Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  13.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Curiosity killed the cat

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

6. Curiosity killed the cat


เพิ่งได้พักจากการต่อสู้กับโจรเพียงหนึ่งคืน ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นกับขบวนอีกครั้ง เมื่อคนบังคับรถม้าทั้งสองคนและบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งล้วนถ่ายท้องกันจนหน้าซีดเซียว ยังดีที่นางเผื่อเวลาไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


ฮุ่ยหมิ่นแทบจะกรีดร้องออกมาดังๆ นี่มันจะอะไรกันนักหนา


ธรรมชาติของหมอศัลยกรรมทั่วไปไม่ได้ใจเย็นนัก ถ้าเห็นว่านิ่ง จริงๆแล้วอาจเป็นน้ำแข็งบนปากปล่องภูเขาไฟที่รอปะทุมากกว่า


ฮุ่ยหมิ่นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


นางไม่อยากเป็นจุดสนใจใดๆให้ผู้อื่นสงสัยทั้งนั้น แต่ทำไมเรื่องราวเหล่านี้ต้องวิ่งมาหานางด้วย


เมื่อถึงจุดพักม้าเด็กหญิงก็เดินไปดูคนป่วยที่นอนพัก


ตายังไม่โหล แต่ปากแห้งแล้ว ฮุ่ยหมิ่นคลำชีพจรของพวกเขา มันเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ ทั้งหมดบ่งบอกว่าคนเหล่านี้กำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ


เด็กหญิงออกคำสั่งให้บ่าวคนหนึ่งไปต้มน้ำ รอจนเดือดจึงใส่เกลือและน้ำตาลลงไปตามสัดส่วนที่จำได้ ทิ้งให้เย็นพอไม่ลวกปากจึงให้คนรับใช้ที่เหลือจัดการป้อนให้คนเจ็บ


ระหว่างนั้นฮุ่ยหมิ่นก็สอบถามอาหารการกินไปพลาง ถามลักษณะอุจจาระจากคนป่วย แน่ล่ะว่าพวกเขามองนางตาแทบถลน ค่อยวางใจลงบ้างเมื่อซักประวัติไปแล้วท้องร่วงในครั้งนี้น่าจะมาจากเชื้อไวรัสเท่านั้น ไม่ใช่อหิวาต์อย่างที่นึกกลัว เด็กหญิงนิ่วหน้าเมื่อพบต้นเหตุ เป็นอย่างที่นางคิด สุขอนามัยในยุคสมัยนี้ยังเป็นปัญหาจริงๆ


ฮุ่ยหมิ่นเรียกบ่าวไพร่ที่ยังไม่ป่วยหรือมีอาการน้อยมารวมกัน ด้วยฐานะบุตรสาวแม่ทัพอันสูงส่งทำให้ไม่มีใครกล้าแย้งในสิ่งที่นางบอกให้ทำ เริ่มจากการรักษาความสะอาด ดื่มน้ำเฉพาะน้ำที่ต้มสุกแล้ว การล้างมือก่อนทานอาหาร หลังจัดการธุระส่วนตัว และหลังสัมผัสผู้ป่วย


ทุกการกระทำของนางย่อมไม่หลุดรอดไปจากการสังเกตของเซวียนชงอวี้


เมื่อต้องกลับขึ้นมาบนรถม้า เด็กชายกลับไม่ได้ถามคำถามใดกับนาง นั่งเปิดหนังสือในมือตนไปเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็นับว่าดี นึกขอบคุณในใจที่เขายอมละเว้นไม่ทำให้นางกระอักกระอ่วน ฮุ่ยหมิ่นขี้เกียจจะโกหกในสิ่งที่อีกฝ่ายจับได้ในทันที


อ้างว่ามาจากตำราหรือ .. ถ้าเขาเชื่อในสิ่งที่นางพูดก็คงไม่ต้องเป็นมันแล้ว ตำแหน่งองค์ชายเนี่ย

 


ผ่านไปสักพักเซวียนชงอวี้ก็วางหนังสือในมือลง ขยับท่าจากนั่งพิงพนักเป็นเอนลงเรื่อยๆจนดูจะเหมือนเลื้อย ท่าทางในยามนี้ช่างดูขี้เกียจได้ใจ สุดท้ายก็เปลี่ยนไปนอนหงาย มือสองข้างหนุนใต้ศีรษะไว้


“ซาลาเปาน้อย เจ้าพอมีความรู้เกี่ยวกับสำนักหย่งฉือบ้างหรือไม่”


เด็กหญิงเลิกคิ้วขึ้นกับคำถาม ไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอะไร


“สตรีดีงามที่ไหนเขาเลิกคิ้วแทนคำพูดกันแบบนี้ ฮุ่ยหมิ่น”ลากเสียงยานคางพร้อมแววตาเอือมระอาอีกต่างหาก


“บุรุษที่ดีงามก็ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์สตรีซึ่งๆหน้านะเจ้าคะ”


ฮุ่ยหมิ่นรู้อยู่เต็มอกว่าเซวียนชงอวี้เป็นคนดี แต่ให้ตายเถอะ เขายั่วให้นางหงุดหงิดได้ง่ายนัก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอื่นๆจึงมองเขาเป็นตัวป่วน แค่นางอยู่กับเขาไม่นานยังจี๊ดขึ้นสมองเลยเชียว


สุดท้ายก็ตัดสินใจปรับพฤติกรรมตนเองให้สำรวมมากขึ้น อย่างไรเสียเขาก็สั่งตัดหัวนางได้ ต้องเย็นเข้าไว้


“ข้าทราบแค่ว่าเป็นสำนักศึกษาที่โดดเด่นในหลายสาขาวิชาเจ้าค่ะ สามารถเลือกเรียนได้ตามแต่ความสนใจ”


“จริงๆแล้วที่นั่นยังสามารถจัดตารางเรียนให้ตัวเองได้ด้วยนะ”


“อย่างไรหรือเจ้าคะ”


“ถ้าผู้สมัครมีสักสองสามสาขาที่สนใจ สามารถดูตารางในแต่ละวัน เพื่อลงว่าวันใดเข้าเรียนวิชาใด จะมีการสอบวัดระดับเมื่อได้เรียนในวิชาเหล่านั้นครบตามเกณฑ์ เพียงแต่เมื่อแรกเข้า ในสองปีแรก จะสามารถลงเรียนได้อย่างมากเพียงสามวิชาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะกระจัดกระจายจนเกินไป”เสียงนุ่มว่ามาเรื่อยๆ นี่เขาไม่กวนประสาทใครก็เป็นนี่นา


ฮุ่ยหมิ่นลอบมองสังเกตเซวียนชงอวี้เงียบๆ องค์ชายสามผู้นี้มีเครื่องหน้าที่สตรีหลายคนต้องอิจฉา ดวงหน้ารูปไข่ นัยน์ตาหงส์สีดำสนิท คิ้วเรียวโก่งได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน เรียวปากบางสีชมพูระเรื่อ ผิวพรรณขาวนวลเนียนราวหิมะแรกตก ไม่เห็นร่องรอยไฝฝ้าหรือแผลเป็นนอกร่มผ้าเลยแม้แต่น้อย


ขนาดเขาเล่นซนออกบ่อยทำไมจึงขาวได้เนียนดีอย่างนี้นะ


ดูท่าแล้ว หากเซวียนชิงอวี้โตไปแบบนี้โดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนไปแล้วคล้ายฮองเฮามากขึ้น เขาต้องเป็นองค์ชายที่งามล่มเมืองแน่ๆ


“ซาลาเปาน้อย เจ้าคิดสกปรกสิ่งใดอยู่ในใจ”


น้ำเสียงตวัดห้วนพร้อมแววตาที่เปลี่ยนไปทำให้ฮุ่ยหมิ่นสะดุ้งวาบ


“ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ ข้าเพียงนึกภาพตามท่านเท่านั้น”


เซวียนชงอวี้แค่นเสียง เฮอะ ในลำคอ


“นึกภาพสำนักตามข้าจนน้ำลายเจ้าจะไหลยืดเลยเนี่ยนะ”


ประโยคนี้ทำเอาฮุ่ยหมิ่นแทบหงายหลัง เชอะ มารดาไม่ชอบเด็กหรอกย่ะ มารดาชอบคนแก่กว่าสักสามสี่ปี รู้ไว้ซะด้วย หรือถ้าให้เทียบแล้วพี่ชายของท่าน ยังหล่อเหลามาดเข้มสมชายชาตรีดูอบอุ่นกว่าตั้งเยอะ


อุตส่าห์จะตั้งใจทำตัวเรียบร้อยแล้วเชียว สงสัยต่อไปคงมองหน้าเวลาเซวียนชงอวี้พูดนานๆไม่ได้ เด็กอะไรยิ่งมองยิ่งสวย


“ท่านจะเลือกเรียนอะไรบ้างหรือเจ้าคะ”


“ข้าจะเรียนการทหารกับวรยุทธ์เป็นหลัก เรื่องการเมืองการปกครองคงเป็นลำดับสามของข้า”


“ที่ข้าสนใจเป็นเรื่องการแพทย์กับวรยุทธ์เจ้าค่ะ”


เซวียนชงอวี้ส่ายหน้า


“สิ่งหนึ่งที่เจ้ายังไม่รู้ ซาลาเปาน้อย จริงๆแล้วสำนักศึกษาหย่งฉือรับสอนตั้งแต่อายุแปดขวบปีขึ้นไป เพราะงั้นสามวิชาที่ให้เลือกคงมาใช้กับเจ้าไม่ได้หรอก”


“อ้าว..แล้วทำไมข้า..” ไม่เห็นมีใครบอกนางเลยนี่นา


“เพราะพี่ใหญ่กับเสนาบดีเหออย่างไรเล่า รับรองความเฉลียวฉลาดและรู้ความเกินวัยของเจ้า เจ้าจึงได้มาเรียนที่นี่พร้อมข้า”


เด็กหญิงทำตาปริบๆ อมยิ้มน้อยๆ องค์ไท่จื่อนี่น่ารักจริงเชียว ตอนอยู่กับขุนนางข้าราชบริพารก็สง่างาม ตอนอยู่กับเซวียนชงอวี้ก็เป็นพี่ชายที่แสนอ่อนโยนอบอุ่น แล้วยังเมตตาลูกนกลูกกาเช่นนางที่ทำประโยชน์สิ่งใดให้เขาไม่ได้


นางรู้สึกดีกับเจ้านายพระองค์นี้จริงๆ


โป๊ก!


แรงเขกไม่เบานักเคาะลงมาบนหัวน้อยๆของฮุ่ยหมิ่น


“โอ๊ย!! ท่านทำอะไรของท่านเนี่ย”เด็กหญิงโอดครวญแล้วทำปากยื่น มือกลมคลำตำแหน่งที่เจ็บป้อยๆ


“แก่แดดแก่ลมนัก!” เคลิ้มเชียวนะตอนเขาพูดถึงพี่ใหญ่ คิดบ้างไหมว่าใครเป็นคนขอให้พี่ใหญ่ออกหน้าให้เจ้าน่ะ ไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างแล้วยังเอาแต่คิดถึงพี่ชายเขาอีก


เซวียนชงอวี้ไม่รู้เป็นอะไร แต่ในใจมันคันยุบยิบ เด็กชายทำตาขวางแล้วพากลับเข้าเรื่อง


“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะได้เลือกเรียนอีกสองวิชาเสริมได้อย่างใจนอกเหนือไปจากวิชาแพทย์หรอกนะ คิดว่าทางอาจารย์คงรอให้เจ้าโตอีกหน่อยจึงค่อยให้เรียนวิชาอื่นเพิ่มเติม น่าจะเป็นอีกสามปีให้หลัง เพราะตอนนี้เจ้าเพิ่งห้าขวบ”


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”


วิชาอื่นสำหรับนาง ได้เรียนก็เป็นโอกาส ไม่ได้เรียนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ชาติก่อนต้องการเป็นเพียงแพทย์ ชาตินี้ก็เช่นกัน


ที่ท่านลุงเธอว่ามาเรื่องวิถีกุลสตรีนั่น ฮุ่ยหมิ่นสนใจน้อยยิ่งกว่าน้อย เด็กหญิงนอนคิดมาหลายราตรีแล้ว ไม่เชี่ยวชาญเพลงพิณ กาพย์กลอนหรือวาดรูป ก็จะดูไม่ดีในสายตาคนยุคนี้ ส่งผลไปถึงการเลือกคู่ครอง คำชื่นชมที่มีต่อวงศ์ตระกูล


ถามว่านางใส่ใจหรือ.. ก็ไม่


ขายไม่ออก ..แล้วอย่างไร


ไม่มีใครเลี้ยงดู .. วิชาแพทย์เลี้ยงตัวได้ไม่ต้องพึ่งสามี ชาติก่อนก็อยู่คนเดียวมาจะสามสิบปีโดยไม่เคยมีคนรัก นางไม่เห็นเป็นอะไร


โดนติฉินนินทาไปถึงวงศ์ตระกูล .. ถ้าบิดาพรรค์นั้นจะโดนหางเลขไปด้วย เหตุใดนางต้องแคร์


ไอ้วิธีบังคับมาแสดงความสามารถแบบในนิยายที่เคยอ่าน ถ้าต้องเจออย่างนั้นนางก็จะบอกไปตรงๆว่านางไร้ฝีมือ ทั้งชีวิตอยู่กับตำราแพทย์เท่านั้น ใครจะด่าจะเหน็บแนมสิ่งใดก็เชิญ


นี่คือสิ่งที่ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกยามนี้ แต่การอยู่ในโลกนี้นานวันเข้าก็ค่อยๆกร่อนอคติและความหัวดื้อที่มีให้ลดน้อยถอยลงไป ฮุ่ยหมิ่นจะได้เรียนรู้เรื่องนี้เองในภายหลังว่าการดื้อแพ่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาเพราะ โลก ไม่เคยหมุนตามใครหน้าไหน มีเพียง คน เท่านั้นที่ต้องหมุนไปกับโลกให้ได้


“เจ้ายังสนใจวรยุทธ์ด้วยใช่หรือไม่” เซวียนชงอวี้ถามอีกครั้งหลังจากเงียบไปพักใหญ่


“เจ้าค่ะ ข้าอยากป้องกันตัวเองได้”


“งั้นช่วงที่ข้าว่าง ข้าจะมาสอนเจ้าทีละเล็กทีละน้อยแล้วกัน”


หืมมมมม ใจดีจังเลยค่ะน้องชาย กินยาไม่เขย่าขวดรึเปล่าคะ


แม้ในใจจะคิดเช่นไร ต่อหน้าก็ตอบได้แค่..


“ฮุ่ยหมิ่นขอบพระคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”

 


การเดินทางในวันที่เหลือเป็นไปด้วยความราบรื่น ขบวนขององค์ชายสามมาพบกับขบวนของนางในหนึ่งคืนก่อนถึงจุดหมาย


บรรดาบ่าวไพร่จึงได้รู้ว่าตัวจริงของคุณชายสูงศักดิ์เป็นถึงพระโอรสขององค์จักรพรรดิ แต่ละคนล้วนขาแข้งอ่อนหวิดจะเป็นลม ต่างนึกทบทวนว่าที่ผ่านมาได้กระทำการสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินคนผู้นั้นหรือไม่


เซวียนชงอวี้บอกกับนางว่าเมื่อเข้าสำนักศึกษาให้ไปพร้อมๆกับเขา ไม่ทันจะถามพอเห็นสายตาดุๆแบบห้ามสงสัยก็ต้องกลืนทุกอย่างลงท้อง แล้วพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก


ก็แล้วจะไปด้วยกันเพราะเหตุใดเล่า นางไม่อยากทำตัวเป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์นี่นา


สิ่งหนึ่งที่นางได้ยินยามที่องครักษ์เข้ามารายงานกับเซวียนชงอวี้ คือ ขบวนขององค์ชายสามถูกดักโจมตีหนึ่งครั้ง ราชองครักษ์สามารถป้องกันไว้ได้ทั้งหมด ไม่มีชีวิตใดสูญเสีย พวกมันมิได้หมายปองทรัพย์สมบัติใดเป็นพิเศษ แต่พุ่งเป้าไปที่รถม้าของเซวียนชงอวี้โดยตรง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการปล้นขบวนของนางหนึ่งคืน


เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถจับตัวมาสอบสวนได้ เพราะเมื่อรู้ว่าทำงานพลาด พวกที่เหลือก็ชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายก่อนทั้งหมด


ฮุ่ยหมิ่นคันปากยิบๆ อยากถามเขานักว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้และเขารู้หรือไม่ แต่เด็กหญิงจะไม่มีวันเอ่ยออกมาเป็นอันขาด ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ยิ่งตายเร็วเท่านั้น ตอนแรกที่เขาตั้งท่าจะคุยเรื่องจริงจังกันนางจะย่องหนีอยู่แล้วเชียวแต่ก็มีมือแข็งแรงคว้าคอเสื้อเธอไว้แน่น เลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยนั่งลงข้างเขาตามเดิม


“อยากถามอะไรข้าหรือไม่ เด็กน้อย”


ฮุ่ยหมิ่นเม้มปากแน่น ส่ายหัวดิก


“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ถามและไม่อยากรู้เรื่องใดๆเพคะ”


Curiosity killed the cat ประโยคนี้ฮุ่ยหมิ่นท่องได้ขึ้นใจ


“ทีนี้รู้รึยังว่าทำไมข้าถึงเลือกมากับเจ้า”


“หม่อมฉันไม่รู้สิ่งใดเพคะ” ต่อให้รู้นางก็จะทำไขสือจนถึงที่สุด


“ตัวโง่งม”


“โง่ก็โง่เพคะ หม่อมฉันยังไม่อยากตาย”


“แล้วตอนนั้นใครกระโดดลงไป” เซวียนชงอวี้กอดอกเคียงคอหรี่ตามองมาทางนางอีกครั้ง


“ตอนนั้นก็ตอนนั้นเพคะ ตอนนี้มีคนสั่งให้หม่อมฉันอยู่แล้วนี่เพคะ”


คำตอบนี้ของนางทำให้เซวียนชงอวี้หัวเราะลั่น ดวงหน้าขาวคลี่ยิ้มสวยแบบที่ฮุ่ยหมิ่นแทบร้องกรี๊ดในใจ


มือข้างหนึ่งของเขาลูบศีรษะนางแผ่วเบา เด็กชายดูอารมณ์ดี ราวกับว่าเขาดีใจที่นางตัดสินใจเช่นนี้

 


ในชาติก่อนฮุ่ยหมิ่นประสบกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ที่ชื่อว่าโรคซึมเศร้า เพราะอยากเป็นที่รัก ไม่ได้ขัดขวางรังแกใคร แต่กลับทำดีกับทุกคน ทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนยินดี


เพื่อที่ฮุ่ยหมิ่นจะมีค่า


เพื่อที่จะมีคนที่รักในตัวฮุ่ยหมิ่น ไม่ใช่ในแง่ชายหญิง แต่เป็นความรักความเอ็นดู


เห็นว่าตัวเองมีค่าก็ต่อเมื่อได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น


มองเผินๆเหมือนเป็นเรื่องดี แต่มันกลายเป็นดาบที่แทงทะลุร่างของฮุ่ยหมิ่นเอง


หากทำพลาด สิ่งที่ฮุ่ยหมิ่นทำคือโทษตัวเอง ว่าตัวเองซ้ำๆ เหตุใดจึงทำไม่ได้ เหตุใดจึงทำให้ทุกคนผิดหวัง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่มันกลับใหญ่เหลือเกินในใจของฮุ่ยหมิ่น มองแต่ความผิดพลาดของตนที่มี ลืมเลือนความดีที่ตัวเองเคยทำไว้จนสิ้น


ยึดความสุขของตนเองจากการทำให้ผู้อื่นมีความสุข


ผูกความสุขของตัวเองไว้กับผู้อื่น


โดยลืมคิดไปว่า โลกของความเป็นจริง ความดี ไม่ได้จะซื้อความรักความเอ็นดูได้เสมอไป


ไม่ใช่ทุกครั้งที่ความดี จะได้รับการตอบแทนด้วยความดี


ไม่ใช่ทุกความพยายาม จะตอบกลับมาด้วยความเข้าใจ


มีเพียงครอบครัวเท่านั้นที่ยืนอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเจอวิกฤติใด เห็นคุณค่าในตัวของฮุ่ยหมิ่นเสมอ ความรักและความเอ็นดูฮุ่ยหมิ่นได้จากที่บ้านอย่างล้นเหลือ แต่ไม่เคยได้จากผู้ใด


ในชาตินั้น ฮุ่ยหมิ่นทำใจได้แล้วว่าไม่มีที่ของตัวเองอีกนอกจากครอบครัว


เมื่อมาเยือนที่แห่งนี้แล้วไม่มีใคร ฮุ่ยหมิ่นจึงอยากกลับไปหาพวกเขา


แต่คำสั่งเอาแต่ใจที่บอกว่า ข้าสั่งให้เจ้าอยู่


คือสายใยเพียงหนึ่งเดียวที่บอกว่ายังมีคนต้องการ และรั้งฮุ่ยหมิ่นไว้ในโลกใบนี้


แม้เขาจะไม่ทันคิดอะไร แต่มันมีค่ากับฮุ่ยหมิ่นจริงๆ


ในชีวิตใหม่นี้ สิ่งที่ฮุ่ยหมิ่นตั้งใจจะแก้ไขคือความสุขของตัวเอง ความสุขของนางจะขึ้นอยู่กับนาง ไม่ขึ้นกับผู้ใด


กระทำสิ่งดีใดก็เพื่อให้ใจของตัวมีความสุข มีความสุขที่ได้ช่วยคน ไม่ว่าคนๆนั้นจะรู้สึกดีหรือไม่ จะตอบแทนนางด้วยความดีหรือความร้ายกาจ นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางจะต้องใส่ใจ


ถ้าทำแล้วมีความสุขนางจะทำ แต่ถ้าไม่ ก็หยุดแค่ตรงนั้น


บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ต้องการให้นางคิดได้ และให้โอกาสฮุ่ยหมิ่นได้มีความสุขจริงๆอีกครั้ง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา