Soft place to fall
9.7
เขียนโดย หลินไป๋อัน
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.
13 ตอน
4 วิจารณ์
13.60K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1. เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!
จากความทรงจำแบบเด็กๆของร่างเดิม ก่อนหน้าจะฟื้นเธอป่วยหนัก หมดสติมีไข้สูงตลอดเวลา ไม่ว่าจะหาสาเหตุเท่าใดก็หาไม่พบ ทั้งยังไม่มียาตัวใดสามารถรักษาให้หายขาด ไม่มียาที่ทำได้กระทั่งบรรเทาอาการไข้ของเด็กน้อย
ท่านหมอกี่คนๆก็ต่างบอกให้ครอบครัวท่านแม่ทัพทำใจ ในช่วงที่ลมหายใจของเฉิงฮุ่ยหมิ่นขาดห้วง ร่างกายกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ คนเก่าแก่ที่ตามรับใช้มาตั้งแต่มารดาของเด็กน้อยร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจอย่างหนัก
จู่ๆก็มีปาฏิหาริย์ที่เด็กหญิงลืมตาขึ้นทั้งยังมีการหายใจที่ดีขึ้นอีกด้วย
เพียงไม่นานสีหน้าก็เริ่มมีเลือดฝาด ลมหายใจค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะปกติ มีเพียงความอิดโรยที่แสดงบนสีหน้าเท่านั้นที่บอกว่าเด็กหญิงผู้นี้เคยเจ็บป่วยมาก่อน
วิญญาณของหลินฮุ่ยหมิ่นในร่างเฉิงฮุ่ยหมิ่นเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย แขนขาสองข้างราวถูกฉีกทึ้ง
นี่แม่เทพธิดาน้อยส่งให้เธอมาอยู่ในร่างเด็กหญิงผู้นี้ใช่ไหม
ความเจ็บปวดมหาศาลที่ได้รับอย่างฉับพลันทำให้หญิงสาวในร่างเด็กที่แม้รู้สึกเหนื่อยอ่อนสักเพียงใด ก็ไม่สามารถปิดตาหลับลงได้
“โอ๊ย ฮือออ”
น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นึกต่อว่าต่อขานเทพธิดาผู้นั้นอยู่ในใจ
จะส่งมาทั้งที อย่าส่งมาตอนที่เจ้าของร่างเดิมเจ็บปวดเช่นนี้ได้หรือไม่ จะฆ่าเธอหรือจะให้เธอมีชีวิตอยู่กันแน่
แต่พอหลินฮุ่ยหมิ่นมานึกย้อนหลังดูแล้ว การที่เธอไม่สามารถหลับตาได้แม้สักวินาทียามมาเยือนที่แห่งนี้เป็นวันแรกก็นับเป็นเรื่องดี
วินาทีแห่งความเป็นความตาย สามารถเปลือยเปลือกที่เคลือบจิตใจเบื้องลึกของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ในเสี้ยวนาทีนั้นหลินฮุ่ยหมิ่นก็ได้พบหนึ่งในความดำมืดของโลกยุคโบราณ
..ที่แม้แต่ครอบครัวก็สามารถประหัตประหารกันได้โดยไม่กะพริบตา
สิ่งที่สายตาของหลินฮุ่ยหมิ่นในร่างเฉิงฮุ่ยหมิ่นเห็น ทำให้หัวใจของหญิงสาวผู้มาจากยุคสมัยใหม่สะท้อนด้วยความอาดูร
เด็กวัยเท่านี้ต้องพบเจอสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ไฉนสถาบันครอบครัวจึงโหดร้ายกับเด็กเล็กๆคนหนึ่งได้เพียงนี้
ไม่มีแววตายินดีใดปรากฎจากกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอแม้แต่น้อย ..เว้นแต่แม่นมของมารดาและบ่าวรับใช้สองคน หนักที่สุดคือความเสียดายอย่างปิดไม่มิดของฮูหยินรองในบิดาของเด็กน้อย
..และที่เจ้าของร่างเจ็บลึกจนหลินฮุ่ยหมิ่นยังสั่นสะท้าน คือ เงาแห่งความเฉยชาในตัวบิดาบังเกิดเกล้าของเธอเอง
เมื่อเขารู้ว่าบุตรสาวฟื้นกลับจากความตายราวปาฏิหาริย์ ไม่มีแม้คำพูดใดๆ อย่าว่าถึงการกอดเลย เขาเพียงแค่รับรู้ด้วยใบหน้าสงบนิ่งแล้วหมุนกายจากไปพร้อมฮูหยินรอง
ระหว่างที่เด็กหญิงพักฟื้นอยู่ที่เรือนตัวเอง หลินฮุ่ยหมิ่นไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงาของบิดาเจ้าของร่างนี้
แม่ทัพใหญ่ปกป้องแว่นแคว้น
..น่าตลกนัก ปกป้องแคว้นได้ แต่ไม่เคยปกป้องบุตรที่ตนเองเป็นคนทำให้เกิดมา
หลินฮุ่ยหมิ่นเกลียดจนรังเกียจคนแบบนี้นัก และสงสารเด็กน้อยเจ้าของร่างจับใจ
หลังจากเธอฟื้นมาสามสี่วันเฉิงจิ๋นหลี่ก็ต้องไปออกรบ
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหลินฮุ่ยหมิ่นต้องพยายามแค่ไหนที่จะไม่แช่งชักหักกระดูกชายผู้นั้นให้ตายอนาถคาสนามรบ
เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่หลินฮุ่ยหมิ่นอาศัยอยู่ภายในร่างของเฉิงฮุ่ยหมิ่น เธอไม่รู้ว่าเด็กน้อยไปอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าคงหมดเคราะห์ไปแล้วในวินาทีที่เธอเข้ามาอยู่ในร่าง
สิ่งที่พบเจอมาเป็นระยะเวลาสองเดือนทำให้หลินฮุ่ยหมิ่นเจ็บแทน
มารดาของร่างนี้คือ เหอเฟยถิง เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ มาจากสมรสพระราชทานของจักรพรรดิ คลอดบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้วก็จากไปเพราะคลอดยาก
ชื่อฮุ่ยหมิ่นอันเป็นมงคลนี้มารดาของเธอเป็นผู้ตั้งให้ตั้งแต่ยังไม่คลอด เหอเฟยถิงเลือกชื่อลูกไว้ตามเพศอย่างละชื่อ เมื่อออกมาเป็นหญิงจึงได้ชื่อว่า ฮุ่ยหมิ่น หากเหอเฟยถิงไม่เลือกชื่อบุตรไว้ก่อนก็ไม่รู้ว่าเธอจะถูกเรียกด้วยคำอัปมงคลใด
บิดาที่รักมารดาสุดหัวใจได้แต่เกลียดมารผู้นี้ ที่พรากหญิงสาวที่เขารักที่สุดไป แม้จะเป็นบุตร ก็ไม่เคยอุ้ม ไม่เคยแสดงความรักใดๆ มีเพียงความเย็นชาห่างเหิน
หลังจากฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาคลอดบุตรชาย เฉิงฮุ่ยหมิ่นก็ไร้ตัวตนในสายตาบิดาอย่างถาวร
เด็กน้อยถูกไล่ให้มาอยู่ที่เรือนเดิมของมารดา มีคำสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปที่เรือนใหญ่ ข้างของเครื่องใช้ ครัวเรือน ทุกอย่างถูกแยกออกมาเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องไปที่เรือนใหญ่ให้ระคายสายตาผู้เป็นบิดา แม้ของกินของใช้จะไม่ขัดสน จนได้ร่างกลมป้อมนี่มา แต่สิ่งที่เด็กน้อยปรารถนาไม่เคยได้รับสักครั้ง
แต่ละวันผ่านไปอย่างเลื่อนลอย เฉิงฮุ่ยหมิ่นกลายเป็นเด็กพูดช้า จนถูกอนุคนอื่นในจวนด่าว่าสมองทึบ บิดาแท้ๆไม่เคยมาสนใจใยดีสักครั้ง บุตรที่เฉิงจิ๋นหลี่รักมีเพียงบุตรชายบุตรสาวจากฮูหยินรองที่ห่างกับเฉิงฮุ่ยหมิ่นเจ็ดเดือนและปีครึ่ง รองลงมาก็เป็นบุตรสาวฝาแฝดอีกสองคนจากอนุคนที่สอง
หลินฮุ่ยหมิ่นแทบจะกลอกตามองบน ในความเห็นของหมอแล้ว จะให้หนูน้อยมีพัฒนาการตามวัยได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครมาคุย มาหยอกล้อ หรือเล่นด้วยเพื่อกระตุ้นพัฒนาการ เฉิงฮุ่ยหมิ่นยังพูดได้ช่วยเหลือตัวเองได้เบื้องต้นนี่ก็นับว่าดีถมไปแล้ว
หญิงสาวรับรู้มาตลอดว่าเจ้าของร่างโหยหาความรักจากบิดาแท้ๆเพียงใด
แต่เธอไม่เคยได้มันมา ยามทารก ร้องจนสุดเสียง ไม่เคยมีอ้อมกอด มือที่เอื้อมคว้า สัมผัสได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
จากที่เคยร้องเคยคว้า ไม่มีอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าไม่เคยได้อะไรกลับมา
สิ่งที่ได้รับรู้ผ่านความทรงจำทำให้หญิงสาวปวดร้าวเกินทน
ความเจ็บปวดถึงขั้นนี้ อย่าฝืนเลยลูกเอ๋ย น้าขอให้หนูได้อยู่กับครอบครัวที่ดีเถิดนะ มาอยู่กับครอบครัวน้าในอีกชาติก็ได้ ครอบครัวของน้ารักกันกลมเกลียว หนูจะต้องมีความสุขแน่ๆ
น้ำตาอุ่นร้อนไหลจากดวงตาโดยไม่มีเสียงสะอื้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกของเจ้าของร่าง แต่ยังมีใจเธอที่เจ็บหนัก
คิดถึง
คิดถึงชีวิตเดิมเหลือเกิน
ยิ่งเห็นชีวิตเด็กน้อยมากเท่าไหร่เธอยิ่งคิดถึงคนในครอบครัว ต่อให้ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตแล้ว ขอไปเป็นวิญญานเร่ร่อนตามดูคนที่บ้านก็ได้
เฉิงฮุ่ยหมิ่น หนูไม่อยู่แล้ว น้าตามหนูไปด้วยได้หรือไม่
เด็กหญิงตัวกลมป้อมมองลงไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า ด้วยความเย็นของน้ำที่อยู่โดยรอบ แม้เธอจะไม่สำลักน้ำเข้าปอดตาย แต่ด้วยร่างเด็กน้อยก็คงต้องสูญเสียความร้อนหรือเป็นปอดติดเชื้อจนตายแน่นอน
เธอยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ หลับตากลั้นใจแล้วกระโดดลงไปทันที
ตูม!!
เด็กหญิงยิ้มทั้งๆที่หลับตา ปล่อยให้ร่างจมดิ่งลงไปกับความมืดมิดเย็นเยียบที่อยู่ก้นบึ้ง
ความทุกข์ทรมานทั้งหมดจะจบลงแล้ว ..ช่างดียิ่งนัก
ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับแสงสว่างอีก
จู่ๆความหนาวเหน็บก็หายไป แทนที่ด้วยความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกาย
หลินฮุ่ยหมิ่นรู้สึกเหมือนมีแขนใครมาคล้องตัวเธอไว้จากด้านหลังพร้อมกับลากขึ้นไป จนในที่สุดก็ถูกวางตัวอยู่ตรงริมทะเลสาบที่เธอเคยนั่งเมื่อครู่
“ลืมตา!! เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!”
แรงเขย่าตัวพร้อมกับมือเล็กที่ตบแก้มไม่เบานักทำให้ร่างเล็กที่หมดสติไปค่อยๆฟื้นขึ้นมา
สิ่งที่เธอมองเห็นช่างพร่าเลือน
เหตุใด เธอจึงยังไม่ตาย
เมื่อปรับคลองจักษุได้ชัดหลินฮุ่ยหมิ่นก็ได้เห็นเด็กชายอายุประมาณแปดขวบนั่งโอบประคองเธอไว้จากทางด้านหลัง เขาลูบหลังให้เธอไอเอาน้ำที่สำลักเข้าไปออกมา
เมื่อเริ่มตั้งสติได้หลินฮุ่ยหมิ่นก็พยายามดันตัวเองออก หากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ร่างกายของเด็กอ้วนกลมวัยห้าขวบที่เคยป่วยกระเสาะกระแสะสู้เด็กชายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
..ได้โปรด ปล่อยเธอไปเถิด
เด็กน้อยโดนเด็กชายตรงหน้าจับหมุนตัวกลับมาให้เผชิญหน้ากัน ดวงหน้าเล็กที่เครื่องหน้าสอดรับอย่างสวยงามฉายแววโกรธขึ้ง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน ก่อนจะตวาดเด็กหญิงด้วยแรงโทสะด้วยเสียงที่ระวังไม่ให้ดังเกินไปนัก
“เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้า กระโดดลงไปทำไม อยากตายหรืออย่างไร”
อยากสิ..
เพราะขอแค่ตาย..ก็ไม่ต้องเจ็บอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกแล้ว
ใบหน้ากลมป้อมยกยิ้มบาง ดวงตาไร้แวว สะท้อนความว่างเปล่าอย่างคนที่ไม่เหลืออะไรให้อาวรณ์อีกทำให้คนที่ได้เห็นถึงกับชะงักไป เติบโตมาแปดปีชันษายังน้อยนักจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนตรงหน้าจึงมีท่าทีเช่นนี้
ใจของเด็กชายหดเกร็งจนแทบจะเจ็บ.. ความปวดร้าวที่เด็กน้อยเท่านี้ต้องทนรับมันมากมายขนาดไหนกัน เหตุใดแค่แววตาก็สามารถส่งผ่านความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้
วงแขนเล็กรั้งร่างในอ้อมกอดแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ หวังว่ามันจะช่วยแม้เพียงนิด
..ถ่ายเทความร้าวรานนั้นมาให้เขาช่วยแบ่งเบา
ดวงตาเรียวสีดำน้ำตาลที่ไม่ได้สวยนักปิดลงอย่างอ่อนแรงสร้างความตกใจให้เด็กชายสูงศักดิ์เบื้องหน้า นิ้วเรียวยกขึ้นอังที่ปลายจมูกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเมื่อรู้สึกได้ถึงการหายใจของคนในอ้อมกอด
เด็กชายก้มมองดูตัวเองกับเด็กหญิงที่สลบไปแล้ว เขาสองคนต่างเปียกปอนไปทั้งคู่ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ เรียวปากบางขยับเรียกองครักษ์คนสนิท
“หลานเซ่อ!”
ทันใดก็ปรากฎร่างสูงในชุดทหารมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“องค์ชายสาม เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่หลานเซ่อถามเจ้าชีวิตของตนด้วยเสียงร้อนรน กว่าจะได้เห็นสัญญาณแล้วมาถึงที่ริมทะเลสาบนี้ก็ไม่ทันกับที่องค์ชายพาตัวเด็กหญิงกลับขึ้นฝั่งแล้ว ชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบขบกรามแน่น โกรธตัวเองที่มาช้าไปมาก
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ องครักษ์ประจำตัวใกล้ชิดอีกสี่คนที่เหลือก็ตามมา ทั้งห้าก้มหน้าอยู่ไม่ยอมเงยด้วยความรู้สึกผิด
เด็กชายโบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา เพราะจริงๆเขาก็ใช้วรยุทธ์แอบสลัดอีกฝ่ายมาเอง ไม่ได้ให้ตามอารักขาเช่นปกติ จะเอามาโทษองครักษ์ผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่เช่นนี้ไม่ได้
“เราไม่เป็นไร แต่ต้องพาเด็กคนนี้กลับไปก่อน เจ้าจงตามหมอหลวงไปที่ตำหนักของเราเดี๋ยวนี้”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” สวี่หลานเซ่อคำนับแล้วรีบจากไป
“กระหม่อมจะพาคุณหนูไปเองพ่ะย่ะค่ะ” หวงจื่อโม่ องครักษ์อีกคนเอ่ยพร้อมยื่นมือมาจะรับตัวเด็กหญิง หากแต่องค์ชายส่ายหน้าปฏิเสธ
เด็กชายช้อนตัวยกเด็กหญิงขึ้นอุ้มแบบผู้ใหญ่อุ้มเด็ก ลอบบ่นอุบอิบในใจว่าเจ้าหมูน้อยตัวนี้หนักชะมัด จัดท่าเร็วๆพอให้ไม่ตกง่ายๆก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับตำหนักของตนทันที พาให้องครักษ์ต้องรีบตามกลับไป
หลังจากส่งตัวเด็กหญิงให้หมอหลวงดูแลแล้ว องค์ชายสามก็ออกมาสั่งความกับคนของตน
“เจียฉี เจ้าจงไปในงาน แจ้งเรื่องของเด็กคนนี้ว่ามีอุบัติเหตุ ข้าพามารักษาที่ตำหนักของข้า เมื่อมาถึงให้รออยู่ด้านหน้าก่อน ไม่ต้องบอกรายละเอียดมากนัก ไว้ข้าจะจัดการเอง อ้อ บอกเสด็จพี่หย่งเต๋อด้วยให้รีบมาช่วยข้า”
หย่งเจียฉีรับคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ก่อนจะต้องกลั้นหัวเราะกับองค์ชายน้อยที่พยายามหาทางเอาตัวรอด
จากความทรงจำแบบเด็กๆของร่างเดิม ก่อนหน้าจะฟื้นเธอป่วยหนัก หมดสติมีไข้สูงตลอดเวลา ไม่ว่าจะหาสาเหตุเท่าใดก็หาไม่พบ ทั้งยังไม่มียาตัวใดสามารถรักษาให้หายขาด ไม่มียาที่ทำได้กระทั่งบรรเทาอาการไข้ของเด็กน้อย
ท่านหมอกี่คนๆก็ต่างบอกให้ครอบครัวท่านแม่ทัพทำใจ ในช่วงที่ลมหายใจของเฉิงฮุ่ยหมิ่นขาดห้วง ร่างกายกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ คนเก่าแก่ที่ตามรับใช้มาตั้งแต่มารดาของเด็กน้อยร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจอย่างหนัก
จู่ๆก็มีปาฏิหาริย์ที่เด็กหญิงลืมตาขึ้นทั้งยังมีการหายใจที่ดีขึ้นอีกด้วย
เพียงไม่นานสีหน้าก็เริ่มมีเลือดฝาด ลมหายใจค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะปกติ มีเพียงความอิดโรยที่แสดงบนสีหน้าเท่านั้นที่บอกว่าเด็กหญิงผู้นี้เคยเจ็บป่วยมาก่อน
วิญญาณของหลินฮุ่ยหมิ่นในร่างเฉิงฮุ่ยหมิ่นเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย แขนขาสองข้างราวถูกฉีกทึ้ง
นี่แม่เทพธิดาน้อยส่งให้เธอมาอยู่ในร่างเด็กหญิงผู้นี้ใช่ไหม
ความเจ็บปวดมหาศาลที่ได้รับอย่างฉับพลันทำให้หญิงสาวในร่างเด็กที่แม้รู้สึกเหนื่อยอ่อนสักเพียงใด ก็ไม่สามารถปิดตาหลับลงได้
“โอ๊ย ฮือออ”
น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นึกต่อว่าต่อขานเทพธิดาผู้นั้นอยู่ในใจ
จะส่งมาทั้งที อย่าส่งมาตอนที่เจ้าของร่างเดิมเจ็บปวดเช่นนี้ได้หรือไม่ จะฆ่าเธอหรือจะให้เธอมีชีวิตอยู่กันแน่
แต่พอหลินฮุ่ยหมิ่นมานึกย้อนหลังดูแล้ว การที่เธอไม่สามารถหลับตาได้แม้สักวินาทียามมาเยือนที่แห่งนี้เป็นวันแรกก็นับเป็นเรื่องดี
วินาทีแห่งความเป็นความตาย สามารถเปลือยเปลือกที่เคลือบจิตใจเบื้องลึกของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ในเสี้ยวนาทีนั้นหลินฮุ่ยหมิ่นก็ได้พบหนึ่งในความดำมืดของโลกยุคโบราณ
..ที่แม้แต่ครอบครัวก็สามารถประหัตประหารกันได้โดยไม่กะพริบตา
สิ่งที่สายตาของหลินฮุ่ยหมิ่นในร่างเฉิงฮุ่ยหมิ่นเห็น ทำให้หัวใจของหญิงสาวผู้มาจากยุคสมัยใหม่สะท้อนด้วยความอาดูร
เด็กวัยเท่านี้ต้องพบเจอสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ไฉนสถาบันครอบครัวจึงโหดร้ายกับเด็กเล็กๆคนหนึ่งได้เพียงนี้
ไม่มีแววตายินดีใดปรากฎจากกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอแม้แต่น้อย ..เว้นแต่แม่นมของมารดาและบ่าวรับใช้สองคน หนักที่สุดคือความเสียดายอย่างปิดไม่มิดของฮูหยินรองในบิดาของเด็กน้อย
..และที่เจ้าของร่างเจ็บลึกจนหลินฮุ่ยหมิ่นยังสั่นสะท้าน คือ เงาแห่งความเฉยชาในตัวบิดาบังเกิดเกล้าของเธอเอง
เมื่อเขารู้ว่าบุตรสาวฟื้นกลับจากความตายราวปาฏิหาริย์ ไม่มีแม้คำพูดใดๆ อย่าว่าถึงการกอดเลย เขาเพียงแค่รับรู้ด้วยใบหน้าสงบนิ่งแล้วหมุนกายจากไปพร้อมฮูหยินรอง
ระหว่างที่เด็กหญิงพักฟื้นอยู่ที่เรือนตัวเอง หลินฮุ่ยหมิ่นไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่เงาของบิดาเจ้าของร่างนี้
แม่ทัพใหญ่ปกป้องแว่นแคว้น
..น่าตลกนัก ปกป้องแคว้นได้ แต่ไม่เคยปกป้องบุตรที่ตนเองเป็นคนทำให้เกิดมา
หลินฮุ่ยหมิ่นเกลียดจนรังเกียจคนแบบนี้นัก และสงสารเด็กน้อยเจ้าของร่างจับใจ
หลังจากเธอฟื้นมาสามสี่วันเฉิงจิ๋นหลี่ก็ต้องไปออกรบ
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหลินฮุ่ยหมิ่นต้องพยายามแค่ไหนที่จะไม่แช่งชักหักกระดูกชายผู้นั้นให้ตายอนาถคาสนามรบ
เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่หลินฮุ่ยหมิ่นอาศัยอยู่ภายในร่างของเฉิงฮุ่ยหมิ่น เธอไม่รู้ว่าเด็กน้อยไปอยู่ที่ไหน แต่คิดว่าคงหมดเคราะห์ไปแล้วในวินาทีที่เธอเข้ามาอยู่ในร่าง
สิ่งที่พบเจอมาเป็นระยะเวลาสองเดือนทำให้หลินฮุ่ยหมิ่นเจ็บแทน
มารดาของร่างนี้คือ เหอเฟยถิง เป็นฮูหยินบรรดาศักดิ์ มาจากสมรสพระราชทานของจักรพรรดิ คลอดบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้วก็จากไปเพราะคลอดยาก
ชื่อฮุ่ยหมิ่นอันเป็นมงคลนี้มารดาของเธอเป็นผู้ตั้งให้ตั้งแต่ยังไม่คลอด เหอเฟยถิงเลือกชื่อลูกไว้ตามเพศอย่างละชื่อ เมื่อออกมาเป็นหญิงจึงได้ชื่อว่า ฮุ่ยหมิ่น หากเหอเฟยถิงไม่เลือกชื่อบุตรไว้ก่อนก็ไม่รู้ว่าเธอจะถูกเรียกด้วยคำอัปมงคลใด
บิดาที่รักมารดาสุดหัวใจได้แต่เกลียดมารผู้นี้ ที่พรากหญิงสาวที่เขารักที่สุดไป แม้จะเป็นบุตร ก็ไม่เคยอุ้ม ไม่เคยแสดงความรักใดๆ มีเพียงความเย็นชาห่างเหิน
หลังจากฮูหยินรองที่แต่งเข้ามาคลอดบุตรชาย เฉิงฮุ่ยหมิ่นก็ไร้ตัวตนในสายตาบิดาอย่างถาวร
เด็กน้อยถูกไล่ให้มาอยู่ที่เรือนเดิมของมารดา มีคำสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปที่เรือนใหญ่ ข้างของเครื่องใช้ ครัวเรือน ทุกอย่างถูกแยกออกมาเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องไปที่เรือนใหญ่ให้ระคายสายตาผู้เป็นบิดา แม้ของกินของใช้จะไม่ขัดสน จนได้ร่างกลมป้อมนี่มา แต่สิ่งที่เด็กน้อยปรารถนาไม่เคยได้รับสักครั้ง
แต่ละวันผ่านไปอย่างเลื่อนลอย เฉิงฮุ่ยหมิ่นกลายเป็นเด็กพูดช้า จนถูกอนุคนอื่นในจวนด่าว่าสมองทึบ บิดาแท้ๆไม่เคยมาสนใจใยดีสักครั้ง บุตรที่เฉิงจิ๋นหลี่รักมีเพียงบุตรชายบุตรสาวจากฮูหยินรองที่ห่างกับเฉิงฮุ่ยหมิ่นเจ็ดเดือนและปีครึ่ง รองลงมาก็เป็นบุตรสาวฝาแฝดอีกสองคนจากอนุคนที่สอง
หลินฮุ่ยหมิ่นแทบจะกลอกตามองบน ในความเห็นของหมอแล้ว จะให้หนูน้อยมีพัฒนาการตามวัยได้อย่างไรในเมื่อไม่มีใครมาคุย มาหยอกล้อ หรือเล่นด้วยเพื่อกระตุ้นพัฒนาการ เฉิงฮุ่ยหมิ่นยังพูดได้ช่วยเหลือตัวเองได้เบื้องต้นนี่ก็นับว่าดีถมไปแล้ว
หญิงสาวรับรู้มาตลอดว่าเจ้าของร่างโหยหาความรักจากบิดาแท้ๆเพียงใด
แต่เธอไม่เคยได้มันมา ยามทารก ร้องจนสุดเสียง ไม่เคยมีอ้อมกอด มือที่เอื้อมคว้า สัมผัสได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า
จากที่เคยร้องเคยคว้า ไม่มีอีกแล้ว เพราะรู้ดีว่าไม่เคยได้อะไรกลับมา
สิ่งที่ได้รับรู้ผ่านความทรงจำทำให้หญิงสาวปวดร้าวเกินทน
ความเจ็บปวดถึงขั้นนี้ อย่าฝืนเลยลูกเอ๋ย น้าขอให้หนูได้อยู่กับครอบครัวที่ดีเถิดนะ มาอยู่กับครอบครัวน้าในอีกชาติก็ได้ ครอบครัวของน้ารักกันกลมเกลียว หนูจะต้องมีความสุขแน่ๆ
น้ำตาอุ่นร้อนไหลจากดวงตาโดยไม่มีเสียงสะอื้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกของเจ้าของร่าง แต่ยังมีใจเธอที่เจ็บหนัก
คิดถึง
คิดถึงชีวิตเดิมเหลือเกิน
ยิ่งเห็นชีวิตเด็กน้อยมากเท่าไหร่เธอยิ่งคิดถึงคนในครอบครัว ต่อให้ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตแล้ว ขอไปเป็นวิญญานเร่ร่อนตามดูคนที่บ้านก็ได้
เฉิงฮุ่ยหมิ่น หนูไม่อยู่แล้ว น้าตามหนูไปด้วยได้หรือไม่
เด็กหญิงตัวกลมป้อมมองลงไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า ด้วยความเย็นของน้ำที่อยู่โดยรอบ แม้เธอจะไม่สำลักน้ำเข้าปอดตาย แต่ด้วยร่างเด็กน้อยก็คงต้องสูญเสียความร้อนหรือเป็นปอดติดเชื้อจนตายแน่นอน
เธอยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ หลับตากลั้นใจแล้วกระโดดลงไปทันที
ตูม!!
เด็กหญิงยิ้มทั้งๆที่หลับตา ปล่อยให้ร่างจมดิ่งลงไปกับความมืดมิดเย็นเยียบที่อยู่ก้นบึ้ง
ความทุกข์ทรมานทั้งหมดจะจบลงแล้ว ..ช่างดียิ่งนัก
ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับแสงสว่างอีก
จู่ๆความหนาวเหน็บก็หายไป แทนที่ด้วยความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกาย
หลินฮุ่ยหมิ่นรู้สึกเหมือนมีแขนใครมาคล้องตัวเธอไว้จากด้านหลังพร้อมกับลากขึ้นไป จนในที่สุดก็ถูกวางตัวอยู่ตรงริมทะเลสาบที่เธอเคยนั่งเมื่อครู่
“ลืมตา!! เปิ่นหวางสั่งให้เจ้าลืมตา!!”
แรงเขย่าตัวพร้อมกับมือเล็กที่ตบแก้มไม่เบานักทำให้ร่างเล็กที่หมดสติไปค่อยๆฟื้นขึ้นมา
สิ่งที่เธอมองเห็นช่างพร่าเลือน
เหตุใด เธอจึงยังไม่ตาย
เมื่อปรับคลองจักษุได้ชัดหลินฮุ่ยหมิ่นก็ได้เห็นเด็กชายอายุประมาณแปดขวบนั่งโอบประคองเธอไว้จากทางด้านหลัง เขาลูบหลังให้เธอไอเอาน้ำที่สำลักเข้าไปออกมา
เมื่อเริ่มตั้งสติได้หลินฮุ่ยหมิ่นก็พยายามดันตัวเองออก หากแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ร่างกายของเด็กอ้วนกลมวัยห้าขวบที่เคยป่วยกระเสาะกระแสะสู้เด็กชายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
..ได้โปรด ปล่อยเธอไปเถิด
เด็กน้อยโดนเด็กชายตรงหน้าจับหมุนตัวกลับมาให้เผชิญหน้ากัน ดวงหน้าเล็กที่เครื่องหน้าสอดรับอย่างสวยงามฉายแววโกรธขึ้ง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน ก่อนจะตวาดเด็กหญิงด้วยแรงโทสะด้วยเสียงที่ระวังไม่ให้ดังเกินไปนัก
“เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้า กระโดดลงไปทำไม อยากตายหรืออย่างไร”
อยากสิ..
เพราะขอแค่ตาย..ก็ไม่ต้องเจ็บอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกแล้ว
ใบหน้ากลมป้อมยกยิ้มบาง ดวงตาไร้แวว สะท้อนความว่างเปล่าอย่างคนที่ไม่เหลืออะไรให้อาวรณ์อีกทำให้คนที่ได้เห็นถึงกับชะงักไป เติบโตมาแปดปีชันษายังน้อยนักจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนตรงหน้าจึงมีท่าทีเช่นนี้
ใจของเด็กชายหดเกร็งจนแทบจะเจ็บ.. ความปวดร้าวที่เด็กน้อยเท่านี้ต้องทนรับมันมากมายขนาดไหนกัน เหตุใดแค่แววตาก็สามารถส่งผ่านความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้
วงแขนเล็กรั้งร่างในอ้อมกอดแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ หวังว่ามันจะช่วยแม้เพียงนิด
..ถ่ายเทความร้าวรานนั้นมาให้เขาช่วยแบ่งเบา
ดวงตาเรียวสีดำน้ำตาลที่ไม่ได้สวยนักปิดลงอย่างอ่อนแรงสร้างความตกใจให้เด็กชายสูงศักดิ์เบื้องหน้า นิ้วเรียวยกขึ้นอังที่ปลายจมูกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเมื่อรู้สึกได้ถึงการหายใจของคนในอ้อมกอด
เด็กชายก้มมองดูตัวเองกับเด็กหญิงที่สลบไปแล้ว เขาสองคนต่างเปียกปอนไปทั้งคู่ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ เรียวปากบางขยับเรียกองครักษ์คนสนิท
“หลานเซ่อ!”
ทันใดก็ปรากฎร่างสูงในชุดทหารมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
“องค์ชายสาม เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่หลานเซ่อถามเจ้าชีวิตของตนด้วยเสียงร้อนรน กว่าจะได้เห็นสัญญาณแล้วมาถึงที่ริมทะเลสาบนี้ก็ไม่ทันกับที่องค์ชายพาตัวเด็กหญิงกลับขึ้นฝั่งแล้ว ชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบขบกรามแน่น โกรธตัวเองที่มาช้าไปมาก
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ องครักษ์ประจำตัวใกล้ชิดอีกสี่คนที่เหลือก็ตามมา ทั้งห้าก้มหน้าอยู่ไม่ยอมเงยด้วยความรู้สึกผิด
เด็กชายโบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา เพราะจริงๆเขาก็ใช้วรยุทธ์แอบสลัดอีกฝ่ายมาเอง ไม่ได้ให้ตามอารักขาเช่นปกติ จะเอามาโทษองครักษ์ผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่เช่นนี้ไม่ได้
“เราไม่เป็นไร แต่ต้องพาเด็กคนนี้กลับไปก่อน เจ้าจงตามหมอหลวงไปที่ตำหนักของเราเดี๋ยวนี้”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” สวี่หลานเซ่อคำนับแล้วรีบจากไป
“กระหม่อมจะพาคุณหนูไปเองพ่ะย่ะค่ะ” หวงจื่อโม่ องครักษ์อีกคนเอ่ยพร้อมยื่นมือมาจะรับตัวเด็กหญิง หากแต่องค์ชายส่ายหน้าปฏิเสธ
เด็กชายช้อนตัวยกเด็กหญิงขึ้นอุ้มแบบผู้ใหญ่อุ้มเด็ก ลอบบ่นอุบอิบในใจว่าเจ้าหมูน้อยตัวนี้หนักชะมัด จัดท่าเร็วๆพอให้ไม่ตกง่ายๆก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับตำหนักของตนทันที พาให้องครักษ์ต้องรีบตามกลับไป
หลังจากส่งตัวเด็กหญิงให้หมอหลวงดูแลแล้ว องค์ชายสามก็ออกมาสั่งความกับคนของตน
“เจียฉี เจ้าจงไปในงาน แจ้งเรื่องของเด็กคนนี้ว่ามีอุบัติเหตุ ข้าพามารักษาที่ตำหนักของข้า เมื่อมาถึงให้รออยู่ด้านหน้าก่อน ไม่ต้องบอกรายละเอียดมากนัก ไว้ข้าจะจัดการเอง อ้อ บอกเสด็จพี่หย่งเต๋อด้วยให้รีบมาช่วยข้า”
หย่งเจียฉีรับคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ก่อนจะต้องกลั้นหัวเราะกับองค์ชายน้อยที่พยายามหาทางเอาตัวรอด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ