Soft place to fall
9.7
เขียนโดย หลินไป๋อัน
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.
13 ตอน
4 วิจารณ์
13.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) เจ้ามีความลับของเจ้า ข้ามีความลับของข้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ5. เจ้ามีความลับของเจ้า ข้ามีความลับของข้า
กว่านางจะปรามแม่นมไม่ให้แตกตื่นกับเรื่องที่องค์ชายสามเสด็จมาด้วยได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน สำหรับบ่าวไพร่ที่เหลือนางปิดบังฐานะองค์ชายไว้เพื่อความปลอดภัย แจ้งเพียงว่าเซวียนชงอวี้เป็นบุตรขุนนางระดับสูงที่บิดาฝากร่วมเดินทางมาด้วย เซวียนชงอวี้รับสั่งให้ทุกคนเรียกเขาว่า คุณชายอวี้ ไม่ให้เรียกองค์ชายสาม ดังนั้นนางจึงไม่ใช้ราชาศัพท์กับเซวียนชงอวี้อีก
แม้ว่าชุดที่ใส่จะไม่บ่งบอกฐานะ แต่ท่วงท่าอิริยาบถล้วนทำให้ผู้พบเห็นนึกรู้ว่าเด็กชายคนนี้ต้องมาจากตระกูลผู้ดี
ฮุ่ยหมิ่นสังเกตจากการแต่งตัวและท่าทางยามต้องแวะพักตามเมืองต่างๆแล้ว องค์ชายจอมป่วนพระองค์นี้น่าจะคุ้นเคยกับการออกนอกวังเป็นแน่ เพราะเขาทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีทีท่าประดักประเดิด
ท่าทางจะหนีมาบ่อยล่ะสิ
นางเสียอีกที่มองไปมารอบตัวอย่างสนอกสนใจ สิ่งที่นางได้เห็นยามนี้ สภาพบ้านเมือง การแต่งตัว การใช้ชีวิต เคยเห็นก็แต่ในโทรทัศน์กับพิพิธภัณฑ์เท่านั้น
จากเมืองหลวงไปจนถึงสำนักหย่งฉือใช้เวลาเดินทางด้วยรถม้าทั้งสิ้นเจ็ดวัน
ขณะนี้ขบวนของฮุ่ยหมิ่นออกเดินทางวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว สองคืนก่อนหน้านี้นางได้พักแรมในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่มีห้องพักสะดวกสบาย แต่เมืองที่จะพักในคืนนี้เป็นเมืองเล็กๆ ทางคนนำทางได้บอกกับนางก่อนแล้วว่าอาจไม่สะดวกสบายเช่นเดิม
ฮุ่ยหมิ่นไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ชาติก่อนระหว่างเทรนต้องบอกว่า หากได้กินหรือได้นอนก็ถือเป็นโชคแล้ว ไม่เกี่ยงหรอกว่าจะสภาพไม่ดียังไง
การเดินทางวันนี้จำเป็นต้องผ่านหุบเขาและแนวเทือกเขา แม้ว่าจะเป็นทางที่ผู้คนใช้สัญจรทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่มีผู้คนพลุกพล่าน นานๆจะเห็นรถม้าวิ่งมาสักคันหนึ่ง
ระหว่างทางไม่มีโรงเตี๊ยมหรือร้านอาหาร นางจำเป็นต้องทานอาหารที่คนรับใช้ได้จัดเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนออกเดินทาง รสชาดยังอร่อยอยู่แม้จะเย็นชืดไปสักหน่อย
ฮุ่ยหมิ่นเหลือบมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ องค์ชายผู้สูงศักดิ์ทานแบบเดียวกับนางหน้าตาเฉย ไม่แสดงท่าทีรังเกียจรังงอนใดๆกับความไม่สะดวกสบายนี้ รวมถึงไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใดๆ วางตัวสุขุมเกินวัยอย่างที่นางเคยเห็นยามอยู่ที่ตำหนักของเขา ทำตัวเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีของนาง
เป็นอย่างนี้ได้ก็ดี ไม่เช่นนั้นทุกคนที่มาด้วยคงต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
กิจกรรมระหว่างเดินทางที่นางและเซวียนชงอวี้ต่างทำคืออ่านหนังสือ นางอ่านตำราจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยโรคและตำราสมุนไพร ส่วนเขาอ่านตำราพิชัยสงคราม
ความรู้ที่ติดตัวมาจากชาติก่อนจะมีประโยชน์กับนางในแง่ของการวินิจฉัยโรคโดยอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เมื่อพูดถึงการจับชีพจรที่เป็นวิธีหลักในสมัยนี้แล้วฮุ่ยหมิ่นไม่มีความรู้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการใช้ยา นางรู้จักแต่ยาสมัยใหม่ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี ไม่เคยได้สั่งจ่ายสมุนไพรเองเลย
หลังทานอาหารกลางวันเรียบร้อย ทั้งนางและเขาต่างก็อ่านหนังสือของตน จู่ๆเซวียนชงอวี้ก็พับตำราไว้ข้างตัว ใบหน้าขาวหรี่ตาคู่คมลง เรียวปากบางขยับเรียกฮุ่ยหมิ่นเบาๆ
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่อ่าน
“ไม่ว่าจะได้ยินหรือได้เห็นสิ่งใด จงอยู่แต่ในรถม้า ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”
คำพูดชวนตระหนกทำให้เด็กหญิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เซวียนชงอวี้ไม่ได้ไขข้อข้องใจให้นางเพิ่ม เขาขยับตัวเข้าใกล้หน้าต่าง เปิดผ้าม่านเพียงเล็กน้อย ในมือหยิบของตรงอกเสื้อขึ้นมา ฮุ่ยหมิ่นไม่ได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไร แต่เพียงไม่กี่อึดใจรถม้าก็หยุดกระทันหันจนฮุ่ยหมิ่นเซไปกระแทกผนังด้านหนึ่ง ไม่ทันจะร้องด้วยความตกใจ มือเล็กๆก็พุ่งมาอุดปากนางแน่น
เสียงความวุ่นวายจากการต่อสู้และดาบที่ปะทะกันอยู่ด้านนอกทำให้ฮุ่ยหมิ่นแทบลืมหายใจ
เซวียนชงอวี้ลากนางที่ถูกเขาปิดปากไปนั่งข้างๆ นัยน์ตาของเด็กหญิงตัวกลมฉายแววตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด
“เงียบๆนะ มีคนร้าย”
หา!! นี่นางต้องมาเจอฉากต่อสู้แบบในหนังที่เคยดูใช่หรือไม่ ถ้าเป็นพระเอกกับนางเอกย่อมมีชีวิตรอดออกไปแน่ๆ แต่ปัญหาคือ นางไม่มั่นใจว่าที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ได้รับบทเช่นไร อาจจะเป็นตัวประกอบที่ตายก่อนก็เป็นได้ ..ก็ชาติที่แล้วไม่เคยได้เป็นนางเอกแม้สักครั้ง
เดี๋ยวนะ ถ้านับอายุกันตามจริง หลินฮุ่ยหมิ่นอายุจะสามสิบอยู่แล้ว เหตุใดต้องให้คนอายุแปดขวบมาคอยดูแลด้วยเล่า
เด็กหญิงตั้งท่าจะหนีจากอ้อมแขนเล็กที่รั้งตัวไว้แน่น แต่นางคงดูถูกเซวียนชงอวี้มากไป หรือไม่ก็ประเมินกำลังกายของเด็กห้าขวบสูงเกินไป เพราะเขาไม่กระเทือนเลยแม้แต่น้อย
เสียงขู่สำทับมาดุๆที่ข้างหู
“ซาลาเปาน้อยถ้าไม่อยากกลายเป็นซาลาเปานึ่งให้เจ้าพวกข้างนอกกินก็อยู่นิ่งๆ”
หน็อยย เจ้าเด็กน้อยกล้าขู่มารดาเรอะ!!
ปล่อยมารดาสักทีเซ่!
“ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะไม่ส่งเสียง เพราะงั้นข้าอุดปากเจ้าไว้น่ะดีแล้ว”
หน้าของฮุ่ยหมิ่นคงไม่มีทางจะหงิกไปกว่านี้ได้อีก ในยุคโบราณที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ กระทั่งองค์ชายวัยแปดชันษายังคุมสติได้ถึงขนาดนี้เมื่อพบคนร้าย นี่ยุคนี้เขาเลี้ยงเด็กกันอย่างไรล่ะนี่ ชาติที่แล้วตอนแปดขวบหลินฮุ่ยหมิ่นยังเล่นไล่จับกับเพื่อนอยู่เลย
“ไม่ต้องกลัว ข้าส่งสัญญาณเรียกองครักษ์แล้ว ถ้าไม่ใช่นักฆ่ายอดฝีมือจริงๆ องครักษ์ข้าเหงื่อไม่ออกด้วยซ้ำ”
เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะช้าๆอย่างสงบอยู่เบื้องหลังทำให้เด็กหญิงใจเย็นลง
ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ สรรพเสียงทุกอย่างก็เงียบลง สวี่หลานเซ่อหัวหน้าองครักษ์เงาของเซวียนชงอวี้เปิดประตูรถม้าเข้ามารายงาน เมื่อเห็นหน้าคนที่มาใหม่ องค์ชายน้อยจึงยอมปล่อยตัวเด็กหญิงให้เป็นอิสระ
“สถานการณ์เป็นอย่างไร หลานเซ่อ”
“เรียนคุณชาย เมื่อสักครู่มีโจรประมาณยี่สิบคนต้องการจะดักปล้น พวกข้าน้อยกับบ่าวไพร่ของคุณหนูเฉิงสามารถจัดการไว้ได้ขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”น้ำเสียงสวี่หลานเซ่อกล่าวเสียงเรียบเหมือนบริกรแนะนำรายการอาหาร ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ
“เหลือไว้หนึ่งคนเพื่อส่งให้ทางการสอบปากคำ”คนเป็นนายก็ไม่ต่างกัน
“ขอรับ”
เดี๋ยวนะ.. เหลือไว้หนึ่งคน แปลว่าที่เหลือ..
เด็กหญิงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ลอบมองเซวียนชงอวี้อย่างหวาดๆ น้องชาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เจ้าแค่แปดขวบนี่สั่งฆ่าคนแล้วรึ เจ้ามันปีศาจน้อยชัดๆ
ราวกับเซวียนชงอวี้จะอ่านใจนางได้ นัยน์ตาหงส์คู่งามหรี่ลง มือเล็กเอื้อมมาเคาะหัวนางไม่เบานัก
“ต่อให้ข้าปล่อยไปแล้วอย่างไร ปองร้ายเชื้อพระวงศ์มีโทษคือตาย จะตายตอนนี้หรือถูกทรมานจนตายก็ไม่ต่างกัน”
เหตุใดองค์ชายน้อยจึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่านางนักนะ พี่สาวจะสามสิบแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองต่อภัยที่นางแสดงออกย่อมเป็นปกติสำหรับมนุษย์
แต่คนที่ผิดปกติคือเซวียนชงอวี้ต่างหาก!!
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กแปดขวบสักนิด แต่เหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาแล้วด้วยซ้ำ
ฮุ่ยหมิ่นไม่มั่นใจว่าท่าทีทะเล้นกวนๆ ตอนเป็นตัวป่วน หรือความสุขุมเยือกเย็นยามนี้ สิ่งใดคือตัวจริงของคนตรงหน้า
ความคิดเดิมวนกลับมาอีกครั้ง
หรือเขาจะมาจากชาติภพอื่นอย่างนาง
เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วฮุ่ยหมิ่นก็เปิดประตูรถม้าลงไป พาให้องค์ชายน้อยต้องขยับตัวตาม
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปดูคนของข้า” เด็กหญิงตอบโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง
สภาพภายนอกที่นางได้เห็นยามนี้มีเพียงร่างที่นอนแน่นิ่งของโจรที่มีแผลฉกรรจ์ตามตัว นางไม่ได้เข้าไปตรวจดูเลยแม้แต่น้อย หักใจเดินไปให้ห่างแม้หางตาจะยังเห็นทรวงอกของคนร้ายคนหนึ่งไหวกระเพื่อมน้อยๆ เผลอขบฟันกับริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ
ถ้าหากยังมีลมหายใจแล้วเช่นไร
ไม่ว่านางจะช่วยชีวิตแค่ไหน คนกลุ่มนี้ก็ต้องถูกทรมานจนตาย
ในชาติภพเดิม ขอเพียงมีสัญญาณชีพ ในเคสแบบนี้หลินฮุ่ยหมิ่นทุ่มสุดตัว นางย้อนนึกถึงอดีตที่เคยมีคนไข้ขับรถจักรยานยนต์ชนกับรถบรรทุก การกู้ชีพทำอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง คนเจ็บไม่ตอบสนอง แต่ในนาทีสุดท้ายที่จะขานเวลาเสียชีวิต เขากลับมีชีพจรขึ้นมา
ฮุ่ยหมิ่นสั่งอัดยากระตุ้นความดันแล้วลากคนเจ็บเข้าห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่อวัยวะภายในเขาบอบช้ำเกินไป แม้ฮุ่ยหมิ่นจะพยายามทำสักเท่าไหร่ เลือดที่ไหลราวกับท่อน้ำแตกจากตับก็ไม่สามารถหยุดลง คนเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ไม่ต้องสนใจว่าคนเจ็บเคยเป็นใคร จะยากดีมีจน เทพบุตรหรือซาตาน ผู้ป่วยอยู่ตรงหน้า หน้าที่คือรักษาสุดกำลังไม่บิดพลิ้ว
แต่นางในยามนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีก ไม่ง่ายเลยสำหรับคนเป็นหมอที่จะทิ้งให้คนเจ็บตายต่อหน้าโดยไม่ดูดาย
เด็กหญิงเห็นหนึ่งในคนรับใช้ของนางกุมข้อมือที่เลือดออกไว้ ฮุ่ยหมิ่นปราดเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว เลือดออกเรื่อยๆจากข้อมือตามจังหวะการเต้นของชีพจร จากตำแหน่งที่โดนฟัน นางรู้ในทันทีว่า radial artery injuryแน่นอน คว้าผ้าผืนหนามาอุดตรงรอยแผลไว้ คลำชีพจรจากเส้นเลือดฝั่งทางด้านนิ้วก้อย
เจ้าหนุ่มนี่โชคดี ulna artery น่าจะsupplyพอ
ตามปกติ radial artery injury ต่อได้ให้ต่อ แต่ถ้าต่อไม่ได้ ผูกทิ้งก็ได้ ฮุ่ยหมิ่นโยนทางเลือกแรกทิ้งไป ในยุคสมัยนี้ไม่มีProlene 7-0ให้นางใช้หรอกนะ หากจะผูก ก็ไม่มีsilk กับclampเช่นกัน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย เจ้าหนุ่มนี่เลือดออกหมดตัวตายแน่นอน หลอดเลือดนี้ใช่จะหยุดเองด้วยการกดเสียเมื่อไหร่ ไม่นับเส้นเอ็นที่เธอยังไม่ทันตรวจว่าบาดเจ็บไปเท่าไหร่ด้วย
เซวียนชงอวี้สั่งให้บ่าวไพร่นำกล่องปฐมพยาบาลมาไว้ก่อนแล้ว เด็กชายสะกิดฮุ่ยหมิ่นแล้วยื่นกล่องให้ เด็กหญิงควานหาอุปกรณ์ที่พอจะใช้ได้ ในนั้นนางเห็นอุปกรณ์บางอย่างคล้ายที่จับแบบforcepที่เคยใช้ในยุคปัจจุบัน เด็กหญิงใช้มันจับหลอดเลือดนั้นไว้ เพียงเท่านั้นเลือดที่กำลังไหลก็ออกช้าลงมาก
โอเค อย่างน้อยก็หยุดได้สักครู่
ทีนี้จะใช้อะไรผูกมันดีล่ะนี่ และถ้านางผูก ใครจะมาเป็นคนจับหลอดเลือดให้ ตอนนี้ไม่มีclampที่สามารถล็อคได้นี่นา
เจ้าหนุ่มตรงหน้าสะบัดศีรษะไปมาด้วยความเจ็บปวด
เดี๋ยวสิ นางนึกออกแล้ว
ฮุ่ยหมิ่นสั่งให้คนรับใช้นำน้ำสะอาดกับกรรไกรมา กวักมือเรียกเซวียนชงอวี้ให้มาจับแทน
“ท่านห้ามปล่อยนะ ถ้าปล่อยเลือดจะออกอีก อย่าออกแรงมากเกินจนมันขาดด้วยล่ะ ถือนิ่งๆไว้อย่างนั้นนะ” เด็กหญิงออกคำสั่งใส่องค์ชายเป็นชุด
ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเซวียนชงอวี้มีคำถาม แต่นางไม่ต้องการตอบตอนนี้ เท่าที่กวาดตามองรอบๆก็ไม่เห็นใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอีก ยิ่งองครักษ์เงายิ่งเหมือนไม่ได้ออกแรงใดๆ
ฮุ่ยหมิ่นรับกรรไกรจากแม่นมของนางมา เด็กหญิงตัดผมของเจ้าหนุ่มที่ใช้ผ้ามัดรวบไว้มาไม่กี่เส้นมาหนึ่งเชียะ จัดการล้างเร็วๆกับน้ำสะอาด นำเส้นผมทั้งหมดรวบไว้
เด็กหญิงจัดการผูกด้วยปมแบบที่เธอเรียนมาตรงหลอดเลือดโดยใช้เส้นผมของเจ้าตัว ใต้ต่อจุดที่เซวียนชงอวี้จับให้นางอยู่ เส้นผมมีความเปราะบางมากกว่าไหมที่เคยใช้มากนัก ฮุ่ยหมิ่นจึงผูกปมอย่างเบามือที่สุด
หลอดเลือดเมื่อถูกตัดจนขาด ย่อมมีด้านต้นและด้านปลาย นางจัดการด้านต้นที่มาจากหัวใจแล้ว ก็ยังเหลือด้านปลายอีกด้าน เด็กหญิงทำแบบเดียวกันกับฝั่งที่เหลือ
เลือดที่ออกจากหลอดเลือดหยุดสนิท เหลือเพียงที่ออกจากraw surfaceเท่านั้น ที่ยังคงซึมเอื่อยๆ แต่นั่นไม่น่าห่วงแล้ว แค่พันแผลแน่นๆอาศัยแรงกดก็อยู่
สิ่งที่น่ากลัวในลำดับต่อมาคือแผลติดเชื้อ นางใช้สิ่งแปลกปลอมที่ไม่ผ่านกระบวนการปลอดเชื้อทิ้งไว้ในร่างกายคนไข้
ยาฆ่าเชื้อจ๋าอยู่หนใด พี่สาวอยากได้เหลือเกิน
“เรามียาฆ่าเชื้อโรคหรือไม่”
“อันใดคือยาฆ่าเชื้อโรคหรือเจ้าคะ..”แม่นมตอบนางด้วยท่าทางงุนงง
โอเค ยุคสมัยนี้ไม่มีแน่นอน
“ใส่ยาทาแผลกับจัดยาตามปกติให้เขากินเถิด” พูดจบก็เดินลิ่วๆตรงไปยังรถม้า ขาสั้นๆตะกายปีนจนสำเร็จแล้วหายเข้าไป ไม่สนใจกับสายตาตื่นตะลึงของทุกคนที่มองตามไปแม้แต่น้อย
ประมาณหนึ่งเค่อหลังจากหลินฮุ่ยหมิ่นกลับเข้าไปในรถม้า ทุกคนก็พร้อมเดินทางต่อ เซวียนชงอวี้เคาะผนังรถม้าเป็นสัญญาณให้เคลื่อนขบวนได้ องครักษ์เงาของเซวียนชงอวี้ไม่ได้ติดตามอยู่ห่างๆแล้ว เขาสั่งให้ทั้งห้าคนมาร่วมเดินทางไปด้วยเลย
หวงจื่อโม่ส่งข่าวให้กับขบวนขององค์ชายสาม(ที่ไร้เงาองค์ชาย) ได้รับทราบพร้อมทั้งให้เร่งการเดินทางให้เร็วขึ้นเพื่อไปพบกันยังเมืองหน้าด่านในอีกสองคืน
สายตาที่จับจ้องทำให้ฮุ่ยหมิ่นอ่านหนังสืออย่างไม่เป็นสุข
ทนรำคาญไม่ไหวเข้าก็ร้องเพ้ยออกมา
“นี่ท่านจะจ้องข้าให้พรุนไปทั้งตัวหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เด็กน้อย”เซวียนชงอวี้ถามออกไปอย่างใจคิด
“ข้าก็เป็นบุตรีแม่ทัพเฉิงไงเจ้าคะ เฉิงฮุ่ยหมิ่น” นางจะตอบทื่อๆไปอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม
“วาจาและการแสดงออกของเจ้าไม่เหมือนเด็กห้าขวบ” ฮุ่ยหมิ่นรับรู้ได้ถึงการประเมินจากอีกฝ่าย นางตัดสินใจถามกลับทันที
“ท่านก็ไม่เหมือนเด็กแปดขวบเช่นกันเจ้าค่ะ ท่านเป็นใคร”
เซวียนชงอวี้หัวเราะ เขาไม่เด็กพอที่จะตอบเลียนแบบนาง มันอายตัวเองเกินไป
“ได้ เจ้ามีความลับของเจ้า ข้ามีความลับของข้า”
ฮุ่ยหมิ่นพยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นด้วย
“ดี ข้ากับท่าน น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง!” พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง คว้าตำราสมุนไพรมาอ่านแก้หงุดหงิด
หมายเหตุ-radial artery injury : การบาดเจ็บต่อหลอดเลือดradial-ulna artery : หลอดเลือดข้อมืออยู่คนละฝั่งกับradial artery เลี้ยงมือเช่นกัน หากขาดไปเส้นใดเส้นหนึ่งส่วนมากก็จะยังไม่มีปัญหาขาดเลือด-prolene ชื่อไหมที่ใช้ซ่อมหลอดเลือด-clamp อุปกรณ์ใช้หนีบจับหลอดเลือดหรือเนื้อเยื่อ
กว่านางจะปรามแม่นมไม่ให้แตกตื่นกับเรื่องที่องค์ชายสามเสด็จมาด้วยได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน สำหรับบ่าวไพร่ที่เหลือนางปิดบังฐานะองค์ชายไว้เพื่อความปลอดภัย แจ้งเพียงว่าเซวียนชงอวี้เป็นบุตรขุนนางระดับสูงที่บิดาฝากร่วมเดินทางมาด้วย เซวียนชงอวี้รับสั่งให้ทุกคนเรียกเขาว่า คุณชายอวี้ ไม่ให้เรียกองค์ชายสาม ดังนั้นนางจึงไม่ใช้ราชาศัพท์กับเซวียนชงอวี้อีก
แม้ว่าชุดที่ใส่จะไม่บ่งบอกฐานะ แต่ท่วงท่าอิริยาบถล้วนทำให้ผู้พบเห็นนึกรู้ว่าเด็กชายคนนี้ต้องมาจากตระกูลผู้ดี
ฮุ่ยหมิ่นสังเกตจากการแต่งตัวและท่าทางยามต้องแวะพักตามเมืองต่างๆแล้ว องค์ชายจอมป่วนพระองค์นี้น่าจะคุ้นเคยกับการออกนอกวังเป็นแน่ เพราะเขาทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีทีท่าประดักประเดิด
ท่าทางจะหนีมาบ่อยล่ะสิ
นางเสียอีกที่มองไปมารอบตัวอย่างสนอกสนใจ สิ่งที่นางได้เห็นยามนี้ สภาพบ้านเมือง การแต่งตัว การใช้ชีวิต เคยเห็นก็แต่ในโทรทัศน์กับพิพิธภัณฑ์เท่านั้น
จากเมืองหลวงไปจนถึงสำนักหย่งฉือใช้เวลาเดินทางด้วยรถม้าทั้งสิ้นเจ็ดวัน
ขณะนี้ขบวนของฮุ่ยหมิ่นออกเดินทางวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว สองคืนก่อนหน้านี้นางได้พักแรมในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่มีห้องพักสะดวกสบาย แต่เมืองที่จะพักในคืนนี้เป็นเมืองเล็กๆ ทางคนนำทางได้บอกกับนางก่อนแล้วว่าอาจไม่สะดวกสบายเช่นเดิม
ฮุ่ยหมิ่นไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ชาติก่อนระหว่างเทรนต้องบอกว่า หากได้กินหรือได้นอนก็ถือเป็นโชคแล้ว ไม่เกี่ยงหรอกว่าจะสภาพไม่ดียังไง
การเดินทางวันนี้จำเป็นต้องผ่านหุบเขาและแนวเทือกเขา แม้ว่าจะเป็นทางที่ผู้คนใช้สัญจรทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่มีผู้คนพลุกพล่าน นานๆจะเห็นรถม้าวิ่งมาสักคันหนึ่ง
ระหว่างทางไม่มีโรงเตี๊ยมหรือร้านอาหาร นางจำเป็นต้องทานอาหารที่คนรับใช้ได้จัดเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนออกเดินทาง รสชาดยังอร่อยอยู่แม้จะเย็นชืดไปสักหน่อย
ฮุ่ยหมิ่นเหลือบมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ องค์ชายผู้สูงศักดิ์ทานแบบเดียวกับนางหน้าตาเฉย ไม่แสดงท่าทีรังเกียจรังงอนใดๆกับความไม่สะดวกสบายนี้ รวมถึงไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใดๆ วางตัวสุขุมเกินวัยอย่างที่นางเคยเห็นยามอยู่ที่ตำหนักของเขา ทำตัวเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีของนาง
เป็นอย่างนี้ได้ก็ดี ไม่เช่นนั้นทุกคนที่มาด้วยคงต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
กิจกรรมระหว่างเดินทางที่นางและเซวียนชงอวี้ต่างทำคืออ่านหนังสือ นางอ่านตำราจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยโรคและตำราสมุนไพร ส่วนเขาอ่านตำราพิชัยสงคราม
ความรู้ที่ติดตัวมาจากชาติก่อนจะมีประโยชน์กับนางในแง่ของการวินิจฉัยโรคโดยอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เมื่อพูดถึงการจับชีพจรที่เป็นวิธีหลักในสมัยนี้แล้วฮุ่ยหมิ่นไม่มีความรู้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการใช้ยา นางรู้จักแต่ยาสมัยใหม่ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี ไม่เคยได้สั่งจ่ายสมุนไพรเองเลย
หลังทานอาหารกลางวันเรียบร้อย ทั้งนางและเขาต่างก็อ่านหนังสือของตน จู่ๆเซวียนชงอวี้ก็พับตำราไว้ข้างตัว ใบหน้าขาวหรี่ตาคู่คมลง เรียวปากบางขยับเรียกฮุ่ยหมิ่นเบาๆ
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่อ่าน
“ไม่ว่าจะได้ยินหรือได้เห็นสิ่งใด จงอยู่แต่ในรถม้า ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”
คำพูดชวนตระหนกทำให้เด็กหญิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เซวียนชงอวี้ไม่ได้ไขข้อข้องใจให้นางเพิ่ม เขาขยับตัวเข้าใกล้หน้าต่าง เปิดผ้าม่านเพียงเล็กน้อย ในมือหยิบของตรงอกเสื้อขึ้นมา ฮุ่ยหมิ่นไม่ได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไร แต่เพียงไม่กี่อึดใจรถม้าก็หยุดกระทันหันจนฮุ่ยหมิ่นเซไปกระแทกผนังด้านหนึ่ง ไม่ทันจะร้องด้วยความตกใจ มือเล็กๆก็พุ่งมาอุดปากนางแน่น
เสียงความวุ่นวายจากการต่อสู้และดาบที่ปะทะกันอยู่ด้านนอกทำให้ฮุ่ยหมิ่นแทบลืมหายใจ
เซวียนชงอวี้ลากนางที่ถูกเขาปิดปากไปนั่งข้างๆ นัยน์ตาของเด็กหญิงตัวกลมฉายแววตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด
“เงียบๆนะ มีคนร้าย”
หา!! นี่นางต้องมาเจอฉากต่อสู้แบบในหนังที่เคยดูใช่หรือไม่ ถ้าเป็นพระเอกกับนางเอกย่อมมีชีวิตรอดออกไปแน่ๆ แต่ปัญหาคือ นางไม่มั่นใจว่าที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ได้รับบทเช่นไร อาจจะเป็นตัวประกอบที่ตายก่อนก็เป็นได้ ..ก็ชาติที่แล้วไม่เคยได้เป็นนางเอกแม้สักครั้ง
เดี๋ยวนะ ถ้านับอายุกันตามจริง หลินฮุ่ยหมิ่นอายุจะสามสิบอยู่แล้ว เหตุใดต้องให้คนอายุแปดขวบมาคอยดูแลด้วยเล่า
เด็กหญิงตั้งท่าจะหนีจากอ้อมแขนเล็กที่รั้งตัวไว้แน่น แต่นางคงดูถูกเซวียนชงอวี้มากไป หรือไม่ก็ประเมินกำลังกายของเด็กห้าขวบสูงเกินไป เพราะเขาไม่กระเทือนเลยแม้แต่น้อย
เสียงขู่สำทับมาดุๆที่ข้างหู
“ซาลาเปาน้อยถ้าไม่อยากกลายเป็นซาลาเปานึ่งให้เจ้าพวกข้างนอกกินก็อยู่นิ่งๆ”
หน็อยย เจ้าเด็กน้อยกล้าขู่มารดาเรอะ!!
ปล่อยมารดาสักทีเซ่!
“ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะไม่ส่งเสียง เพราะงั้นข้าอุดปากเจ้าไว้น่ะดีแล้ว”
หน้าของฮุ่ยหมิ่นคงไม่มีทางจะหงิกไปกว่านี้ได้อีก ในยุคโบราณที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ กระทั่งองค์ชายวัยแปดชันษายังคุมสติได้ถึงขนาดนี้เมื่อพบคนร้าย นี่ยุคนี้เขาเลี้ยงเด็กกันอย่างไรล่ะนี่ ชาติที่แล้วตอนแปดขวบหลินฮุ่ยหมิ่นยังเล่นไล่จับกับเพื่อนอยู่เลย
“ไม่ต้องกลัว ข้าส่งสัญญาณเรียกองครักษ์แล้ว ถ้าไม่ใช่นักฆ่ายอดฝีมือจริงๆ องครักษ์ข้าเหงื่อไม่ออกด้วยซ้ำ”
เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะช้าๆอย่างสงบอยู่เบื้องหลังทำให้เด็กหญิงใจเย็นลง
ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ สรรพเสียงทุกอย่างก็เงียบลง สวี่หลานเซ่อหัวหน้าองครักษ์เงาของเซวียนชงอวี้เปิดประตูรถม้าเข้ามารายงาน เมื่อเห็นหน้าคนที่มาใหม่ องค์ชายน้อยจึงยอมปล่อยตัวเด็กหญิงให้เป็นอิสระ
“สถานการณ์เป็นอย่างไร หลานเซ่อ”
“เรียนคุณชาย เมื่อสักครู่มีโจรประมาณยี่สิบคนต้องการจะดักปล้น พวกข้าน้อยกับบ่าวไพร่ของคุณหนูเฉิงสามารถจัดการไว้ได้ขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”น้ำเสียงสวี่หลานเซ่อกล่าวเสียงเรียบเหมือนบริกรแนะนำรายการอาหาร ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ
“เหลือไว้หนึ่งคนเพื่อส่งให้ทางการสอบปากคำ”คนเป็นนายก็ไม่ต่างกัน
“ขอรับ”
เดี๋ยวนะ.. เหลือไว้หนึ่งคน แปลว่าที่เหลือ..
เด็กหญิงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ลอบมองเซวียนชงอวี้อย่างหวาดๆ น้องชาย บ้านเมืองมีขื่อมีแป เจ้าแค่แปดขวบนี่สั่งฆ่าคนแล้วรึ เจ้ามันปีศาจน้อยชัดๆ
ราวกับเซวียนชงอวี้จะอ่านใจนางได้ นัยน์ตาหงส์คู่งามหรี่ลง มือเล็กเอื้อมมาเคาะหัวนางไม่เบานัก
“ต่อให้ข้าปล่อยไปแล้วอย่างไร ปองร้ายเชื้อพระวงศ์มีโทษคือตาย จะตายตอนนี้หรือถูกทรมานจนตายก็ไม่ต่างกัน”
เหตุใดองค์ชายน้อยจึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่านางนักนะ พี่สาวจะสามสิบแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองต่อภัยที่นางแสดงออกย่อมเป็นปกติสำหรับมนุษย์
แต่คนที่ผิดปกติคือเซวียนชงอวี้ต่างหาก!!
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนเด็กแปดขวบสักนิด แต่เหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาแล้วด้วยซ้ำ
ฮุ่ยหมิ่นไม่มั่นใจว่าท่าทีทะเล้นกวนๆ ตอนเป็นตัวป่วน หรือความสุขุมเยือกเย็นยามนี้ สิ่งใดคือตัวจริงของคนตรงหน้า
ความคิดเดิมวนกลับมาอีกครั้ง
หรือเขาจะมาจากชาติภพอื่นอย่างนาง
เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วฮุ่ยหมิ่นก็เปิดประตูรถม้าลงไป พาให้องค์ชายน้อยต้องขยับตัวตาม
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปดูคนของข้า” เด็กหญิงตอบโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง
สภาพภายนอกที่นางได้เห็นยามนี้มีเพียงร่างที่นอนแน่นิ่งของโจรที่มีแผลฉกรรจ์ตามตัว นางไม่ได้เข้าไปตรวจดูเลยแม้แต่น้อย หักใจเดินไปให้ห่างแม้หางตาจะยังเห็นทรวงอกของคนร้ายคนหนึ่งไหวกระเพื่อมน้อยๆ เผลอขบฟันกับริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ
ถ้าหากยังมีลมหายใจแล้วเช่นไร
ไม่ว่านางจะช่วยชีวิตแค่ไหน คนกลุ่มนี้ก็ต้องถูกทรมานจนตาย
ในชาติภพเดิม ขอเพียงมีสัญญาณชีพ ในเคสแบบนี้หลินฮุ่ยหมิ่นทุ่มสุดตัว นางย้อนนึกถึงอดีตที่เคยมีคนไข้ขับรถจักรยานยนต์ชนกับรถบรรทุก การกู้ชีพทำอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง คนเจ็บไม่ตอบสนอง แต่ในนาทีสุดท้ายที่จะขานเวลาเสียชีวิต เขากลับมีชีพจรขึ้นมา
ฮุ่ยหมิ่นสั่งอัดยากระตุ้นความดันแล้วลากคนเจ็บเข้าห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่อวัยวะภายในเขาบอบช้ำเกินไป แม้ฮุ่ยหมิ่นจะพยายามทำสักเท่าไหร่ เลือดที่ไหลราวกับท่อน้ำแตกจากตับก็ไม่สามารถหยุดลง คนเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ไม่ต้องสนใจว่าคนเจ็บเคยเป็นใคร จะยากดีมีจน เทพบุตรหรือซาตาน ผู้ป่วยอยู่ตรงหน้า หน้าที่คือรักษาสุดกำลังไม่บิดพลิ้ว
แต่นางในยามนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีก ไม่ง่ายเลยสำหรับคนเป็นหมอที่จะทิ้งให้คนเจ็บตายต่อหน้าโดยไม่ดูดาย
เด็กหญิงเห็นหนึ่งในคนรับใช้ของนางกุมข้อมือที่เลือดออกไว้ ฮุ่ยหมิ่นปราดเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว เลือดออกเรื่อยๆจากข้อมือตามจังหวะการเต้นของชีพจร จากตำแหน่งที่โดนฟัน นางรู้ในทันทีว่า radial artery injuryแน่นอน คว้าผ้าผืนหนามาอุดตรงรอยแผลไว้ คลำชีพจรจากเส้นเลือดฝั่งทางด้านนิ้วก้อย
เจ้าหนุ่มนี่โชคดี ulna artery น่าจะsupplyพอ
ตามปกติ radial artery injury ต่อได้ให้ต่อ แต่ถ้าต่อไม่ได้ ผูกทิ้งก็ได้ ฮุ่ยหมิ่นโยนทางเลือกแรกทิ้งไป ในยุคสมัยนี้ไม่มีProlene 7-0ให้นางใช้หรอกนะ หากจะผูก ก็ไม่มีsilk กับclampเช่นกัน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย เจ้าหนุ่มนี่เลือดออกหมดตัวตายแน่นอน หลอดเลือดนี้ใช่จะหยุดเองด้วยการกดเสียเมื่อไหร่ ไม่นับเส้นเอ็นที่เธอยังไม่ทันตรวจว่าบาดเจ็บไปเท่าไหร่ด้วย
เซวียนชงอวี้สั่งให้บ่าวไพร่นำกล่องปฐมพยาบาลมาไว้ก่อนแล้ว เด็กชายสะกิดฮุ่ยหมิ่นแล้วยื่นกล่องให้ เด็กหญิงควานหาอุปกรณ์ที่พอจะใช้ได้ ในนั้นนางเห็นอุปกรณ์บางอย่างคล้ายที่จับแบบforcepที่เคยใช้ในยุคปัจจุบัน เด็กหญิงใช้มันจับหลอดเลือดนั้นไว้ เพียงเท่านั้นเลือดที่กำลังไหลก็ออกช้าลงมาก
โอเค อย่างน้อยก็หยุดได้สักครู่
ทีนี้จะใช้อะไรผูกมันดีล่ะนี่ และถ้านางผูก ใครจะมาเป็นคนจับหลอดเลือดให้ ตอนนี้ไม่มีclampที่สามารถล็อคได้นี่นา
เจ้าหนุ่มตรงหน้าสะบัดศีรษะไปมาด้วยความเจ็บปวด
เดี๋ยวสิ นางนึกออกแล้ว
ฮุ่ยหมิ่นสั่งให้คนรับใช้นำน้ำสะอาดกับกรรไกรมา กวักมือเรียกเซวียนชงอวี้ให้มาจับแทน
“ท่านห้ามปล่อยนะ ถ้าปล่อยเลือดจะออกอีก อย่าออกแรงมากเกินจนมันขาดด้วยล่ะ ถือนิ่งๆไว้อย่างนั้นนะ” เด็กหญิงออกคำสั่งใส่องค์ชายเป็นชุด
ดูหน้าก็รู้แล้วว่าเซวียนชงอวี้มีคำถาม แต่นางไม่ต้องการตอบตอนนี้ เท่าที่กวาดตามองรอบๆก็ไม่เห็นใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอีก ยิ่งองครักษ์เงายิ่งเหมือนไม่ได้ออกแรงใดๆ
ฮุ่ยหมิ่นรับกรรไกรจากแม่นมของนางมา เด็กหญิงตัดผมของเจ้าหนุ่มที่ใช้ผ้ามัดรวบไว้มาไม่กี่เส้นมาหนึ่งเชียะ จัดการล้างเร็วๆกับน้ำสะอาด นำเส้นผมทั้งหมดรวบไว้
เด็กหญิงจัดการผูกด้วยปมแบบที่เธอเรียนมาตรงหลอดเลือดโดยใช้เส้นผมของเจ้าตัว ใต้ต่อจุดที่เซวียนชงอวี้จับให้นางอยู่ เส้นผมมีความเปราะบางมากกว่าไหมที่เคยใช้มากนัก ฮุ่ยหมิ่นจึงผูกปมอย่างเบามือที่สุด
หลอดเลือดเมื่อถูกตัดจนขาด ย่อมมีด้านต้นและด้านปลาย นางจัดการด้านต้นที่มาจากหัวใจแล้ว ก็ยังเหลือด้านปลายอีกด้าน เด็กหญิงทำแบบเดียวกันกับฝั่งที่เหลือ
เลือดที่ออกจากหลอดเลือดหยุดสนิท เหลือเพียงที่ออกจากraw surfaceเท่านั้น ที่ยังคงซึมเอื่อยๆ แต่นั่นไม่น่าห่วงแล้ว แค่พันแผลแน่นๆอาศัยแรงกดก็อยู่
สิ่งที่น่ากลัวในลำดับต่อมาคือแผลติดเชื้อ นางใช้สิ่งแปลกปลอมที่ไม่ผ่านกระบวนการปลอดเชื้อทิ้งไว้ในร่างกายคนไข้
ยาฆ่าเชื้อจ๋าอยู่หนใด พี่สาวอยากได้เหลือเกิน
“เรามียาฆ่าเชื้อโรคหรือไม่”
“อันใดคือยาฆ่าเชื้อโรคหรือเจ้าคะ..”แม่นมตอบนางด้วยท่าทางงุนงง
โอเค ยุคสมัยนี้ไม่มีแน่นอน
“ใส่ยาทาแผลกับจัดยาตามปกติให้เขากินเถิด” พูดจบก็เดินลิ่วๆตรงไปยังรถม้า ขาสั้นๆตะกายปีนจนสำเร็จแล้วหายเข้าไป ไม่สนใจกับสายตาตื่นตะลึงของทุกคนที่มองตามไปแม้แต่น้อย
ประมาณหนึ่งเค่อหลังจากหลินฮุ่ยหมิ่นกลับเข้าไปในรถม้า ทุกคนก็พร้อมเดินทางต่อ เซวียนชงอวี้เคาะผนังรถม้าเป็นสัญญาณให้เคลื่อนขบวนได้ องครักษ์เงาของเซวียนชงอวี้ไม่ได้ติดตามอยู่ห่างๆแล้ว เขาสั่งให้ทั้งห้าคนมาร่วมเดินทางไปด้วยเลย
หวงจื่อโม่ส่งข่าวให้กับขบวนขององค์ชายสาม(ที่ไร้เงาองค์ชาย) ได้รับทราบพร้อมทั้งให้เร่งการเดินทางให้เร็วขึ้นเพื่อไปพบกันยังเมืองหน้าด่านในอีกสองคืน
สายตาที่จับจ้องทำให้ฮุ่ยหมิ่นอ่านหนังสืออย่างไม่เป็นสุข
ทนรำคาญไม่ไหวเข้าก็ร้องเพ้ยออกมา
“นี่ท่านจะจ้องข้าให้พรุนไปทั้งตัวหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เด็กน้อย”เซวียนชงอวี้ถามออกไปอย่างใจคิด
“ข้าก็เป็นบุตรีแม่ทัพเฉิงไงเจ้าคะ เฉิงฮุ่ยหมิ่น” นางจะตอบทื่อๆไปอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม
“วาจาและการแสดงออกของเจ้าไม่เหมือนเด็กห้าขวบ” ฮุ่ยหมิ่นรับรู้ได้ถึงการประเมินจากอีกฝ่าย นางตัดสินใจถามกลับทันที
“ท่านก็ไม่เหมือนเด็กแปดขวบเช่นกันเจ้าค่ะ ท่านเป็นใคร”
เซวียนชงอวี้หัวเราะ เขาไม่เด็กพอที่จะตอบเลียนแบบนาง มันอายตัวเองเกินไป
“ได้ เจ้ามีความลับของเจ้า ข้ามีความลับของข้า”
ฮุ่ยหมิ่นพยักหน้าหงึกๆอย่างเห็นด้วย
“ดี ข้ากับท่าน น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง!” พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง คว้าตำราสมุนไพรมาอ่านแก้หงุดหงิด
หมายเหตุ-radial artery injury : การบาดเจ็บต่อหลอดเลือดradial-ulna artery : หลอดเลือดข้อมืออยู่คนละฝั่งกับradial artery เลี้ยงมือเช่นกัน หากขาดไปเส้นใดเส้นหนึ่งส่วนมากก็จะยังไม่มีปัญหาขาดเลือด-prolene ชื่อไหมที่ใช้ซ่อมหลอดเลือด-clamp อุปกรณ์ใช้หนีบจับหลอดเลือดหรือเนื้อเยื่อ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ