สาบสมิง
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) บทที่ยี่สิบสาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความการรับประทานอาหารเย็นเป็นไปอย่างเงียบเชียบและค่อนข้างกร่อย นอกจากจอมขวัญที่ชวนชานนท์คุยแล้ว คนอื่นต่างไม่ส่งเสียง จนกระทั่งของหวานมาเสิร์ฟ จอมพลจึงพูดขึ้น
“ได้ข่าวว่าตอนนี้มีเสือใหญ่ออกอาละวาดหรือผู้ช่วย”
ชายหนุ่มวางช้อน
“เรียกผมว่านนท์ก็ได้ครับคุณจอมพล ใช่ครับ ตอนนี้มีเสือโคร่งตัวหนึ่งออกหากินรบกวนชาวบ้านโดยรอบอยู่ครับ”
“คุณเรียกการที่ชาวบ้านถูกทำร้ายว่ารบกวนแค่นั้นเอง” จอมภพพูดขึ้นเสียงดัง เขาไม่พอใจที่ชายหนุ่นมายุ่งกับน้องสาวเขา ชานนท์หันมายิ้มให้เขา
“ยังไม่มีหลักฐานนี่ครับว่าเสือทำร้ายคน”
“ต้องให้มีคนตายมากอีกเท่าไหร่ล่ะคุณถึงจะทำอะไรซักอย่าง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ทางอุทยานกำลังเร่งดำเนินการผลักดันเสือตัวนี้กลับเข้าป่าครับ”
“ที่คุณบอกไม่มีหลักฐาน ทหารคนเมื่อคืนไม่ใช่หลักฐานหรือยังไง”
ผู้ช่วยหนุ่มยังคงระบายยิ้มเต็มใบหน้า จอมขวัญทำหน้างงๆแล้วหันมาถามพี่ชายตัวเอง
“ทหารอะไรคะพี่ภพ”
“เมื่อคืนนี้ตอนผมออกตรวจ มีนายทหารถูกทำร้ายจนเสียชีวิตครับ” ชานนท์ตอบแทน
“ฝีมือไอ้เสือผีนั่นแหละ”
“จริงหรือเปล่าคะคุณนนท์” น้ำเสียงของหล่อนมีแววร้อนรน
“จริงครับ เสืออาจจะคิดว่าทหารคนนั้นกำลังคุกคามมัน” เขาตอบตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายในใจของตัวเอง พี่ชายจอมขวัญยิ้มเยาะ
“ถ้าพวกคุณเปิดโอกาสให้คนทั่วไปล่ามัน เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น”
“มันเป็นสิ่งผิดกฎหมายครับ นอกจากนั้นยังผิดจรรยาบรรณวิชาชีพของผมด้วย” เขามองตาของจอมภพโดยไม่หลบ เน้นคำพูด “ผมมีหน้าที่จับพวกที่ชอบล่าสัตว์ป่า คนพวกนี้มันชอบทำลายมากกว่าสร้างสรรค์นะครับ คุณจอมภพว่ามั้ย”
จอมภพขบกรามแน่น เขารู้ดีว่าชานนท์กำลังท้าทายเขาอยู่ ผู้ช่วยหนุ่มยังรู้จักเขาน้อยเกินไป ก่อนเรื่องราวจะบานปลาย จอมพลก็กระแอมแล้วพูดขึ้น
“แล้วทางราชการมีวิธีจัดการกับเสอตัวนี้ยังไงล่ะคุณนนท์ ผมอยากรู้จริงๆ”
“ขั้นแรกเราติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพไว้ตามจุดเสี่ยงและจุดที่คาดว่าเสือน่าจะใช้ประโยชน์ครับ แล้วเราก็จัดชุดลาดตระเวณตรวจตราตอนกลางคืน หลังจากนี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อดำเนินการจัดการกับเสือตัวนี้ต่อไปครับ คาดว่าอีกไม่นานปัญหาเกี่ยวกับเสือโคร่งจะหมดไป”
“คุณเคยเจอกับมันแล้วหรือยัง”
“เคยแล้วครับ”
จอมพลหรี่ตา
“เขาว่ากันว่ามันเป็นเสือสมิง เรื่องจริงหรือเปล่าล่ะ”
“เท่าที่ผมเห็นมันก็เป็นเสือโคร่งปกติธรรมดาทั่วไปนะครับ”
อีกครั้งที่ชายหนุ่มต้องพูดปด ผู้มีอิทธิพลของอำเภอหนองเสือร้องไม่ได้ติดใจอะไรอีก เขาพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอให้งานของคุณสำเร็จโดยไว แล้วก็ขอต้อนรับคุณอย่างเป็นทางการในฐานะผู้ช่วยคนใหม่ ถึงคุณจะมาทำงานเป็นเดือนแล้วก็ตาม”
ชานนท์ซ่อนยิ้ม เขาตามทันความหมายกินนัยลึกซึ้งของเจ้าพ่อหนองเสือร้อง คนอย่างชานนท์รักศักดิ์ศรีและเกียรติของตัวเองเกินกว่าจะยอมทอดกายลงเป็นลูกน้องของใครที่ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา เขาจึงตอบรับด้วยการยิ้มเล็กน้อย
“คุณน่าจะเป็นคนฉลาดนะคุณนนท์” จอมภพพูดขึ้น “แต่บางครั้งคนฉลาดก็มักจะพลาดกับเรื่องเล็กน้อย”
“เรื่องบางเรื่องผมรู้ครับ แต่ว่าผมไม่จำเป็นต้องทำ”
เขาตอบพร้อมวางช้อนแล้วหันมองหญิงสาวคนเดียวในโต๊ะอาหารซึ่งมีสีหน้าไม่สบายใจ
“คุณขวัญอิ่มแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ”
“อาหารบ้านคุณขวัญอร่อยมากครับ วันหลังผมขออนุญาตมากินอีก”
“ที่อุทยานไม่มีร้านอาหารเหรอครับ” พี่ชายถามขึ้น
“มีครับ แต่รสชาดไม่ได้เรื่อง อาหารที่นี่อร่อยกว่าเยอะครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าคุณนนท์ว่างเมื่อไหร่ก็มากินได้อีกเลยนะคะ ที่นี่ยินดีต้อนรับค่ะ”
แล้วชายหนุ่มก็ทำท่ามองนาฬิกาบนผนัง
“เห็นทีผมจะต้องขอตัวลาก่อนนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปลาดตระเวณต่อครับ ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยและการต้อนรับอย่างอบอุ่นนะครับคุณจอมพล คุณจอมภพ แล้วก็คุณ…” เขาหันมองชัชวาล ลูกน้องคนสนิทของจอมภพยิ้มให้
“ผมชื่อชัชวาลครับ เป็นลูกน้องของคุณจอมภพ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณชัชวาล” เขาหันมาทางหญิงสาว “โดยเฉพาะคุณขวัญ ขอบคุณมากนะครับ”
“ยินดีค่ะ เดี๋ยวขวัญไปส่งนะคะ”
ชานนท์บอกลากับพ่อและพี่ชายของหญิงสาวก่อนก้าวเท้าเดินออกมา ก่อนจะลับประตูห้องอาหาร เขาเหลือบมองชัชวาล แล้วพบว่าลูกน้องของจอมภพมองเขาอยู่ก่อนแล้ว พอตาสบกันอีกฝ่ายก็เมินหลบอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพ้นออกมาจากห้องอาหารนั้น
จอมขวัญเดินมาส่งจนกระทั่งถึงรถยนต์ของเขา ชานนท์หันมายิ้มให้หล่อน
“แค่นี้ก็ได้ครับคุณขวัญ อากาศหนาวเดี๋ยวจะไม่สบาย”
ช่างเหมือนกับอรชุน บุคคลในฝันของหล่อนไม่ผิด หรือแท้ที่จริงแล้วจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อเห็นว่าครูสาวไม่พูดเขาจึงพูดต่อ
“ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยๆนะครับ ผมไปล่ะ”
ชานนท์หันตัวกลับแต่หญิงสาวคว้าแขนของเขาเอาไว้ เหมือนมีอะไรบางอย่างครอบงำหล่อน จอมขวัญจึงพูดออกมาเบาๆ
“อรชุน ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ยอมทำความผิดพลาดอีกครั้งเป็นแน่”
“คุณขวัญพูดว่าอะไรนะครับ ผมไม่ค่อยได้ยิน”
หล่อนสะดุ้งคืนสติ แล้วก็รีบปล่อยแขนเขา ใบหน้าแดงซานด้วยความอับอายเพียงแต่ถูกบดบังเอาไว้ด้วยเงามืด ชายหนุ่มจึงมองไม่เห็น
“ไม่มีอะไรค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ รู้สึกว่างานของคุณนนท์จะอันตรายเหลือเกิน”
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณขวัญ คุณขวัญพักผ่อนได้แล้วนะครับ ช่วงนี้ยังละเมอเดินอีกหรือเปล่าครับ”
“ไม่แล้วล่ะค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นคุณขวัญก็ควรพักผ่อนให้มากนะครับจะได้แข็งแรง ผมรบกวนคุณขวัญนานแล้ว เห็นจะต้องไปทำงานซะที ไว้เจอกันนะครับ”
“ค่ะ โชคดีนะคะ”
“ครับ”
เขารับคำยิ้มๆ คงต้องใช้โชคดีอย่างมหาศาลเลยล่ะ งานของเขาถึงจะสำเร็จ
อากาศตอนดึกหนาวจนสั่น ลมพัดต้นไม้จนวูบไหว เสียงใบไม้ถูกเหยียบย่ำดังบ่อยครั้งจากสัตว์หากินกลางคืน กุฎิของหลวงพ่อดำค่อนข้างวังเวงเนื่องจากอยู่ห่างไกลและใกล้เคียงกับป่าช้าเก่า วันนี้เจ้าหนุ่ย เด็กวัดประจำกุฎิขออนุญาตกลับไปนอนที่บ้านพ่อแม่ หลวงพ่อดำจึงอยู่เพียงรูปเดียว ภิกษุชรานั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกท่ามกลางแสงเทียน ทุกค่ำคืนหลวงพ่อดำจะต้องนั่งสมาธิเพื่อรักษาจิตใจของตนเอง มีเสียงฝีเท้าหนักๆเหยียบขั้นบันไดหน้ากุฎิ ภิกษุชราลืมตาช้าๆ กลิ่นสาบสางลอยอวลชั่วครู่ก่อนถูกลมพัดแผ่วเบาหายไป กรรมตามติดมาจนทันแล้ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆสามครั้ง หลวงพ่อดำก้มลงกราบพระพุทธรูปในห้องแล้วนั่งจ้องมองใบหน้าอันสงบเรียบเฉยของพระพุทธรูป ท่านรู้สึกว่าคืนนี้พระพุทธรูปดูอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างไร้ชีวิตเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง หลวงพ่อดำจุดเทียนขึ้นอีกสามเล่มเพื่อเพิ่มแสงสว่างภายในห้อง หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นถอดกลอนประตูแล้วนั่งลงอย่างสงบ ร่างอันคุ้นเคยของบางคนเดินผ่านประตูเข้ามา เขานั่งลงโดยที่ไม่ได้ทำความเคารพเหมือนเคย
“ว่าไงเจ้าชัช วันนี้มาซะดึกเลยนะ”
“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะคุยกับหลวงพ่อดำ”
ชัชวาลพูดเสียงกระด้างผิดไปจากทุกครั้ง ภิกษุชราถอนหายใจ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมเป็นตัวกำหนด แท้จริงแล้วกรรมก็คือผลจากการกระทำในชีวิตของเรานั่นเอง
“เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องที่หลวงพ่อเก็บของบางอย่างได้”
“ของอะไรล่ะเจ้าชัช”
“มีดเล่มหนึ่ง มีดด้ามจับทองคำ”
“มีดที่เคยสะกดโยมเอาไว้ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา”
ใบหน้าของชัชวาลแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว
“ใช่ มีดที่อรชุนลงอาคมแล้วใช้สะกดข้าเอาไว้ตลอดหลายร้อยปี มีดที่เจ้า ภิกษุผู้โง่เขลานำออกมา” แล้วเขาก็ชี้หน้าหลวงพ่อ “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยทำให้ข้ารู้สึกสบายขึ้น”
“ถึงอาตมาไม่นำมีดออกมา โยมก็ต้องหาวิธีออกมาได้อยู่ดี”
“ใช่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ายังคงคร่ำเคร่งกับอาคม จนตอนนี้ยากนักที่จะหาใครทัดเทียมกับข้าได้แม้แต่เจ้าอรชุนที่มาเกิดใหม่”
“โยมแบ่งเศษเสี้ยวของวิญญาณออกมาสินะ”
คราวนี้ปิศาจในร่างของชัชวาลหัวเราะ
“ข้าแบ่งวิญญาณได้นานก่อนที่เจ้าจะมาบังเกิดเสียอีก นานจนกระทั่งเจ้าเองต้องประหลาดใจ”
ภิกษุชราถอนหายใจยาว
“โยมควรหยุดก่อกรรมสร้างเวร หลายร้อยปีที่ผ่านมาโยมยังไม่สามารถละวางความอาฆาตแค้นได้อีกหรือ”
“ข้าจะยอมหยุดก็ต่อเมื่อทุกคนชดใช้ในการกระทำของตนเองแล้ว”
“แต่โยมเองก็สร้างบาปไว้ไม่น้อย”
“นั่นเป็นเรื่องของข้า เจ้ามิต้องยุ่งเกี่ยว นำมีดมาคืนข้าแล้วข้าจะปล่อยชีวิตชราของข้าไป”
“มีดเล่มนั้นคือสิ่งเดียวที่ทำลายโยมได้”
“ทันทีที่มีดศักดิ์สิทธิ์อยู่กับข้ามันก็จะหมดสิ้นอิทธิ์ฤทธิ์”
หลวงพ่อดำส่ายหัว
“โยมช่างดื้อรั้น ธรรมะขององค์ศาสดาคงจะชำระล้างจิตใจอาฆาตของโยมไม่ได้”
ใบหน้าของชัชวาลบิดเบี้ยว ดวงตาแดงฉานลุกโพลงราวกับกองไฟกองใหญ่ ริมฝีปากของเขาเริ่มขยับขึ้นลง ภิกษุชรายังคงนั่งอย่างสงบนิ่ง ลมพัดรุนแรงกระแทกกุฎิจนคล้ายมีมือยักษ์มาเขย่า นานเท่านานทุกอย่างจึงสงบลงตามเดิม ลูกน้องคนสนิทของจอมภพยิ้ม
“เจ้าเองก็มีอาคมพอตัว มิน่าเจ้าสมิงถึงได้พ่ายแพ้แก่เจ้า”
“อาตมาอาศัยคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาตนเอง ไม่ได้ใช้คาถาอาคม”
“เจ้าคิดว่าเจ้าแน่ แต่ไม่เลย ข้าจะให้เวลาแก่เจ้า จงบอกมาว่ามีดเล่มนั้นอยู่ที่ไหน”
“มีดเล่มนั้นไม่ได้อยู่ที่อาตมานานแล้ว”
เจ้าปิศาจร้ายผงกหัวแล้วเริ่มท่องอาคมของมันอีกครั้ง คราวนี้ทุกอย่างดูจะรุนแรงมากกว่าเดิม ลมพัดราวกับมีพายุ ห้องทั้งห้องร้อนประดุจถูกไฟสุม แต่ร่างของหลวงพ่อดำยังคงสงบนิ่ง ท่านยึดมั่นในอำนาจพุทธคุณ แต่ถึงกระนั้นก็แทบที่จะทนทานอาคมอันแก่กล้าของเจ้าปิศาจร้ายไม่ได้ เหงื่อเม็ดโป้งไหลซึมบริเวณหน้าผาก ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าทุกอย่างจะสงบดังเดิม ชัชวาลทำหน้าไม่พอใจ ส่วนหลวงพ่อดำเองก็รู้ว่าหากเผชิญสถานการณ์แบบนี้อีกเพียงครั้งเดียว ท่านก็รับมือไม่ไหว อำนาจของผีร้ายช่างมหาศาลนัก กรรมตามมาทันแล้วจริงๆ กรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
นานเกือบสิบนาที พลังกดทับจากอาคมของเจ้าปิศาจพันปีจึงค่อยบรรเทาลง ชัชวาลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนหลวงพ่อดำหน้าซีดเผือดปราศจากสีเลือด
“เจ้าใจแข็งยิ่งนัก ต่อให้ตายเจ้าก็คงไม่บอกข้าว่ามีดของข้าอยู่ที่ไหน”
“อาตมาไม่ได้เก็บมีดไว้กับตัวเองนานมากแล้ว”
“ข้ามีข้อเสนอมาให้เจ้าเลือก” อยู่เจ้าปิศาจก็พูดยิ้มๆ “ถ้าหากว่าเจ้าไม่มอบมีดคืนให้กับข้า ข้าจะสังหารมนุษย์คืนละหนึ่งคนเรื่อยไป”
หลวงพ่อดำยิ้มแล้วส่ายหัว
“มนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่โยม ต่อให้โยมเข่นฆ่าทุกคนจนหมดสิ้นอาตมาก็บอกไม่ได้ว่ามีดเล่มนั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าอาตมาไม่รู้”
“เหอะ ข้าเองก็ชักจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าไม่รู้ก็อย่าอยู่เลย”
นัยน์ตาของชัชวาลลุกโพลงเจิดจ้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆ ภิกษุชราหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ใบหน้ายังระบายด้วยรอยยิ้ม ท่านยอมรับชะตากรรมและเวรกรรมของตนเอง ท่านยอมรับกับความตายด้วยใจที่สงบนิ่ง หลวงพ่อดำกำหนดจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก อาคมของชัชวาลค่อยๆชำแรกแทรกเข้ามาสู่ร่างกายของท่าน ตอนแรกมันเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ก่อนจะร้อนแรงดั่งเปลวไฟ แล้วกลับกลายเป็นความเจ็บปวดทรมานไร้ที่สิ้นสุด หลวงพ่อดำข่มใจสู้กับความเจ็บปวด ท่านพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตามเหตุและผลอย่างถ่องแท้ ก่อนดวงจิตสุดท้ายดับวูบ ท่านก็เข้าถึงสัจธรรม
ร่างของหลวงพ่อดำยังคงนั่งอย่างสงบนิ่งในท่าสมาธิเช่นเดิมเพียงแต่ตอนนี้ร่างนั้นไร้ซึ่งวิญญาณ ท่านมรณภาพแล้ว ปิศาจในร่างชัชวาลมองดูด้วยสายตาเหยียดหยาม นักบวชในนิกายนอกรีตที่องค์กฤษณะเคารพนับถือกลับต้องมาตายอย่างทุเรศด้วยน้ำมือของข้า เขาลุกขึ้นยืนแล้วเอื้อมมือหมายจะฉีกทำลายซากสังขาร แต่พอสัมผัสผิวหนังของหลวงพ่อดำ ชัชวาลก็ต้องสะดุ้งดึงมือกลับแทบไม่ทัน ความร้อนแรงคล้ายกองไฟมาจากร่างของท่าน เขาพยายามใหม่อีกหลายครั้งแต่ทุกครั้งผลก็เป็นเช่นเดิม ชัชวาลไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่เส้นขนของหลวงพ่อดำ เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เจ้าปิศาจพันปีเลิกสนใจสังขารแล้วลงมือรื้อค้นกุฎิทุกซอกทุกมุมอย่างบ้าคลั่ง
เขาไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งที่ต้องการ ชายหนุ่มพาร่างของตนเองออกมาด้านนอกแล้วก้าวลงจากกุฎิอย่างครุ่นคิด กลิ่นสาบสางโชยตามลมมาร่างใหญ่ร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่หลังบันได
“เจ้าสมิง เจ้าจงไปเข่นฆ่าเหล่ามนุษย์ทั้งหลายเพื่อเพิ่มเรี่ยวแรงเถิด”
เสือใหญ่ลุกขึ้นยืน มันมองชัชวาลด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ระหว่างความกลัวกับความเกลียดชัง ร่างใหญ่นั้นหันกลับแล้วเดินลับหายไปในความมืด ศารทูลในร่างคนสนิทของจอมภพรู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรง เขาจึงกลับไปแฝงตัวอยู่ในดวงจิตของชายหนุ่มตามเดิม เมื่อนั้นเองชัชวาลจึงกลับคืนสู่ความเป็นตัวของตัวเอง ชายหนุ่มกะพริบตาอย่างงงงวยว่าเขาอยู่สถานที่ใดกันแน่
ครู่เดียวชัชวาลก็จดจำสถานที่ได้ว่าเป็นบริเวณกุฎิของหลวงพ่อดำ ชายหนุ่มเดินขึ้นด้านบนด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจว่าเขามาทำอะไรที่นี่ ประตูกุฎิเปิดอ้าอยู่ หลวงพ่อดำนั่งทำสมาธิอยู่ภายในห้อง ชัชวาละงักเท้าร้องเรียกอดีตครูพรานของเขาเสียงเบาๆ เมื่อไม่เห็นว่าหลวงพ่อดำตอบรับ ชายหนุ่มจึงก้มกราบแล้วออกจากสถานที่นั้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนท่านโดยหารู้ไม่ว่าอาจารย์ของตัวเองนั้นละสังขารไปแล้วด้วยฝีมือของภูติร้ายซึ่งอาศัยร่างกายของเขาอยู่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ