Soft place to fall
9.7
เขียนโดย หลินไป๋อัน
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.
13 ตอน
4 วิจารณ์
13.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) เจ้าห่วงข้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ10. เจ้าห่วงข้า
มาตรว่าเวลานั้นเปรียบประดุจได้กับสายน้ำอันเชี่ยวกราก สิ่งที่อยู่ในครรลองแห่งกาลเวลาล้วนผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่จากเมืองหลวงมาจนบัดนี้ก็ผ่านมาถึงห้าปีแล้ว ฮุ่ยหมิ่นไม่เคยกลับไปเมืองหลวงเลยตลอดระยะเวลาห้าปี ฝั่งทางจวนแม่ทัพบิดาของฮุ่ยหมิ่นคล้ายว่าจะลืมเลือนบุตรสาวคนโตจากภรรยาเอกผู้วายชนม์ที่ได้รับพระราชทานสมรสเสียสิ้นแล้ว
ยามเมื่อมีงานพระราชพิธีเฉิงจิ๋นหลี่ล้วนพาฮูหยินรอง ที่เลื่อนฐานะมาจากอนุภรรยาและบุตรธิดาออกงานแทน แทบจะไม่มีใครจำเด็กน้อยที่เคยเข้ามาอยู่พำนักในตำหนักขององค์ชายสามได้แล้ว เว้นแต่เสนาบดีเหอและองค์ไท่จื่อที่ยังระลึกถึงเด็กน้อยตัวกลมผู้นั้นเสมอ
จะไม่ให้นึกถึงได้อย่างไร ทั้งเหตุการณ์ที่น้องชายเขาต้องเป็นผู้ช่วยชีวิต ความเฉลียวฉลาดเกินวัย ความกตัญญูรู้คุณ ที่จนตอนนี้ เด็กน้อยยังคอยส่งชาบำรุงมายังจวนองค์ไท่จื่อมิได้ขาด
ทีแรกองค์ไท่จื่อเองก็รู้สึกเฉยๆ แต่เมื่อพระชายาของเขา หลัวซานซานสนใจที่จะนำมาชงดื่ม เซวียนหย่งเต๋อได้ให้คนของเขาทำการทดสอบพิษก่อน เมื่อพบว่าปลอดภัยจึงอนุญาตหลัวซานซาน เขาไม่ได้กังวลว่าเด็กหญิงจะเป็นผู้ลงมือวางยา เด็กน้อยคนนั้นไม่มีทางทำเช่นนี้ลง แต่เขาก็ไม่สามารถวางใจได้ เนื่องจากการขนส่งจากทางไกล โอกาสสอดไส้ย่อมมากตามไปด้วย
กลิ่นหอมอวลอ่อนๆยามหลัวซานซานยกขึ้นจิบเรียกความสนใจจากเซวียนหย่งเต๋อได้
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ชาบำรุงของฮุ่ยหมิ่นก็กลายเป็นของที่ต้องมีติดตำหนักองค์ไท่จื่อไว้ตลอด
“ชาของฮุ่ยหมิ่นยังคงหอมเหมือนเคยนะเจ้าคะ”
หลัวซานซานที่บัดนี้ตั้งครรภ์บุตรคนที่สองอยู่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสามีนั่งใจลอยยามจิบชาเหลียนฮวา เสียงเรียกของนางทำให้เซวียนหย่งเต๋อรู้สึกตัว หันไปส่งยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังเดินตรงมาที่เขา
แม้จะเป็นสตรีที่ผ่านการมีบุตรมาแล้วแต่รูปร่างของพระชายาในองค์ไท่จื่อก็ยังผอมเพรียวบอบบางตามสมัยนิยมของยุคนี้ทุกประการ เว้นแต่ว่าทรวงอกจะอวบอิ่มขึ้นเท่านั้น เซวียนหย่งเต๋อมีความคิดเช่นเดียวกับบิดาในเรื่องคู่ครอง
องค์ไท่จื่อรู้สึกโชคดียิ่งนักที่ได้แต่งนางเป็นพระชายา หลัวซานซานทำหน้าที่ภรรยาได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้บ้านเป็นบ้าน ปกติแล้วสตรีสูงศักดิ์บุตรหลานขุนนางย่อมต้องมีเล่ห์เหลี่ยมและการวางแผน หลัวซานซานไม่ใช่สตรีไร้ความคิดแต่นางไม่ได้เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นสำคัญ เซวียนหย่งเต๋อจึงเบาใจ แน่ใจว่าตนเลือกคนไม่ผิด
องค์ไท่จื่อเอ่ยตอบพระชายาพลางรั้งตัวนางลงมานั่งข้างๆบนตั่ง มือข้างหนึ่งลูบหน้าท้องที่นูนจนเห็นชัดของนางเล่นอย่างเคยชิน
“นั่นสิ ผ่านมาห้าปีแล้วไม่รู้ว่าฮุ่ยหมิ่นเป็นยังไงบ้าง”
“คิดว่านางคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกเจ้าค่ะ หาไม่ องค์ชายสามย่อมต้องแจ้งมาแล้ว”
เซวียนหย่งเต๋อหัวเราะน้อยๆ
“ข้าแค่ห่วงนางเพราะชงอวี้ยังกลับมาเมืองหลวงบ้าง แต่ฮุ่ยหมิ่นไม่ได้กลับมาสักครั้ง”
พูดจบแล้วก็ต้องถอนใจ เวทนาเด็กหญิงที่ต้องมาลำบากทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดใคร สาเหตุหลักก็มาจากความยึดมั่นถือมั่นและอคติแบบผิดๆ
งานเลี้ยงในพระราชวังทุกคราวที่แม่ทัพได้รับเชิญ ไร้เงาของเด็กหญิงผู้นั้นเสมอ มีแต่ฮูหยินรองที่กระเตงบุตรชายบุตรสาวมา เซวียนหย่งเต๋อมองปราดเดียวก็รู้ว่าเด็กทั้งสองคนมิได้มีความฉลาดเฉลียวดังเช่นฮุ่ยหมิ่นแม้เพียงครึ่ง กิริยาท่าทางแม้จะดูเหมือนผู้ที่ได้รับการอบรมมาแต่ก็แสดงออกเฉพาะต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้น ลับหลังยังแฝงความเอาแต่ใจและร้ายกาจไว้ดังเช่นลูกคุณหนูที่ได้รับความรักอย่างผิดๆ
ช่างน่าแปลกที่เฉิงจิ๋นหลี่สามารถมีบุตรสาวที่สติปัญญาเฉียบแหลมอย่างฮุ่ยหมิ่น ข่าวเรื่องความเก่งกาจในเชิงแพทย์ของเด็กน้อยเซวียนหย่งเต๋อย่อมต้องรับรู้ด้วย
เฉิงจิ๋นหลี่ ไม่ใช่แม่ทัพที่เก่งกาจอย่างบิดา แต่ก็นับว่าไม่ไร้ความสามารถจนเกินไป ยังรั้งใจผู้ติดตามเก่าแก่ไว้ได้ กองทัพในมือจึงยังเก่งกล้าสามารถ แต่เขาก็ไม่คิดว่าเฉิงจิ๋นหลี่จะขลาดเขลาเพียงนี้
ไม่กล้า ..แม้แต่จะเผชิญความจริงว่าภรรยาของตนจากไป
ไม่กล้า ..แม้แต่จะดูแลมรดกล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวที่ภรรยาหลงเหลือไว้ให้
แล้วเช่นนี้ใครจะไว้ใจให้เขาควบคุมกองทัพแห่งแคว้นต่อไป
เฉิงจิ๋นหลี่ยังคงไม่รู้ตัวว่าอนาคตของสกุลเฉิงและตัวของเขาเองได้ถูกว่าที่โอรสสวรรค์ตัดสินชะตากรรมไว้แล้ว
เซวียนหย่งเต๋อไม่ได้มีความคิดสกปรกใด หรือคิดจะใช้การแต่งเด็กน้อยเพื่อดึงกำลังของแม่ทัพไว้สักนิด ความรักความโปรดปรานที่มีให้พระชายาเพียงหนึ่งเดียวนั้นไม่ได้เว้นว่างไว้เผื่อใครอีกแล้ว อีกอย่าง หากทำเช่นนั้นน้องชายของเขาอาจจะไม่พอใจ นี่คือสิ่งที่พี่ชายผู้รักน้องยิ่งชีพมิอาจทานทนได้
เซวียนหย่งเต๋อผละจากภรรยาไปที่ห้องอักษรเมื่อคนสนิทขอเข้าพบเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญ ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมขึ้นเมื่อสถานการณ์ชายแดนเป็นไปดังที่เขาเคยคาดการณ์ไว้ เบาใจอยู่บ้างที่เขาได้เตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าแล้วและจัดการส่งคนของเขาไปประจำตั้งแต่เมื่อแปดเดือนก่อน
จากรายงานที่ได้รับเซวียนหย่งเต๋อคิดว่าต้าฉินไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเท่าใดนัก ทว่าจดหมายอีกฉบับที่แนบมาด้วยนั่นล่ะที่ทำให้องค์ไท่จื่อแห่งแคว้นต้าฉินเป็นกังวล
ชายหนุ่มใช้เวลาใคร่ครวญตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะร่างจดหมายตอบกลับไป เรียกองครักษ์มือดีที่เขาฝึกไว้ออกมาพบ
ส่วนทางฝั่งเสนาบดีเหอ พี่ชายร่วมอุทรของมารดาฮุ่ยหมิ่น มักจะส่งจดหมายและของเยี่ยมมาให้เสมอ เขายังคงทำหน้าที่ดูแลหลานสาวเป็นอย่างดีตามสมควรแก่ผู้เป็นลุงจะพึงปฏิบัติ เหอซือถงพาครอบครัวออกเดินทางท่องเที่ยวและแวะพบฮุ่ยหมิ่นปีเว้นปี ทำให้ฮุ่ยหมิ่นมีโอกาสได้พบหน้าลูกพี่ลูกน้องของตนเองบ้าง แม้จะไม่ถึงขั้นสนิทสนมแต่ก็นับว่าคุ้นเคย ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน
สำหรับตัวฮุ่ยหมิ่นเองในช่วงห้าปีมานี้การเรียนวิชาแพทย์ของนางก้าวหน้าไปมาก นางสามารถตามอาจารย์ออกจากสำนักศึกษาไปให้การตรวจรักษาชาวบ้านได้ด้วยตนเอง คนที่จะทำเช่นนี้ได้มีแต่เพียงผู้เรียนสำเร็จและได้รับการยอมรับจากอาจารย์ทุกท่านแล้วเท่านั้น
ตามตารางแล้วในหนึ่งสัปดาห์ ฮุ่ยหมิ่นจะต้องออกไปตรวจคนไข้พร้อมกับอาจารย์สองถึงสามคนที่จะหมุนเวียนกันไปสองครั้งต่อสัปดาห์ และเพราะนางอายุถึงเกณฑ์แล้วจึงได้เลือกเรียนเพิ่มในสิ่งที่อยากเรียนตั้งแต่ตอนอายุแปดขวบ หนึ่งคือวรยุทธ์ ลำดับสองคือหลักสูตรกุลสตรีอันประกอบไปด้วย การคัดอักษร กาพย์กลอน วาดรูป และดีดพิณ
แม้ฮุ่ยหมิ่นจะเป็นเลิศทางด้านการแพทย์จากความสามารถของชาติก่อน โดดเด่นด้านวรยุทธ์เพราะมีครูดีอย่างเซวียนชงอวี้ แต่สำหรับหลักสูตรกุลสตรีแล้ว .. ถ้าจะพูดให้ถนอมน้ำใจก็คงต้องบอกว่า เพราะฮุ่ยหมิ่นทุ่มเทให้กับการแพทย์มากเกินไป เรื่องอื่นจึงไม่ได้น่าทึ่งเท่าการแพทย์
ส่วนความจริงนั้น ฮุ่ยหมิ่นรู้ตัวดี นางทำได้แค่พอถูๆไถๆ แบบอวดได้บ้างว่าเคยเรียนเท่านั้น พัฒนาการช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นที่ใช้เวลาเรียนเท่ากันพอสมควร แม้ในกาลก่อนจะเคยไม่สนใจหากใครจะมองอย่างไรถ้านางไม่รู้กาพย์กลอน ไร้ความสามารถในการวาดรูป คัดอักษร หรือดีดพิณ แต่ยามนี้ฮุ่ยหมิ่นก็ตระหนักแล้วว่าตัวนางเองที่ต้องปรับให้เข้ากับโลกแห่งนี้ การตั้งแง่ปฏิเสธโดยไม่เปิดใจแสดงว่าเป็นคนเขลา ในเมื่อมีโอกาสเพิ่มพูนความรู้ให้กับตนเองแล้วหากไม่เรียนรู้ย่อมน่าเสียดาย
แต่ฮุ่ยหมิ่นก็ไม่ได้เครียดหรือกังวลกับมันมากเพราะไม่ได้หวังความเลิศเลอ ต้องการเพียงให้มีวิชาติดตัว
ธรรมชาติของหมอแล้ว ส่วนใหญ่ลายมือไม่สวยนัก ชาติเดิมก็ไม่ถึงกับดูไม่ได้ อาจจะหวัดบ้างแต่ก็นับว่ายังอ่านเข้าใจง่ายอยู่ ดังนั้นแล้วการเขียนพู่กัน อาจารย์ต้องบอกว่าแม้ไม่มีความสวยงามอ่อนช้อยแต่ก็มีลายเส้นที่หนักแน่นมั่นคง
สำหรับโคลงกลอนและบทกวี ความไพเราะ ความวิจิตรบรรจงของภาษาจะเป็นส่วนด้อยของเด็กหญิง จุดเด่นมีเพียงความคิดเชิงตรรกะที่เหนือกว่าคนยุคนี้ หลายครั้งที่อาจารย์ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่ฮุ่ยหมิ่นแสดงออก แต่ฮุ่ยหมิ่นก็ไม่ได้แสดงความเห็นในเชิงก้าวร้าวหรือขัดแย้งไปกับธรรมเนียมจนร้ายแรง แค่นำเสนอแนวคิดใหม่ที่สตรีในยุคนี้ไม่เคยคิดถึง ฮุ่ยหมิ่นยังรู้จักรักษาตัวไม่แสดงความเห็นหัวก้าวหน้ามากไปจนโดนเขม่น
ส่วนด้านการวาดรูปแล้ว ฮุ่ยหมิ่นรู้ตัว ..ห่วยแตกมาแต่ไหนแต่ไร เทียบกันกับชาติก่อนก็ถือว่าดีกว่าเดิมมากแล้ว
การดีดพิณ นิ้วสั้นป้อมไม่ได้เอื้อให้มีความพลิ้วไหวและความสวยงามยามไล่ไปตามเส้นสายเท่าไรนัก ซ้ำดีดไปดีดมาฮุ่ยหมิ่นยังง่วงหงาวหาวนอนอีกต่างหาก คล้ายกับในชาติที่แล้วตอนเล่นเปียโน ยามถึงบทเรียนเพลงกล่อมเด็ก ฮุ่ยหมิ่นเล่นไปก็แทบจะเอาหน้าปักสมุดโน้ตดนตรี อีกอย่าง ทำนองเพลงในยุคสมัยนี้แม้จะเพราะแต่ฮุ่ยหมิ่นก็ยังคิดถึงเพลงที่เคยชอบเมื่อชาติก่อน จึงมักจะเทียบคีย์เพลง เอาพิณมาเล่นเพลงสากลที่นางชอบแทน ฟังเพราะไปอีกแบบ แต่ดูจะไม่ค่อยถูกใจอาจารย์ซักเท่าไหร่
ยามว่างฮุ่ยหมิ่นมักจดความรู้ทางศัลยกรรมเช่นเคย บันทึกข้อมูลที่สามารถใช้ความรู้ในชาติก่อนผสานกับชาติปัจจุบัน เก็บไว้เป็นคลังความรู้สำหรับใช้ในการรักษาคนไข้
เด็กหญิงช่วยรั่วซีพัฒนายาฆ่าเชื้อต่างๆ ในขณะนี้ยาสองสามตัวที่รั่วซีและนางร่วมกันผลิตรวมถึงเพนนิซิลิน ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อภายในสำนักหย่งฉือแล้ว ขาดแต่ยังไม่มีการวางขายตามท้องตลาดเท่านั้น ทั้งคู่เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยแต่ละคนไว้เพื่อนำมาประกอบการพัฒนายาตัวต่อไป รวมถึงพยายามหาทางเก็บรักษายาฆ่าเชื้อที่ผลิตขึ้นไว้เพื่อให้สามารถคงสภาพเดิมไว้ได้นานที่สุด
การที่ต้องพยายามพัฒนายาด้วยตนเองทำให้ฮุ่ยหมิ่นและรั่วซีรู้ซึ้งถึงองค์ความรู้ดั้งเดิมที่คนรุ่นก่อนๆทิ้งไว้ให้ต่อยอด การมีฐานให้เริ่มพัฒนาดังเช่นยุคปัจจุบันมันง่ายกว่าการเริ่มใหม่ในยุคโบราณเช่นนี้จริงๆ
ส่วนความฝันด้านการผ่าตัด.. ตอนนี้ฮุ่ยหมิ่นสามารถพัฒนาอุปกรณ์เย็บแผลตามแบบแพทย์แผนปัจจุบันได้ และนำออกมาใช้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บได้ผลสำเร็จดี การสมานตัวของแผลดีกว่าการใช้ยาโปะแบบเดิมมาก และความสวยงามยังเหนือกว่าอีกด้วย
ในยุคสมัยนี้ การสู้รบการปะทะการใช้กำลังยังมีอยู่มาก ทรอม่าหรือศัลยกรรมอุบัติเหตุย่อมเฟื่องฟู บรรดาเพื่อนที่เคยเรียนแพทย์ประจำบ้านด้วยกันมาต้องคันไม้คันมืออยากผ่าตัดแน่ๆหากเห็นเคสที่นี่ แต่อุปกรณ์ การระงับความรู้สึก และยาปฏิชีวนะยังก้าวไปไม่มากพอ การผ่าตัดใหญ่ดังเช่นที่นางเคยทำเมื่อชาติที่แล้วพวก ผ่าตัดเปิดช่องท้อง ตัดม้าม แพ็คตับ ตัดต่อลำไส้ เย็บซ่อมลำไส้ กระเพาะ หรือกระเพาะปัสสาวะ ยังไม่สามารถทำได้จริง
ฮุ่ยหมิ่นคาดหวังว่าสักวันที่สามารถผลิตยาฆ่าเชื้อแบบฉีดเข้าหลอดเลือดได้ หรือสามารถให้น้ำเกลือได้ การผ่าตัดอาจจะเกิดขึ้นได้จริง เช่นนั้นที่เคยร่ำเรียนมาเป็นสิบปีก็ไม่เสียเปล่าแล้ว
สำหรับการค้าที่นางตกลงทำร่วมกันกับเซวียนชงอวี้ได้รับผลตอบรับที่ดีทีเดียว ชาของฮุ่ยหมิ่นติดตลาดและได้รับความนิยม ฮุ่ยหมิ่นสามารถมีชีวิตและเลี้ยงดูบ่าวไพร่ให้มีใช้ตามอัตภาพได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากจวนแม่ทัพหรือท่านลุงเสนาบดีเลย เงินจำนวนที่ได้รับมาจากพวกเขาฮุ่ยหมิ่นเก็บสะสมไว้โดยไม่นำมาใช้เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
ฮุ่ยหมิ่นรับผ้าสะอาดจากผู้ช่วยมากดห้ามเลือดบริเวณบาดแผลที่ท้องแขนของชายผู้หนึ่งไว้ วันนี้นางมาออกตรวจนอกสำนักร่วมกับอาจารย์ คนเจ็บรายนี้มารับการรักษา แจ้งว่าเขาถูกดักปล้นขณะเดินทาง เจ้าตัวมีวรยุทธ์อยู่บ้างจึงสามารถหลบหนีออกมาได้ มีเพียงแผลที่โดนมีดถากไปตรงท้องแขน เลือดเปื้อนเสื้อผ้าของคนเจ็บเต็มไปหมด ดูน่ากลัวสำหรับคนอื่นที่มองเห็น แต่กับฮุ่ยหมิ่นแล้วเลือดจำนวนเท่านี้ไม่ได้เสี้ยวของที่เคยเจอ
ยามที่ต้องผ่าตัดเคสอุบัติเหตุฮุ่ยหมิ่นต้องเปิดเข้าไปลุยกับทะเลเลือดที่ไหลท่วมอย่างต่อเนื่องมาแล้ว ฮุ่ยหมิ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาจนเคยชิน กระทั่งวันที่ตาย วันนั้นฮุ่ยหมิ่นก็เพิ่งผ่าตัดคนไข้เสร็จไปไม่นาน
เด็กหญิงสำรวจบาดแผลอีกครั้ง เลือดที่ออกสามารถกดแล้วหยุดได้ ความลึกอยู่แค่ชั้นใต้ผิวหนังเท่านั้น ฮุ่ยหมิ่นใช้น้ำต้มสะอาดที่เย็นแล้วล้างแผลอีกครั้ง ก่อนจะลงมือเย็บแผลด้วยเครื่องมือที่นางพัฒนาขึ้น
นักเรียนวิชาแพทย์หลายคนมายืนดูฮุ่ยหมิ่นเย็บ ตัวเข็มที่ฮุ่ยหมิ่นใช้เป็นเข็มโค้ง ปลายมีความคม ในยุคปัจจุบันมีไหมที่ติดเข็มเกิดขึ้นแล้ว คือตัวไหมติดมาพร้อมเข็มเลยในซองปลอดเชื้อ แค่แกะออกมาใช้เท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้ฮุ่ยหมิ่นยังไม่สามารถผลิตได้ เด็กหญิงจึงได้แต่ทำเข็มแบบที่ต้องร้อยไหมทุกครั้งอยู่ จะเสียเวลากว่าไหมติดเข็มพอสมควร
เวลาเย็บฮุ่ยหมิ่นไม่ได้ใช้มือจับเข็มโดยตรง แต่ใช้ที่จับเข็มแบบเฉพาะที่ทำเลียนแบบยุคเดิมที่นางจากมา
“ฮุ่ยหมิ่น ข้าเห็นเจ้าชอบใช้ไอ้พวกแปลกๆนี่นัก มันดีกว่าวิธีดั้งเดิมตรงไหนหรือ” หนึ่งในรุ่นพี่เอ่ยถามนาง
“การเย็บแผลจะเป็นการดึงเนื้อให้เข้ามาชิดกัน ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าการโปะยา ส่วนการใช้อุปกรณ์จับเข็มแทนการใช้มือโดยตรงเป็นความเคยชินของข้าเจ้าค่ะ แต่ข้อดีมันก็มีที่เราไม่ต้องจับเข็ม ลดโอกาสที่จะทำเข็มทิ่มตนเอง แล้วเข็มมันก็มีความโค้งในตัวทำให้เราสามารถกำหนดระยะและความลึกของชั้นที่เราต้องการจะเย็บได้ด้วยเจ้าค่ะ”
ฮุ่ยหมิ่นใช้กรรไกรตัดชิ้นเนื้อที่สั่งทำเฉพาะเล็มขอบเนื้อที่ไม่ดีออกก่อนจะใช้forcepดึงเนื้อเยื่อที่แยกกันอยู่มาเย็บเข้าหากัน ปักปลายเข็มโค้งลงไปตั้งฉากกับผิวหนัง
วิธีที่นางกำลังทำได้รับความสนใจจากซ่งฉางอาน เขาเห็นข้อมูลรายละเอียดผู้ป่วยที่เด็กหญิงรวบรวมแล้ว วิธีนี้นับว่าเหนือกว่าวิธีดั้งเดิมที่มีในตำราที่อาศัยเพียงยาสมานแผลอย่างเดียว ที่ผ่านมาการเรียนการสอนและการรักษาคนไข้ล้วนทำตามตำราที่สืบทอดต่อๆกันมา ไม่เคยมีใครบันทึกข้อมูลคนไข้ภายหลังการรักษาไว้ ซ่งฉางอานเพิ่งเคยเห็นจากฮุ่ยหมิ่นและรั่วซีเป็นครั้งแรก ชายชรารู้สึกว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานชั้นดีอย่างหนึ่งในการพิสูจน์ผลลัพธ์จากการรักษา ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดปากต่อปากเท่านั้น
แน่นอนว่าระเบียบวิธีคิดเหล่านี้ย่อมมีที่มาจากวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์
“เครื่องมือเหล่านี้เจ้าออกแบบเองหรือ”ซ่งฉางอานที่ยืนดูอยู่สักพักเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์ สั่งให้โรงหลอมเหล็กในเมืองตีตามแบบเจ้าค่ะ”ฮุ่ยหมิ่น ได้แต่เอาดีเข้าตัวเสียแล้ว จะบอกไปได้อย่างไรว่าเอามาจากอนาคต เดี๋ยวได้มีคนคิดว่านางเป็นภูตผีหรือไม่ก็คนบ้ากันพอดี
เมื่อเย็บเสร็จแล้วฮุ่ยหมิ่นก็สั่งยาฆ่าเชื้อให้คนเจ็บนำกลับไปกินต่อที่บ้าน ให้ล้างแผลทุกวันแล้วตัดไหมเมื่อครบเจ็ดวัน เด็กหญิงระบุว่าให้คนเจ็บผู้นี้มาพบฮุ่ยหมิ่นโดยตรงเพื่อติดตามผลการรักษาด้วยตนเอง นิสัยนี้ฮุ่ยหมิ่นติดมาตั้งแต่สมัยเทรน เคสใดที่ฮุ่ยหมิ่นผ่าไว้ นางจะตามดูเคสเองทุกครั้ง นี่คือความรับผิดชอบของศัลยแพทย์ที่ถูกปลูกฝังมาตลอดชีวิต
เมื่อลงมีดแล้ว ก็เป็นแพทย์เจ้าของไข้ไปตลอด
การได้ตรวจติดตามเห็นคนไข้ที่เคยผ่าตัดให้ หายจากโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นความสุขที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ฮุ่ยหมิ่นรักษาเขาด้วยสองมือจริงๆไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย นี่คือเอกสิทธิ์เฉพาะศัลยแพทย์เท่านั้นที่จะได้รับ
คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องน้ำตาตกอยู่ข้างใน ฮุ่ยหมิ่นคิดถึงการผ่าตัดเหลือเกิน
อีกสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นกังวลของฮุ่ยหมิ่นคือเคสทรอม่าที่มาก ทว่ายังไม่มีวัคซีนโรคบาดทะยัก เพราะมีด ดาบ กระบี่ ล้วนเป็นโลหะที่สามารถมีเชื้อบาดทะยักแฝงอยู่ได้ทั้งนั้น
หลังจากนั้นสองสามวันซ่งฉางอานก็มาลองใช้เครื่องมือของฮุ่ยหมิ่น ชายชราพยักหน้าด้วยความพอใจ มีคำสั่งให้บ่าวรับใช้นำแบบเครื่องมือของฮุ่ยหมิ่นไปตีเพิ่ม ฮุ่ยหมิ่นดีใจที่วิธีที่นางพยายามนำเสนอได้รับความสนใจ เพราะนั่นเท่ากับว่าคนเจ็บจะได้รับการรักษาที่ดีขึ้น
“ซาลาเปาน้อย”
คำเรียกคุ้นเคยที่ดังขึ้นปลุกเด็กหญิงจากห้วงความคิด มือเล็กป้อมพับหนังสือในมือลงหลังจากใช้ที่คั่นกระดาษคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ เด็กชายตัวสูงเดินตรงมานั่งตรงหน้านาง
ยามนี้พวกเขาสองคนนั่งรับลมอยู่ที่ระเบียงเรือนของเซวียนชงอวี้ ต้นเฟิงที่ใบเริ่มเปลี่ยนสีกิ่งก้านไหวไปตามแรงลม บางใบปลิวลงมาติดอยู่กับผมของฮุ่ยหมิ่น เด็กหนุ่มที่เห็นจึงหยิบออกให้โดยไม่ได้เอ่ยปากพูด
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
ฮุ่ยหมิ่นถามพลางสบตากับเจ้าของเรือน เซวียนชงอวี้สูงขึ้นมาก ศีรษะของฮุ่ยหมิ่นยามนี้ยังไม่พ้นอกเขาเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าของเขายังคงสวยงามอยู่แต่เพิ่มความคมมากขึ้น ถึงกระนั้น เขาก็เข้าใกล้คำว่างามล่มเมืองเข้าไปทุกที
นี่ถ้าโตขึ้นแล้วท่านยังคงสวยเช่นนี้ ท่านต้องเป็นเคะในอุดมคติของเพื่อนผู้รักการอ่านนิยายวายของนางแน่นอน
ความคิดนี้ฮุ่ยหมิ่นย่อมไม่มีวันพูดออกไป ไม่งั้นแก้มนางคงไม่ได้อยู่กับตัว
“ตอนนี้ชายแดนฝั่งแคว้นฉู่มีเหตุปะทะบ่อยครั้ง เพราะหน้าแล้งปีนี้แล้งจัดกว่าทุกคราว ทางฝั่งฉู่จึงเริ่มคิดจะตีเมืองของเราที่อุดมสมบูรณ์กว่า”เซวียนชงอวี้เปรยมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นัยน์ตาหงส์มองไปยังต้นเฟิงที่อยู่ตรงหน้า
ฮุ่ยหมิ่นพอมีความรู้เกี่ยวกับแต่ละแคว้นที่มีชายแดนติดต่อกับแคว้นฉินที่อยู่บ้างจากหนังสือและบันทึกการเดินทางที่ฮุ่ยหมิ่นเคยอ่าน เพราะแคว้นฉู่อยู่ทางตอนบน ยามหนาวจึงหนาวจัด ยามร้อนก็ไม่ปราณี สภาพอากาศเดิมก็ไม่ดีอยู่แล้ว หากปีนี้แย่กว่าทุกครั้ง นั่นหมายถึงประชาชนของแคว้นฉู่ก็มีโอกาสอดตายจากการขาดแคลนอาหาร ฮ่องเต้ทางฝั่งนั้นจึงคิดจะตีลงมายังแคว้นฉิน แม้จะไม่สามารถยึดเมืองหลวงแคว้นฉินได้ แค่ตีหัวเมืองลงมาสักสองเมืองก็สามารถมีทรัพยากรเลี้ยงดูประชาชนไปได้อีกนาน
ฮุ่ยหมิ่นขมวดคิ้ว
“กำลังจะเกิดสงครามหรือเจ้าคะ”
เซวียนชงอวี้พยักหน้ารับ “ข้าจะมาบอกเจ้าว่าตั้งแต่สองเดือนข้างหน้าไป ข้าคงไม่ได้มาสอนวรยุทธ์ให้เจ้าเช่นเคย”
องค์ชายพูดเพียงเท่านี้ฮุ่ยหมิ่นที่เป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กย่อมเข้าใจได้ทันที
“ท่านจะไปเข้าร่วมกองทัพ!!”เด็กหญิงเบิกตากว้างอย่างน่าขัน นางรู้มานานแล้วว่าสองพี่น้องต้องการกำลังทหารไว้ในมือ ฉะนั้นจึงส่งเซวียนชงอวี้มาร่ำเรียนที่นี่และจะให้เซวียนชงอวี้ทำศึกไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เพียงแต่..ทำไมวันนั้นมาถึงรวดเร็วเพียงนี้
“ใช่”
อายุสิบสามเองนะองค์ชาย ท่านกลัวตัวเองจะอายุยืนเกินไปหรืออย่างไร เด็กหญิงตัวกลมเม้มปาก
“องค์ไท่จื่ออนุญาตหรือเจ้าคะ”
เซวียนชงอวี้ยิ้มรับกับความคิดของฮุ่ยหมิ่น
นางไม่ถามว่า ใคร่ครวญดีแล้วหรือ เพราะรู้ว่าเซวียนชงอวี้ไม่เคยคิดเพียงชั้นเดียว
นางไม่ห้ามว่าอันตราย เพราะอันตรายจริง แต่กับแค่ฝีมือเขาในการเอาตัวรอดย่อมทำได้สบาย
แต่นางถามว่าองค์ไท่จื่ออนุญาตหรือไม่ เพราะนั่นคือด่านสุดท้ายที่จะมีโอกาสยับยั้งเขา
มือของเด็กชายที่เริ่มจะโตเป็นหนุ่มวางลงบนกลุ่มเส้นผมนุ่มๆของเด็กหญิง
“เจ้าห่วงข้า” ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่ตั้งใจสะท้อนสิ่งที่ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกอย่างเอาแต่ใจ
“พระองค์ตอบไม่ตรงคำถามเพคะ”ดวงตากลมชักขุ่น เลือกกลับไปพูดคำราชาศัพท์กับเขา เซวียนชงอวี้ย่อมรู้ดีว่านางชักเคือง
มือที่ลูบศีรษะฮุ่ยหมิ่นลดระดับลงมาดึงแก้มยุ้ยๆของนางแทน เรียวปากบางยกยิ้มน้อยๆ ดวงตาหงส์คู่คมจับจ้องใบหน้ากลมด้วยประกายอ่อนโยน
“ทำโทษที่รวนข้า”
ฮุ่ยหมิ่นเม้มปากทำหน้าคว่ำ
“เสด็จพี่อนุญาตแล้ว พอเขาตอบกลับ ข้าจึงมาบอกเจ้าทันที”
ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกดีที่เขาตัดสินใจบอกนางเพราะนั่นแปลว่าองค์ชายผู้นี้ก็ให้ความสำคัญกับฮุ่ยหมิ่น ทว่าความกังวลกลับมีมากกว่าจนกลบความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นไปจนหมด เด็กหญิงจึงไม่ได้รู้ตัว ความคิดจ่อมจมอยู่กับการศึก
สงคราม ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดย่อมมีแต่ความสูญเสีย แม้ในยุคโบราณนี้จะยังไม่มีอาวุธที่มีกำลังทำลายล้างมากเท่ายุคเดิมของฮุ่ยหมิ่น มีเพียงอาวุธที่ต้องปะทะ หิน และไฟในการต่อสู้ แต่ในฐานะหมอ ฮุ่ยหมิ่นไม่ต้องการเห็นคนเจ็บหรือตาย การแพทย์ในยุคนี้ยังล้าหลัง โดนฟันเพียงหนึ่งครั้งก็หมายถึงชีวิตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ไปเสี่ยงตรงหน้านางยังเป็นเด็กอายุสิบสาม ถ้าในโลกปัจจุบันก็แค่เกรดเจ็ดเกรดแปดเท่านั้นเอง ฮุ่ยหมิ่นในตอนนั้นยังไปโรงเรียน เล่นกับเพื่อน ไปดูหนัง เรียนพิเศษกันอยู่เลย
ธรรมเนียมในยุคนี้ผลักให้คนเป็นผู้ใหญ่เร็วเหลือเกิน เร็วจนฮุ่ยหมิ่นทำใจรับไม่ทัน กระทั่งเด็กอายุสิบสามก็ต้องจับอาวุธออกรบเสียแล้ว ทั้งๆที่เด็กอายุเท่านี้สมควรจะได้เติบโตตามวัย อย่าว่าแต่ศึกนอกเลย ศึกในที่จะลอบปลงพระชนม์มีตั้งเท่าไหร่
ฮุ่ยหมิ่นมารู้เอาทีหลังว่าช่วงหลังจากเซวียนชงอวี้เกิดได้ไม่นาน พระสนม พระมารดาขององค์ชายสองยศขั้นเฟย วางแผนกับตระกูลของตนที่พอมีกำลังทหารในมือ สมคบคิดกับแคว้นหานเพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์พระโอรสที่ประสูติจากฮองเฮาเพื่อให้โอรสของตนได้เป็นไท่จื่อ ทว่าแผนการผิดพลาด มีผู้ล่วงรู้ก่อนและสามารถยับยั้งไว้ได้ จึงถูกฮ่องเต้สั่งประหารทั้งตระกูล
องค์ชายสองสะเทือนใจอย่างหนักเพราะมารดาฆ่าตัวตายต่อหน้าจึงตรอมใจล้มป่วย จนสิ้นพระชนม์ตั้งแต่เซวียนชงอวี้อายุได้เพียงสามชันษา หลังจากนั้นก็มีตระกูลพระสนมมารดาองค์ชายสี่ที่กระทำซ้ำเดิม ซึ่งก็ไม่ได้มีจุดจบที่ต่างกัน
เพราะอยู่ที่นี่กับเขามาห้าปี ฮุ่ยหมิ่นจึงได้รู้ว่าภาพเด็กแสบจอมป่วนประจำวังนั่นคือสิ่งที่เขาสร้างขึ้น เป็นหน้ากากหลอกลวงทุกคน เพื่อไม่ให้มีคนใช้ประโยชน์จากตัวเขาในการสั่นคลอนบัลลังก์ เพื่อให้ตำแหน่ง ไท่จื่อ เป็นของผู้ที่เหมาะสมเพียงผู้เดียว ไม่ให้ใครยืมมือมาคิดคด
ตัวจริงของเขาคือความสุขุม เยียบเย็น แต่หลายครั้งก็อบอุ่นอ่อนโยน
ราวกับเขาจะรู้ความคิดฮุ่ยหมิ่นอีกตามเคย องค์ชายจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ข้าไม่ได้ไปในฐานะองค์ชายสามหรอกนะ เป็นแค่ทหารม้ายศเล็กๆเท่านั้น มีคนของข้ากับพี่ใหญ่คอยอารักขาอยู่ลับๆ”
เด็กหญิงเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก จึงเรียกรอยยิ้มให้กับเขาได้ไวนัก องค์ชายพูดย้ำมาอีกครา
“เจ้าห่วงข้า”
ฮุ่ยหมิ่นกลอกตามองบน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ