สายสืบสุดอึด
-
6) บทที่ 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโอบกิจส่งสายประหลับประเหลือกค้อน ราวสาวแรกรุ่นก็ไม่ปานก่อนที่บ่นกระปอดกระแปด ภายหลังจากที่ปีนลงมาจากหลังรถเก็บขยะได้แล้ว
“เรื่องของข้าเถอะ”
“ฮะๆๆๆฮาๆๆๆ”
โด่งระบือยังคงส่งเสียงหัวเราะต่อเนื่อง
ขณะที่โอบกิจทำปากขมุบขมิบเจริญพรอีกฝ่ายด้วยคำด่า...
* * *
หนุ่มใหญ่วัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานที่ยืนอยู่ด้านหน้าของประตูกระจกของห้องที่ด้านหน้าเขียนเอาไว้ว่า “ประธานกรรมการบริหาร” แห่งนั้นด้วยการยืนจัดการกับเสื้อสูทที่เขาสวมอยู่ให้เรียบร้อย กลัดกระดุมด้านหน้าด้วยการติดจนเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว จึงเคาะกระจกที่ติดอยู่ตรงประตูเบาๆ
ก๊อก!ๆๆๆ
“เชิญ”
พอเสียงห้าวๆจากภายในห้องเอ่ยอนุญาตแล้ว ชายผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ผลักประตูกระจกที่เขายืนคอยอยู่เข้าไปข้างใน
“อา สวัสดีครับ คุณคือ?...”
เจ้าของห้องผู้มีวัยกลางคน ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ภายในห้องที่ค่อนข้างหรูแห่งนั้น เลิกคิ้วเอ่ยทักทำนองถามต่อผู้เขามาพบไปด้วย เนื่องจากไม่รู้จักมาก่อน
“ผมถิรนัย เป็นหัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษที่ท่านอยากจะพบ”
ผู้เข้ามาพบที่มีวัยไม่ต่างจากเจ้าของห้องมากนัก ยิ้มเย็นแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณถิรนัย...ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถยืนต้อนรับได้ เนื่องจากผมมีปัญหาตรงขาทั้งสองข้างมาหลายปีแล้ว”
เจ้าของห้องซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการบริหารของบริษัทแห่งนี้ เสียงขรึมว่าพร้อมเข็นรถที่ตนเองนั่งอยู่เลื่อนมาทางผู้มาพบ ก่อนที่จะยื่นมือให้อีกฝ่ายสัมผัสจับเพื่อทักทายตามทำเนียมสากล
หัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษยิ้มขรึมๆ พร้อมกับยื่นมือเขย่าตอบรับเจ้าของห้องอย่างเป็นพิธีการพลางกล่าวอย่างเอาใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับท่าน...แค่ท่านเข็นรถมาทักทายผมอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ”
“ผมเจตน์นะคุณถิรนัย”
เจ้าของห้องแน่ะนำชื่อของตนเองให้ผู้ที่มาขอพบรับรู้ พลางผายมือไปทางชุดโซฟาซึ่งวางเอาไว้รับแขก ที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพร้อมกับกล่าวชวน
“เชิญนั่งครับคุณถิรนัย”
“ขอบคุณครับท่าน”
ถิรนัยรับคำพร้อมกับเดินไปนั่งตามที่เจ้าของห้องเชื้อเชิญ
คุณเจตน์โบกมือแล้วสำทับ
“ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านอะไรหรอก เพราะดูๆแล้วคุณกะผมก็คงมีอายุไล่ๆไม่หนีกันเท่าไหร่หรอกมั้ง ผมว่า...เรียกผมคุณเจตน์ก็พอแล้วล่ะ”
“ได้ครับคุณเจตน์”
ผู้มาเยือนรับปากเจ้าของห้องอย่างเอาใจ
“เออคุณทำงานเป็นข้าราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินี่ก็ต้องเป็นตำรวจด้วยสิ...ไม่ทราบว่าคุณมียศหรือตำแหน่งอะไรเหรอ..ขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วงถาม?”
คุณเจตน์ชวนคุย
“หน่วยของพวกเราทำงานให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จริง แต่ว่าไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจโดยตรงหรอกครับ”
ถิรนัยขยับตัวที่ค่อนข้างจะเจ้าเนื้อของเขาให้นั่งอย่างสะดวกขึ้น ก่อนที่จะเอ่ยบอกเสียงเรียบๆ
“อ้าวแล้ว...”
คุณเจตน์ชะงักคำพูดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูกระจกด้านหน้าของห้องตนดังขึ้น หันไปมองทางประตูแล้วเอ่ยเสียง
“เชิญ เข้ามาได้”
“ขอโทษค่ะท่าน”
พอประตูถูกเปิดออก เลขาฯสาวของคุณเจตน์ก็พูดออกตัว พร้อมกับเดินนำพนักงานงานแม่บ้านที่กำลังยกถาดที่วางแก้วสำหรับบรรจุของร้อนไว้บนนั้น 2 ใบตามเข้ามาด้วย เลขาฯยิ้มให้กับเจ้านายของหล่อนและถิรนัย ก่อนที่จะเอ่ยพูดขึ้น
“กาแฟสำหรับคุณและชาโสมสำหรับท่านค่ะ”
พูดพร้อมกับทำมือเป็นสัญญาณให้พนักงานแม่บ้านที่เดินตามมา วางแก้วเครื่องดื่มให้ถูกคนตามที่หล่อนบอก
“ขอบคุณครับ”
ถิรนัยยิ้มรับแล้วก็เลยถือโอกาสมองเลขาฯหน้าห้องของคนที่เขามาพบอย่างไม่อยากวางตาเลยทีเดียว เนื่องจากหน้าตาและรูปร่างทรวดทรงองเอวของเจ้าหล่อนอึ๋มอร่ามตาดีเหลือเกิน
“ขอบใจนะทรงอัปสร”
คุณเจตน์บอกเสียงขรึมๆ
“ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรจะใช้หนูอีกรึเปล่ะคะ?”
เจตน์สั่นหน้า
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ...เธอไปทำงานที่ค้างต่อเถอะ ถ้ามีอะไรแล้วฉันจะเรียกเอง”
“ค่ะ งั้นหนูไปพิมพ์หนังสือที่ค้างไว้ต่อนะคะ”
เจตน์หงึกหน้าแทนคำตอบ ซึ่งพอเลขาฯพร้อมกับพนักงานแม่บ้านออกจากห้องไปแล้วเจ้าของห้องก็หันไปมองหัวหน้าหน่วยสายสืบที่มาพบเขา พลางส่งเสียงกระแอม
ถิรนัยยิ้มเหนียมๆให้กับเจ้าของห้อง ก่อนที่จะหยิบแก้วกาแฟขึ้นจิบแก้เกี้ยว พลางพูดออกตัวว่าทำนองชมลูกน้องของเจ้าของห้อง
“เลขาคุณเจตน์นี่หน้าตาดีนะครับ”
“แล้วก็อึ๋มด้วยใช่ไม๊ล่ะ?”
เจ้านายของสาวที่ถูกชมลับหลัง ต่อคำพูดที่อยู่ในใจของให้อีกฝ่ายฟังอย่างเข้าใจความรู้สึก
“แหะๆๆ...ก็ทำนองนั้น”
“ไอ้ผมมันอายุมากแล้ว...แถมช่วงล่างลงไปยังใช้ไม่ได้อีก ก็เลยต้องหาสาวๆมาช่วยงานมันจะได้เพลินๆตาไม่เครียดกับธุรกิจจนเกินไปนัก”
เจตน์ว่าให้ชายวัยเดียวกันที่ชอบ แอบมองหญิงสาวที่ละอ่อนกว่ารับรู้ทำนองออกตัว
“ผมก็ไม่ต่างกับคุณเจตน์เท่าไหร่หรอกครับ ถึงแม้จะเดินเหินสะดวกก็จริง แต่ไอ้เรื่องพรรณหยั่งว่าน่ะบอกตรงๆเลย...บ้อลัดมานานแล้ว...มันก็ไอ้ประเภทชอบมองเพื่อความสำราญทางสายตาความรู้สึกแหละครับคุณเจตน์”
“ดีแล้วล่ะคุณถิรนัย ทำอะไรที่มันมีความสบายใจโดยที่ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นเขา...แค่นี้ก็หาความสุขทางใจกันได้แล้ว”
ถิรนัยยิ้มเรียบๆรับไม่ได้โต้ตอบคำพูดใดอีก นอกจากยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มแทน
ขณะที่เจ้าของสถานที่เปลี่ยนเรื่องโดยวกกลับถึงการสนทนาที่ค้างกันเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้
“เออเมื่อกี้ก่อนเลขาของผมจะเข้ามาผมพูดอะไรกับคุณถิรนัยค้างไว้นะ?”
“รู้สึกคุณเจตน์จะถามเกี่ยวกับหน้าที่การงานของผม”
“เออใช่ๆ...ผมนี่ มันขี้หลงขี้ลืมเอาจริงๆจังๆเลย...เมื่อกี้ที่คุณบอกว่าไม่ได้เป็นข้าราชการตำรวจโดยตรง แล้วงานที่ทำอยู่มันเป็นยังไงกัน?”
ถิรนัยดื่มกาแฟอีกอึกหนึ่ง ก่อนที่จะกระแอมเล็กน้อย แล้วจึงบอกเรื่องที่อีกฝ่ายอยากรู้ด้วยเสียงขรึมๆ
“งานของหน่วยเราถ้าจะพูดให้มันชัดเจนก็เปรียบไปได้เหมือนกับพวกทหารรับจ้างที่ไปรบที่เวียดนามหรือลาวในยุคที่มีจีไอเดินกันไปมาเต็มเมืองไทยนั่นแหละครับ...”
คุณเจตน์หงึกหน้าอย่างเข้าใจในการบอกเล่าของถิรนัยอย่างพอควร ขณะที่ทำการดื่มชาโสมไปด้วยนั้น ก่อนที่จะเอ่ยแสดงความคิดเห็นของตนออกมาบ้าง
“เหมือนกับพวกทหารพรานรึเปล่า?”
“คล้ายๆหยั่งงั้นเหมือนกันครับคุณเจตน์...แต่ว่าพวกทหารพรานแม้เขาจะไม่มียศแต่พวกเขาก็สามารถเปิดเผยตัวว่าเป็นใครได้...แต่ งานของพวกเรานี่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนหรือหน้าที่การงานให้ใครรู้ได้เลย”
“เป็นพวกประเภททำงานปิดทองหลังพระ”
คุณเจตน์ต่อคำพูดให้อีก
“ก็ทำนองนั้นครับคุณเจตน์”
เสียงซึมๆรับแต่ซึมเพียงแป๊บเดียว ถิรนัยก็ยืดอกอย่างภาคภูมิใจขึ้นก่อนที่จะเอ่ยเสียงอย่างเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
“ถึงใครๆจะไม่ได้รับรู้กับการทำงานของพวกผม แต่ผมก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ว่าได้กระทำการที่มีคุณค่าต่อสังคมส่วนรวมหรือที่เรียกกันว่างานที่เป็นจิตสาธารณะนั่นเองล่ะครับคุณเจตน์...ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากว่างานที่ปฏิบัติการอยู่นี้จะมีผู้ใดหรือใครจะมารับรู้อะไรทั้งสิ้น พวกเราทำงานเพื่องานกันอย่างเดียวเท่านั้น”
“นับว่าเป็นพวกมีอุดมการณ์สูงส่งจริงๆ ผมขอปรบมือให้ครับ...”
พูดจบพร้อมกับกระทำการอย่างที่บอกผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ขณะที่ผู้ได้รับการปรบมือให้ก็ยกมือไหว้พร้อมเสียง
“ขอบคุณมากครับ”
“ผมมีลูกชายคนเดียว...”
เจ้าของห้องเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเสียเฉยๆอย่างนั้นเอง ซึ่งผู้มาเยือนก็ขยับตัวรับกับการว่าของอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าคงจะเริ่มพูดถึงงานที่เรียกตนเองให้มาพบนั่นเอง
“ครับคุณเจตน์”
“ผมก็เหมือนเจ้าของกิจการทั้งหลายในเมืองไทยนี่แหละ ก็คือต้องการให้ทายาทมาสืบทอดกิจการที่ตนเองได้ก่อตั้งขึ้นมา”
เจตน์ว่าเพิ่มอีก
“ครับ...”
“ผมจึงได้ส่งให้จรัสพงศ์เขาไปเรียนบริหารธุรกิจที่เมืองนอก เพื่อให้เขาเกิดความพร้อมในการทำงานอย่างที่บอกคุณถิรนัยให้ฟังไปแล้วแหละครับ...”
“ผมเข้าใจครับ...ว่าต่อได้เลยครับคุณเจตน์...”
“เดือนนี้ก็จะครบการกำหนดที่จรัสพงศ์เขาจะเรียนจบและกลับมาเมืองไทย...ซึ่งผมจะให้เขาทำงานที่บริษัทของผมโดยเริ่มจากการเป็นพนักงานปฏิบัติการที่ตำแหน่งเล็กที่สุดของบริษัทไปก่อน เพื่อเป็นการค่อยๆสอนให้เขาเข้าใจในการทำงานมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีประสบการณ์กับการทำงานมาก่อนเลย เพราะผมให้เขาเรียนโดยตลอดก็เลยคิดว่าจะต้องให้มาเรียนรู้ในการทำงานตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำงานต่อในตำแหน่งผู้บริหารได้...”
“ครับ...”
“คุณคิดว่าผมทำถูกหรือเปล่าล่ะคุณถิรนัย...ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของผมครั้งนี้ด้วยสิครับ?”
ท้ายเสียงถามอย่างข้อความคิดเห็นจริงๆ
“ก็ดีนะครับ เพราะเจ้าหน้าที่ในหน่วยของผมหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจทั่วไปก็เริ่มจากการทำงานตำแหน่งชั้นผู้น้อยกันมาก่อนแทบทั้งนั้น ก่อนที่จะขยับตำแหน่งขึ้นไปตามเวลาการทำงานและผลงานที่ได้ทำเอาไว้นะครับ...ว่าแต่แล้วเรื่องนี้ ขอโทษเถอะครับมันเกี่ยวกับที่เรียกผมมาพบหรือครับคุณเจตน์?”
คนถูกถามหงึกหน้ารับ ก่อนที่จะเฉลยบอกต่อเนื่อง
“จรัสพงศ์เป็นทายาทคนเดียวของผมที่จะสืบทอดกิจการของผมก็จริง แต่บริษัทของผมมันเป็นมหาชนเพราะฉะนั้นมันก็เลยมีคนที่อยากได้ตำแหน่งนี้จากที่ผมวางทายาทเอาไว้ก่อนก็ว่าได้...และการจะได้ตำแหน่งนี้มันก็ต้องทำให้ทายาทที่ถูกวางเอาไว้มีอันเป็นไปเสียก่อนนั่นเอง...ตอนนี้คุณถิรนัยพอจะเข้าใจการที่ผมเรียกมาพบเพื่อขอคำปรึกษาหรือยังล่ะครับ?”
ท้ายเสียงเจ้าของห้องย้อนถามกลับ หัวหน้าหน่วยสายสืบพิเศษคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรออกมาได้
“หมายความว่าบุตรชายของคุณเจตน์กำลังถูกปองร้ายอย่างนั้นใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้องแล้วครับ...ฝ่ายข่าวกรองของผมรายงานให้ฟังว่า หลังจากที่จรัสพงศ์กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่จะถูกเล่นงานทันที!”
ว่าอย่างมีความกังวลเต็มเปี่ยม ขณะที่ถิรนัยเข้าใจหัวอกของพ่อที่เป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรชายคนเดียว จึงถามอย่างเอาใจ
“แล้วจะให้ผมและหน่วยช่วยอะไรคุณเจตน์ได้ครับ?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ