหกโมงเย็น ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว บรรยากาศโดยรอบขมุกขมัว
ศรุตนั่งพักเหนื่อยอยู่หลังรถกระบะ ส่วนชานนท์ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง นักวิจัยคนอื่นๆกำลังตรวจตรากับดักเพื่อความแน่ใจ ชายคนหนึ่งในชุดสีดำเข้มเดินตรงมาทางพวกเขาอย่างไม่รีบร้อนนัก จนกระทั่งร่างนั้นเข้ามาใกล้ ชานนท์จึงจำได้ ชัชวาล คนสนิทของจอมภพ ลูกน้องของพี่ชายจอมขวัญมาทำอะไรที่นี่ ทันทีที่พบหน้า ชัชวาลก็ยิ้มให้
“ได้ข่าวว่าคุณชานนท์มาติดตั้งกับดักเสือกินคน ผมเลยอยากมาดูครับ”
“ครับกับดักถูกติดตั้งเรียบร้อยแล้วครับ”
ชัชวาลถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถ้าเป็นอย่างนี้พวกชาวบ้านก็อุ่นใจแล้วครับทางราชการทำงานรวดเร็วแบบนี้”
เมื่อเห็นว่าชานนท์ไม่ได้พูดอะไรเขาจึงพูดต่อ
“หวังว่าจะจับตัวมันได้เร็วๆนี้นะครับ”
“ครับ ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน”
ชัชวาลยิ้มเล็กน้อย เขาชะโงกหัวไปมองกลุ่มนักวิจัยซึ่งกำลังตรวจสอบกับดักขั้นตอนสุดท้ายห่างออกปประมาณห้าสิบเมตรในราวป่าแล้วเผยอยิ้ม มันเป็นยิ้มที่ชานนท์ไม่ชอบใจเอาเสียเลย ยิ้มอย่างเย้ยหยันแปลกๆ
“ผมไปล่ะครับ โชคดีครับ”
ชัชวาลหันหลังกลับเดินจากไป ศรุตจึงถามขึ้น
“ใครว่ะ ท่าทางแปลกๆ”
“คนรู้จักน่ะ”
เขาตอบเบาๆ ชานนท์กำลังคิดว่าค่ำคืนนี้น่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ลางสังหรณ์บอกเขาอย่างนั้น
ค่ำวันนี้หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ จอมขวัญรู้สึกอ่อนเพลียอย่างผิดปกติ หล่อนทั้งมึนงง วิงเวียน และที่น่ากลัวที่สุดคือในหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยัน เสียงกรีดร้องคร่ำครวญ รวมทั้งเสียงพูดที่ว่า
“มันถึงเวลาแล้ว มันถึงเวลาแล้ว”
เสียงนั้นดังอยู่ตลอดเวลาจนหล่อนรู้สึกกลัว หญิงสาวจึงขอตัวจากพ่อและพี่ชายที่มองมาด้วยสายตาแปลกๆ รวมไปถึงป้านวลที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว หญิงสูงวัยกลับมาทำหน้าที่ดูแลบ้านตามเดิม พอจอมขวัญลับสายตาไปแล้ว จอมพลก็หันมาพยักหน้ากับป้านวล
“ฉันฝากนวลตามขึ้นไปดูแลขวัญหน่อยนะ คืนนี้รู้สึกว่าขวัญจะแปลกๆไป เพื่อตอนดึกโรคประจำตัวจะกำเริบขึ้นมาอีก” เขาหมายถึงโรคละเมอเดินของลูกสาว ป้านวลมองตามทางที่จอมขวัญขึ้นไปแล้วถอนหายใจหนัก
“นวลรู้สึกเป็นห่วงคุณขวัญแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ค่ะ คืนนี้นวลว่าจะขออนุญาตนอนเป็นเพื่อนคุณขวัญ”
“ก็ดีสินวล ฉันจะได้หมดห่วงว่าขวัญจะเป็นอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นนวลขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ”
“ตามสบาย”
ป้านวลเดินตรงไปยังห้องของตัวเอง จอมภพจึงลุกขึ้น
“ไปไหนล่ะภพ”
“ผมจะไปดูน้องหน่อยนะพ่อ เป็นห่วง”
“ดีแล้ว มีอะไรก็บอกพ่อล่ะ”
จอมภพเดินไปจนถึงบันไดทางขึ้นแล้วจึงหันกลับมาถามบิดา
“พ่อว่ามั้ยว่าคืนนี้อากาศมันร้อนๆอ้าวๆชอบกล”
“เหรอ แต่พ่อว่าก็ปกตินะ แกจะไม่สบายหรือเปล่า”
“ผมปกติดีนะครับพ่อ”
“หมั่นดูแลตัวเองบ้างภพ ช่วงนี้แกดูไม่เหมือนเดิมเลย บางครั้งก็ใจร้อนฉุนเฉียวง่าย”
ลูกชายคนโตขมวดคิ้ว
“เหรอครับพ่อ ได้ครับพ่อ ผมจะดูแลตัวเอง ช่วงนี้ผมก็รู้สึกไม่ค่อยปกติเท่าไหร่”
เพียงเท่านั้นเขาก็เดินขึ้นเพื่อจะไปพูดคุยกับน้องสาว จอมพลมองตามแล้วถอนหายใจอย่างวิตกกังวล เขากำลังกังวลถึงสิ่งเร้นลับที่กำลังคุกคามครอบครัวของเขาอยู่
จอมขวัญกำลังนั่งเหม่ออยู่บนเตียงตอนที่พี่ชายของหล่อนเปิดประตูเข้าไป หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดกว้าง ต้นมะม่วงใหญ่ถูกลมพัดปลิวไสว น้องสาวสะดุ้งเมื่อเขาเอ่ยขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าขวัญ แกดูเหมือนจะไม่ค่อยสบาย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ภพ ขวัญแค่รู้สึกเพลียๆ”
จอมภพพยักหน้าแล้วลากเก้าอี้มานั่งมองหน้าน้องสาว
“ช่วงนี้แกยังฝันร้ายหรือนอนละเมออีกมั้ย”
เขาได้ยินเรื่องที่น้องสาวมักจะฝันร้ายบ่อยๆมาจากคนรอบตัว จอมขวัญสั่นศีรษะจนผมกระจาย
“ช่วงนี้ปกติที่สุดเลยพี่ภพ ขวัญไม่เจออะไรแปลกๆเลย”
“ดีแล้ว” เขาเว้นระยะ “แล้วแกยังคุยกับไอ้นายชานนท์อะไรนั่นอยู่หรือเปล่า”
“ทำไมเหรอพี่ภพ”
“ป่าว พี่แค่อยากรู้ แล้วก็อยากเตือนแกให้ระวังตัวไว้ พวกป่าไม้ไว้ใจไม่ได้หรอก”
จอมขวัญยิ้มให้พี่ชายของหล่อน
“พี่ภพอย่าอคติกับคุณนนท์เลยนะคะ ขวัญรับรองได้ว่าคุณนนท์เป็นคนดีแล้วก็จริงใจกับครอบครัวของเราค่ะ”
“พี่ก็แค่อยากเตือนแกด้วยความหวังดี ไม่ใช่ว่าจะอคติอะไรกับไอ้หมอนั่นหรอก ถึงยังไงพี่ก็มีน้องแค่คนเดียวก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา”
แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน เหงื่อมากมายไหลท่วมร่างกายของเขาราวกับอาบน้ำ
“พี่ไปละขวัญ คืนนี้ป้านวลจะมานอนเป็นเพื่อนขวัญนะ มีอะไรบอกป้านวลได้”
“ค่ะพี่ภพ”
จอมภพผละจากห้องน้องสาว หลังจากนั้นไม่เกินห้านาทีป้านวลก็เดินยิ้มกว้างมาให้หญิงสาว หญิงสูงวัยจัดแจงวางที่นอนปิกนิกประจำกายแต่ขอมขวัญเหนี่ยวแขนไว้พูดขึ้น
“ป้านวลนอนกับขวัญบนเตียงนะคะ นอนพื้นมันแข็ง”
ป้านวลรู้ดีว่าปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์จึงยิ้มแล้วลูบหัวหญิงสาวที่หล่อนรักเหมือนลูกสาวแท้ๆ ป้านวลนั่งเล่าเรื่องราวต่างๆให้จอมขวัญฟังเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเกือบสี่ทุ่ม หญิงสาวจึงเผลอหลับไป ป้านวลอมยิ้มปิดไฟล็อกประตูแล้วเอนกายลงหลับตาข้างครูสาว
ชะรอยจะเป็นด้วยอากาศอันหนาวเย็นของยามกลางคืนหรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม ป้านวลพลิกตัวแล้วลืมตาตื่น ข้างกายไม่มีร่างของจอมขวัญแล้ว ป้านวลดึงตัวเองลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆก็ไม่ปรากฏร่างของจอมขวัญนอกจากประตูที่เปิดอยู่ หญิงสูงวัยตื่นตกใจจนเกือบจะส่งเสียงร้องแต่เมื่อนึกถึงโรคประหลาดของหญิงสาวขึ้นมาได้ก็ถอนหายใจ จอมขวัญคงจะละเมอเดินอีกแล้ว หล่อนจัดแจงลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าออกนอกห้องไปโดยเร็ว ป้านวลเห็นด้านหลังของจอมขวัญลงบันไดไป หญิงวัยชรารีบเดินตามเท่าที่กำลังวังชาจะไหวแต่พอไปถึงบันได ร่างของจอมขวัญก็กำลังจะลับหายออกไปทางหน้าประตูบ้าน ป้านวลใจหายวาบรีบเร่งฝีเท้าติดตาม ลูกสาวของจอมพลเดินออกนอกตัวบ้านไปแล้ว ป้านวลกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนตามทันที่หน้าประตูบ้าน ภาพที่ปรากฎกับสายตาสะกดจนป้านวลแทบลืมหายใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ