Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  13.58K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ข้าสั่งให้เจ้าอยู่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

2.ข้าสั่งให้เจ้าอยู่


องค์ชายสามของพวกเขา หรือ เซวียนชงอวี้ พระโอรสลำดับที่สามแห่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่ถือกำเนิดจากฮองเฮานั้นเฉลียวฉลาดสมชื่อ เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก ความคิดความอ่านก้าวหน้าเกินวัยไปมาก เป็นเลิศทั้งวิชาการ ตำราพิชัยสงครามและวรยุทธ์ หากแต่เจ้าตัวจงใจปิดบังมันไว้ด้วยภาพลักษณ์ตัวป่วนประจำวัง


นอกจากองครักษ์ทั้งห้าและขันทีสองคนที่รับใช้ใกล้ชิดแล้ว เพียงคนเดียวที่มององค์ชายสามออกก็คงจะเป็นองค์ไท่จื่อ เซวียนหย่งเต๋อ องค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์เซวียน พระเชษฐาแท้ๆเพียงองค์เดียวที่กำเนิดแต่ฮองเฮา ด้วยวัยที่ห่างกันถึงสิบชันษา เซวียนหย่งเต๋อจึงทั้งรักและตามใจพระอนุชาองค์นี้นัก คล้ายจะเป็นพระบิดาให้อีกฝ่ายเสียมากกว่า


เซวียนหย่งเต๋อและเซวียนชงอวี้ล้วนได้รับมรดกความงามบนใบหน้าจากทั้งฮ่องเต้เจิ้งเต๋อผู้ได้ชื่อว่าสง่างามองอาจไม่แพ้ใคร และเจียงฮองเฮา หญิงงามปานล่มเมืองแห่งยุค มาตรว่าแม้บิดาของนางจะเป็นเพียงเจ้ากรมยุติธรรม ไม่มีผลเกื้อหนุนใดๆต่อความมั่นคงของราชบัลลังก์ ฮ่องเต้เจิ้งเต๋อก็ยังทรงรักใคร่และแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา ส่วนตำแหน่งราชชายาที่เหลือจึงมาจากตระกูลขุนนางที่ถวายบุตรสาวเข้ามา


เมื่อเทียบกันสองพี่น้อง เซวียนหย่งเต๋อจะคล้ายพระบิดามากกว่า จึงดูคมเข้มห้าวหาญ หากเซวียนชงอวี้กลับคล้ายพระมารดา ใบหน้าจึงออกไปทางสวยมากกว่าผู้เป็นพี่ชาย

 


หลังจากรับฟังอาการของเด็กหญิงที่เพื่งช่วยมาจากหมอหลวงว่านางปลอดภัยดีแล้ว เซวียนชงอวี้ก็พยักหน้ารับ ส่งสัญญาณให้ขันทีตกรางวัล แล้วโบกมือไล่บ่าวไพร่ที่เหลืออยู่ให้ออกไปด้านนอก องค์ชายน้อยลอบสังเกตเด็กหญิงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินมานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ฉลุลายตัวโปรดที่อยู่ข้างเตียง


ตั้งแต่ที่เขาพบเด็กหญิงจนกระทั่งตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดจึงไม่มีใครติดตามค้นหาตัวนางเลยแม้แต่น้อย คนที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ล้วนมีแต่ขุนนางระดับสูง ทั้งๆที่บุตรธิดาที่พามาล้วนแต่เป็นทายาทของบุคคลสำคัญ


แล้วยังแววตาที่หมดอาวรณ์ใดๆในโลกหล้าที่เขาสังเกตได้อีก มีความทุกข์ใดที่ทำให้เด็กห้าขวบเป็นได้ถึงขนาดนี้ ดวงตาของนางราวกับคนที่เคยผ่านโลกมาแล้วฉะนั้น


นัยน์ตาสีดำน้ำตาลนั้นมองคว้างไม่จับจ้องสิ่งใด จวบจนได้ยินเสียงขยับเก้าอี้จากข้างตัวจึงหันมามองแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างระวังระไว


“ท่าน..”


ลุกขึ้นชั่วไม่นานก็โดนมือเล็กกดบ่าให้กลับไปนอนใหม่


“ซาลาเปาน้อย เจ้าคิดอะไรของเจ้า กระโดดลงไปทำไม เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไร น้ำในทะเลสาบนั่นลึกเพียงใดเจ้ารู้หรือไม่” น้ำเสียงรอบนี้ไม่ได้ดุดันอย่างคราก่อน แต่เรียบๆเรื่อยๆคล้ายจะปลอบเสียมากกว่า ดวงหน้าเล็กออกไปทางสวยมากกว่าหล่อเหลาทำเคร่งขรึมใส่จนหลินฮุ่ยหมิ่นนึกขำในใจ


คำถามเดิม ความหมายเดิม แต่เพิ่มคำเรียก ซาลาเปาน้อย มาด้วย เจ้าหนูจะลองดีกับมารดาหรืออย่างไร แล้วยังวางท่าเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดานั่นอีก หลินฮุ่ยหมิ่นใช้หน้ากลมๆของเด็กหญิงนิ่วคิดด้วยไม่ชอบใจนัก เรียกปากสีชมพูเม้มแน่น แสดงอาการว่าไม่ต้องการตอบ


“เจ้าไม่อยากพูดเปิ่นหวางไม่คาดคั้นเจ้าเรื่องนี้ก็ได้ แต่เจ้าต้องตอบเปิ่นหวางมาว่าเจ้าชื่ออะไร เป็นธิดาบ้านใด จะได้จัดการให้เจ้าได้อย่างถูกต้อง”


คำแทนตัวของอีกฝ่ายทำให้หลินฮุ่ยหมิ่นนึกรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ ท่าทางอดทนอดกลั้นและพยายามจะใจเย็นกับเธอทำให้หญิงสาวรู้สึกดีกับเด็กชายตรงหน้า


“เปิ่นหวาง ชื่อ เซวียนชงอวี้” เด็กชายตัดสินใจแนะนำตัวเองก่อน


“หม่อมฉัน แซ่เฉิง เฉิงฮุ่ยหมิ่นเพคะ”


“อ้อ เจ้าเป็นบุตรีของแม่ทัพเฉิงเองหรอกหรือ ไฉนเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อเจ้ามาก่อนเลย ได้ยินแต่บุตรชายที่ยังเพิ่งสี่ขวบ”


ฮุ่ยหมิ่นใช้ความเงียบแทนคำตอบ เพียงเท่านั้นเด็กชายที่หัวไวก็เข้าใจได้ มือเล็กเอื้อมมาลูบศีรษะเธอแผ่วเบา


น้ำตามากมายหลั่งไหลมาโดยปราศจากเหตุผล ทั้งความเจ็บปวดของเฉิงฮุ่ยหมิ่นที่ตกค้างอยู่ภายในร่างและความทุกข์ตรมของหลินฮุ่ยหมิ่นในยามนี้ ราวกับจะถูกปลอบประโลมไปพร้อมกัน


“ข้าไม่เชื่อว่าชีวิตจะเป็นของใครคนใดคนหนึ่งเต็มสิบส่วน ชีวิตเป็นของเจ้า แต่ชีวิตเจ้าส่วนที่เข้าไปผูกพันกับผู้อื่น ชีวิตเจ้าในส่วนนั้นก็เป็นของคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้าพรากชีวิตตัวเองก็เท่ากับพรากชิ้นส่วนของผู้นั้นไป”


ถ้อยคำเกินวัยสะท้อนกลับไปกลับมาในใจหลินฮุ่ยหมิ่น เหตุใดเด็กจึงมีความคิดเช่นนี้ นี่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ข้ามภพมาเช่นเธอหรือ นึกแล้วก็ต้องหัวเราะตัวเองในใจ เรื่องแบบนี้มันจะเกิดบ่อยๆได้อย่างไร


“หม่อมฉันไม่มีส่วนใดในชีวิตที่ผูกพันกับใคร”


เซวียนชงอวี้ถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าไปมา


“ตอนนี้เจ้ามีส่วนที่มาเกี่ยวข้องกับข้าแล้วอย่างไร ข้าช่วยเจ้าไว้นะ”


“หม่อมฉันจากไปก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อพระองค์” เด็กน้อยเอ๋ย น้ำใจของเจ้าพี่สาวซาบซึ้งยิ่งนัก


แต่ฮุ่ยหมิ่นก็ไม่ทันคาดไปถึงว่าองค์ชายตรงหน้าจะกระทำสิ่งที่เสื่อมเสียพระเกียรติอย่างเช่นการลดตัวลงมาใช้มือบีบแก้มของเด็กหญิงสองข้างแบบนี้


“ข้าช่วยเจ้าไว้ ชีวิตเจ้าเป็นหนี้ข้า เป็นของข้า ข้าสั่งให้เจ้าอยู่ เฉิงฮุ่ยหมิ่น เข้าใจหรือไม่!!”


หน็อยยย อย่าบีบแก้มพี่สาวด้วยท่าทางหมั่นเขี้ยวแล้วพูดถ้อยคำจริงจังเช่นนั้นสิ


แต่ ข้าสั่งให้เจ้าอยู่ .. คำพูดนี้ ก็เหมือนมีคนรั้งเธอไว้ในโลกใบนี้แล้ว


อยากตายไม่ได้ตาย เพราะมีคนสั่งให้มีชีวิตอยู่


เช่นนั้น หลินฮุ่ยหมิ่น เธอจะลองใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไปดีหรือไม่


เธอเคยอ่านหนังสือทะลุมิติมาก็มาก


ลองหน่อยไหม


ศัลยแพทย์เช่นเธอชอบความท้าทายนี่นา ไม่งั้นเธอจะชอบการผ่าตัดหรือ


หลินฮุ่ยหมิ่นยิ้มบาง


เฉิงฮุ่ยหมิ่น ถ้าหนูมองเห็นคอยดูน้านะ


“ตกลง”

 


เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกทำให้เซวียนชงอวี้รู้ว่าผู้ที่มาเป็นใคร


“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ องค์ชายสาม องค์ไท่จื่อเสด็จมาพร้อมด้วยแม่ทัพเฉิงจิ๋นหลี่และเสนาบดีเหอพะยะค่ะ”


“ทราบแล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไป”


ฮุ่ยหมิ่นขยับตัวจะลุกนั่งแต่ก็โดนมือคู่เดิมกดไว้


“ทำไม..”


“หรือเจ้าจะให้บิดาพรรค์นั้นรู้ความจริงทั้งหมด”


“พระองค์ไม่จำเป็นต้องเดือนร้อนเพราะหม่อมฉันเพคะ” เด็กหญิงอ้วนกลมหลุบตาลงต่ำ


แต่.. อาศัยข้อมูลเพียงเท่านี้เรียกบิดาผู้อื่นว่า บิดาพรรค์นั้น จะชมว่าฉลาดหรือปากร้ายดีเล่า องค์ชาย


“ข้าเองก็หลบองครักษ์ไปตรงนั้นเช่นกัน ให้ข้าหาข้ออ้างให้ตัวเองด้วยเถอะ ซาลาเปาน้อย”พูดจบก็เดินตรงไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

 


เซวียนชงอวี้ปรับสีหน้าสุขุมให้เปลี่ยนเป็นทะเล้นแบบเด็กๆปนเปกับความรู้สึกผิดได้ในเวลาอันรวดเร็วก่อนจะสาวเท้าไปที่เรือนรับรองของตำหนัก


“คารวะเสด็จพี่ใหญ่” องค์ชายน้อยคุกเข่าให้พี่ชายตัวเองที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน เมื่อได้รับสัญญาณมือให้ลุกขึ้นจึงเหยียดกายยืนตรง รับการคารวะจากแม่ทัพใหญ่เฉิงจิ๋นหลี่ และเสนาบดีเหอ เหอซือถง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงฝั่งมารดาของเด็กหญิงนั่งอยู่ด้วย


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าตัวแสบ ไหนเล่าให้พี่ฟังก่อน”


เซวียนชงอวี้นั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้างฝั่งขวามือของเซวียนหย่งเต๋อ ก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงเท่าที่แม่ทัพเฉิงจิ๋นหลี่พึงจะได้รับรู้


“เมื่อชั่วยามก่อน ข้าเห็นว่าน้องฮุ่ยหมิ่น เดินหงอยเหงาอยู่ด้านข้างที่สวนเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม ข้าจึงชวนน้องไปเดินเล่นด้วย พวกเราเดินไปเรื่อยๆจนถึงทะเลสาบ ระหว่างนั้นน้องฮุ่ยหมิ่นลื่นเลยพลัดตกลงไปในทะเลสาบ ข้าจึงลงไปช่วยขึ้นมา แล้วพามาที่จวนของข้า ตามหมอหลวงมาดูน้องที่นี่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”


ถ้อยคำเรียบๆธรรมดาประสาเด็กแต่ทำให้แม่ทัพใหญ่ถึงกับนั่งไม่ติดที่


ที่บอกว่าเฉิงฮุ่ยหมิ่นเดินหงอยเหงาเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม นั่นก็หมายความว่าบิดาอย่างเขาดูแลรักใคร่เพียงบุตรชายบุตรสาวจากฮูหยินรอง แต่ปล่อยปละละเลยบุตรสาวคนโตจากภรรยาเอก แม้ตนเองไม่สามารถอยู่ด้วยได้ก็ไม่ส่งคนรับใช้มาคอยดูแลอารักขา กระทั่งบุตรสาวหายตัวไปจนเกิดเรื่องร้ายก็ไม่รับรู้สิ่งใด


ถึงแม้บุตรชายจะมีค่ากว่าบุตรสาว แต่เขาที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ปกป้องแว่นแคว้น กลับทิ้งขว้างบุตรสาวคนสำคัญไม่ให้การดูแลที่เหมาะสม ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับได้เช่นกัน


ดวงตาเหยี่ยวขององค์ไท่จื่อฉายแววตำหนิมาที่เขาเพียงชั่วแวบ จากนั้นก็กลับมาสุขุมตามเดิม แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องหลบตา ไม่นับไฟโทสะที่คุกรุ่นในดวงตาของเสนาบดีเหอที่รู้ว่าหลานของตนถูกทอดทิ้งถึงเพียงนั้น


หากไม่ใช่เพราะองค์จักรพรรดิรับสั่งถึงบุตรสาวของเขา เฉิงจิ๋นหลี่ก็ไม่คิดจะพาเด็กคนนั้นมาที่นี่เช่นกัน ความโกรธขึ้งในใจที่ต้องสูญเสียหญิงอันเป็นที่รักไม่ได้จางไปง่ายๆ หนำซ้ำ ใบหน้าของฮุ่ยหมิ่นยังแทบไม่ได้เค้าความงามจากมารดาเลยแม้แต่น้อย พาลให้ไม่อยากเห็นหน้า ยังดีที่ฮูหยินรองที่เขารับมาให้กำเนิดบุตรชาย เขาจึงมีสิ่งให้หันเหจิตใจ ลืมความโศกเศร้า แล้วมาทุ่มเทให้บุตรชายคนนี้


สิ่งที่ทำให้เขายังคงสามารถเก็บฮุ่ยหมิ่นไว้ในจวนแม่ทัพได้คือความคิดที่บอกตนเองว่าเมื่อเด็กหญิงถึงวัยออกเรือน ในฐานะบุตรสาวของเขาจากภรรยาเอกที่พี่ชายเป็นเสนาบดีการคลัง จะมีประโยชน์ทางการเมืองต่อเขาและสกุลเฉิง จึงให้การกินการอยู่ไม่ได้ขาดแคลน


อนิจจา เฉิงจิ๋นหลี่กลับมิได้ให้ความรักใดๆ


หากเขาสามารถรู้อนาคตได้ ย่อมจะต้องเสียใจกับการกระทำเช่นนี้


แม่ทัพใหญ่ได้แต่กัดฟันกรอดๆในใจ พลางโทษทุกอย่างไปยังบุตรสาว ทั้งยังนึกสงสัยในวาจาของเซวียนชงอวี้ที่ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายแค่พูดไปตามประสาเด็ก หรือจงใจให้เขาเสียหน้าต่อหน้าองค์ไท่จื่อและเสนาบดีเหอกันแน่ แต่ก็รีบปัดความคิดเหลวไหลทิ้งไปเมื่อนึกได้ว่าองค์ชายสามคือตัวป่วนประจำวังหลวง ไม่น่าจะมีความคิดลึกซึ้งเช่นนั้นได้


เซวียนชงอวี้ลอบยิ้มเยาะในใจให้เฉิงจิ๋นหลี่ แต่ยังรักษาท่าทางแบบเด็กของตนไว้


“อาการของบุตรสาวกระหม่อมเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงนอบน้อม ท่าทีที่พยายามแสดงความเป็นกังวล หากแต่ทั้งเซวียนชงอวี้และเซวียนหย่งเต๋อกลับไม่รู้สึกถึงความห่วงใยใดๆที่มีต่อเด็กหญิงในห้องจริงๆ


ท่านเล่นละครได้แย่นัก ..เฉิงจิ๋นหลี่


แม้ใจจะคิดเช่นนั้น แต่ปากก็ต้องตอบไปอีกอย่าง


“หมอหลวงบอกว่าน้องฮุ่ยหมิ่นปลอดภัยแล้ว แต่ร่างกายสัมผัสกับไอเย็นจากน้ำในทะเลสาบมากเกินไป ทั้งยังเคยมีอาการเจ็บป่วยเดิม จึงจำเป็นต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่ง”


“เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอทูลลา พาตัวบุตรสาวกลับไปพักฟื้นที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”


“ท่านแม่ทัพ แต่เปิ่นหวางว่าน้องฮุ่ยหมิ่นยังดูเพลียอยู่มากไม่น่าจะเดินทางไหว ให้น้องพักอยู่ที่ตำหนักของเปิ่นหวางก่อนเถิด หากอาการดีขึ้นแล้วเปิ่นหวางจะเป็นคนส่งน้องกลับจวนท่านแม่ทัพด้วยตัวเอง”เซวียนชงอวี้เอ่ยขัดขึ้นมาทันที พร้อมกับหันไปมองพี่ชายของตนให้ช่วย


นึกเข่นเขี้ยวบริภาษอีกฝ่าย


ตาแก่เอ๋ย จะนำลูกไปซุกขังลืมที่จวนหรืออย่างไร


“กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ บุตรสาวต่ำต้อยของกระหม่อมแค่องค์ชายสามเมตตาช่วยไว้ก็นับเป็นพระกรุณามากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


เซวียนหย่งเต๋อพอจะสัมผัสได้ว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายดังเช่นที่น้องชายของตนเล่าให้ฟัง และยังรู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์ที่เซวียนชงอวี้แสดงออกด้วย


แค่เรื่องเล่ามานี้ก็น่ารังเกียจพฤติกรรมแล้ว แต่ความจริงที่มีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้นคงจะน่าชิงชังมากกว่าหลายเท่า จึงตัดสินใจช่วยเซวียนชงอวี้


ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งนั้น แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้


เพราะเซวียนหย่งเต๋อเลี้ยงน้องชายคนนี้มาแต่เล็กแต่น้อย จึงทั้งรักทั้งหลง ถือหางตามใจเสียยิ่งกว่าบิดามารดาเสียอีก


เซวียนหย่งเต๋อยิ้มน้อยๆอย่างสุภาพนุ่มนวลให้แม่ทัพใหญ่


“ท่านแม่ทัพ เปิ่นไท่จื่อเข้าใจดีว่าท่านคงจะยังไม่สบายใจ และอาจนึกเคืองชงอวี้อยู่ในใจที่เป็นเหตุให้บุตรสาวของท่านต้องตกอยู่ในอันตราย .. ความซุกซนของน้องชายเปิ่นไท่จื่อที่ก่อขึ้น ชงอวี้และเปิ่นไท่จื่อย่อมต้องรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด ท่านอุตส่าห์เสียสละนำทัพเพื่อบ้านเมือง แต่ชงอวี้กลับทำให้ท่านต้องทุกข์ใจเช่นนี้ หากไม่ได้ไถ่โทษ เปิ่นไท่จื่อคงไม่สามารถอภัยให้ตนเองได้” องค์ไท่จื่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ


“ว่ากันตามความผิดแล้ว ชงอวี้มีโทษต้องถูกโบยยี่สิบครั้ง และต้องสำนึกผิดอยู่ภายในตำหนักไม่ได้ออกไปไหนครึ่งเดือน แต่ชงอวี้ก็ยังรู้จักทำความดี ช่วยเหลือเฉิงฮุ่ยหมิ่น เปิ่นไท่จื่อจึงละเว้นโทษให้ เหลือแต่เพียงรับผิดชอบดูแลเฉิงฮุ่ยหมิ่นอย่างเต็มที่เท่านั้น”


ซุนกงกง ขันทีคนสนิทของเซวียนหย่งเต๋อได้แต่ส่งสายตากับหลี่กงกงแห่งตำหนักองค์ชายสาม ทั้งสองแอบหัวเราะองค์ไท่จื่อในใจ ปากว่าจะลงโทษโบยน้องชาย แต่จะตัดใจทำจริงได้ที่ไหนกัน


กาลก่อนที่เซวียนชงอวี้ซนหนักข้อยิ่งกว่านี้ จนฮ่องเต้และฮองเฮาพิโรธหนักตัดสินใจโบยองค์ชายน้อยด้วยองค์เอง แม้จะเพียงแค่สองที องค์ไท่จื่อที่รู้ข่าวก็ถลันไปหาน้องชายอย่างรวดเร็ว กางปีกปกป้องอย่างที่ฮ่องเต้ไม่สามารถกระทำอันใดได้ หรือถ้าหากทำ องค์ไท่จื่อก็จะรับแทนทั้งหมด


ด้วยเหตุที่ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างเอือมระอา หากองค์ชายสามกระทำความผิดสิ่งใด ทั้งคู่ยกให้องค์ไท่จื่อเป็นผู้ตัดสินน้องชายด้วยองค์เอง


เซวียนชงอวี้จึงประพฤติตนดีขึ้นบ้าง เนื่องจากไม่ต้องการให้เสด็จพี่ของตนต้องวุ่นวายด้วยเรื่องไร้สาระที่เขาเป็นผู้ก่อ สถานการณ์ภายในวังจึงนับว่าดีขึ้น


ฝ่ายแม่ทัพเฉิงจิ๋นหลี่ เมื่อได้ฟังถ้อยคำนี้ก็ทำได้เพียงแค่คุกเข่าคารวะในความเมตตาที่อีกฝ่ายมีต่อตนและบุตรสาว


ขืนเขารีบร้อนพาเฉิงฮุ่ยหมิ่นกลับในคืนนี้ ย่อมจะหมายความว่าเขาคับข้องไม่พอใจกับองค์ชายสามรวมถึงองค์ไท่จื่อ นั่นย่อมไม่ใช่ผลดีต่อสกุลเฉิง อีกทั้ง เมื่อดีดลูกคิดรางแก้วแล้ว การทิ้งให้บุตรสาวได้มีโอกาสรู้จักกับมังกรทั้งสอง ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่ออนาคต


คิดได้ดังนั้นจึงกล่าวขออนุญาตไปดูบุตรสาวก่อนจะลาพาครอบครัวที่เหลือกลับจวน เพราะเฉิงจิ๋นหลี่รีบกลับด้วยความกังวลใจจึงไม่ทันนึกถึงเสนาบดีเหอที่ยังคงอยู่กับองค์ไท่จื่อและองค์ชายสาม


“เสนาบดีเหอ ท่านอยากเข้าไปเยี่ยมหลานสาวหรือไม่” เซวียนหย่งเต๋อถามพร้อมรอยยิ้มสุภาพเช่นเดิม


ในแววตาของเสนาบดีการคลังสะท้อนความรู้สึกที่หลากหลาย แม้จะพยายามเก็บซ่อนจนมิดก็ไม่สามารถปิดบังทายาทมังกรตรงหน้าไปได้


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็รีบสาวเท้าไปทางที่นางกำนัลเดินนำไป


และนั่นทำให้มังกรทั้งสองพอใจ อย่างน้อย เด็กหญิงที่อยู่ในห้องก็ยังมีญาติที่เป็นห่วงอย่างจริงใจ

 


เซวียนชงอวี้พาเซวียนหย่งเต๋อมาที่ห้องหนังสือ องค์ไท่จื่อกวาดสายตามองเพียงครั้งเหล่าขันทีและนางกำนัลต่างก็รู้หน้าที่ เดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู


เซวียนชงอวี้เล่าความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เซวียนหย่งเต๋อฟัง รวมไปถึงสารภาพความผิดที่เขาสลัดองครักษ์ของตนเองทิ้งด้วย


ถึงจะซนสักแค่ไหนก็ไม่ต้องการให้คนของตัวโดนลงโทษทั้งที่ไร้ความผิด


เซวียนหย่งเต๋อถอนใจเฮือก ถ้านับแค่วิชาตัวเบากับความเจ้าเล่ห์ก็ไม่มีใครกินน้องชายของเขาคนนี้แล้ว บรรดาองครักษ์แม้จะตามไปทันแต่ก็หืดขึ้นคออยู่ดี


เซวียนหย่งเต๋อรู้จักน้องชายของตนดี เจ้าเด็กซนคนนี้ ฉลาดและรู้ความนัก ใจคอกว้างขวางรักพวกพ้อง หากแต่คาดไม่ถึงว่าจะอ่อนโยนได้เพียงนี้


มือใหญ่เขกหน้าผากน้องชายตัวเองสองที


“เจ้านะเจ้า เช่นนี้เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าไม่มีทางรั้งเฉิงฮุ่ยหมิ่นให้อยู่ที่ตำหนักไปได้ตลอดหรอกนะ”


“ข้ายังคิดไม่ตก เสด็จพี่ เสนาบดีเหอดูห่วงใยเจ้าซาลาเปานั่นจริงๆ แต่การที่ให้นางไปอยู่กับญาติฝ่ายมารดาทั้งที่บิดายังมีชีวิตอยู่ดี ไม่ขัดสนสิ่งใด ย่อมไม่สามารถทำได้”


เพราะเป็นการหักหน้าบิดาอย่างร้ายกาจ ยิ่งไปกว่านั้น จะกลายเป็นว่าองค์ไท่จื่อที่เอ่ยปาก จะตั้งตนเป็นอริกับจวนแม่ทัพใหญ่เสียเอง ทำเช่นนี้ย่อมไม่ดีต่อรากฐานบัลลังก์ของเซวียนหย่งเต๋อ เซวียนชงอวี้ย่อมไม่ทำเช่นนั้นแน่


หากพี่ชายเขาไม่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ แล้วใครจะขึ้น ถ้าไม่ใช่ต้องตกมาถึงเขา เซวียนชงอวี้ไม่ยอมเสียอิสระไปกับกรงที่ชื่อว่า บัลลังก์ แน่นอน


เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำมากที่สุดคือช่วยเซวียนหย่งเต๋อสร้างรากฐานบัลลังก์ให้เข้มแข็งอย่างสุดตัว ตราบใดที่พี่ชายของเขาอยู่ดีมีสุขบนบัลลังก์มังกร นั่นย่อมหมายถึงอิสระเสรีของเขาเช่นกัน


องค์ชายน้อยเดินวนไปมา


จริงสิ เขาเองยังต้องการอิสระแล้วนางจะต้องการบ้างหรือไม่


“เสด็จพี่ ข้าว่าข้าไปถามนางก่อนดีกว่า” พูดจบก็เผ่นผลิวไปหาเจ้าก้อนซาลาเปาน้อย ทิ้งให้พี่ชายยืนส่ายหัวด้วยความระอา ก่อนจะเดินช้าๆตามเซวียนชงอวี้ไป


กว่าที่เซวียนชงอวี้จะเข้าไปในห้องก็เป็นยามซวีแล้ว เด็กหญิงลุกขึ้นมานั่งเป็นก้อนกลมๆอยู่บนเตียงของเขา ทันทีที่เห็นเซวียนชงอวี้นางก็พยายามตะกายลงจากเตียงเพื่อมาคุกเข่าคารวะตามธรรมเนียม ยิ่งฮุ่ยหมิ่นได้ฟังความจากท่านลุงของตนเองแล้วยิ่งนับถือเด็กชายหน้าสวยจากใจ


ไม่ว่าเซวียนชงอวี้จะกระทำไปด้วยความตั้งใจหรือความไร้เดียงสา แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ดีงามของเขา


หากจะมองว่าเพื่อหวังผลทางการเมือง การที่สองพี่น้องปล่อยนางให้เฉิงจิ๋นหลี่ย่อมจะเป็นการดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขุ่นข้องหมองใจ


แต่ไม่ทันจะได้คำนับอย่างที่ใจคิด เซวียนชงอวี้ก็จัดการโยนก้อนซาลาเปากลับไปที่ตำแหน่งเดิม


“เจ้ายังไม่มีแรงมากพอ ไม่ต้องมากพิธีกับข้า”


พอความคิดกระจ่างชัด ฮุ่ยหมิ่นจึงได้สังเกตว่าคำแทนตัวของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ไม่ใช่ เปิ่นหวาง แต่เป็น ข้า


“หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ชายสาม”


“ซาลาเปาน้อย เจ้ามีสิ่งใดที่อยากทำหรืออยากเป็นหรือไม่”


เด็กหญิงเจ้าของดวงหน้ากลมนิ่วหน้าคิด ด้วยไม่เข้าใจว่าองค์ชายตรงหน้าตั้งใจจะทำสิ่งใด


“ข้าอยากรู้ความต้องการของเจ้า ตอบมาตามตรง”


เปลือกตาบางของฮุ่ยหมิ่นปิดลงก่อนจะเปิดขึ้นใหม่ด้วยประกายสดใสเป็นครั้งแรกนับแต่มาเยือนดินแดนแห่งนี้


“หม่อมฉันอยากเรียนหนังสือ หม่อมฉันอยากเป็นหมอเพคะ”


ฮุ่ยหมิ่นชอบการเรียน ชอบการรักษาคนไข้จริงๆนั่นล่ะ


ในยุคสมัยนี้การเป็นหมอผ่าตัดของนางคงจะเป็นไปได้ยาก แต่ความสุขในการรักษาคนไข้น่าจะเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจนางในโลกใบนี้ได้


ในชีวิตก่อน ตอนที่ยังเป็นเด็กหญิงอายุสิบขวบ ก็วาดรูปการบ้านส่งแล้วว่าในอนาคตจะเป็นหมอ พอโตมาหน่อยก็อยากเป็นหมอผ่าตัด


ผู้ใหญ่ต่างหัวเราะหรือยิ้มขำให้กับความฝันของเด็กน้อย ไม่ใช่มีเจตนาจะดูถูก แต่เพราะอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน


แต่ฮุ่ยหมิ่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้เดินตามความฝันตั้งแต่เด็กจนสำเร็จลุล่วงแล้ว


จนมาอยู่ในชาติภพนี้ ถ้ามีโอกาส ฮุ่ยหมิ่นก็อยากทำมันอีกครั้ง แต่จนใจที่บิดาเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะมีโอกาสทำได้อย่างที่ใจต้องการ


“หมอหรือ.. ดี”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา