สาบสมิง
-
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
30 ตอน
3 วิจารณ์
26.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) บทที่ยี่สิบสอง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ชานนท์ถอนหายใจหนักหน่วง ความหวังที่เพิ่งจะมองเห็นดับวูบลงทันใด
“แล้วผมจะต้องทำยังไงครับหลวงพ่อ”
“มีบุคคลเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่ามีดเล่มนั้นถูกซ่อนไว้ที่ไหนคือหลวงพ่อเจ้าอาวาส เพราะว่าอาตมาเป็นคนนำมีดไปฝากไว้กับท่านหลังจากหนีออกจากป่ามาได้ แต่ท่านไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใคร โยมต้องลองไปถามท่านเอาเอง”
ความหวังเริ่มสาดแสงอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้
“ถ้างั้นผมจะไปถามท่านเดี๋ยวนี้เลย”
“ท่านไม่อยู่หรอก ไปธุระในเมือง อีกสองสามวันถึงจะกลับมา โยมค่อยมาใหม่ตอนนั้นก็แล้วกัน”
“ได้ครับ”
“โยมกลับไปทำงานของโยมได้แล้ว อาตมามีเรื่องที่จะพูดกับโยมเพียงเท่านี้เอง”
“ครับหลวงพ่อ ถึงยังไงผมก็ต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่กรุณาชี้ทางสว่างให้ครับ ตอนแรกผมไม่เชื่อว่าเสือตัวนั้นจะเป็นสมิง แต่หลังจากเมื่อคืนผมก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วครับ”
“ทุกสิ่งมีกรรมเป็นตัวกำหนดนะโยม ไม่มีใครหนีกรรมพ้นหรอก”
ชานนท์กลับไปนานแล้ว หลวงพ่อดำกำลังนั่งตรึกตรองถึงอดีตของตนเอง พร้อมทั้งคำเตือนก่อนที่เจ้าอาวาสจะไปทำธุระในเมือง
“ท่านรับปากกับอาตมาได้มั้ยว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะว่ามันจะนำอันตรายถึงชีวิตมาสู่ตัวของท่านเอง”
หลวงพ่อดำนิ่งเงียบ ท่านเจ้าอาวาสได้แต่ถอนหายใจ
“มันคงเป็นกรรมนะท่าน กรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”
พระภิกษุวัยชราถอนหายใจอย่างปลงตกต่อทุกสิ่ง ท่านนึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกจนรู้สึกไม่กลัวความตายอีกต่อไปแล้ว หลวงพ่อดำลุกขึ้นแล้วเดินเข้าภายในกุฎิเพื่อพักผ่อนและสวดมนต์จึงไม่ได้เห็นแววตาประสงค์ร้ายคู่หนึ่งซึ่งมองมาจากมุมมืดของต้นไม้ใหญ่ภายในอาณาเขตของป่าช้าเก่าหลังกุฎิ
ระกานั่งมองศีรษะของชายคนรักอยู่ภายในห้องบูชาเล็กๆนั้น อรชุนพริ้มตาหลับสนิทคล้ายกับคนนอนหลับธรรมดา ทว่าเป็นคนนอนหลับที่มีเพียงศีรษะจนถึงคอเปื้อนเลือดเท่านั้น เสียงสวดบูชาภายในมหาวิหารยังคงดังแว่วมาเป็นระยะสลับกับเสียงโห่ร้องและการรบราฆ่าฟัน หล่อนสัมผัสมีดศักดิ์สิทธิ์อย่างแผ่วเบา คำสั่งสุดท้ายของอรชุนยังคงก้องอยู่ในหู
“จำไว้ระกาแทงที่ดวงใจเท่านั้น วิญญาณสามานย์ของมันจะถูกกักขังอยู่ในนรกตลอดกาล”
หญิงสาวนั่งเหม่อลอยราวกับว่าหล่อนไร้ซึ่งดวงวิญญาณเหลือเพียงร่างกายที่จะสานต่อภารกิจของชายคนรัก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังจากด้านหลังปลุกหล่อนจากภวังค์ ระกาหันขวับ นักบวชรูปหนึ่งก้มหัวน้อย
“ท่านอาจารย์ให้ข้ามาเชิญท่านไปพบที่หน้าเทวรูปของท่านพยัคฆา”
ระกาผงกหัวรับ องค์กฤษณะสิ้นแล้ว อีกไม่นานสุวรรณนครต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่วาระสุดท้ายระหว่างหล่อนกับหัวหน้านักบวชผู้ทรยศอย่างศารทูลกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ หลังจากลับร่างนักบวช หล่อนก็ยกศีรษะของอรชุนแนบกับใบหน้าของตัวเอง
“หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะตามท่านไป”
ศารทูลยืนเอามือไขว่หลัง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองดวงพักต์ขององค์เทพอสูรอย่างพยัคฆา รอยยิ้มน้อยปรากฎที่มุมปาก
“เจ้ามาแล้วหรือระกาของข้า” เขาส่งเสียงขึ้น ระกาจำต้องหยุดชะงักเท้าห่างจากร่างนั้นประมาณห้าเมตร
“ข้าทำสำเร็จแล้วระกา ข้าสังหารองค์กฤษณะด้วยมือของข้าเอง น่าประหลาดใจนัก พระองค์ทรงแย้มพระสรวลรับกับมรณะ แม้กระทั่งเวลาที่ความตายผ่านองค์ไป องค์กฤษณะก็ยังยิ้มรับ” เขาหยุดพูด “แต่ก็ช่างเถอะระกา ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กองทัพหลวงปราชัยอยู่ที่ช่องเขาขาด ทหารที่เหลืออยู่ก็ยอมจำนน”
“ในที่สุดท่านก็ชนะจนได้ ชนะบนกองซากศพของคนจำนวนมาก”
“ต้องมีผู้เสียสละบ้างระกา หลังจากนี้สุวรรณนครจะต้องยิ่งใหญ่ ข้าจะใช้อาคมชั้นสูงกวาดล้างเหล่าอริราชศัตรูรวมทั้งหัวเมืองน้อยใหญ่ กวาดต้อนให้พวกมันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรข้า ทำให้พวกมันยอมสยบและนับถือองค์พยัคฆา สุวรรณนครจะต้องเกรียงไกร”
หญิงสาวนิ่งเงียบ ดวงตาจับจ้องทางเบื้องหลังของนักบวชผู้ทรยศ ศารทูลหันมาพบกับนัยน์ตาซึ่งแสดงอาการประหลาดของลูกศิษย์คนสนิท
“เป็นอะไรไประกา”
“ไม่มีสิ่งใดนายข้า แล้วคำบัญชาต่อไปคือสิ่งใด”
หัวหน้านักบวชผู้กำลังจะกลายเป็นกษัตริย์ในไม่ช้าทำท่าครุ่นคิด แต่แล้วเมื่อเขามองเห็นศีรษะของหัวหน้าราชองครักษ์ก็ยิ้มออกมา
“เอาหัวของอรชุนมาให้ข้า ข้าจะปลุกวิญญาณของมันให้กลายมาเป็นทาสของข้า”
ระกาก้มหน้านิ่งกัดฟันแน่นแล้วหล่อนก็ตัดใจเดินนำเอาศีรษะของอรชุนส่งให้ ศารทูลยิ้มร่าเพ่งความสนใจอยู่ที่ดวงหน้าของชายหนุ่ม ฉะนั้นทันทีที่เขายื่นมือรับ ระกาก็อาศัยช่วงเวลานั้นกระชากมีดอาคมจากเอวแล้วแทงพรวด หมายบริเวณหน้าอกซ้ายอันเป็นตำแหน่งที่ดวงใจโฉดชั่วสถิตย์อยู่ แต่ศารทูลยังคงมีความว่องไว เขาเบี่ยงตัวหลบตามสัณชาตญาณ คมมีดจึงปักสวบเข้าบริเวณท้องเกือบครึ่งเล่ม หญิงสาวกดแรงขึ้นอีก เจ้าคนทรยศคำรามลั่นอย่างเจ็บปวด เขาตบหน้าหล่อนสามสี่ครั้งแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันร่างของหญิงสาวให้กระเด็นออกไป ทั้งมีดทั้งคนหลุดพรวดล้มลงนิ่งอย่างจุกเสียด ร่างของศารทูลบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาหมองคล้ำจนเกือบเป็นสีดำ
“เจ้า เจ้าทำอะไรกับมีดศักดิ์สิทธิ์” เขาชี้นิ้วมาที่หล่อน ระกาหัวเราะลั่น ดวงตาแดงฉาน
“อรชุนต่างหากที่ทำร้ายเจ้า อาคมของเขาสถิตย์อยู่ที่มีดนี้”
“อรชุน” ศารทูลคำรามอย่างโมโหจนมหาวิหารสั่นสะเทือนด้วยความโกรธของเขา หัวหน้านักบวชชี้นิ้วมาที่ระกาพร้อมทั้งพึมพำร่ายอาคม หญิงสาวยังคงกำด้ามมีดไว้แน่น ความเจ็บปวดจากมนต์สั่งตายทวีความรุนแรงจนแทบจนไม่ได้ หล่อนตัดสินใจยกมีดแล้วชี้กลับไปที่ร่างของศารทูล ร่างนั้นชะงักกรีดร้องแล้วเกลือกกลิ้งไปมาอย่างทรมาน
“อาคมชั่วช้า อาคมชั้นต่ำของอรชุน ข้าขอสาปแช่งให้สุวรรณนครจงพินาศ พินาศด้วยฤทธานุภาพแห่งองค์พยัคฆา”
แต่แล้วมือของหญิงสาวก็อ่อนแรงลง ทันทีที่ระกาฟุบ ศารทูลก็ข่มความปวดลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็วเข้าสู่ห้องบูชา เขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำสิ่งใด เวทมนต์ของอรชุนกำลังกัดกร่อนเขา ระการวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้ายลุกขึ้นนั่ง หล่อนนึกถึงอาคมบทหนึ่งซึ่งสามารถใช้กักขังสิ่งชั่วร้ายได้ แล้วก่อนที่หล่อนจะทำสิ่งใดลงไปเสียงอันคุ้นเคยของอรชุนก็ดังขึ้นข้างหู
“ปักมีดลงบนพื้นเพื่อกักขังมันไว้ตลอดกาล”
หญิงสาวยิ้มมุมปากแล้วทำตาม หล่อนกระแทกมีดเล่มนั้นปักตรึงแน่นบนพื้นศิลา มีดศักดิ์สิทธิ์ทะลุลงไปราวกับว่าพื้นมหาวิหารเป็นเพียงดินอ่อนทั้งที่เป็นหินผาอันแข็งแกร่ง แสงสว่างปรากฎวูบแล้วเลือนหาย หล่อนนั่งนิ่งแล้วควบคุมลมหายใจค่อยท่องมนต์กักขังบทนั้นออกมา คาถาอาคมซึ่งผู้ใช้เท่านั้นจะถอดถอนได้
ระกาได้ยินเสียงร้องของศารทูลดังมาจากห้องบูชา แล้วร่างของนักบวชก็ปรากฎขึ้น เขาเดินอย่างโซเซตรงมาที่หล่อน
“เจ้าจะถูกกักขังอยู่ในมหาวิหารของเจ้าตลอดไป”
หญิงสาวพูดเหี้ยมเกรียมแล้วหล่อนก็หัวเราะลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งคว้าศีรษะของอรชุนขึ้นมากอด
“ข้าพร้อมจะไปพบท่านแล้ว”
ร่างของระกาสั่นระริก อาคมของศารทูลยังคงส่งผลกับหล่อน หญิงสาวรู้ดีว่าตัวหล่อนเองเหลือเวลาอีกไม่นานนัก หล่อนก้าวเดินอย่างเชื่องช้าออกจากมหาวิหารปล่อยให้ศารทูลร่ำร้องคร่ำครวญโดยที่ไม่สามารถจะก้าวออกจากมหาวิหารได้ พอออกมาเบื้องนอก หล่อนมองดูใบหน้าของคนรักเป็นครั้งสุดท้าย แล้วระกาก็ขาดใจล้มลงที่บันไดขั้นสุดท้ายนั่นเอง
จอมขวัญสะดุ้งตื่นอย่างหวาดผวา หลังจากเห็นระกาสิ้นใจแล้วอีกไม่นานนักอาณาจักรสุวรรณนครก็ล่มสลายจากคำสาปแช่งของศารทูล เกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วม ชาวเมืองส่วนหนึ่งตายจากโรคระบาด ก่อนที่ปฐพีจะพลิกแล้วกลืนทุกสรรพสิ่งให้เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่มาก่อน ภาพทุกภาพยังคงชัดเจนเสมือนเกิดขึ้นไม่นานนัก ครูสาวเหงื่อท่วมตัว หัวใจเต้นระรัว
“ทำไมถึงเหมือนจริงมากขนาดนี้นะ”
หล่อนรำพึงกับตัวเองเบาๆแล้วก็แว่วเสียงหัวเราะห้าวระคนเหี้ยมดังมาจากที่ไหนสักที่ในอนุสติ
“เพราะมันคือความจริง ความจริงที่ว่าเจ้าทรยศข้า ระกาเอ๋ย”
จอมขวัญหันมองซ้ายขวาเลิกลั่กแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน
“ขวัญลูก ตื่นหรือยังจะเที่ยงแล้วลูก”
เสียงของของจอมพล หญิงสาวถอนหายใจแล้วตอบรับ
“ค่ะพ่อ ขวัญขอเวลาอาบน้ำเดี๋ยวนะพ่อ”
มีเสียงฝีเท้าเดินจากหน้าห้องของหล่อนไป ครูสาวเหลือบมองที่มีดสั้นซึ่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายแล้วทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ถ้าหากว่ามันเป็นความจริงก็ช่างเป็นความจริงที่น่ากลัว
บรรยากาศตอนหกโมงเย็นค่อนข้างจะสลัว ลมพัดเอื่อยๆ อากาศหนาวเย็น ชานนท์จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะก้าวลงจากรถ ชายหนุ่มอยู่ในเชิ้ตฟ้าอ่อนกางเกงผ้าสีเข้ม เด็กรับใช้คนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับแล้วพาเขาเข้าสู่ตัวบ้าน ก่อนมากัมปนาทกำชับเขาให้ระวังตัวให้ดี พี่ชายของหญิงสาวเป็นคนดุและไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนไปยุ่งกับน้องสาวตัวเอง ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มรับ จอมขวัญยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วในชุดกระโปรงผ้าลูกไม้สีชมพูอ่อนจาง หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขา แต่ผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งชานนท์คาดว่าน่าจะเป็นจอมภพกลับทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเขายิ้มทักทาย
“นี่พี่ภพ พี่ชายของขวัญเองค่ะ ส่วนนี่คุณชานนท์ ผู้ช่วยอุทยานคนใหม่”
“สวัสดีครับคุณจอมภพ ผมชานนท์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
จอมภพแสยะยิ้มอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“สวัสดี ไม่น่าเชื่อว่าหัวหน้ากัมปนาทจะมีผู้ช่วยที่ดูเด็กขนาดนี้”
ชายหนุ่มเพียงยิ้มไม่พูดอะไรแล้วก้าวเดินตามหญิงสาวเข้าไปในตัวบ้าน จอมภพมองตามก่อนจะหันไปกระดิกนิ้วเรียกชัชวาลซึ่งยืนหลบอยู่มุมหนึ่ง
“แกว่าเป็นยังไงชัช ผู้ช่วยคนใหม่”
ชัชวาลมองตามอย่างครุ่นคิด
“น่าสนใจครับนาย”
“ฉันเองก็ชักสนใจหมอนี่ขึ้นมาแล้วเหมือนกันชัช”
จอมพลนั่งอยู่หัวโต๊ะไม้ขนาดใหญ่กลางห้องอาหารของบ้านตระกูลจอม เขาอยู่ในชุดสบายๆชายวัยชราเหลือบมองชานนท์ด้วยหางตา เมื่อชานนท์สวัสดีเขาก้มหัวยิ้มให้เล็กน้อย จอมขวัญรีบแนะนำ
“คุณชานนท์ค่ะพ่อ ผู้ช่วยอุทยานคนใหม่”
“อืม พ่อเคยเจอแล้ว” แล้วเขาก็หันมาทางชายหนุ่ม “ยังเด็กอยู่เลยนะ ครั้งที่แล้วไม่เห็นหัวหน้ากัมปนาทแนะนำ”
ชานนท์ยิ้มรับ
“ครั้งก่อนหัวหน้าคงกำลังวุ่นใจการยิงหมูป่าอยู่ครับเลยอาจจะลืมแนะนำ”
“อืม”
ก่อนที่บรรยากาศจะดูอึมครึมไปมากกว่านี้ จอมขวัญก็ชวนชานนท์ให้ไปเยี่ยมป้านวลที่ห้องนอน ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวไปช้าๆ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองดูภายในตัวบ้านของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีอิทธิพลมากที่สุดในอำเภอหนองเสือร้อง บ้านของจอมพลตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าวัสดุอุปกรณ์รวมถึงเครื่องเรือนต่างๆเป็นของมีค่ามีราคาทั้งนั้น
ห้องนอนส่วนตัวของป้านวลอยู่ในอีกปีกหนึ่งของตัวบ้านคล้ายกับจะเป็นส่วนที่ต่อเติมเพิ่มขึ้นจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว จอมขวัญเคาะประตูเมื่อเจ้าของห้องขานรับ ทั้งคู่จึงเดินเข้าไป หญิงชรากึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียง อาการของป้านวลดูดีขึ้นมาก
“ป้านวลคุณนนท์มาเยี่ยมค่ะ”
“ดีขึ้นหรือยังครับป้านวล”
หญิงสูงวัยยิ้มให้ทั้งคู่
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อีกสองสามวันคงจะเป็นปกติเหมือนเดิม”
“ใช่แล้วเพราะว่าป้านวลออกจะแข็งแรง”
ป้านวลเพียงยิ้มแล้วส่ายหน้า ทั้งคู่สนทนากับหญิงชราอีกสักพักก็เดินออกมาปล่อยให้ป้านวลได้พักผ่อน ระหว่างทางเดินกลับมายังห้องอาหาร ชานนท์เอ่ยขึ้น
“ป้านวลดูดีขึ้นมากเลยนะครับ”
“ค่ะ ป้านวลได้พักผ่อนเต็มที่ อาการก็เลยดีขึ้น”
“แล้วตอนนี้จับตัวคนร้ายได้หรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ แต่พ่อก็ให้คนงานมาคอยเดนตรวจรอบบ้านตอนกลางคืนเป็นการป้องกันอันตรายอีกทางค่ะ ขวัญเชื่อว่ามันคงไม่กล้าเข้ามาแล้วค่ะ”
“แล้วมันได้ขโมยอะไรไปบ้างไหมครับ”
“ไม่มีนะคะ ไม่แน่ใจว่ามันยังไม่ทันที่จะได้ขโมยหรือว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไรกันแน่”
“คุณขวัญต้องระวังตัวให้มากนะครับ”
น้ำเสียงนั้นมีแววห่วงใยกังวลอย่างเด่นชัด หญิงสาวยิ้มให้เขา ทั้งคู่เดินถึงตะอาหารซึ่งตอนนี้มีทั้งจอมพลและจอมภพนั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนั้นยังมีชายอีกคนซึ่งยืนอย่างสงบอยู่ทางด้านหลังของลูกชายคนโตบ้านตระกูลจอม ชานนท์มองหน้านั้นแวบหนึ่งแล้วก็ต้องขนลุกอย่างประหลาด ดวงตาของชายคนนั้นมันลุกโพลงเจิดจ้าราวกับไม่ใช่ดวงตามนุษย์ แต่พอมองดูอีกครั้งก็ไม่พบความผิดปกติใดทั้งสิ้น หรือว่าเขาจะตาฟาดไป ผู้ช่วยหนุ่มมองชัชวาลอย่างสนใจ
“แล้วผมจะต้องทำยังไงครับหลวงพ่อ”
“มีบุคคลเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่ามีดเล่มนั้นถูกซ่อนไว้ที่ไหนคือหลวงพ่อเจ้าอาวาส เพราะว่าอาตมาเป็นคนนำมีดไปฝากไว้กับท่านหลังจากหนีออกจากป่ามาได้ แต่ท่านไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใคร โยมต้องลองไปถามท่านเอาเอง”
ความหวังเริ่มสาดแสงอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้
“ถ้างั้นผมจะไปถามท่านเดี๋ยวนี้เลย”
“ท่านไม่อยู่หรอก ไปธุระในเมือง อีกสองสามวันถึงจะกลับมา โยมค่อยมาใหม่ตอนนั้นก็แล้วกัน”
“ได้ครับ”
“โยมกลับไปทำงานของโยมได้แล้ว อาตมามีเรื่องที่จะพูดกับโยมเพียงเท่านี้เอง”
“ครับหลวงพ่อ ถึงยังไงผมก็ต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่กรุณาชี้ทางสว่างให้ครับ ตอนแรกผมไม่เชื่อว่าเสือตัวนั้นจะเป็นสมิง แต่หลังจากเมื่อคืนผมก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วครับ”
“ทุกสิ่งมีกรรมเป็นตัวกำหนดนะโยม ไม่มีใครหนีกรรมพ้นหรอก”
ชานนท์กลับไปนานแล้ว หลวงพ่อดำกำลังนั่งตรึกตรองถึงอดีตของตนเอง พร้อมทั้งคำเตือนก่อนที่เจ้าอาวาสจะไปทำธุระในเมือง
“ท่านรับปากกับอาตมาได้มั้ยว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะว่ามันจะนำอันตรายถึงชีวิตมาสู่ตัวของท่านเอง”
หลวงพ่อดำนิ่งเงียบ ท่านเจ้าอาวาสได้แต่ถอนหายใจ
“มันคงเป็นกรรมนะท่าน กรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”
พระภิกษุวัยชราถอนหายใจอย่างปลงตกต่อทุกสิ่ง ท่านนึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกจนรู้สึกไม่กลัวความตายอีกต่อไปแล้ว หลวงพ่อดำลุกขึ้นแล้วเดินเข้าภายในกุฎิเพื่อพักผ่อนและสวดมนต์จึงไม่ได้เห็นแววตาประสงค์ร้ายคู่หนึ่งซึ่งมองมาจากมุมมืดของต้นไม้ใหญ่ภายในอาณาเขตของป่าช้าเก่าหลังกุฎิ
ระกานั่งมองศีรษะของชายคนรักอยู่ภายในห้องบูชาเล็กๆนั้น อรชุนพริ้มตาหลับสนิทคล้ายกับคนนอนหลับธรรมดา ทว่าเป็นคนนอนหลับที่มีเพียงศีรษะจนถึงคอเปื้อนเลือดเท่านั้น เสียงสวดบูชาภายในมหาวิหารยังคงดังแว่วมาเป็นระยะสลับกับเสียงโห่ร้องและการรบราฆ่าฟัน หล่อนสัมผัสมีดศักดิ์สิทธิ์อย่างแผ่วเบา คำสั่งสุดท้ายของอรชุนยังคงก้องอยู่ในหู
“จำไว้ระกาแทงที่ดวงใจเท่านั้น วิญญาณสามานย์ของมันจะถูกกักขังอยู่ในนรกตลอดกาล”
หญิงสาวนั่งเหม่อลอยราวกับว่าหล่อนไร้ซึ่งดวงวิญญาณเหลือเพียงร่างกายที่จะสานต่อภารกิจของชายคนรัก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังจากด้านหลังปลุกหล่อนจากภวังค์ ระกาหันขวับ นักบวชรูปหนึ่งก้มหัวน้อย
“ท่านอาจารย์ให้ข้ามาเชิญท่านไปพบที่หน้าเทวรูปของท่านพยัคฆา”
ระกาผงกหัวรับ องค์กฤษณะสิ้นแล้ว อีกไม่นานสุวรรณนครต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่วาระสุดท้ายระหว่างหล่อนกับหัวหน้านักบวชผู้ทรยศอย่างศารทูลกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ หลังจากลับร่างนักบวช หล่อนก็ยกศีรษะของอรชุนแนบกับใบหน้าของตัวเอง
“หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะตามท่านไป”
ศารทูลยืนเอามือไขว่หลัง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองดวงพักต์ขององค์เทพอสูรอย่างพยัคฆา รอยยิ้มน้อยปรากฎที่มุมปาก
“เจ้ามาแล้วหรือระกาของข้า” เขาส่งเสียงขึ้น ระกาจำต้องหยุดชะงักเท้าห่างจากร่างนั้นประมาณห้าเมตร
“ข้าทำสำเร็จแล้วระกา ข้าสังหารองค์กฤษณะด้วยมือของข้าเอง น่าประหลาดใจนัก พระองค์ทรงแย้มพระสรวลรับกับมรณะ แม้กระทั่งเวลาที่ความตายผ่านองค์ไป องค์กฤษณะก็ยังยิ้มรับ” เขาหยุดพูด “แต่ก็ช่างเถอะระกา ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กองทัพหลวงปราชัยอยู่ที่ช่องเขาขาด ทหารที่เหลืออยู่ก็ยอมจำนน”
“ในที่สุดท่านก็ชนะจนได้ ชนะบนกองซากศพของคนจำนวนมาก”
“ต้องมีผู้เสียสละบ้างระกา หลังจากนี้สุวรรณนครจะต้องยิ่งใหญ่ ข้าจะใช้อาคมชั้นสูงกวาดล้างเหล่าอริราชศัตรูรวมทั้งหัวเมืองน้อยใหญ่ กวาดต้อนให้พวกมันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรข้า ทำให้พวกมันยอมสยบและนับถือองค์พยัคฆา สุวรรณนครจะต้องเกรียงไกร”
หญิงสาวนิ่งเงียบ ดวงตาจับจ้องทางเบื้องหลังของนักบวชผู้ทรยศ ศารทูลหันมาพบกับนัยน์ตาซึ่งแสดงอาการประหลาดของลูกศิษย์คนสนิท
“เป็นอะไรไประกา”
“ไม่มีสิ่งใดนายข้า แล้วคำบัญชาต่อไปคือสิ่งใด”
หัวหน้านักบวชผู้กำลังจะกลายเป็นกษัตริย์ในไม่ช้าทำท่าครุ่นคิด แต่แล้วเมื่อเขามองเห็นศีรษะของหัวหน้าราชองครักษ์ก็ยิ้มออกมา
“เอาหัวของอรชุนมาให้ข้า ข้าจะปลุกวิญญาณของมันให้กลายมาเป็นทาสของข้า”
ระกาก้มหน้านิ่งกัดฟันแน่นแล้วหล่อนก็ตัดใจเดินนำเอาศีรษะของอรชุนส่งให้ ศารทูลยิ้มร่าเพ่งความสนใจอยู่ที่ดวงหน้าของชายหนุ่ม ฉะนั้นทันทีที่เขายื่นมือรับ ระกาก็อาศัยช่วงเวลานั้นกระชากมีดอาคมจากเอวแล้วแทงพรวด หมายบริเวณหน้าอกซ้ายอันเป็นตำแหน่งที่ดวงใจโฉดชั่วสถิตย์อยู่ แต่ศารทูลยังคงมีความว่องไว เขาเบี่ยงตัวหลบตามสัณชาตญาณ คมมีดจึงปักสวบเข้าบริเวณท้องเกือบครึ่งเล่ม หญิงสาวกดแรงขึ้นอีก เจ้าคนทรยศคำรามลั่นอย่างเจ็บปวด เขาตบหน้าหล่อนสามสี่ครั้งแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันร่างของหญิงสาวให้กระเด็นออกไป ทั้งมีดทั้งคนหลุดพรวดล้มลงนิ่งอย่างจุกเสียด ร่างของศารทูลบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาหมองคล้ำจนเกือบเป็นสีดำ
“เจ้า เจ้าทำอะไรกับมีดศักดิ์สิทธิ์” เขาชี้นิ้วมาที่หล่อน ระกาหัวเราะลั่น ดวงตาแดงฉาน
“อรชุนต่างหากที่ทำร้ายเจ้า อาคมของเขาสถิตย์อยู่ที่มีดนี้”
“อรชุน” ศารทูลคำรามอย่างโมโหจนมหาวิหารสั่นสะเทือนด้วยความโกรธของเขา หัวหน้านักบวชชี้นิ้วมาที่ระกาพร้อมทั้งพึมพำร่ายอาคม หญิงสาวยังคงกำด้ามมีดไว้แน่น ความเจ็บปวดจากมนต์สั่งตายทวีความรุนแรงจนแทบจนไม่ได้ หล่อนตัดสินใจยกมีดแล้วชี้กลับไปที่ร่างของศารทูล ร่างนั้นชะงักกรีดร้องแล้วเกลือกกลิ้งไปมาอย่างทรมาน
“อาคมชั่วช้า อาคมชั้นต่ำของอรชุน ข้าขอสาปแช่งให้สุวรรณนครจงพินาศ พินาศด้วยฤทธานุภาพแห่งองค์พยัคฆา”
แต่แล้วมือของหญิงสาวก็อ่อนแรงลง ทันทีที่ระกาฟุบ ศารทูลก็ข่มความปวดลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็วเข้าสู่ห้องบูชา เขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำสิ่งใด เวทมนต์ของอรชุนกำลังกัดกร่อนเขา ระการวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้ายลุกขึ้นนั่ง หล่อนนึกถึงอาคมบทหนึ่งซึ่งสามารถใช้กักขังสิ่งชั่วร้ายได้ แล้วก่อนที่หล่อนจะทำสิ่งใดลงไปเสียงอันคุ้นเคยของอรชุนก็ดังขึ้นข้างหู
“ปักมีดลงบนพื้นเพื่อกักขังมันไว้ตลอดกาล”
หญิงสาวยิ้มมุมปากแล้วทำตาม หล่อนกระแทกมีดเล่มนั้นปักตรึงแน่นบนพื้นศิลา มีดศักดิ์สิทธิ์ทะลุลงไปราวกับว่าพื้นมหาวิหารเป็นเพียงดินอ่อนทั้งที่เป็นหินผาอันแข็งแกร่ง แสงสว่างปรากฎวูบแล้วเลือนหาย หล่อนนั่งนิ่งแล้วควบคุมลมหายใจค่อยท่องมนต์กักขังบทนั้นออกมา คาถาอาคมซึ่งผู้ใช้เท่านั้นจะถอดถอนได้
ระกาได้ยินเสียงร้องของศารทูลดังมาจากห้องบูชา แล้วร่างของนักบวชก็ปรากฎขึ้น เขาเดินอย่างโซเซตรงมาที่หล่อน
“เจ้าจะถูกกักขังอยู่ในมหาวิหารของเจ้าตลอดไป”
หญิงสาวพูดเหี้ยมเกรียมแล้วหล่อนก็หัวเราะลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งคว้าศีรษะของอรชุนขึ้นมากอด
“ข้าพร้อมจะไปพบท่านแล้ว”
ร่างของระกาสั่นระริก อาคมของศารทูลยังคงส่งผลกับหล่อน หญิงสาวรู้ดีว่าตัวหล่อนเองเหลือเวลาอีกไม่นานนัก หล่อนก้าวเดินอย่างเชื่องช้าออกจากมหาวิหารปล่อยให้ศารทูลร่ำร้องคร่ำครวญโดยที่ไม่สามารถจะก้าวออกจากมหาวิหารได้ พอออกมาเบื้องนอก หล่อนมองดูใบหน้าของคนรักเป็นครั้งสุดท้าย แล้วระกาก็ขาดใจล้มลงที่บันไดขั้นสุดท้ายนั่นเอง
จอมขวัญสะดุ้งตื่นอย่างหวาดผวา หลังจากเห็นระกาสิ้นใจแล้วอีกไม่นานนักอาณาจักรสุวรรณนครก็ล่มสลายจากคำสาปแช่งของศารทูล เกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วม ชาวเมืองส่วนหนึ่งตายจากโรคระบาด ก่อนที่ปฐพีจะพลิกแล้วกลืนทุกสรรพสิ่งให้เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่มาก่อน ภาพทุกภาพยังคงชัดเจนเสมือนเกิดขึ้นไม่นานนัก ครูสาวเหงื่อท่วมตัว หัวใจเต้นระรัว
“ทำไมถึงเหมือนจริงมากขนาดนี้นะ”
หล่อนรำพึงกับตัวเองเบาๆแล้วก็แว่วเสียงหัวเราะห้าวระคนเหี้ยมดังมาจากที่ไหนสักที่ในอนุสติ
“เพราะมันคือความจริง ความจริงที่ว่าเจ้าทรยศข้า ระกาเอ๋ย”
จอมขวัญหันมองซ้ายขวาเลิกลั่กแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน
“ขวัญลูก ตื่นหรือยังจะเที่ยงแล้วลูก”
เสียงของของจอมพล หญิงสาวถอนหายใจแล้วตอบรับ
“ค่ะพ่อ ขวัญขอเวลาอาบน้ำเดี๋ยวนะพ่อ”
มีเสียงฝีเท้าเดินจากหน้าห้องของหล่อนไป ครูสาวเหลือบมองที่มีดสั้นซึ่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายแล้วทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ถ้าหากว่ามันเป็นความจริงก็ช่างเป็นความจริงที่น่ากลัว
บรรยากาศตอนหกโมงเย็นค่อนข้างจะสลัว ลมพัดเอื่อยๆ อากาศหนาวเย็น ชานนท์จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะก้าวลงจากรถ ชายหนุ่มอยู่ในเชิ้ตฟ้าอ่อนกางเกงผ้าสีเข้ม เด็กรับใช้คนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับแล้วพาเขาเข้าสู่ตัวบ้าน ก่อนมากัมปนาทกำชับเขาให้ระวังตัวให้ดี พี่ชายของหญิงสาวเป็นคนดุและไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนไปยุ่งกับน้องสาวตัวเอง ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มรับ จอมขวัญยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วในชุดกระโปรงผ้าลูกไม้สีชมพูอ่อนจาง หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขา แต่ผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งชานนท์คาดว่าน่าจะเป็นจอมภพกลับทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเขายิ้มทักทาย
“นี่พี่ภพ พี่ชายของขวัญเองค่ะ ส่วนนี่คุณชานนท์ ผู้ช่วยอุทยานคนใหม่”
“สวัสดีครับคุณจอมภพ ผมชานนท์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
จอมภพแสยะยิ้มอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“สวัสดี ไม่น่าเชื่อว่าหัวหน้ากัมปนาทจะมีผู้ช่วยที่ดูเด็กขนาดนี้”
ชายหนุ่มเพียงยิ้มไม่พูดอะไรแล้วก้าวเดินตามหญิงสาวเข้าไปในตัวบ้าน จอมภพมองตามก่อนจะหันไปกระดิกนิ้วเรียกชัชวาลซึ่งยืนหลบอยู่มุมหนึ่ง
“แกว่าเป็นยังไงชัช ผู้ช่วยคนใหม่”
ชัชวาลมองตามอย่างครุ่นคิด
“น่าสนใจครับนาย”
“ฉันเองก็ชักสนใจหมอนี่ขึ้นมาแล้วเหมือนกันชัช”
จอมพลนั่งอยู่หัวโต๊ะไม้ขนาดใหญ่กลางห้องอาหารของบ้านตระกูลจอม เขาอยู่ในชุดสบายๆชายวัยชราเหลือบมองชานนท์ด้วยหางตา เมื่อชานนท์สวัสดีเขาก้มหัวยิ้มให้เล็กน้อย จอมขวัญรีบแนะนำ
“คุณชานนท์ค่ะพ่อ ผู้ช่วยอุทยานคนใหม่”
“อืม พ่อเคยเจอแล้ว” แล้วเขาก็หันมาทางชายหนุ่ม “ยังเด็กอยู่เลยนะ ครั้งที่แล้วไม่เห็นหัวหน้ากัมปนาทแนะนำ”
ชานนท์ยิ้มรับ
“ครั้งก่อนหัวหน้าคงกำลังวุ่นใจการยิงหมูป่าอยู่ครับเลยอาจจะลืมแนะนำ”
“อืม”
ก่อนที่บรรยากาศจะดูอึมครึมไปมากกว่านี้ จอมขวัญก็ชวนชานนท์ให้ไปเยี่ยมป้านวลที่ห้องนอน ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวไปช้าๆ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองดูภายในตัวบ้านของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่ามีอิทธิพลมากที่สุดในอำเภอหนองเสือร้อง บ้านของจอมพลตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าวัสดุอุปกรณ์รวมถึงเครื่องเรือนต่างๆเป็นของมีค่ามีราคาทั้งนั้น
ห้องนอนส่วนตัวของป้านวลอยู่ในอีกปีกหนึ่งของตัวบ้านคล้ายกับจะเป็นส่วนที่ต่อเติมเพิ่มขึ้นจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว จอมขวัญเคาะประตูเมื่อเจ้าของห้องขานรับ ทั้งคู่จึงเดินเข้าไป หญิงชรากึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียง อาการของป้านวลดูดีขึ้นมาก
“ป้านวลคุณนนท์มาเยี่ยมค่ะ”
“ดีขึ้นหรือยังครับป้านวล”
หญิงสูงวัยยิ้มให้ทั้งคู่
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อีกสองสามวันคงจะเป็นปกติเหมือนเดิม”
“ใช่แล้วเพราะว่าป้านวลออกจะแข็งแรง”
ป้านวลเพียงยิ้มแล้วส่ายหน้า ทั้งคู่สนทนากับหญิงชราอีกสักพักก็เดินออกมาปล่อยให้ป้านวลได้พักผ่อน ระหว่างทางเดินกลับมายังห้องอาหาร ชานนท์เอ่ยขึ้น
“ป้านวลดูดีขึ้นมากเลยนะครับ”
“ค่ะ ป้านวลได้พักผ่อนเต็มที่ อาการก็เลยดีขึ้น”
“แล้วตอนนี้จับตัวคนร้ายได้หรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ แต่พ่อก็ให้คนงานมาคอยเดนตรวจรอบบ้านตอนกลางคืนเป็นการป้องกันอันตรายอีกทางค่ะ ขวัญเชื่อว่ามันคงไม่กล้าเข้ามาแล้วค่ะ”
“แล้วมันได้ขโมยอะไรไปบ้างไหมครับ”
“ไม่มีนะคะ ไม่แน่ใจว่ามันยังไม่ทันที่จะได้ขโมยหรือว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไรกันแน่”
“คุณขวัญต้องระวังตัวให้มากนะครับ”
น้ำเสียงนั้นมีแววห่วงใยกังวลอย่างเด่นชัด หญิงสาวยิ้มให้เขา ทั้งคู่เดินถึงตะอาหารซึ่งตอนนี้มีทั้งจอมพลและจอมภพนั่งรอคอยอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนั้นยังมีชายอีกคนซึ่งยืนอย่างสงบอยู่ทางด้านหลังของลูกชายคนโตบ้านตระกูลจอม ชานนท์มองหน้านั้นแวบหนึ่งแล้วก็ต้องขนลุกอย่างประหลาด ดวงตาของชายคนนั้นมันลุกโพลงเจิดจ้าราวกับไม่ใช่ดวงตามนุษย์ แต่พอมองดูอีกครั้งก็ไม่พบความผิดปกติใดทั้งสิ้น หรือว่าเขาจะตาฟาดไป ผู้ช่วยหนุ่มมองชัชวาลอย่างสนใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ