Secret Love ลิขิตรัก

-

เขียนโดย PMIX

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 14.06 น.

  12 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 14.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เผชิญหน้าพายุอารมณ์ /3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


      
ชื่นกมล ประภากร ตัดสินใจเช่าห้องแถวใกล้ๆ แถวหัวลำโพง เนื่องจากไม่รู้ ทิศรู้ทาง จุดหมายของเธอเองในกรุงเทพ
               

   
ก็มีแค่มหาวิทยาลัยที่ยังไม่เคยแม้แต่จะเห็นของจริงเท่านั้นเป็นที่หวัง
        
    
     มาติดต่อกับซิ้มแก่ถึงจะดูใจดี แต่เจ้าของตึก จะดูร่ำรวยจากสร้อยคอทองเส้นโต กำไลทองอันใหญ่และแหวนหลายวง ที่คาดว่าจะหาประโยชน์จากตึกเก่าๆนี้มายาวนาน
        
            

    ก็ยังคงขี้เหนียวในความคิดแจ่มใส เธอต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าในราคาแพง เมื่อเทียบกับสภาพห้องที่มีเพียง เตียงสำหรับ สองคน มีโต๊ะเครื่องแป้ง และพัดลมเพดานเพียงเท่านั้น
         

   แต่ถ้าเทียบกับ สอง สาม ตึกที่ดูมา ห้องนี้ก็ดูดีกว่า ตรงมีห้องน้ำในตัว และเธอเองก็ไม่มีเวลามากนักที่จะเลือก

         
  เลือกได้ห้องชั้นสี่ ป้าก็บ่นอุบ กับการตัดสินใจเช่าชั้นสูง แต่เธอเองอ้างว่าชั้นบนไม่อึดอัด

              
                            

          "แต่ ป้าก็ว่ามันอึดอัด อยู่นะ” ก็ป้าแกเคยอยู่ตึกแบบนี้ซะที่ไหน บ้านที่เป็นมรดกยายที่อยู่ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันก็เป็นบ้านไม้ทรงล้านนา
             


    แจ่มใส  อดยิ้มขำไม่ได้ที่เห็นแกทำจมูกย่น ยึกยักๆ

                
       
        "แต่.. ก็ดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอนนะจ๊ะป้า” มองสบตาป้าอย่างเห็นใจ
         
           

    “แจ่ม..อาบน้ำก่อนนะจ๊ะป้า” ว่าแล้วก็จัดแจงลื้อเอาชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมออกมาจากกระเป๋า
          
    “พอแจ่ม อาบเสร็จป้าก็อาบต่อเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวรายงานตัวไม่ทันรอบเช้า” ล้วงผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ ได้ อาบน้ำแล้วสบายตัว


       
                    


สิบห้านาทีต่อมา...

    ป้าอิ่มก็เข้าไปอาบต่อจากเธอ แต่งตัวเสร็จก็พอดีกับที่ป้าอาบน้ำออกมา

         
   ผมยาวของเธอถูกมัดรวบจนตึง ผูกโบว์สีขาว เข้ากับชุดนักศึกษาตัวใหม่ ป้าเห็นถึงกับตะลึงเล็กๆ

                  

      "ดูสิ!!” ป้าอิ่มสาวเท้าเข้ามายืนใกล้ๆเธอ

            
        "ดูผิดหูผิดตาไปเล้ยย.. หลานฉัน!! ดูเป็นโตเป็นสาวเชียว!!”


     แกไล่สายตาสำรวจใบหน้าเรื่อยไปถึงกระโปรงสีดำเหนือเข่า

             
                       



     "เป็นไงจ๊ะป้า ตลกเหรอ?”   เธอชักขาดความมั่นใจ รู้สึกแปลก เหมือนไม่ใช่ตัวเอง

              

                   


        "แปลก.. อะไรกัน ดูสิ! น่ารักเชียว.. หลานฉัน!” ท่าทางป้าอิ่มดูจะตื่นเต้นมากกว่าตอนที่เธอเอารางวัลมารยาทดีของโรงเรียนมา อวดซะอีก แกลูบผมแจ่มใสเหมือนครั้งนั้น ด้วยความตึงของแขน ที่คนตัวเตี้ยต้องเอื้อมลูบหัวคนที่สูงกว่า เล่นเอาผ้าถุงที่โจมอกอยู่เกือบหลุด ดีทีแกคว้าไว้ทัน

           
                             
       "ตาเถร หลุด!!”    แกว่า
    “ลืมไปเลยดูสิ หัวหูก็ยังไม่ได้เช็ด” ดึงหมวกพลาสติกที่ครอบศรีษะแกอยู่ออก แจ่มใสกลั้นขำ
                
                

    “ถ้างั้น..แจ่มไปรอข้างนอกนะป้า”เธอส่งยิ้มให้ป้า

 

       

    
ห้องที่เช่า อยู่มุมสุดของตึก ห้า ชั้น เป็นตัวตึกเก่า ตึกหนึ่ง ที่ตั้งตัวขึ้นเหมือนดอกเห็ดผุดขึ้นบนพื้นที่แคบๆ
     
                
    
ด้วยตัวตึกที่บังอยู่ ทำให้บรรยากาศอบอ้าว ทั้งที่แสงแดดยังส่องมาไม่ถึง ลมสงบ ใบไม้ที่ปลูกตามซอกตึกไม่ได้ช่วย ให้สดชื่นมากนัก มันเงียบสงบไม่ไหวติง ไม่ต่างไปจากตัวตึกที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

        

    แจ่มใส ทอดสายตาลงมองระเบียงลงไปเบื้องล่าง เป็นลานของบริษัทแห่งหนึ่ง พนักงานรักษาความปลอดภัยนั่งคอพับคออ่อนอยู่บนเก้อี้ตัวหนึ่ง
        
         
    สงสัยว่าจะนั่งเฝ้าทั้งคืนกระมัง เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลา8 .15 .
          



     ป้าอิ่ม เปิดประตูออกมา ในชุด ที่แกสั่งตัดเป็นพิเศษ ซิ่นผ้าไหมลายน้ำไหล กับเสื้อผ้าป่านแขนลูกไม้ สีม่วงเข้ากัน ป้าชอบสีม่วง แกมีเสื้อสีม่วงสักครึ่งตู้เห็นจะได้ แต่แจ่มใส ก็ว่าเหมาะกับป้าดี แกถือกระเป๋าผ้าสีม่วงเข้าชุด

                
       "สวยเชียว!”    เธอเย้าแหย่ก่อนโผเข้าไปกอดป้า

                   

  "ยอกันอยู่นั้น”แก้มเฉดแดงเข้มนั้น มีสีแดงเลือดเจือขึ้น    บนหน้าคนเขิน
         
    “ไปกันซะที ว่าแต่จะไปไงกันล่ะ” ป้าแกดึงแขนแจ่มใสออกเดิน.....

 

                                                         ….......................................






 "ถึง แล้วครับ!!


   แท๊กซี่วัยชราเทียบรถลงตรงหน้าป้ายชื่อมหาวิทยาลัยตัวใหญ่ จุดหมายข้างในร่มรื่นไปด้วยต้นไม้แลเห็นแต่ไกล ตึกหลายสิบชั้นตั้งตระหง่านและตึกเตี้ยๆอีกหลายตึก
       
    ป้าล้วงควัก กระเป๋าตังค์

             
     "เท่าไหร่ลุง?” ป้าว่าส่งยิ้ม

            



      "ร้อยสามสิบ บาท”ลุงหน้าแก่ว่า

             

                                          


        "นั่ง มาด้วยกันก็ออกคนล่ะครึ่งแล้วก้านน..” แจ่มใสแทบสะอึก กับมุขป้าที่จำมาจากตลกในโทรทัศน์ ลุงแกทำหน้าไม่ขำด้วย เธอรีบหยิบเงินจ่าย แทน

     
    หัวใจแจ่มใสเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ป้าพอก้าวลงจากรถก็มีอาการไม่ต่างจากเธอ
          
                      

   “แม่เจ้าโว้ย!!..” แกแหงนมองตึกสูง
   “ทำไมเค้าสร้างสูงนัก?”

                      



         "ก็ไม่รู้สิป้า! ถามแจ่ม..แล้วแจ่มจะไปถามใครดีล่ะจ๊ะป้า”



 

                    
        "เออๆ..จริงของแก!” บทจะพูดง่ายก็ง่ายขึ้นมาเชียว

       

    แจ่มใส เดินนำป้าอิ่ม ผ่านป้อมยาม หน้าประตูเข้ามา แกส่งยิ้มหวาน
         
    ยามที่มองตามอย่างกับเธอและป้าเป็นตัวประหลาด แจ่มใสมองแกคิ้วขมวด
        
    จะว่าไม่เคยเห็นคนบ้านนอก อย่างเธอ สองป้าหลานก็คงไม่ใช่
        



     เดินมาหยุดเอาตรงมาหินอ่อนที่ดูเหมือนจะเป็นสวนหย่อม สำหรับนั่งอ่านหนังสือ มีม้าหินอ่อนหลายโต๊ะ ซึ่งบริเวณนี้แวดล้อมไปด้วยต้นไม้สูง และ ดอกไม้ที่แจ่มใสไม่รู้จักอีกหลายชนิด ล้วนแต่สวยๆทั้งนั้น

                  
    "ป้า นั่งรอแจ่มตรงนี้แล้วกัน”แจ่มใสทรุดลงนั่งบนม้าหินอ่อน   
   

   “ไม่ต้องทำมานั่งเป็นตัวอย่างฉันหรอก สอนหนังสือสังฆราชเหรอ” ป้าแกเจ้าสำบัดสำนวน “ไป รีบไป รีบกลับป่ะ”


                                                           


      "งั้นแจ่มไปล่ะนะ..จ๊ะ" เธอส่งยิ้ม พร้อมกอดป้าอีกรอบ ป้าแกพยักหน้าหงึกๆ

                



               
     แจ่มใส เดินลัดเลาะไปตามทางเดิน ระหว่างหมู่ตึก และ สองข้างทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้ สลับกับต้นชาทองตัดแต่ง

    ต้นไม้สูงให้ร่มเงาเย็นสบาย ม้าหินอ่อนจัดเรียงไว้สำหรับพักนั่งริมทางจัดไว้หลายจุด เธอเดินมองนั้นมองนี่จนเพลิน

      
     ลืมนึกไปถึงจุดหมายที่จะไปรายงานตัว ฉุกคิดได้เมื่อถึงทางแยกไปทางตัวอาคารสูงเบื้องหน้า แล้วนึกถึงแผนที่ เดินไปด้วย ส่วนมือและสายตายังง่วนอยู่ในกระเป๋าเป้ จนแรงปะทะ อะไรบางอย่าง

      
    กระเด็นล้ม ก้นจ้ำเบ้า แจ่มใส รีบลุกขึ้น มองไปข้างหน้า ทั้งเจ็บก้นทั้งใจยังตื่นตกใจไม่หาย รีบปัดก้นไปมา

                



        "นี่!!.. เธอ เดินขวางทาง ไม่ดูทางเลยนะฝ่ายนั้นดูจะกระเด็นไปไม่ห่างเธอนัก และลุกขึ้นยืน ได้เร็วไม่แพ้กัน หญิงสาวรุ่นเดียวกับแจ่มใสหน้าตาเอาเรื่อง
     
    “ดูสิ!!..เปื้อนเลย เดินยังไงไม่ดูตาม้าตาเรือ”

     
                             


       
    "เธอเองก็เหมือนกัน วิ่งทำไมล่ะ?.. ไม่รู้เหรอ?..ว่าทางมันแคบหน่ะ!!” แจ่มใส  พยุงตัวขึ้นยืน มองสู้ตากลม

                                 



        "เอ๊ะ!!.. ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าเธอจะมาเดินเงอะหงะ อยู่ตรงนี้” สาวผมเปียมองมาด้วยสายตาเหยียด
      
             
    แจ่มใส ไม่ชอบสายตาแบบนี้ สายตาที่มองคนอื่นแบบกด.. กดให้เธอแทบจมไปอยู่แทบเท้า ไม่ต่างกับหญิงสามคนที่เจอเมื่อเช้า มาวันแรก ก็เจอแต่คนแบบนี้ หรือคนกรุงเขามองคน แค่ภายนอก

          
       
    เธอ มองคู่กรณีตาค้างอย่างนั้น ตาเป็นไฟ ของแม่สาวเปีย สู้สายตาเย็นเยือกเธอไม่กระพริบ

              
                            
       "ฉันอุตส่าห์วิ่งชิดๆ ข้างนู้นแล้ว แต่เธอก็ไม่รู้จักเดินแอบข้างทาง นี่มันในมหาลัยนะ ไม่ใช่ทุ่งนา”หน้าขาวปากจิ้มลิ้มนั้นลอยหน้าลอยตา

                
                         

     
      "ก็ใช่แล้ว เธอก็รู้นี่ ว่านี่มันทางเดิน แคบๆ ไม่ใช่ทุ่งนาหรือทุ่งหญ้าในสนามเด็กเล่นที่เธอจะมาวิ่งเล่น”เธอก็ว่ามองไม่มีละสายตา

             
                                    



       "นี่เธอคิดว่า ฉันผิด  ...แล้วเธอถูกงั้นสิ?จีบปากจีบคอกอดอกว่า

             
                             



         "ฉันไม่ถูกหรอก ... แต่ฉันก็ไม่ใช่คนผิดไปซะหมดหรอกนะ”แจ่มใสลดเสียงลงเมื่อเห็นคนเดินมาแต่ไกล

 
   ชักรู้สึกจนปัญญา และคิดว่าเสียเวลาเปล่าที่จะมาโต้เถียง

           
       "งั้นฉันต้องขอโทษเธอด้วยในส่วนที่ฉันไม่ได้เห็นเธอวิ่งมา”
         
    ยอมแค่นี้ก็เกินทนแล้ว แจ่มใสคิด คนอะไรร้ายกาจ

       




      "แล้ว ไง เธอจะให้ฉันขอโทษเธอ ที่ฉันวิ่งมา แล้วเธอมายืนเกะกะขวางทาง จนฉันหกล้ม เสื้อผ้าเปื้อนหมดงั้นสิ” หล่อนดึงเสื้อที่เปื้อน ที่ดูยังไงก็ดูออกว่าเป็นคราบไอศรีมรสช็อคโกแลต ที่หยดลงบนเสื้อ มากกว่าที่อ้างว่าเป็นคราบดิน คราบโคลน

                 
    คนอะไรน่าไม่อาย" แจ่มใส คิดในใจ

                          



                                   
           "ฉันไม่ขอโทษ....เพราะ ฉันไม่ผิด” หล่อนลอยหน้าลอยตาพูดเสียงแหลมปรี๊ด เล่นเอา ชายสองคนที่เดินผ่านมาต้องเอามืออุดหู มองเธอทั้งคู่เหมือนตัวประหลาด ที่หลุดมาจากงานวัด
      
     ตัวประหลาด ข้างหน้าแจ่มใสยังกัดฟัน กำมือแน่น มองอย่างเอาเรื่อง

            




        "ไม่ต้องหรอก....”เธอชักอารมณ์เดือดแล้ว

       



    หญิงสองคนกับชายหนุ่มนักศึกษากำลังเดินมาแต่ไกล แจ่มใสชักอาย หน้าไม่หนาพอที่จะให้ใครมามองนักหรอก

       
      "แต่ฉันขอตัว...” แจ่มใสเลี่ยงไปทางหนึ่ง “ฉันรีบ”

 

        
"นี่ เธอคิดว่าชนฉัน แล้วจะเดินหนีไปเฉยๆ อย่างนี้น่ะเหรอ?

 
   หล่อนตะโกนไล่หลัง
   อย่างไม่อายคนที่เริ่มเดินผ่านไปมาขวักไขว่ขึ้นหนาตา เต็มที


   แจ่มใสพยายามเดินหน้า ไม่ใส่ใจ

  “ไม่นะ.....” เสียงดังแทบจะสุดเสียงกระมัง

     "เธอ มาขอโทษฉันก่อน นี่เธอว่าฉันผิดเหรอ ฉันไม่ยอม..”

     


              ประโยคสุดท้ายที่แว่วได้ยินเป็นเสียงแหลมปรี๊ด

                                 

                                     @@@@@@@@@

 

          ชลวิทย์ อริยภาส นั่งรับลมอยู่ม้าหินอ่อน ก่อนที่จะเห็นน้องสาวเดินกระฟัดกระเฟียดมาแต่ไกล

           
     ชายหนุ่มยังหวั่นใจว่า..จะเจอพายุเข้ามาพร้อมกับร่างที่ปลิวสะบัดไปมานั้น ไม่มีร่องรอยแห่งความงดงามทิ้งไว้เลย เวลาโกรธหน้านั้นไม่ชวนมองเอาเสียเลย

                  
                          
            "ว่าไง เรา.... หน้าบูด ยังกะตูดเป็ด”

                  
      ชลวิทย์ ขยับที่ไว้เพื่อน้องสาวก่อนที่เจ้าหล่อน จะมากระแทกก้นลงใกล้เขา

                    

                   

                                
    "อย่า มายั่วน้องหน่อยเลยพี่วิทย์” เด็กสาวเบนสายตากลมโตดุดัน ก่อนจะค้อนให้หนึ่งขวับ

                      



                             
          "เอ..เราไปหงุดหงิดที่อื่น แล้วทำไมต้องมาลงกับพี่ล่ะ” ชายหนุ่มส่งสายตาอ่อนโยนไปให้น้องสาว เจ้าอารมณ์

                     

          "เราเป็นอะไรบอกพี่สิ”

         

               
     ชายหนุ่มเขยิบเข้าไปชิดน้องสาว แล้วก้มตัวไปมองหน้าน้องสาวที่ตอนนี้สะบัดหน้าไปอีกด้าน ก่อนจะหันมาว่า

               

          "ก็.. ยัยซุ่มซ่ามที่ไหนไม่รู้มาชนน้อง ดูสิ!.. เปื้อนไปหมด” ชลวิทย์มองตามเสื้อที่ยับเล็กๆ และมีคราบเปื้อน ช็อคโกแลตเป็นวงเล็ก ที่น้องสาวดึงให้ดูเขาอดกลั้นขำเอาไว้

                  
        "อย่างนี้จะไปดูหนังกับพี่วิทย์ได้ไง!!.. อายคนแย่”

                 
                   
     "โธ่!.. นิดเดียวเองเรา” ชายหนุ่มทำทีเป็น สำรวจไปทั่วตัววรรณณี "ดูสิ...พี่ ไม่เห็นจะดูรู้เลยนะว่าเราไปล้มลุกคลุกคลานที่ไหนมา ถ้าเราไม่บอกพี่” ชายหนุ่มใช้มืออันโต โยกหัวเล็กๆของน้องเบาๆ “ คนอื่นหรอจะรู้”

             
 

"จริงเหรอค่ะ?” วรรณณี สำรวจตัวเองอีกครั้ง ซึ่งดูจะสำรวจและพินิจพิเคราะห์ดูกว่าเก่า
    
     “เพราะแม่นั่นคนเดียวแท้ๆ”หน้างอๆ ข้างเขาว่า




ชลวิทย์ มองน้องตนเองอย่างขำๆ ปนเวทนา
“ไปเถอะเรา" ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้น้องสาวตัวดีขึ้นไปนั่ง




ก่อนจะเดินขึ้นรถสตาร์ทเครื่อง ขับออกไป

                                                                   …...........................

                                                                                                

 

                                    
      



       

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา