Soft place to fall
เขียนโดย หลินไป๋อัน
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1. เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!
จากความทรงจำแบบเด็กๆของร่างเดิม ก่อนหน้าจะฟื้นเธอป่วยหนัก หมดสติมีไข้สูงตลอดเวลา ไม่ว่าจะหาสาเหตุเท่าใดก็หาไม่พบ ทั้งยังไม่มียาตัวใดสามารถรักษาให้หายขาด ไม่มียาที่ทำได้กระทั่งบรรเทาอาการไข้ของเด็กน้อย
ท่านหมอกี่คนๆก็ต่างบอกให้ครอบครัวท่านแม่ทัพทำใจ ในช่วงที่ลมหายใจของเฉิงฮุ่ยหมิ่นขาดห้วง ร่างกายกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ คนเก่าแก่ที่ตามรับใช้มาตั้งแต่มารดาของเด็กน้อยร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจอย่างหนัก
จู่ๆก็มีปาฏิหาริย์ที่เด็กหญิงลืมตาขึ้นทั้งยังมีการหายใจที่ดีขึ้นอีกด้วย
เพียงไม่นานสีหน้าก็เริ่มมีเลือดฝาด ลมหายใจค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะปกติ มีเพียงความอิดโรยที่แสดงบนสีหน้าเท่านั้นที่บอกว่าเด็กหญิงผู้นี้เคยเจ็บป่วยมาก่อน
วิญญาณของหลินฮุ่ยหมิ่นในร่างเฉิงฮุ่ยหมิ่นเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย แขนขาสองข้างราวถูกฉีกทึ้ง
นี่แม่เทพธิดาน้อยส่งให้เธอมาอยู่ในร่างเด็กหญิงผู้นี้ใช่ไหม
ความเจ็บปวดมหาศาลที่ได้รับอย่างฉับพลันทำให้หญิงสาวในร่างเด็กที่แม้รู้สึกเหนื่อยอ่อนสักเพียงใด ก็ไม่สามารถปิดตาหลับลงได้
“โอ๊ย ฮือออ”
น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นึกต่อว่าต่อขานเทพธิดาผู้นั้นอยู่ในใจ
จะส่งมาทั้งที อย่าส่งมาตอนที่เจ้าของร่างเดิมเจ็บปวดเช่นนี้ได้หรือไม่ จะฆ่าเธอหรือจะให้เธอมีชีวิตอยู่กันแน่
แต่พอหลินฮุ่ยหมิ่นมานึกย้อนหลังดูแล้ว การที่เธอไม่สามารถหลับตาได้แม้สักวินาทียามมาเยือนที่แห่งนี้เป็นวันแรกก็นับเป็นเรื่องดี
วินาทีแห่งความเป็นความตาย สามารถเปลือยเปลือกที่เคลือบจิตใจเบื้องลึกของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ในเสี้ยวนาทีนั้นหลินฮุ่ยหมิ่นก็ได้พบหนึ่งในความดำมืดของโลกยุคโบราณ
..ที่แม้แต่ครอบครัวก็สามารถประหัตประหารกันได้โดยไม่กะพริบตา
สิ่งที่สายตาของหลินฮุ่ยหมิ่นในร่างเฉิงฮุ่ยหมิ่นเห็น ทำให้หัวใจของหญิงสาวผู้มาจากยุคสมัยใหม่สะท้อนด้วยความอาดูร
เด็กวัยเท่านี้ต้องพบเจอสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ไฉนสถาบันครอบครัวจึงโหดร้ายกับเด็กเล็กๆคนหนึ่งได้เพียงนี้
ไม่มีแววตายินดีใดปรากฎจากกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอแม้แต่น้อย ..เว้นแต่แม่นมของมารดาและบ่าวรับใช้สองคน หนักที่สุดคือความเสียดายอย่างปิดไม่มิดของฮูหยินรองในบิดาของเด็กน้อย
..และที่เจ้าของร่างเจ็บลึกจนหลินฮุ่ยหมิ่นยังสั่นสะท้าน คือ เงาแห่งความเฉยชาในตัวบิดาบังเกิดเกล้าของเธอเอง
เมื่อเขารู้ว่าบุตรสาวฟื้นกลับจากความตายราวปาฏิหาริย์ ไม่มีแม้คำพูดใดๆ อย่าว่าถึงการกอดเลย เขาเพียงแค่รับรู้ด้วยใบหน้าสงบนิ่งแล้วหมุนกายจากไปพร้อมฮูหยินรอง
ระหว่างที่เด็กหญิงพักฟื้นอยู่ที่เรือนตัวเอง หลินฮุ่ยหมิ่นไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงาของบิดาเจ้าของร่างนี้
แม่ทัพใหญ่ปกป้องแว่นแคว้น
..น่าตลกนัก ปกป้องแคว้นได้ แต่ไม่เคยปกป้องบุตรที่ตนเองเป็นคนทำให้เกิดมา
หลินฮุ่ยหมิ่นเกลียดจนรังเกียจคนแบบนี้นัก และสงสารเด็กน้อยเจ้าของร่างจับใจ
หลังจากเธอฟื้นมาสามสี่วันเฉิงจิ๋นหลี่ก็ต้องไปออกรบ
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหลินฮุ่ยหมิ่นต้องพยายามแค่ไหนที่จะไม่แช่งชักหักกระดูกชายผู้นั้นให้ตายอนาถคาสนามรบ
เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่หลินฮุ่ยหมิ่นอาศัยอยู่ภายในร่างของเฉิงฮุ่ยหมิ่น เธอไม่รู้ว่าเด็กน้อยไปอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าคงหมดเคราะห์ไปแล้วในวินาทีที่เธอเข้ามาอยู่ในร่าง
สิ่งที่พบเจอมาเป็นระยะเวลาสองเดือนทำให้หลินฮุ่ยหมิ่นเจ็บแทน
มารดาของร่างนี้คือ เหอเฟยถิง เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ มาจากสมรสพระราชทานของจักรพรรดิ คลอดบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้วก็จากไปเพราะคลอดยาก
ชื่อฮุ่ยหมิ่นอันเป็นมงคลนี้มารดาของเธอเป็นผู้ตั้งให้ตั้งแต่ยังไม่คลอด เหอเฟยถิงเลือกชื่อลูกไว้ตามเพศอย่างละชื่อ เมื่อออกมาเป็นหญิงจึงได้ชื่อว่า ฮุ่ยหมิ่น หากเหอเฟยถิงไม่เลือกชื่อบุตรไว้ก่อนก็ไม่รู้ว่าเธอจะถูกเรียกด้วยคำอัปมงคลใด
บิดาที่รักมารดาสุดหัวใจได้แต่เกลียดมารผู้นี้ ที่พรากหญิงสาวที่เขารักที่สุดไป แม้จะเป็นบุตร ก็ไม่เคยอุ้ม ไม่เคยแสดงความรักใดๆ มีเพียงความเย็นชาห่างเหิน
หลังจากฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาคลอดบุตรชาย เฉิงฮุ่ยหมิ่นก็ไร้ตัวตนในสายตาบิดาอย่างถาวร
เด็กน้อยถูกไล่ให้มาอยู่ที่เรือนเดิมของมารดา มีคำสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปที่เรือนใหญ่ ข้างของเครื่องใช้ ครัวเรือน ทุกอย่างถูกแยกออกมาเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องไปที่เรือนใหญ่ให้ระคายสายตาผู้เป็นบิดา แม้ของกินของใช้จะไม่ขัดสน จนได้ร่างกลมป้อมนี่มา แต่สิ่งที่เด็กน้อยปรารถนาไม่เคยได้รับสักครั้ง
แต่ละวันผ่านไปอย่างเลื่อนลอย เฉิงฮุ่ยหมิ่นกลายเป็นเด็กพูดช้า จนถูกอนุคนอื่นในจวนด่าว่าสมองทึบ บิดาแท้ๆไม่เคยมาสนใจใยดีสักครั้ง บุตรที่เฉิงจิ๋นหลี่รักมีเพียงบุตรชายบุตรสาวจากฮูหยินรองที่ห่างกับเฉิงฮุ่ยหมิ่นเจ็ดเดือนและปีครึ่ง รองลงมาก็เป็นบุตรสาวฝาแฝดอีกสองคนจากอนุคนที่สอง
หลินฮุ่ยหมิ่นแทบจะกลอกตามองบน ในความเห็นของหมอแล้ว จะให้หนูน้อยมีพัฒนาการตามวัยได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครมาคุย มาหยอกล้อ หรือเล่นด้วยเพื่อกระตุ้นพัฒนาการ เฉิงฮุ่ยหมิ่นยังพูดได้ช่วยเหลือตัวเองได้เบื้องต้นนี่ก็นับว่าดีถมไปแล้ว
หญิงสาวรับรู้มาตลอดว่าเจ้าของร่างโหยหาความรักจากบิดาแท้ๆเพียงใด
แต่เธอไม่เคยได้มันมา ยามทารก ร้องจนสุดเสียง ไม่เคยมีอ้อมกอด มือที่เอื้อมคว้า สัมผัสได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
จากที่เคยร้องเคยคว้า ไม่มีอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าไม่เคยได้อะไรกลับมา
สิ่งที่ได้รับรู้ผ่านความทรงจำทำให้หญิงสาวปวดร้าวเกินทน
ความเจ็บปวดถึงขั้นนี้ อย่าฝืนเลยลูกเอ๋ย น้าขอให้หนูได้อยู่กับครอบครัวที่ดีเถิดนะ มาอยู่กับครอบครัวน้าในอีกชาติก็ได้ ครอบครัวของน้ารักกันกลมเกลียว หนูจะต้องมีความสุขแน่ๆ
น้ำตาอุ่นร้อนไหลจากดวงตาโดยไม่มีเสียงสะอื้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกของเจ้าของร่าง แต่ยังมีใจเธอที่เจ็บหนัก
คิดถึง
คิดถึงชีวิตเดิมเหลือเกิน
ยิ่งเห็นชีวิตเด็กน้อยมากเท่าไหร่เธอยิ่งคิดถึงคนในครอบครัว ต่อให้ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตแล้ว ขอไปเป็นวิญญานเร่ร่อนตามดูคนที่บ้านก็ได้
เฉิงฮุ่ยหมิ่น หนูไม่อยู่แล้ว น้าตามหนูไปด้วยได้หรือไม่
เด็กหญิงตัวกลมป้อมมองลงไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า ด้วยความเย็นของน้ำที่อยู่โดยรอบ แม้เธอจะไม่สำลักน้ำเข้าปอดตาย แต่ด้วยร่างเด็กน้อยก็คงต้องสูญเสียความร้อนหรือเป็นปอดติดเชื้อจนตายแน่นอน
เธอยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ หลับตากลั้นใจแล้วกระโดดลงไปทันที
ตูม!!
เด็กหญิงยิ้มทั้งๆที่หลับตา ปล่อยให้ร่างจมดิ่งลงไปกับความมืดมิดเย็นเยียบที่อยู่ก้นบึ้ง
ความทุกข์ทรมานทั้งหมดจะจบลงแล้ว ..ช่างดียิ่งนัก
ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับแสงสว่างอีก
จู่ๆความหนาวเหน็บก็หายไป แทนที่ด้วยความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกาย
หลินฮุ่ยหมิ่นรู้สึกเหมือนมีแขนใครมาคล้องตัวเธอไว้จากด้านหลังพร้อมกับลากขึ้นไป จนในที่สุดก็ถูกวางตัวอยู่ตรงริมทะเลสาบที่เธอเคยนั่งเมื่อครู่
“ลืมตา!! เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!”
แรงเขย่าตัวพร้อมกับมือเล็กที่ตบแก้มไม่เบานักทำให้ร่างเล็กที่หมดสติไปค่อยๆฟื้นขึ้นมา
สิ่งที่เธอมองเห็นช่างพร่าเลือน
เหตุใด เธอจึงยังไม่ตาย
เมื่อปรับคลองจักษุได้ชัดหลินฮุ่ยหมิ่นก็ได้เห็นเด็กชายอายุประมาณแปดขวบนั่งโอบประคองเธอไว้จากทางด้านหลัง เขาลูบหลังให้เธอไอเอาน้ำที่สำลักเข้าไปออกมา
เมื่อเริ่มตั้งสติได้หลินฮุ่ยหมิ่นก็พยายามดันตัวเองออก หากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ร่างกายของเด็กอ้วนกลมวัยห้าขวบที่เคยป่วยกระเสาะกระแสะสู้เด็กชายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
..ได้โปรด ปล่อยเธอไปเถิด
เด็กน้อยโดนเด็กชายตรงหน้าจับหมุนตัวกลับมาให้เผชิญหน้ากัน ดวงหน้าเล็กที่เครื่องหน้าสอดรับอย่างสวยงามฉายแววโกรธขึ้ง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน ก่อนจะตวาดเด็กหญิงด้วยแรงโทสะด้วยเสียงที่ระวังไม่ให้ดังเกินไปนัก
“เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้า กระโดดลงไปทำไม อยากตายหรืออย่างไร”
อยากสิ..
เพราะขอแค่ตาย..ก็ไม่ต้องเจ็บอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกแล้ว
ใบหน้ากลมป้อมยกยิ้มบาง ดวงตาไร้แวว สะท้อนความว่างเปล่าอย่างคนที่ไม่เหลืออะไรให้อาวรณ์อีกทำให้คนที่ได้เห็นถึงกับชะงักไป เติบโตมาแปดปีชันษายังน้อยนักจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนตรงหน้าจึงมีท่าทีเช่นนี้
ใจของเด็กชายหดเกร็งจนแทบจะเจ็บ.. ความปวดร้าวที่เด็กน้อยเท่านี้ต้องทนรับมันมากมายขนาดไหนกัน เหตุใดแค่แววตาก็สามารถส่งผ่านความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้
วงแขนเล็กรั้งร่างในอ้อมกอดแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ หวังว่ามันจะช่วยแม้เพียงนิด
..ถ่ายเทความร้าวรานนั้นมาให้เขาช่วยแบ่งเบา
ดวงตาเรียวสีดำน้ำตาลที่ไม่ได้สวยนักปิดลงอย่างอ่อนแรงสร้างความตกใจให้เด็กชายสูงศักดิ์เบื้องหน้า นิ้วเรียวยกขึ้นอังที่ปลายจมูกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเมื่อรู้สึกได้ถึงการหายใจของคนในอ้อมกอด
เด็กชายก้มมองดูตัวเองกับเด็กหญิงที่สลบไปแล้ว เขาสองคนต่างเปียกปอนไปทั้งคู่ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ เรียวปากบางขยับเรียกองครักษ์คนสนิท
“หลานเซ่อ!”
ทันใดก็ปรากฎร่างสูงในชุดทหารมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“องค์ชายสาม เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่หลานเซ่อถามเจ้าชีวิตของตนด้วยเสียงร้อนรน กว่าจะได้เห็นสัญญาณแล้วมาถึงที่ริมทะเลสาบนี้ก็ไม่ทันกับที่องค์ชายพาตัวเด็กหญิงกลับขึ้นฝั่งแล้ว ชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบขบกรามแน่น โกรธตัวเองที่มาช้าไปมาก
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ องครักษ์ประจำตัวใกล้ชิดอีกสี่คนที่เหลือก็ตามมา ทั้งห้าก้มหน้าอยู่ไม่ยอมเงยด้วยความรู้สึกผิด
เด็กชายโบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา เพราะจริงๆเขาก็ใช้วรยุทธ์แอบสลัดอีกฝ่ายมาเอง ไม่ได้ให้ตามอารักขาเช่นปกติ จะเอามาโทษองครักษ์ผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่เช่นนี้ไม่ได้
“เราไม่เป็นไร แต่ต้องพาเด็กคนนี้กลับไปก่อน เจ้าจงตามหมอหลวงไปที่ตำหนักของเราเดี๋ยวนี้”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” สวี่หลานเซ่อคำนับแล้วรีบจากไป
“กระหม่อมจะพาคุณหนูไปเองพ่ะย่ะค่ะ” หวงจื่อโม่ องครักษ์อีกคนเอ่ยพร้อมยื่นมือมาจะรับตัวเด็กหญิง หากแต่องค์ชายส่ายหน้าปฏิเสธ
เด็กชายช้อนตัวยกเด็กหญิงขึ้นอุ้มแบบผู้ใหญ่อุ้มเด็ก ลอบบ่นอุบอิบในใจว่าเจ้าหมูน้อยตัวนี้หนักชะมัด จัดท่าเร็วๆพอให้ไม่ตกง่ายๆก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับตำหนักของตนทันที พาให้องครักษ์ต้องรีบตามกลับไป
หลังจากส่งตัวเด็กหญิงให้หมอหลวงดูแลแล้ว องค์ชายสามก็ออกมาสั่งความกับคนของตน
“เจียฉี เจ้าจงไปในงาน แจ้งเรื่องของเด็กคนนี้ว่ามีอุบัติเหตุ ข้าพามารักษาที่ตำหนักของข้า เมื่อมาถึงให้รออยู่ด้านหน้าก่อน ไม่ต้องบอกรายละเอียดมากนัก ไว้ข้าจะจัดการเอง อ้อ บอกเสด็จพี่หย่งเต๋อด้วยให้รีบมาช่วยข้า”
หย่งเจียฉีรับคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ก่อนจะต้องกลั้นหัวเราะกับองค์ชายน้อยที่พยายามหาทางเอาตัวรอด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ