Soft place to fall
เขียนโดย หลินไป๋อัน
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) หนักมากเลยรู้หรือไม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
11. หนักมากเลยรู้หรือไม่
วันนี้ฮุ่ยหมิ่นมาออกตรวจที่โรงหมอของสำนักในตัวเมืองกับอาจารย์ซ่งและอาจารย์หู ระยะเวลาเดินทางด้วยรถม้าใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม ฮุ่ยหมิ่นจึงหยิบตำราสมุนไพรขึ้นมาอ่านเพลินๆ อีกไม่นานก็จะเข้าหน้าคิมหันต์ ฤดูนี้เมืองฉางเจียงมักจะมีการระบาดของโรคที่น่ากลัวอยู่สองอย่างหนึ่งคืออหิวาต์และสองคือไข้ป่า
สำหรับเรื่องอหิวาตกโรคนั้น ฮุ่ยหมิ่นมีแผนการรับมือในใจแล้ว ยิ่งหลังจากนางและรั่วซีสามารถพัฒนาน้ำเกลือที่ไว้ให้ตามหลอดเลือดได้แล้วฮุ่ยหมิ่นยิ่งสบายใจมากขึ้น ตอนนี้สิ่งสำคัญคือเรื่องสุขอนามัยและการควบคุมการระบาด เด็กหญิงเขียนแผนการจัดการหากพบผู้ป่วยด้วยอหิวาต์ในเมืองฉางเจียงไว้ รอหลังตรวจคนไข้นางจะเอาแผนงานนี้ให้ซ่งฉางอานดู
แต่กับโรคไข้ป่าหรือมาลาเรีย นี่ก็ใกล้หน้าร้อน สำหรับเมืองที่ติดกับชายป่าย่อมพบโรคนี้ได้มากกว่าในเมืองหลวง ด้วยความรู้การแพทย์ในยุคนี้ที่ยังไม่พัฒนา จึงจะเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ ให้ยาสมุนไพรไปตามตัวโรค จากที่ฮุ่ยหมิ่นเคยเปิดบันทึกที่มีคนจดไว้กับในตำราเล่มต่างๆ โรคนี้อัตรารอดชีวิตค่อนข้างต่ำ
เรื่องการระบาดของมาลาเรียทำให้ฮุ่ยหมิ่นแปลกใจไม่น้อย ในยุคปัจจุบันมาลาเรียจะพบในประเทศแถบร้อนชื้น แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ในจีน ฮ่องกงหรือไต้หวันนั้นนับว่าพบได้น้อย แม้จะมีสตรีชาวจีนที่เคยได้รับรางวัลเรื่องการคิดค้นยารักษามาลาเรีย แต่นั่นก็เพราะสงครามเวียดนามที่ส่งทหารจีนไปเข้าร่วม ตัวโรคเองไม่ได้ระบาดในแผ่นดินจีน แล้วเหตุใดในยุคนี้จึงมีมาลาเรียระบาดได้
ฮุ่ยหมิ่นเคยรู้ว่าตำราแพทย์จีน นิชิง เคยบันทึกเกี่ยวกับมาลาเรียไว้เช่นกันในยุคจักรพรรดิฮวงตี้ แต่ว่านั่นมันก็นานมากแล้ว หรือว่าเพราะยุคที่ฮุ่ยหมิ่นมาอยู่นี้เป็นยุคโบราณของสองโลกที่ทับซ้อนกัน ข้อมูลทุกอย่างรวมถึงสภาพภูมิศาตร์จึงเปลี่ยนแปลงไป สถานที่ตั้งของแคว้นนี้อาจไม่ใช่ประเทศจีนเดิมในยุคเดิมของฮุ่ยหมิ่น แต่อาจเป็นพื้นที่ที่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่าเล็กน้อยและยังมีป่าอุดมสมบูรณ์อยู่มาก จึงยังมีทั้งหิมะในหน้าหนาว และมีไข้ป่ายามหน้าร้อน
แต่ตอนนี้เหตุผลเหล่านั้นล้วนไม่ใช่ประเด็นอีกแล้ว เมื่อมีโรคแล้วก็ต้องป้องกันและแก้ไข
ในยุคสมัยที่ฮุ่ยหมิ่นจากมา ยาที่ใช้รักษามาลาเรียจะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยตามแต่ชนิดของเชื้อที่ตรวจได้จากthick film thin film เวลานี้ฮุ่ยหมิ่นไม่มีกล้องจุลทรรศน์ ซ้ำยังไม่สามารถสร้างยาที่ซับซ้อนขนาดนั้นมาได้
ยาพวกโรคติดเชื้อพวกนี้พอมาเป็นศัลยแพทย์แล้วฮุ่ยหมิ่นก็ไม่ได้สนใจมันอีกเลย แทบจะคืนครูไปหมด ในหัวมีแต่ยาที่ต้องใช้ทางศัลยกรรม การดูคนไข้ทางศัลยกรรมกับเทคนิคการผ่าตัดเท่านั้น เด็กหญิงค่อยๆขุดความรู้เภสัชวิทยาที่เคยเรียนสมัยเป็นนักเรียนแพทย์ขึ้นมา
ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อนึกขึ้นได้ถึงยาที่ใช้รักษามาลาเรียในยุคแรกๆ ควินิน!!
ควินินหรือจินจีเล่อ สามารถนำเปลือกของมันมาใช้รักษาโรคมาลาเรียในเบื้องต้นได้ เด็กหญิงเปิดตำราสมุนไพรในมือดูไล่หาชื่อจินจีเล่อ ฮุ่ยหมิ่นยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าในตำรามีบรรยายสรรพคุณของจินจีเล่อไว้หลายอย่างเช่นพวกลดไข้ แก้ปวดเมื่อย แต่ไม่ได้พูดถึงไข้ป่า อย่างน้อยนางก็สามารถหาเปลือกจินจีเล่อได้แน่นอน
หลังจากตรวจคนไข้เสร็จก็เลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักเล็กน้อย ซ่งฉางอานจึงให้ทั้งคณะแวะพักกินข้าวที่โรงเตี๊ยมในเมือง เมื่อเริ่มอิ่มกันแล้วฮุ่ยหมิ่นก็เอาเอกสารที่เตรียมไว้ให้ซ่งฉางอานดู อาจารย์ของนางเห็นด้วยกับแนวทางที่เสนอไปทั้งหมด นอกจากเรื่องอหิวาตกโรคแล้วฮุ่ยหมิ่นถือโอกาสปรึกษาซ่งฉางอานเรื่องไข้ป่าด้วยเลย นอกจากการรักษาแล้ว การป้องกันก็สำคัญเพราะพาหะของไข้ป่าก็คือยุง
ซ่งฉางอานอนุญาตให้ฮุ่ยหมิ่นใช้ห้องสมุนไพรของสำนักเพื่อพัฒนายากันยุงร่วมกับรั่วซีได้
เมื่อกลับมาถึงสำนักหย่งฉือ ฮุ่ยหมิ่นก็ตรงไปหารั่วซีที่ห้อง เด็กสาวมีสีหน้าประหลาดใจที่ได้เห็นฮุ่ยหมิ่นในเวลานี้ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เชิญให้ฮุ่ยหมิ่นมานั่งจิบชาอยู่ในห้องของนาง
“เจ้ามาหาข้านี่มีอะไรรึเปล่า”
รั่วซีถามพลางยกขนมที่ได้จากบ้านมาให้ฮุ่ยหมิ่นลองชิมซึ่งเด็กหญิงก็ไม่เคยขัดศรัทธา หยิบมากินด้วยท่าทางเต็มใจอย่างยิ่ง พลอยให้เด็กสาวมองอย่างปลงๆ นับว่าโชคดีที่ฮุ่ยหมิ่นได้เรียนวรยุทธ์ด้วย ไม่เช่นนั้นขนาดตัวของเด็กหญิงต้องไปไกลกว่านี้แน่หากยังเจริญอาหารขนาดนี้ รั่วซีนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอฮุ่ยหมิ่นครั้งแรก เด็กหญิงเป็นก้อนกลมๆขาวๆเคลื่อนที่ได้ ที่องค์ชายผู้นั้นเรียกฮุ่ยหมิ่นเป็นก้อนซาลาเปาก็นับว่าไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเลยสักนิดเดียว
“ข้าปรึกษากับอาจารย์ซ่งแล้วเรื่องโรคอหิวาต์กับมาลาเรีย”
“แล้วอาจารย์ว่าอย่างไรบ้าง” รั่วซีย่อมรู้ดีถึงแผนการรับมือที่ฮุ่ยหมิ่นคิดจะทำเพราะเด็กหญิงเคยเปรยกับนางมาสักพักแล้ว
“เห็นด้วยทั้งหมด และยังอนุญาตให้เราสองคนใช้ห้องสมุนไพรของสำนักพัฒนายากันยุงได้ตามใจด้วย”
รั่วซียิ้มอย่างถูกใจทันทีที่ได้ยิน นักวิจัยยาจะชอบอะไรมากไปกว่าการพัฒนายาใหม่ๆเล่า แม้การใช้สมุนไพรจุดเพื่อไล่ยุงหรือแมลงมีมานานแล้วในยุคสมัยนี้ แต่ยากันยุงพวกที่นำมาทาตามตัวนั้นยังไม่มี
ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกว่าในเวลาสองเดือนที่เหลืออยู่นางได้เจอหน้าเซวียนชงอวี้แทบทุกวัน ดูเขาจะหาเวลามาอยู่กับนางให้มากขึ้น ชั่วโมงเรียนวรยุทธ์ของนางเพิ่มจากวันหยุดสองวันช่วงเช้าเป็นทุกเย็นที่เซวียนชงอวี้ว่าง เรื่องนี้ฮุ่ยหมิ่นชอบยิ่งนักเพราะการฝึกวรยุทธ์ก็คือการออกกำลังกายแบบหนึ่ง ฮุ่ยหมิ่นนึกถึงตอนที่ตัวเองเคยเรียนคาราเต้เมื่อชาติก่อน ตอนนี้ฮุ่ยหมิ่นมีวรยุทธ์อย่างในซีรีส์ที่เคยดูแล้วด้วย นี่มันยิ่งกว่าเรียนคาราเต้อีก
ที่สำคัญเซวียนชงอวี้ยังตั้งใจสอนมากด้วย ฮุ่ยหมิ่นพอรู้อยู่บ้างว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยากผู้หนึ่ง ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้เรียนกับเขาแล้วฮุ่ยหมิ่นยิ่งต้องคว้าไว้
ส่วนยามกินข้าวก็ต้องรอกินพร้อมกัน ข้าวเช้าก็แล้วไปเถิด เพราะตารางเรียนไม่เหมือนกัน แต่มื้อเย็นนั้น หากวันใดฮุ่ยหมิ่นกินไปเองโดยไม่รอ เด็กหญิงรู้สึกได้ว่าเซวียนชงอวี้ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ แล้วฮุ่ยหมิ่นก็จะโดนลากไปกินอีกรอบพร้อมเขาอยู่ดี นางก็เลยตัดสินใจรอเขาทุกวัน
ซ้อมวรยุทธ์รอบ้าง อ่านหนังสือรอบ้าง แต่ฮุ่ยหมิ่นสังเกตได้ว่าเซวียนชงอวี้ดูจะพอใจมากขึ้น
ช่างเถิด สิ่งใดทำแล้วเขาสบายใจและนางไม่ได้เดือดร้อนก็ทำไป ฮุ่ยหมิ่นไม่รู้สึกอะไรนัก
วันนี้เป็นวันหยุดพักตามตารางของฮุ่ยหมิ่น เด็กหญิงหยิบผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มมาพับหนึ่ง ตัดออกมาบางส่วน เริ่มต้นเย็บถุงใส่เงินและถุงหอม ความยากของการเย็บของพวกนี้ยากกว่านางเย็บแผลหลายเท่าตัว
ฮุ่ยหมิ่นเพ่งสมาธิไปกับการปักเข็มแต่ละเข็ม นิ่วหน้าเป็นครั้งๆไปเมื่อเข็มแหลมนั่นทิ่มเข้านิ้วตัวเอง ยังดีที่นางไวพอไม่ทันให้เลือดหยดเปื้อนผ้า มิเช่นนั้นหากต้องทิ้งแล้วเริ่มใหม่ ฮุ่ยหมิ่นคงน้ำตาไหลเป็นสายเลือด
เด็กหญิงเลือกเครื่องหอมและดอกไม้เพื่อเตรียมมาใส่ในถุงหอมให้เขา กลิ่นหลักยังคงเป็นดอกเหมยกุ้ย แต่ปรับกลิ่นให้ไม่ฉุนจัดไปนัก เน้นได้กลิ่นยามลมโชยแล้วสดชื่นมากกว่า ใจก็นึกถึงถุงเครื่องรางแบบที่เคยอ่านเจอในการ์ตูนญี่ปุ่น
ฮุ่ยหมิ่นวางอุปกรณ์การเย็บลงกับโต๊ะ จัดวางให้เป็นระเบียบ เดินออกมาด้านนอกห้องนอน
“หว่านอิ๋น เฟิ่งอิง พวกเราทั้งหมดไปไหว้พระด้วยกันเถิด”
บ่าวทั้งสองคนรับคำจากนั้นก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัว
เพียงครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ทั้งบ่าวนายก็มาพร้อมกันที่หน้าบริเวณวัด
“ดีจังเจ้าค่ะคุณหนู ทุกทีคุณหนูไม่ค่อยเข้าวัด นึกอย่างไรถึงมาไหว้พระวันนี้ล่ะเจ้าคะ”
เฟิ่งอิงชวนนางคุยด้วยท่าทางซื่อๆแต่พาให้คนที่ได้ยินหัวเราะคิก ฮุ่ยหมิ่นที่เดินนำหน้าอยู่แทบล้มหน้าคะมำ ดีที่คว้าแขนหว่านอิ๋นไว้ได้ทัน
นี่นางทำตัวห่างวัดห่างเจ้ามากไปใช่หรือไม่!
แม่นมจินพยายามวางสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยตักเตือนสาวใช้ “เฟิ่งอิง จะพูดจะจาอะไรระวังปากของเจ้าด้วย อย่าให้มันลามปามคุณหนูนัก เห็นคุณหนูใจดีแล้วได้คืบเอาศอกหรือไร”
“ข้าเปล่านะเจ้าคะ ข้าแค่แปลกใจเจ้าค่ะแม่นม ก็ปกติเห็นคุณหนู..”
“พอเถิดเฟิ่งอิง เท่านี้ข้าก็ดูเหมือนคนไร้ศาสนาพอแล้ว”ฮุ่ยหมิ่นพูดเสียงกลั้วหัวเราะด้วยความอ่อนใจ แต่ดูเหมือนสาวใช้คนซื่อเพิ่งจะรู้ตัวว่าคำถามของตนตีความหมายได้แบบใด จึงรีบละล่ำละลักตอบคำ สีหน้าซีดเซียว
“คุณหนูเจ้าคะ.. บ่าว.. บ่าวไม่มีเจตนาเช่นนั้นนะเจ้าคะ บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ!“
เด็กหญิงหัวเราะลั่นอย่างเสียกิริยา นางแน่ใจว่าอีกเดี๋ยวต้องมีบทอบรมจากแม่นมจินแน่นอน “เฟิ่งอิงข้าเชื่อเจ้า”
“คุณหนูเจ้าคะ อย่าหาว่าคนแก่อย่างบ่าวปากมากเลยนะเจ้าคะ แต่คุณหนูในห้องหอมิควรหัวเราะเสียงดังในที่สาธารณะนะเจ้าคะ อีกไม่กี่ปีคุณหนูก็โตพอจะออกเรือนได้แล้ว..”
ฮุ่ยหมิ่นแอบกลอกตา อืม รอบนี้เป็นเรื่องออกเรือน คำสั่งสอนอบรมของแม่นมจินชอบอ้างอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือออกเรือน และสอง คือมารดาของนาง .. หากคุณหนูทำเช่นนั้น ฮูหยินที่อยู่ในปรโลกจะต้องเสียใจนะเจ้าคะ
อย่างตอนที่นางตัดสินใจจะเรียนวรยุทธ์นั่นปะไร
หากไม่ใช่เพราะฮุ่ยหมิ่นยกเหตุผลเรื่องความปลอดภัย การดูแลตนเองโดยไร้การเหลียวแลจากจวนแม่ทัพมาอ้าง นางคงจะไม่ได้เรียนวรยุทธ์แน่ เพราะแม่นมขู่จะเอาศีรษะชนเสาฆ่าตัวตาย
วัดหนานซานที่นางมาอยู่ไม่ไกลจากสำนักศึกษา นั่งรถม้าเพียงสองเค่อก็มาถึง พระอารามขนาดกลางตั้งอยู่เบื้องหน้าแผ่ความสงบเยือกเย็นให้กับผู้มาเยือนแม้จะยังไม่ทันย่างเท้าเข้าไปด้านใน ชาวบ้านที่มาไหว้จัดว่าไม่หนาแน่นนัก เพราะในแคว้นนี้ยังมีทั้งลัทธิเต๋า ทั้งพุทธ ที่มีคนนับถือพอๆกัน
ไม้ยืนต้นใหญ่ถูกปลูกอยู่ทั่วไปในบริเวณลานรอบวัด ให้ความรู้สึกร่มรื่น มีร่มเงาช่วยบังแสงแดด ทำให้แม้จะมาช่วงกลางวันก็ไม่ได้รู้สึกร้อนเท่าไหร่นัก ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้าไปในตัวอาราม กลิ่นธูปหอมโชยมาปะทะฆาณประสาท
เหม่ยเย่รับหน้าที่จัดเครื่องเซ่นไหว้ให้กับฮุ่ยหมิ่น เด็กหญิงรับมากราบขอพรกับรูปเคารพเทพเจ้าที่อยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นก็นำเบี้ยไปหย่อนบริจาค เดินไปด้านข้างที่มีจำหน่ายเครื่องรางของขลัง เด็กหญิงมองซ้ายทีขวาทีเพื่อดูของที่ต้องการ หูฟังคนขายบรรยายสรรพคุณผ่านๆ มาสะดุดเอากับระฆังมงคลใบเล็กที่โฆษณาว่าเกี่ยวกับการตื่นและการรู้ นำข่าวดีมาให้รวมถึงให้รู้เท่าทันศัตรู มือป้อมหยิบของขึ้นมาเลือกดูแล้วพยักหน้าให้เหม่ยเย่จ่ายเงิน
ฮุ่ยหมิ่นเดินเล่นภายในบริเวณวัดอยู่สักพักจึงพาบ่าวที่ติดตามมากลับสำนักหย่งฉือ
ออกจากวัดมาได้ไม่เท่าไหร่เด็กหญิงก็รู้สึกง่วง ฮุ่ยหมิ่นจึงตั้งใจจะหลับเอาแรงสักตื่น ไม่ทันจะได้หลับเลยเพียงแค่ปิดตาลงเท่านั้น จู่ๆรถม้าที่ขับด้วยความเร็วก็หยุดกะทันหัน คนบังคับม้าถูกฟันลงไปนอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น ม้าที่กำลังตกใจยกสองขาหน้า ส่งเสียงร้องก่อนที่เชือกล่ามจะถูกตัดออกแล้ววิ่งเตลิดไป
ภายในรถม้าขนาดใหญ่บ่าวไพร่ของฮุ่ยหมิ่นห้าคนล้มระเนระนาดทับกันอยู่ด้านใน แต่ตัวฮุ่ยหมิ่นกลับโดนแรงปะทะจนกระเด็นออกมาด้านนอก ไกลจากตัวรถออกมาสิบกว่าจั้ง
เพราะได้รับการฝึกวรยุทธ์มายามต้องเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินจึงสามารถลดทอนการบาดเจ็บของตัวเองลงได้ แก้มกลมคลุกฝุ่นแนบไปกับดินแห้งแข็ง โชคดีที่ตำแหน่งที่ฮุ่ยหมิ่นตกมาไม่ได้มีหินก้อนใหญ่ๆอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะเจ็บหนักกว่านี้
ยามนี้นางมีรอยถลอกตามแขนขากับใบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อเห็นคนที่โจมตี พวกมันมีกันราวๆสิบคน ใส่ชุดคล้ายชาวบ้านทั่วไป แต่ปิดหน้าปิดตามิดชิด
คนของฮุ่ยหมิ่นที่อยู่บนรถม้ากรีดร้องด้วยความตระหนก เนื่องจากเป็นเวลาเย็นย่ำแล้วคนที่สัญจรไปมาในเส้นทางนี้จึงน้อย ไม่มีคนผ่านไปผ่านมาเลยแม้แต่คนเดียว หรือหากมี ก็คงไม่มีใครกล้าโผล่มา
เด็กหญิงล้วงเอาของในอกเสื้อที่ได้จากเซวียนชงอวี้ออกมาแล้วแอบปลดชนวนส่งมันออกไป มันคือพลุส่งสัญญาณแบบไร้เสียงที่เซวียนชงอวี้เคยใช้เรียกองครักษ์เงาอย่างตอนนั้น เขามอบให้ฮุ่ยหมิ่นอันหนึ่งไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
คราที่เขามอบให้ เด็กหญิงยังแอบคิดในใจอยู่เลยว่าเขาวิตกเกินเหตุ นึกไม่ถึงว่า มิใช่เขาที่วิตกเกินเหตุ แต่เป็นนางที่ประมาทเกินไปต่างหาก
โชคดีที่พวกมันยังให้ความสนใจอยู่กับรถม้า จึงไม่มีใครเห็นสิ่งที่นางกำลังทำ ฮุ่ยหมิ่นไม่มั่นใจว่ามีคนของเซวียนชงอวี้อยู่แถวนี้ที่จะทันเห็นสัญญาณหรือไม่ ยามนี้นางคงทำได้แค่หวัง
“อย่าส่งเสียง อย่าขยับ เอาทรัพย์สินที่พวกเจ้ามีทั้งหมดออกมา!!”
ฮุ่ยหมิ่นได้ยินเสียงเหม่ยเย่พยายามร้องเรียกว่าคุณหนู จากนั้นทั้งแม่นมจิน เหม่ยเย่ เฟิ่งอิง หว่านอิ๋นและหรงผิงก็ถูกต้อนให้ลงมาจากรถ พวกมันกำลังคุยกันเรื่องที่นางไม่ได้อยู่ในรถม้า ไม่นานนักก็หันมาชี้ทางทิศที่นางอยู่
เด็กหญิงแสร้งทำเป็นสลบ แอบหรี่ตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
...แปลก ปกติแถบนี้ไม่ค่อยมีโจรออกปล้นเพราะกริ่งเกรงในชื่อของสำนักหย่งฉือที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ทั้งเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่มักจะมีขบวนพ่อค้าวาณิชผ่าน อีกอย่าง พวกที่มาก็จัดว่ามีวรยุทธ์ในระดับหนึ่ง ดูแล้วไม่ใช่พวกโจรธรรมดา
เสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ทำให้ฮุ่ยหมิ่นรีบหลับตา กำหนดลมหายใจให้แผ่วคล้ายคนกำลังหลับ นางไม่ใช่นางเอกที่จะต้องออกปกป้องในทุกสถานการณ์ เมื่อประเมินแล้วว่าเกินกำลังก็ต้องยอมเพื่อรักษาชีวิตไว้ แขนข้างหนึ่งถูกกระชากอย่างไม่ปราณีปราศรัยจนรู้สึกเจ็บ
ฮุ่ยหมิ่นรู้ตัวว่ากำลังโดนจับพาดบ่า
นี่ไม่ถูกต้อง ชัดเจนว่ามันไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์สิน อีกอย่าง เด็กวัยสิบขวบที่เครื่องหน้าธรรมดาย่อมขายไม่ได้ราคา กลับกันบ่าวของนาง ทั้งเฟิ่งอิง หว่านอิ๋นและหรงผิงกลับฉายเค้าความน่ารักออกมามากกว่า
พวกมันกระทำการเช่นนี้ ชัดเจนแล้วว่ามีจุดประสงค์ที่ตัวนาง
คนที่แบกฮุ่ยหมิ่นพูดกับคนที่เดินมาหาว่าได้ตัวนางมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาจัดการพวกบ่าวไพร่
ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำ
หรือนางควรจะฝืนหนีไป แต่ก็ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยให้กับคนของนางได้ ถ้านางหนีออกไปหาคนช่วยจะสำเร็จหรือไม่ พวกมันยังไม่แสดงฝีมือออกมาชัดเสียด้วย หากหนีไม่สำเร็จ ไม่แคล้วนางกับคนของนางย่อมต้องตายกันหมด
..เซวียนชงอวี้ ท่านว่าข้าควรทำเช่นไร
น่าขันนัก ทั้งๆที่เพิ่งจะนึกเคืองยุคสมัยนี้ที่ผลักให้เด็กอายุสิบสามไปออกรบ แต่นางเองเมื่อเจอเรื่องร้ายนี้กลับคิดถึงเด็กอายุสิบสามคนนั้น
แม้ใจจะรู้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่เด็กอายุสิบสามธรรมดาอย่างแน่นอน แต่อย่างไรเสีย ร่างกายของเขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มรุ่นเท่านั้น
ฮุ่ยหมิ่นประเมินจากสถานการณ์ ต่อให้ต้องฆ่า พวกมันคงจะไม่ฆ่านางที่นี่ เด็กหญิงตั้งใจรอให้มันพานางออกห่างจากบ่าวทั้งสี่ก่อน จึงจะค่อยคิดหาทางหนีภายหลัง
มือเล็กลอบจิกเข้ากับฝ่ามือ พยายามออกแรงเพื่อให้มีเลือดออก จงใจจะให้หยดเลือดของนางหยดไปตามทางที่พวกมันพาไป หวังประโยชน์ทั้งในทางสะกดรอยหาทางกลับยามหนีพ้น และทิ้งไว้ให้เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้พบเห็น
ไม่ทันจะทำอย่างใจ จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงการมาของคนที่มาใหม่ราวๆสิบคน การปรากฏตัวอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้มีฝีมือ ทันใดเสียงอาวุธปะทะกันก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงโหวกเหวกจากกลุ่มโจร
ฮุ่ยหมิ่นลอบลืมตามอง ยกยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคย สวี่หลานเซ่อ!! หัวหน้าองครักษ์เงา เขาเห็นสัญญาณของนางจริงๆด้วย
“อย่าเข้ามะ..”
เสียงพูดของคนที่แบกนางขาดห้วงไป เพราะเด็กหญิงจี้สกัดจุดที่ต้นคอเอาไว้ พลิ้วตัวลงจากการจับกุม เตะผ่าหมากใส่อีกฝ่ายจนลงไปนอนกองกับพื้น คนร้ายอีกคนที่อยู่ใกล้ๆพุ่งเข้ามาจะจัดการฮุ่ยหมิ่นแต่นางก็เอี้ยวตัวหลบ กระโดดขึ้นไปด้านบนก่อนจะเตะก้านคออีกฝ่ายจนนิ่งไปในครั้งเดียว
เมื่อเท้าแตะพื้นก็พลันรู้สึกได้ถึงคนที่อยู่ด้านหลัง ฮุ่ยหมิ่นวาดขาเตรียมประเคนเท้าเข้าใส่ก่อนจะถูกมือแข็งแรงปัดออกแล้วรวบตัวนางจากด้านหลัง เด็กหญิงตั้งท่าจะสวนกลับ
“บังอาจนัก เจ้าตัวดี” กลิ่นอายที่เคยคุ้นโอบล้อมรอบกายทำให้นึกรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้คือใคร ฮุ่ยหมิ่นหยุดมือเลิกดิ้น
ใบหน้ากลมอิ่มของเด็กหญิงยิ้มอย่างปลอดโปร่ง รู้สึกตัวในวินาทีนี้เองว่า..นางปลอดภัยแล้ว
“ท่าน .. มาด้วยหรือ”
“เจ้าเรียกข้านี่”
เปล่าซักหน่อย ข้าเรียกองครักษ์ท่าน
ได้แค่คิด แต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าก่อกวนใดๆ เพราะแม้เซวียนชงอวี้จะอ่อนโยนกับนาง แต่ฮุ่ยหมิ่นรู้ว่าเขากำลังโกรธจัด นางไม่กล้าเสี่ยงล้อเล่นกับเขายามนี้จริงๆ
..หิมะบนปากปล่องภูเขาไฟหลอมละลายสิ้นด้วยลาวาระอุ
เซวียนชงอวี้จัดการหมุนตัวให้เด็กหญิงมายืนประจันหน้ากัน ดวงตาหงส์คู่งามกวาดมองสำรวจตัวฮุ่ยหมิ่น แทบจะกัดฟันกรอดด้วยโทสะที่พลุ่งพล่านเมื่อเห็นร่องรอยถลอกตามตัวของเด็กน้อย
มือข้างหนึ่งแตะไปยังหน้าผากแถบชายผมที่มีเลือดซึม ข้างในร้อนดุจไฟเผา หากกิริยาที่แสดงออกก็ยังอ่อนโยน
“ซาลาเปาน้อยเจ็บมากหรือไม่”
“ตอนแรกไม่รู้สึก ตอนท่านแตะก็เริ่มเจ็บบ้างแล้วเจ้าค่ะ” อารามตกใจไม่ทันคิด ตอนนี้พอแน่ใจว่าตนเองปลอดภัยอาการเจ็บก็แข่งกันรายงานตัวกับนางเชียว ยิ้มแหยๆให้กับเซวียนชงอวี้
เซวียนชงอวี้ใช้สายตาสั่งองครักษ์ให้จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สวี่หลานเซ่อก้มศีรษะรับคำสั่งก่อนจะใช้ภาษากายสั่งงานคนที่เหลืออีกทีหนึ่ง เสียงร้องอ้อนวอนขอชีวิตดังระงมปะปนไปกับเสียงร้องจากความเจ็บปวด
ระหว่างที่บรรดาองครักษ์ปฏิบัติการเซวียนชงอวี้ใช้มือข้างหนึ่งปิดตาเด็กหญิงไว้ส่วนอีกข้างก็โอบเอวนางไว้หลวมๆจากทางด้านหลัง แผ่นอกของเด็กหนุ่มรุ่นคนหนึ่ง ไฉนจึงให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นได้เพียงนี้หนอ ฮุ่ยหมิ่นเผลอเอนพิงเข้าเต็มๆ
ฮุ่ยหมิ่นไม่ใช่คนโง่ มาอยู่โลกนี้ได้ห้าปีแล้วนางย่อมรู้ดีว่าองค์ชายผู้นี้จะมีวิธีจัดการเยี่ยงไร ไม่อาจขอความเมตตาได้ เพราะโลกนี้เป็นเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่สมควรทำ เด็กหญิงยืนนิ่งยอมให้เขาปกป้องนางเช่นนั้น
เซวียนชงอวี้พานางและบ่าวไพร่กลับสำนักหย่งฉือ ฮุ่ยหมิ่นถูกบังคับให้นั่งรถม้าคันเดียวกับเซวียนชงอวี้ เด็กหญิงไม่มีปากเสียงใดๆ เขาสั่งอย่างไรก็ทำตามอย่างนั้นโดยไม่บิดพลิ้ว ส่วนบ่าวของนางนั่งมากับรถม้าอีกคันด้านหลัง
แม้ฮุ่ยหมิ่นตัวจริงจะอายุใกล้สามสิบแล้ว แต่ยามนี้นางอยู่ในร่างของเด็กวัยสิบขวบ เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์หนักหนามา ความเครียดเกร็งของร่างกายและประสาทที่ได้รับทำให้ความรู้สึกอ่อนเปลี้ยจู่โจมจนเพลียหลับไปอย่างรวดเร็ว
ภาพเด็กหญิงตัวน้อยนั่งสัปหงกทำให้เด็กหนุ่มรุ่นที่ได้เห็นทั้งขันทั้งเอ็นดูนัก มืออบอุ่นข้างหนึ่งรั้งตัวเด็กน้อยเข้าไว้ในอ้อมอก ส่วนอีกข้างคอยจัดท่าให้นางอยู่ในท่าที่สบาย ใช้ชายแขนเสื้อเนื้อดีมาเช็ดคราบฝุ่นคราบเลือดออกจากหน้ากลมๆ
ฮุ่ยหมิ่นกำลังฝัน รู้สึกคล้ายว่าตนเองจะลอยได้ มีความอบอุ่นที่แสนสบายห่ออยู่รอบกาย เหมือนมีใครกำลังอุ้มนางอยู่ ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกดีมากๆจนต้องขยับซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอีก
“หลินฮุ่ยหมิ่น” เสียงนั้นกระซิบอยู่ข้างๆหู
เด็กหญิงพยักหน้ารับ จะเรียกทำไมตอนนี้นะ กำลังสบายเลย งึมงำตอบเสียงอู้อี้
“ฉันเอง มีอะไรรึเปล่า ฉันง่วงแล้ว”
อกที่นางกำลังพิงซบสั่นไหวเพราะเจ้าของหัวเราะแผ่วเบา
ใช่จริงๆด้วย .. ใช่เธอจริงๆ
“หนักมากเลยรู้หรือไม่” พูดพลางก้มหน้าลงถือโอกาสกับหน้าผากเนียนครั้งหนึ่ง
ในฝันฮุ่ยหมิ่นละเมอทุบคนว่าไปสองสามที พยายามจะดิ้นแต่ก็หนีไม่พ้นวงแขนนั้นสักที
..เชอะ หนักก็ไม่ต้องอุ้ม
เด็กหญิงตัวกลมถูกวางอย่างเบามือบนเตียงนอนในห้องของตนเอง มือเรียวปัดผมที่ปรกหน้าผากนวลออก หยิบผ้าชุบน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ซับไปตามหน้าของเด็กหญิงแผ่วเบา พยายามเช็ดคราบต่างๆที่ยังหลงเหลืออยู่ ระวังไม่ให้แรงจนทำให้นางสะดุ้งตื่น
จากใบหน้าก็มายังมือสองข้าง ความกรุ่นโกรธปะทุซ้ำเมื่อเห็นรอยข่วนรอยถลอกชัดๆ
เสียงฝีเท้าที่ย่ำเข้ามาทำให้เซวียนชงอวี้หันไปมอง
“องค์ชายเพคะ ให้หม่อมฉันทำเถิดเพคะ”
แม่นมจินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเซวียนชงอวี้ บรรยากาศเย็นยะเยือกที่เด็กหนุ่มอายุสิบสามสร้างขึ้นทำให้นางถึงกับสะท้านอยู่ภายใน ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ายามนี้ไม่ควรขัดใจองค์ชายเลยแม้แต่น้อย แต่ฮุ่ยหมิ่นก็เป็นคุณหนูที่นางต้องปกป้อง
แม้จะซาบซึ้งในความช่วยเหลือขององค์ชายสาม ทว่าอีกไม่กี่ปีคุณหนูของนางก็จะเป็นสาวแล้ว จะให้เซวียนชงอวี้ที่เริ่มจะเป็นหนุ่มเข้ามาใกล้ชิดจนเกินงามย่อมไม่สมควร หากใครนำไปเล่าลือผู้ที่เป็นฝ่ายเสียหายก็คือคุณหนูของนาง
นัยน์ตาหงส์ที่ทอดมองฮุ่ยหมิ่นอย่างอ่อนโยนกระด้างขึ้นเมื่อตวัดกลับมามองคนพูด แม่นมจินรีบก้มหน้าลงคางชิดอก เขาเข้าใจในความเป็นห่วงของบ่าวชรา อย่างน้อยข้างกายเด็กหญิงก็ยังมีบ่าวผู้ภักดี
เซวียนชงอวี้หันไปมองเด็กน้อยที่อยู่บนเตียงอีกครั้ง
“เจ้าดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี พรุ่งนี้ไม่ต้องปลุกนางมาเรียนกับข้า เดี๋ยวข้าจะแวะมาเยี่ยมนางอีกทีช่วงสาย”
“เพคะองค์ชาย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ