Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  13.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ..มีข้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
อีตาองค์ชายมันยังไม่ไปค่ะ มันยังอยู่ 555 แต่เดี๋ยวจะไปตอนหน้านี่ล่ะค่ะ
12. ..มีข้า
กลางดึกคืนนั้น เด็กหญิงกำลังฝัน ฮุ่ยหมิ่นฝันเห็นตัวเองในชาติก่อนสมัยยังเป็นนักเรียนแพทย์ เด็กสาววัยยี่สิบปียุ่งหัวหมุนกับการดูแลคนไข้ สภาพเรียกได้ว่าเป็นยายเพิ้งเลยทีเดียว หน้าไม่ได้แต่ง ผมที่หวีมาตั้งแต่เช้าฟูฟ่อง ยังดีที่ยังได้อาบน้ำมาทุกวัน
เพราะระบบอาวุโสยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสายงานนี้ นักเรียนแพทย์ชั้นคลินิกปีแรกเช่นเธอจึงกลายเป็นทุกอย่างตามแต่ทุกคนจะเรียกใช้
“นักเรียนแพทย์หลิน คนไข้ความดันตก!!”
“นักเรียนแพทย์หลิน คนไข้เหนื่อย!!”
“นักเรียนแพทย์หลิน คนไข้หัวใจหยุดเต้น!!”
ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกเหนื่อยมากกับงานในแต่ละวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หญิงสาวรู้สึกเหมือนโดนดูดพลังชีวิต เข้าใจแล้วว่าทำไมค่าเฉลี่ยอายุขัยของแพทย์จึงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอายุไขของประชากรทั้งหมดมากนัก ก็ใช้ชีวิตเปลืองขนาดนี้จะเอาอะไรมาอายุยืน
แต่ฮุ่ยหมิ่นก็มีความสุข ถึงจะไม่สามารถช่วยทุกชีวิตให้พ้นจากความตายได้ แต่เธอสามารถช่วยให้ระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้รับการดูแลที่ดี ยามอยู่ มีโอกาสอยู่อย่างทรมานน้อยที่สุดตามแต่ตัวโรค ยามจากก็จากไปอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
To comfort always To cure sometimes To harm .. Never
มื้อเช้ากลายเป็นเที่ยง มื้อเที่ยงกลายเป็นดึก หญิงสาวชินซะแล้ว ทำงานตรงหน้าให้เต็มที่ เพราะพอลงเวรเธอจะได้กลับบ้าน ครอบครัวใหญ่ที่รักรอเธออยู่ จานโปรดของเธอเต็มโต๊ะเลย ดีจัง
จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นตอนที่ฮุ่ยหมิ่นเรียนต่อด้านศัลยกรรม
ความรู้สึกทดท้อ ความรู้สึกที่ถูกคนมองข้าม ความรู้สึกที่บอกกับตัวเองว่าไม่มีใครต้องการ เห็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังร้องไห้เพราะไม่มีที่ให้ยืนนอกจากครอบครัว มีทั้งคนที่เข้าใจและมีคนที่ซ้ำเติม ฮุ่ยหมิ่นได้แต่บอกตัวเองให้อดทน กอดเก็บความฝันไว้ให้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว สำนึกในน้ำใจของคนที่ช่วยเหลือ และอย่าลืมว่าใครละทิ้งเธออย่างไร ผลักฮุ่ยหมิ่นให้ล้มไปอีกแบบไหน
ฮุ่ยหมิ่นเห็นตัวเองโผเผกลับบ้าน พยายามยิ้มให้กับคนในครอบครัวเพราะไม่ต้องการให้พวกเขาเป็นห่วง กัดฟันบอกกับตัวเองในใจ ใครไม่รักไม่เอ็นดูก็ช่าง ยังมีครอบครัวที่รักเธอเสมอ
จนถึงวันที่ฮุ่ยหมิ่นทำได้สำเร็จ ฮุ่ยหมิ่นคว้าฝันตั้งแต่เด็กมาได้ รางวัลคือความดีใจยามทำหัตถการหรือการผ่าตัดยากๆได้ ความดีใจที่เห็นคนไข้หายป่วย
เห็นภาพครอบครัวที่มาร่วมถ่ายรูปยินดีกับความสำเร็จของเธอ
 
เพราะกำยานสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยให้หลับสบายถูกเซวียนชงอวี้ตั้งเอาไว้ที่หัวเตียงของฮุ่ยหมิ่น เด็กหญิงจึงหลับเป็นตายจนรู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ยามซื่อแล้ว ฮุ่ยหมิ่นระบายลมหายใจออก เหตุการณ์ที่นางอยู่ในโรงพยาบาลเป็นนักเรียนแพทย์ เป็นแพทย์ประจำบ้าน กลายเป็นแค่ความฝันตื่นนึงเท่านั้น มือข้างนึงยกขึ้นจะขยี้ตากลับสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น ตอนเรียนต่อมีหลายครั้งที่ฮุ่ยหมิ่นตื่นมาพร้อมกับคราบน้ำตา
นางคงคิดถึงที่ที่จากมามากไป
เด็กหญิงนอนนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ปรับอารมณ์และจิตใจให้เป็นปกติก่อนจะลุกขึ้นจัดการตัวเอง
เมื่อได้ยินเสียงกุกกักจากภายในห้องอันเป็นสัญญาณว่าเจ้านายของพวกนางตื่นแล้ว เฟิ่งอิงและหรงผิงจึงผลักประตูเข้ามาปรนนิบัติฮุ่ยหมิ่นล้างหน้าบ้วนปากรวมถึงแต่งตัว ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกผิดสังเกต ทำไมวันนี้ทั้งสองคนดูรีบกว่าปกติ แม้จะทำทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเคยแต่นางก็ดูออก
“มีอะไรรึเปล่า ทำไมวันนี้พวกเจ้าดูแปลกไป”
สาวใช้สองคนส่ายหน้าดิก
มันต้องมีอะไรแน่ๆแต่สองคนนี้ไม่ยอมบอกนาง
ฮุ่ยหมิ่นไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้นานนักเมื่อออกจากห้องของตัวเองมาแล้วพบกับเงาร่างคุ้นเคย เซวียนชงอวี้นั่งหันข้าง แสงแดดอ่อนๆที่ส่องเข้ามากระทบร่างนั้นทำให้บังเกิดภาพที่งดงามราวรูปวาด ใบหน้าสวยสว่างขึ้นยามแสงสีทองอาบไล้ คิ้วเรียวโก่งขมวดเข้าหากันน้อยๆคล้ายว่าจะใคร่ครวญเรื่องราวบางอย่าง มือข้างหนึ่งของเขาถือตำรา ส่วนอีกข้างก็ถือถ้วยชาไว้ในมือ
กลิ่นดอกเหมยกุ้ยลอยอวลน้อยๆ
องค์ชายพระองค์นี้ติดชากลิ่นนี้จริงๆ
 
เด็กหญิงหันมาทำตาดุใส่สาวใช้สองคน ไฉนองค์ชายสามเสด็จมาแล้วไม่ปลุกนาง ดูท่าเจ้าตัวจะต้องมารออยู่นานแล้วเป็นแน่ คาดเดาเอาจากจานของว่างที่พร่องไปกึ่งหนึ่งได้
เฟิ่งอิงและหรงผิงทำหน้าตาคล้ายจะร้องไห้ รินชาอีกถ้วยหนึ่งให้ฮุ่ยหมิ่น แล้วรีบย้ายตัวเองไปอยู่มุมห้อง
ปกติคุณหนูใจดี แต่ถ้าดุขึ้นมาก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
“องค์ชาย ขอโทษที่ให้รอเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าสั่งคนของเจ้าเองว่าไม่ต้องปลุกเจ้า”เซวียนชงอวี้เอ่ยมาอย่างรู้ทัน เขาต้องเห็นที่นางหันไปทำตาดุใส่สาวใช้แน่ๆ
สาวใช้นาง ดีจริงๆ เชื่อองค์ชายมากกว่านางเสียได้ ลอบคาดโทษทั้งสองคนไว้ในใจ
“ท่านมาถึงนานแล้วหรือเจ้าคะ”
“สักสองเค่อเท่านั้น เจ้าไม่ต้องคิดมากไป แล้วร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
ฮุ่ยหมิ่นยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าปฏิเสธให้กับประโยคหลังของเซวียนชงอวี้ เมื่อสักครู่นางตั้งใจจะต่อว่าเขาที่สั่งบ่าวไม่ให้ปลุกนาง แต่เขากลับถามมาด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้ฮุ่ยหมิ่นจะยังว่าสิ่งใดเขาได้
เซวียนชงอวี้ ท่านเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จริงๆ
เด็กหญิงตัดสินใจให้เรื่องมันแล้วๆกันไป ไม่คิดไปถือสาหาความอีก อย่างไรเสียที่เขาทำอยู่ก็เพราะเป็นห่วงนาง จะมามัวขัดเคืองก็ดูจะ เยอะ ไปหน่อย ฮุ่ยหมิ่นไม่อยากเป็นสตรีเรื่องมาก
“ไม่เท่าไหร่เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านและคนของท่านมากที่ช่วยพวกข้าไว้”
เด็กหญิงคำนับขอบคุณอย่างสวยงามทำเอาองค์ชายนั่งไม่ติดที่รีบลุกมาห้าม ใบหน้าสวยยับยู่อย่างขัดใจ ต่อว่าเขาไม่ได้ก็มาขัดใจเขาเช่นนี้แทน เจ้าตัวดี
เซวียนหย่งเต๋อชอบบอกว่าฮุ่ยหมิ่นเป็นเด็กดี กตัญญูรู้ความนัก อยากให้พี่ชายตัวเองมาเห็นบ้างว่าเจ้าซาลาเปาน้อยนี่ก็แสบใช่เล่น
“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องพิธีรีตองกับข้า เจ้าซาลาเปาโง่งม”
อดไม่ได้ที่จะดีดหน้าผากเด็กน้อยสักที ลงโทษฐานขัดคำสั่ง พาให้มือเล็กต้องกุมหน้าผากตัวเองที่เริ่มจะมีรอยแดงจางๆขึ้นมา
องค์ชาย ท่านช่วยข้ามาเพื่อจะทำร้ายข้าเองหรือไร
เด็กหญิงทำหน้างอใส่แต่เพียงไม่นานก็หาย กลับมายิ้มตาหยีให้เขา
“ท่านกินอะไรมาหรือยังเจ้าคะ จะรับมื้อเช้าที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้ารอเจ้าตื่นมาพูดประโยคนี้นี่ล่ะฮุ่ยหมิ่น”เด็กหนุ่มพูดจบก็ยิ้มน้อยๆ
ฮุ่ยหมิ่นได้แต่คิดในใจ พวกท่านแม่ลูกช่างเหมือนกันโดยแท้ ยิ้มแล้วโลกสว่างสดใสเหลือเกิน
ยามถึงวัยออกเรือน ชะตาดอกท้อของท่านต้องมากมายแน่นอน
 
สำรับง่ายๆรสค่อนไปทางจืดสามอย่างถูกยกขึ้นตั้งโต๊ะพร้อมกับข้าวต้ม ฮุ่ยหมิ่นกับเซียนชงอวี้ต่างกินกันเงียบๆ ฮุ่ยหมิ่นที่หิวจัดกินได้มากกว่าที่เคย ส่วนเซวียนชงอวี้ก็เติมข้าวเพิ่มอีกชาม เด็กหญิงเริ่มเบาใจเมื่อเห็นว่าวันนี้เขาไม่ได้มีบรรยากาศหนาวเยือกอย่างเมื่อวาน
เมื่ออาหารคาวถูกจัดการเรียบร้อย หรงผิงก็ยกผลไม้ล้างปากมาตั้งไว้
เด็กหนุ่มหยิบส้มมาลูกหนึ่งก่อนจะส่งให้ฮุ่ยหมิ่น ฮุ่ยหมิ่นรับมาถือไว้อย่างงงๆก่อนที่ทุกอย่างจะเฉลยในทันทีที่รอยยิ้มถูกวาดบนใบหน้าสวยๆนั่น
อ้อ จะให้นางบริการแกะให้
เด็กหญิงยิ้มตอบแล้วส่ายหน้าน้อยๆ พูดพลางก้มลงมองมือตัวเอง
“มือของข้ายังมีแผลอยู่ ถ้าให้แกะให้ท่านคงจะไม่ดีนะเจ้าคะ”
ฮุ่ยหมิ่นไม่ได้โกหก แต่เพิ่มน้ำเสียงสำออยใส่ลงไปอีกหลายส่วน เซวียนชงอวี้โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ รู้ทั้งรู้ว่าฮุ่ยหมิ่นคิดอะไรแต่ก็ไม่ได้ถือสา
“ไหนให้ข้าดูซิ” การกระทำกับวาจาล้วนไวพอกัน เซวียนชงอวี้ย้ายตัวมานั่งข้างๆเด็กหญิง คว้ามือของฮุ่ยหมิ่นไปสำรวจอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแค่มือ รวมไปถึงแขนและขาด้วย นี่ถ้าฮุ่ยหมิ่นไม่ห้ามไว้องค์ชายตรงหน้าคงเลิกกระโปรงนางสูงกว่านี้แล้ว
“องค์ชาย ขะ..ข้าไม่เป็นไรมากเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ ฮุ่ยหมิ่นของข้ายังไม่ทันโตเป็นสาวก็หัดเขินแล้วรึ ยังเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่แท้ๆ”เซวียนชงอวี้พูดเสียงกลั้วหัวเราะ
อีตาองค์ชายบ้า เอาคืนมารดาวิธีนี้หรือ
มารดาเด็กที่ไหนกันเล่า จะสามสิบอยู่แล้วนะ!!
แต่ฮุ่ยหมิ่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการบริภาษเขาเพียงในใจ กลัวว่าเขาจะจับนางแก้ผ้าดูแผลขึ้นมาจริงๆ
 
เซวียนชงอวี้ล้วงไปในอกเสื้อ มือเรียวสวยหยิบตลับยาสีเหลืองอ่อนส่งมาให้นาง
“เจ้าเอาขี้ผึ้งนี่ไว้ทาแผลเถิด ตำรับจากในวัง ใช้ดีนัก”
ฮุ่ยหมิ่นรับไปอย่างว่าง่าย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“อย่าลืมทาบริเวณหน้าผากเจ้าด้วยเล่า มันช่วยลบรอยแผลเป็นได้ ปกติก็ไม่งามอยู่แล้ว หากมีรอยแผลอีกจะยิ่งดูไม่ได้นะซาลาเปาน้อย”เด็กหนุ่มว่ามาด้วยน้ำเสียงยียวน
หืมม อีตาองค์ชายนี่จะไม่กวนประสาทบ้างได้ไหม จะดีกับนางก็ช่วยดีให้ตลอดรอดฝั่งหน่อยเถิด การกระทำแสนดีแต่วาจายั่วอารมณ์ก็ไม่ไหวนะเจ้าคะ
อาการค้อนปะหลับปะเหลือกของเด็กหญิงไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของเซวียนชงอวี้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเอ็นดู ก็น่าแกล้งเช่นนี้จะให้เขาอดใจไหวได้อย่างไร
เซวียนชงอวี้ปรับสีหน้าท่าทีเป็นการเป็นงาน
“ฮุ่ยหมิ่น เจ้าจำเหตุการณ์โจรปล้นเมื่อห้าปีก่อนตอนที่เราเดินทางมาสำนักหย่งฉือกันครั้งแรกได้หรือไม่”
เด็กหญิงพยักหน้าเร็วๆ มีหรือที่นางจะลืมเหตุการณ์นั้น รับขวัญกันเหลือเกิน ทั้งๆที่นางเพิ่งมาที่โลกนี้เป็นปีแรกเท่านั้น ที่จำได้ไม่ใช่แค่โจร แต่ยังเป็นวิธีการรับมือขององค์ชายวัยแปดขวบที่สั่งฆ่าเรียบด้วย
“ที่ข้าจำได้ ท่านเคยเล่าให้ข้าฟังว่าผลการสืบสวนออกมาว่าเป็นเหตุการณ์ปล้นชิงทรัพย์ธรรมดาจากกลุ่มโจรที่ออกอาละวาดแถวนั้น”
“ใช่ ผลการสืบสวนในปีนั้นเป็นเช่นนั้น แต่คนของข้าพบว่าคนที่ตั้งใจทำร้ายเจ้าเมื่อวานกับกลุ่มโจรนั้นมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง” เด็กหญิงฟังแล้วต้องหรี่ตา
“แปลว่าพวกมันต้องการเอาชีวิตข้า”
แสดงว่านางคิดถูกกับเหตุการณ์เมื่อคืน พวกมันมีจุดประสงค์ที่นางจริงๆแต่แสร้งทำเป็นโจรมาดักปล้น
ตั้งแต่มายังโลกใบใหม่นี้ คนที่นางเป็นหนี้ชีวิตมากที่สุดย่อมเป็นเซวียนชงอวี้ เขาช่วยให้นางพ้นความตายมาไม่รู้กี่ครั้งจริงๆ
“ไม่อาจมั่นใจถึงเพียงนั้น แต่มันย่อมไม่ประสงค์ดีต่อเจ้า ยามนี้เวลาไปไหนมาไหนเจ้าต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงเรียบเฉย เยือกเย็นที่อีกฝ่ายแสดงออก แต่เนื้อความกลับใส่ใจและห่วงหาอาทรทำให้ใจดวงน้อยอุ่นเอ่ออยู่ในอก
ความรู้สึกที่ตนถูกเป็นห่วงเป็นใย ใครบ้างจะไม่ชอบ
“เจ้าค่ะ ข้าจะระวัง”
เซวียนชงอวี้มีสีหน้าพอใจเมื่อฮุ่ยหมิ่นรับปาก หากแต่ในนัยน์ตาหงส์เรียวสวยคู่นั้นกลับสะท้อนเงาแห่งความกังวลใจ แม้เพียงชั่วแวบก็สลาย แต่ก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของเด็กหญิงที่คอยจับจ้องเขาอยู่ตลอด นางสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับนาง
“องค์ชาย ท่านมีอะไรที่ต้องการจะเตือนข้าอีกใช่ไหมเจ้าคะ”
คนตรงหน้าถอนใจเฮือก มือสองข้างยกขึ้นมาบีบแก้มนางไปมา
“อ่อยอ้าอ๊ะ อ่อยยย” โอ้ยยย ก่อนที่หน้าของนางจะเหี่ยว แก้มได้ห้อยเป็นหมาบูลด็อกก่อนแน่นอน องค์ชายโรคจิต!
เซวียนชงอวี้หัวเราะเบาๆแล้วเงียบไป ฮุ่ยหมิ่นได้แค่กุมแก้มกลมที่มีรอยแดง คลำป้อยๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ
“จนกว่าข้าจะกลับมาจากรบ รับปากกับข้าว่าเจ้าจะไม่กลับจวนแม่ทัพ”
“เรื่องนี้ข้ารับปากท่านได้อยู่แล้ว ท่านก็คงรู้ว่าข้าอยากอยู่ที่นี่มากกว่ากลับไป แต่มันเพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ”
ฮุ่ยหมิ่นรับปากอย่างว่าง่าย ต่อให้เซวียนชงอวี้บังคับเลือกระหว่างติดตามเขาไปรบกับกลับจวนแม่ทัพ ฮุ่ยหมิ่นคิดว่านางคงเลือกข้อแรกอยู่ดี
“เหตุการณ์เมื่อคืนกับเมื่อห้าปีก่อน มีหลายอย่างบ่งชี้ว่าจวนแม่ทัพมีความเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ดวงตาขึงเครียดคู่นั้นที่จับจ้องฮุ่ยหมิ่นมองนางอย่างค้นหา เขาอยากรู้ว่านางจะรู้สึกเช่นไร จะคิดอย่างไรกับความจริงนี้
ความสงบนิ่งของนางดูจะไม่เกินความคาดหมายของเขานัก เขารู้อยู่แล้วว่านางไม่ได้อาวรณ์บิดาพรรค์นั้นสักเท่าไหร่ แต่มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มก็สัมผัสลงกับกลุ่มเส้นผมนุ่มแผ่วเบา คล้ายว่าต้องการจะปลอบโยน
“ถ้าเช่นนั้นคนทำย่อมไม่ใช่บิดาข้า เฉิงจิ๋นหลี่”เด็กหญิงว่ามาด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาทำลืมตาข้างปิดตาข้างหรือไม่”
เฉิงจิ๋นหลี่ไม่มีทางสั่งฆ่าเฉิงฮุ่ยหมิ่นในตอนนี้เด็ดขาด เพราะนาง ยังมีประโยชน์ ด้วยสถานะบุตรสาวจากภรรยาเอกแห่งจวนแม่ทัพ ย่อมสามารถให้ผลประโยชน์ทางการเมืองต่อผู้เป็นบิดาได้ นางแน่ใจว่าเขาเคยฝันถึงตำแหน่งบิดาของพระชายาในองค์ชายสักองค์แน่นอน เป้าหมายสูงสุดคงเป็นเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้อยู่ข้างกายนางยามนี้ เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงมือสังหารนาง แต่ถ้าเป็นอีกคนก็ไม่แน่
“เจ้าสงสัยใครหรือไม่ ฮุ่ยหมิ่น”
เด็กหญิงพยักหน้ารับ “มีหนึ่งคนเจ้าค่ะ น่าจะเป็นเหลียงซีหม่า ฮูหยินรองของบิดาข้า”
เซวียนชงอวี้ยิ้มน้อยๆ เขาเองก็เห็นด้วยกับนาง เพียงแต่ยามนี้หลักฐานสามารถสืบสาวไปได้เพียงว่าจวนแม่ทัพมีความเกี่ยวพันเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอที่จะระบุตัวคนร้าย
 
คนที่ต้องการให้นางตาย ในจวนนั้นคงจะเป็นเหลียงซีหม่า ฮูหยินรองที่เฉิงจิ๋นหลี่แต่งเข้ามาหลังมารดาตั้งครรภ์นาง ถ้าหากนางตายจริง คนที่จะได้รับผลประโยชน์ย่อมเป็น เฉิงเหริน บุตรสาวของเหลียงซีหม่า ที่สามารถเขยิบฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวที่มีค่าแทนนาง
ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ การมีอยู่ของนางก็จะเป็นการตอกย้ำเหลียงซีหม่าและเฉิงเหรินว่าพวกเขายังเป็นรอง มิใช่ภรรยาเอกอย่างแท้จริง เมื่อมองยาวไปถึงการครองเรือนแล้ว น้องสาวต่างมารดาของนางคงไม่มีโอกาสใฝ่ฝันถึงยศฐาบรรดาศักดิ์มากนัก ตระกูลใดเล่าจะต้องการสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ
หากนางตายลง พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง ยิ่งบิดาของนางเคยฝันถึงการเป็นพ่อตาขององค์ชายสักองค์ด้วยแล้ว การกำจัดนาง ก็จะยิ่งเป็นการกรุยทางให้บุตรสาวของเหลียงซีหม่าเอง
อันที่จริงอาการป่วยของเฉิงฮุ่ยหมิ่นที่ทำให้ตัวฮุ่ยหมิ่นจากยุคปัจจุบันมาเข้าร่างแทนนั้น จะใช่การเจ็บป่วยธรรมดาทั่วไปหรือไม่ หากเป็นจากโรคภัยทั่วไปไฉนจึงรักษาไม่หาย เรื่องนี้ยังเป็นความสงสัยที่ยังคงติดค้างอยู่ภายในใจฮุ่ยหมิ่น แต่เรื่องก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฮุ่ยหมิ่นไม่สามารถกลับไปสืบสาวราวเรื่องอะไรได้อีก จึงได้แต่ปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นปริศนาไป ทำได้แค่ระวังตัวเองให้มากเท่านั้น
ฮุ่ยหมิ่นมีโอกาสได้สัมผัสกับน้องสาวต่างมารดาน้อยนัก จึงไม่รู้ว่าเฉิงเหรินมีอุปนิสัยใจคอเช่นไร แต่หากถูกปลูกฝังความคิดด้วยมารดาที่ทะยานอยากเช่นเหลียงซีหม่าแล้ว โอกาสที่ผ้าขาวจะคงความขาวไว้ได้ช่างน้อยเหลือเกิน
เด็กหญิงยังไม่มีความรู้สึกใดๆต่อเฉิงเหริน ไม่รักไม่เกลียด แค่ภาวนาให้ลูกไม้อย่าตกอยู่ใต้ต้นเป็นพอ ไม่เช่นนั้นชีวิตของเด็กคนหนึ่งคงจะต้องจมกับความริษยาไปจนกว่าจะลาโลกดังเช่นมารดาของนาง
สำหรับบิดาพรรค์นั้น ฮุ่ยหมิ่นมั่นใจว่าแม้เฉิงจิ๋นหลี่จะรู้ว่าพวกเขาเป็นคนทำ แต่ก็คงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แม่ทัพผู้นั้นย่อมไม่มีทางจะแลก เมียรักกับมารหัวขนคนหนึ่งเช่นนาง ดีไม่ดีอาจจะหาเรื่องว่าฮุ่ยหมิ่นสร้างหลักฐานมาใส่ร้ายป้ายสีเสียอีก คงจะกลับดำเป็นขาวเอาง่ายๆ
ชาติที่แล้วนอกจากครอบครัวก็ไม่มีใครรัก
จนมาชาตินี้ กระทั่งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวใกล้ชิดยังรังเกียจ
ฮุ่ยหมิ่นเอ๋ย เจ้ามันไม่ใช่ที่รักของใครจริงๆ
ไม่รู้ว่านางแสดงสีหน้าเช่นไรออกไป
ไม่รู้ว่าเผลอพูดความคิดที่อยู่ในใจเป็นเสียงออกไปรึเปล่า
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างทั้งร่างถูกรั้งเข้าไปปะทะกับแผ่นอกของเด็กหนุ่มรุ่น เด็กหญิงถูกจับให้นั่งอยู่บนตักเขา จมอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอ่อนโยนนั้น ความอบอุ่นที่โอบล้อมกายทำให้คิดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำตามความรู้สึกที่บอกให้นางละวางเรื่องในใจลงแล้วอิงแอบไออุ่นจากเขา
เด็กน้อยตัวกลมขยับซุกเข้าหาพร้อมๆกับที่แขนแข็งแรงกระชับแน่นขึ้น ตบเบาๆอยู่กลางหลัง
เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้ฮุ่ยหมิ่นสงบขึ้น
เด็กหญิงหลับตาลง
ปลอดภัยนัก
สบายเหลือเกิน
“..มีข้า”
เรียวปากบางกระซิบอู้อี้ชิดเรือนผมสีดำสนิท ฮุ่ยหมิ่นไม่เข้าใจความหมาย แต่ไม่เป็นไรหรอก..
แค่วินาทีนี้ .. นางก็ไม่เป็นไรแล้ว
แค่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว บนโลกที่มันโหดร้ายแค่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ลำพัง ท่ามกลางเรื่องราวมากมายแค่รู้ว่าฉันไม่ได้เดินคนเดียวบนทางอันแสนไกล
แค่มีเธอแค่รู้ว่ามีเธอ
@@@
ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง มีข้อแนะนำตรงไหนหรือติตรงไหนบอกได้นะคะ หรือทิ้งเม้นไว้ จะดีใจมากค่า
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา