Secret Love ลิขิตรัก
-
เขียนโดย PMIX
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 14.06 น.
12 ตอน
0 วิจารณ์
12.95K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 14.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ดังลมพัดหวน /1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หกเดือนก่อนหน้านั้น..
หนุ่มน้อยผมเกรียน ผิวขาว หน้าตาคมเข้ม ในชุดฟอร์มนักเรียน เสื้อสีขาวที่ปักชื่อไว้ที่หน้าอกข้างหนึ่งว่า นาย อัครเมฆ ปันสา
ค่ำแล้ว แต่พึ่งกลับมาถึงบ้าน กระเป๋าเป้ถูกปลด วางไว้หน้าประตูบ้าน จัดแจงถอดรองเท้าผ้าใบสีดำออก ตามด้วยถุงเท้าสีขาว ถอดวางไว้หน้าบันไดปูนขั้นแรก ก่อนจะล้วงกุญแจที่อยู่ในกางเกงขาสั้นสีดำออกมา เปิดประตูบ้านสองชั้นหลังใหญ่ เดินไปเปิดโทรทัศน์ แล้วเดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็นในห้องครัว กลับมาทรุดนั่งตรงโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ อย่างเช่นทุกๆวัน หนุ่มน้อยเหลือบขึ้นไปบนผนัง นาฬิกาแขวน ทรงไม้รูปคล้ายรังนก บอกเวลาที่ปกติทุกคนจะมารวมตัวพร้อมหน้า ที่บ้านแล้ว ทั้ง พ่อและแม่ หากพ่อของเขาไม่ต้องทำงานต่อ แต่วันนี้ ต้องมีเรื่องไม่ปกติซะแล้ว
"ไปไหนกันหมดนะ?.. ไม่บอกกันมั่ง”
เขาเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ จากบนโต๊ะเล็กๆที่วางอยู่ไม่ไกล บนนั้นมีแจกันดอกไม้ ปากกา และกระดาษโน้ตวางไว้เรียบร้อย กดโทรไปยังเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ รอจนทางนั้นทักขึ้น
"ฮัลโหล ขอสายใครคะ?”เสียงใสของหญิงทักขึ้นแทบจะทันที
"แอนอยู่ไหมครับ?”เสียงทุ้มกรอกลงไปตามสาย
"ไม่ทราบว่าใครต้องการคุยด้วยคะ?"เสียงนั้นฟังคุ้นหูจนแทบไม่ต้องเดา
"เออ..ครับ เจ๊นุช เอ เองครับ” ยังพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติยากเย็น
"อ้อ..เอ แอนยังไม่กลับมาเลยจ๊ะ!!” เสียงนั้นดูคลายความแครงใจ “มีธุระอะไรฝากเจ๊ไว้ไหม?..เดี๋ยวเจ๊บอกให้”
"เหรอครับ?..มืดป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ไปเถล..ไถลที่ไหนนะ?”เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีกกับเพื่อนสาวคนสนิท
"เออ..เปล่าหรอกจ๊ะ! พอดีแอน.. ต้องไปส่งเจ๊นิดขึ้นกรุงเทพนะจ๊ะ!" แม้เสียงนุชรีย์จะดูเรียบเฉย แต่เขาก็รู้ว่าหน้านั้นยิ้มน้อยๆ เขาจึงพูดตอบด้วยการควบคุมอารมณ์สุดชีวิต
"เหรอครับ?..งั้นถ้าแอนกลับมาแล้วฝากเจ๊นุช ช่วยบอกให้แอนโทรกลับด้วยนะครับ”ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วยดีเพราะไม่มีจิตใจจะสนทนาต่ออีก จึงขอวางสายไปอย่างนั้น
ฟากนั้นตอบรับและวางสายไปแล้ว อัครเมฆ ยังถือสายค้างไว้อย่างเซ็งๆ ก่อนจะวางลงแผ่วเบา
วันนี้ มันอะไรกันนะ น่าเบื่อทั้งวัน นายอัครเมฆ ปันสา กระอักกระอ่วน ความขื่นในอก ขึ้นมาตึงที่สมองจนหนักอึ้ง อยากระบาย
วันนี้ช่วงบ่าย เขาไม่มีกระจิตกระใจเรียนเลย ไม่มีความรู้ผ่านแทรกเข้ามาในสมองเลยตั้งแต่เที่ยง มันตื้อๆ
" เอ..เราเลิกกันเถอะ!!” อย่างนั้นเหรอ? เขาคิด ประโยคนั้นมันก้องอยู่ในหัวสมอง อยู่แทบจะตลอดเวลาตั้งแต่ได้ยิน มันช่างดูง่ายดายสำหรับเธอและดูไร้เหตุผลสำหรับเขา แต่เมื่อคิดอีกแง่ หรือว่าเธอจะมีเหตุผลที่เธอไม่สามารถบอกได้ เหตุผลที่เขาไม่รู้ และเธอไม่สามารถอธิบายได้ เขาอยากจะถามในตอนนี้ ซึ่งตอนที่เธอพูด เขาก็ช็อคเกินกว่าที่จะถาม และเธอก็ผละจากไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งเขาให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่
ตอนนี้คนเศร้านั่งกุมขมับอยู่บนโซฟายาวนั้น กับ เสียงโทรทัศน์ จ๊อกแจ๊กจอแจ ฟังจนไม่ได้ศัพท์
ความมืดปกคลุมไปทั่วตัวบ้าน มีเพียงแสงสว่างจากโทรทัศน์วาบไหวเป็นเพื่อน เสียงจิ้งหรีด หวีดร้องอยู่นอกบ้าน กระชากความเหงามาจับใจ ความนึกคิดวันเก่าๆเริ่มฉายชัดเจนในห้วงคิด
อัครเมฆกับแพรไหม คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปีที่สี่ เป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว แทบจะเรียกว่าเป็นรักแรกและรักเดียว มันเคยเป็นรักที่แสนหวาน จนถูกเพื่อนๆล้อเป็นประจำว่า "มีไหมที่ไหนต้องมีเขาที่นั่น" ทางบ้านของเขาและแพรไหม แม้จะไม่ได้เห็นด้วยนักกับรักในวัยเรียน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงรับรู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย และ อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เสมอ
แพรไหม เป็นคนอ่อนหวาน เรียนเก่ง และน่ารัก มีมนุษยสัมพันธ์ดี มักมีนักเรียนชายต่างห้อง และชายรุ่นพี่ ตามแวะเวียนมาจีบเสมอ แต่แพรไหมก็ไม่มีทีท่าจะสนใจและโอนเอียงไปทางไหน ทั้งยังเคยสัญญากันว่า "จะสอบเอนทรานซ์ให้ติดคณะ มหาวิทยาลัยเดียวกัน และแต่งงานกันหลังเรียนจบปริญญาตรี"
"และทำงานอาชีพเดียวกัน" แต่นั่นคงเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ไปเสียแล้ว
อะไรกันเป็นเหตุผลนั้น? คำถามร้อยแปดผ่านเข้ามาในสมองของ อัครเมฆ เขาอยากจะร้องไห้ ร้องออกมาให้น้ำตามันล้างทั้งใจ ระบายความอัดอั้น แต่เขากลับไม่มีน้ำตา มันเหือดแห้ง ซึมซาบ เข้าไปจนเต็มหัวใจแล้วในตอนนี้
"ติ๊ด ติ้ด ติ๊ด" ..... โทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกหนุ่มน้อยจากภวังค์
"ฮัลโหล แอนเหรอ?”
"เปล่าจ๊ะ..” ต้นสายว่า “รอโทรศัพท์ แอนอยู่เหรอลูก?”
"ครับ แม่!!”เขายกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้าง
"คืนนี้แม่กับพ่อกลับดึกหน่อยนะลูก คุณยายไม่ค่อยสบาย แม่ต้องอยู่ดูแลท่านก่อน รอน้ามาเปลี่ยนดูท่าน... ลูกทานอะไรหรือยัง?" น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยเขาเช่นเคย ฝ่ายนั้นไม่รอคำตอบ
"ถ้าหิว..แม่ทำกับข้าวไว้ในตู้เย็น พะโล้หมูที่ลูกชอบไง..เอามาอุ่นทานซะนะ” "ครับ!!”เขาสูดหายใจแรงเพราะคัดจมูก
"เอ...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ลูกเสียงแปลกๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า..ลู๊กก?.. ถ้าไม่สบาย...หา..”
"ไม่ครับแม่!! ผมไม่เป็นไร” เขาตัดบทหงุดหงิดอย่างลืมตัว
"งั้นแค่นี้นะลูก แม่จะรีบกลับจ๊ะ!”
หนุ่มน้อยวางหูโทรศัพท์ แล้วนั่งจ้องไปที่โทรศัพท์ อย่างสับสน ยายไม่สบาย ทำไมเราไม่ถามถึงอาการของยาย แล้วต้องไปพาลหงุดหงิดเอากับแม่ด้วย นี่เราบ้าไปแล้วหรือ อาจเพราะเรามึนงง ไปหมด.. เราต้องรู้เหตุผลให้ได้ ว่าทำไม? เขาตัดสินใจยกโทรศัพท์อีกครั้ง กดหมายเลขที่คุ้นเคย และท่องจำได้ขึ้นใจ
"ฮัลโหล!! ฮัลโหล!!” ฝั่งนั้นพูดน้ำเสียงเธอเป็นปกติ เช่นเคย “จะพูดกับใครค่ะ?” เสียงที่คุ้นหูว่า เขายิ่งเจ็บ
เสียงคนใจดำที่บอกเลิกเขาหน้าตาย
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงเบาๆ แค่ได้ยินเสียงไหม เราก็ไม่กล้าที่จะพูด ไม่กล้าที่จะถามอะไรเลย เอาแต่จ้องโทรศัพท์ อย่างหมดอาลัย
โทรศัพท์แผดเสียงขึ้นอีกครั้ง ทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง
"ครับ!!” เขาขานรับ
"เอ...โทรมาหาแอนเหรอ?.. ว่าไงล่ะ?..มีอะไรหรือเปล่า?”ฝ่ายนั้นถามเสียงละมุน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มอึ้งไป
"ไหม...ไหมเขาบอกเลิก...เรา” เขาควบคุมเสียง ไม่ให้สั่นได้ยากเย็น
"อืม!!..” น้ำเสียงราบเรียบ “เราคิดอยู่แล้ว.. ว่าต้องเป็นแบบนี้”
เมื่อได้ยินเสียงฝ่ายนู้นว่า อัครเมฆยิ่งปวดใจ และรู้สึกคอแห้งผาก
"เราเจอ.." ฝ่ายนั้นเหมือนลังเลในน้ำเสียง "ไหมไปเที่ยวกับโยที่ห้าง อาทิตย์ก่อน โยที่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน ที่อยู่ห้องสาม เอ..จำได้ไหม?”
"เราไม่อยากเชื่อเลย!..”เสียงเล็ดลอดออกมาจากคอตีบตันได้แผ่วเบา
"แล้วแอนทำไมไม่บอกเรา?” เขาควบคุมก้อนสะอึกในลำคอ
"เราขอโทษนะเราไม่กล้า เราก็กำลังคิดว่าจะบอก แต่กลัวเอจะไม่เชื่อ ก็ไม่คิดว่าไหมเค้าจะขอเลิกกับเอ เร็วขนาดนี้”เสียงนั้นก็ดูสลดไม่แพ้กัน
"แค่นี้ก่อนนะแอน”รู้สึกไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ มันเพียงพอแล้ว
"เออย่าคิดมากนะ เอต้องคิดตัดใจให้ได้นะ ผู้หญิงอย่างนั้นไม่คู่ควรกับเอหรอก เอไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ต้องการเพื่อนไหม เราไปอยู่เป็นเพื่อนดีไหม?”
"ไม่เป็นไรแอน เราอยู่ได้ ขอบใจนะ" เขากัดฟันพูดยกมืออีกข้างขึ้นบีบขมับ
"เหรอ..เอางั้นเหรอ?” แอนคงไม่กล้าเซ้าซี้
"แล้วพวกเจ้า อ๊อด กิ๊ก เบิ้ล แมน มันรู้เรื่องนี้ด้วยใช่ไหม?”น้ำตาเริ่มไหลแล้ว จึงรีบใช้หลังมือป้าย
"อืม...อย่าโกรธเรานะ เราแค่ปรึกษาพวกมัน ก็เราไม่รู้จะทำไงนี้ เอ..ไม่โกรธเรานะ”เสียงเพื่อนสาวมั่นดูเกรงๆกว่าเคย
"แล้วพวกมันก็บอกให้ปิดเราใช่ไหม?”ชายหนุ่มเริ่มเสียงเข้ม อัครเมฆ เริ่มนึกถึงอาการแปลกๆ ของเพื่อนๆ เมื่อหลายวันก่อน เวลาเขาพูดกับไหม เขาก็สังเกตเห็นว่าพวกมันแอบสุมหัวกัน แต่พอเขาหันไป พวกเพื่อนๆก็ ต่างตกใจและทำท่าพิกล เขาเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง
"เอ...โกรธเราใช่ไหม?” ฝ่ายนั้นเสียงอ่อยเมื่อเห็นเขาเงียบไป “โกรธแน่ๆเลย ใช่ไหม?”
เขากัดปากพูดไม่ออก
"โกรธแหงๆ เป็นเพื่อนกันมาตั้งห้าปีกว่า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง งั้นเค้าจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย”
"อย่าเลยแอน เราอยากอยู่คนเดียว แค่นี้ก่อนนะ”
"เอางั้นเหรอ?”ต้นสายคงรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเวลานี้ “ก็ได้!.. อย่าโกรธนานล่ะกัน แล้วก็อย่าคิดมากล่ะ”
"อืม!!” เขาตอบแค่นั้น แล้ววางหู ไม่รอให้ฝ่ายนั้นได้ร่ำลา
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
หนุ่มน้อยผมเกรียน ผิวขาว หน้าตาคมเข้ม ในชุดฟอร์มนักเรียน เสื้อสีขาวที่ปักชื่อไว้ที่หน้าอกข้างหนึ่งว่า นาย อัครเมฆ ปันสา
ค่ำแล้ว แต่พึ่งกลับมาถึงบ้าน กระเป๋าเป้ถูกปลด วางไว้หน้าประตูบ้าน จัดแจงถอดรองเท้าผ้าใบสีดำออก ตามด้วยถุงเท้าสีขาว ถอดวางไว้หน้าบันไดปูนขั้นแรก ก่อนจะล้วงกุญแจที่อยู่ในกางเกงขาสั้นสีดำออกมา เปิดประตูบ้านสองชั้นหลังใหญ่ เดินไปเปิดโทรทัศน์ แล้วเดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็นในห้องครัว กลับมาทรุดนั่งตรงโซฟาตัวยาวหน้าโทรทัศน์ อย่างเช่นทุกๆวัน หนุ่มน้อยเหลือบขึ้นไปบนผนัง นาฬิกาแขวน ทรงไม้รูปคล้ายรังนก บอกเวลาที่ปกติทุกคนจะมารวมตัวพร้อมหน้า ที่บ้านแล้ว ทั้ง พ่อและแม่ หากพ่อของเขาไม่ต้องทำงานต่อ แต่วันนี้ ต้องมีเรื่องไม่ปกติซะแล้ว
"ไปไหนกันหมดนะ?.. ไม่บอกกันมั่ง”
เขาเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ จากบนโต๊ะเล็กๆที่วางอยู่ไม่ไกล บนนั้นมีแจกันดอกไม้ ปากกา และกระดาษโน้ตวางไว้เรียบร้อย กดโทรไปยังเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ รอจนทางนั้นทักขึ้น
"ฮัลโหล ขอสายใครคะ?”เสียงใสของหญิงทักขึ้นแทบจะทันที
"แอนอยู่ไหมครับ?”เสียงทุ้มกรอกลงไปตามสาย
"ไม่ทราบว่าใครต้องการคุยด้วยคะ?"เสียงนั้นฟังคุ้นหูจนแทบไม่ต้องเดา
"เออ..ครับ เจ๊นุช เอ เองครับ” ยังพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติยากเย็น
"อ้อ..เอ แอนยังไม่กลับมาเลยจ๊ะ!!” เสียงนั้นดูคลายความแครงใจ “มีธุระอะไรฝากเจ๊ไว้ไหม?..เดี๋ยวเจ๊บอกให้”
"เหรอครับ?..มืดป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ไปเถล..ไถลที่ไหนนะ?”เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีกกับเพื่อนสาวคนสนิท
"เออ..เปล่าหรอกจ๊ะ! พอดีแอน.. ต้องไปส่งเจ๊นิดขึ้นกรุงเทพนะจ๊ะ!" แม้เสียงนุชรีย์จะดูเรียบเฉย แต่เขาก็รู้ว่าหน้านั้นยิ้มน้อยๆ เขาจึงพูดตอบด้วยการควบคุมอารมณ์สุดชีวิต
"เหรอครับ?..งั้นถ้าแอนกลับมาแล้วฝากเจ๊นุช ช่วยบอกให้แอนโทรกลับด้วยนะครับ”ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วยดีเพราะไม่มีจิตใจจะสนทนาต่ออีก จึงขอวางสายไปอย่างนั้น
ฟากนั้นตอบรับและวางสายไปแล้ว อัครเมฆ ยังถือสายค้างไว้อย่างเซ็งๆ ก่อนจะวางลงแผ่วเบา
วันนี้ มันอะไรกันนะ น่าเบื่อทั้งวัน นายอัครเมฆ ปันสา กระอักกระอ่วน ความขื่นในอก ขึ้นมาตึงที่สมองจนหนักอึ้ง อยากระบาย
วันนี้ช่วงบ่าย เขาไม่มีกระจิตกระใจเรียนเลย ไม่มีความรู้ผ่านแทรกเข้ามาในสมองเลยตั้งแต่เที่ยง มันตื้อๆ
" เอ..เราเลิกกันเถอะ!!” อย่างนั้นเหรอ? เขาคิด ประโยคนั้นมันก้องอยู่ในหัวสมอง อยู่แทบจะตลอดเวลาตั้งแต่ได้ยิน มันช่างดูง่ายดายสำหรับเธอและดูไร้เหตุผลสำหรับเขา แต่เมื่อคิดอีกแง่ หรือว่าเธอจะมีเหตุผลที่เธอไม่สามารถบอกได้ เหตุผลที่เขาไม่รู้ และเธอไม่สามารถอธิบายได้ เขาอยากจะถามในตอนนี้ ซึ่งตอนที่เธอพูด เขาก็ช็อคเกินกว่าที่จะถาม และเธอก็ผละจากไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งเขาให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่
ตอนนี้คนเศร้านั่งกุมขมับอยู่บนโซฟายาวนั้น กับ เสียงโทรทัศน์ จ๊อกแจ๊กจอแจ ฟังจนไม่ได้ศัพท์
ความมืดปกคลุมไปทั่วตัวบ้าน มีเพียงแสงสว่างจากโทรทัศน์วาบไหวเป็นเพื่อน เสียงจิ้งหรีด หวีดร้องอยู่นอกบ้าน กระชากความเหงามาจับใจ ความนึกคิดวันเก่าๆเริ่มฉายชัดเจนในห้วงคิด
อัครเมฆกับแพรไหม คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปีที่สี่ เป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว แทบจะเรียกว่าเป็นรักแรกและรักเดียว มันเคยเป็นรักที่แสนหวาน จนถูกเพื่อนๆล้อเป็นประจำว่า "มีไหมที่ไหนต้องมีเขาที่นั่น" ทางบ้านของเขาและแพรไหม แม้จะไม่ได้เห็นด้วยนักกับรักในวัยเรียน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงรับรู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย และ อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เสมอ
แพรไหม เป็นคนอ่อนหวาน เรียนเก่ง และน่ารัก มีมนุษยสัมพันธ์ดี มักมีนักเรียนชายต่างห้อง และชายรุ่นพี่ ตามแวะเวียนมาจีบเสมอ แต่แพรไหมก็ไม่มีทีท่าจะสนใจและโอนเอียงไปทางไหน ทั้งยังเคยสัญญากันว่า "จะสอบเอนทรานซ์ให้ติดคณะ มหาวิทยาลัยเดียวกัน และแต่งงานกันหลังเรียนจบปริญญาตรี"
"และทำงานอาชีพเดียวกัน" แต่นั่นคงเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ไปเสียแล้ว
อะไรกันเป็นเหตุผลนั้น? คำถามร้อยแปดผ่านเข้ามาในสมองของ อัครเมฆ เขาอยากจะร้องไห้ ร้องออกมาให้น้ำตามันล้างทั้งใจ ระบายความอัดอั้น แต่เขากลับไม่มีน้ำตา มันเหือดแห้ง ซึมซาบ เข้าไปจนเต็มหัวใจแล้วในตอนนี้
"ติ๊ด ติ้ด ติ๊ด" ..... โทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกหนุ่มน้อยจากภวังค์
"ฮัลโหล แอนเหรอ?”
"เปล่าจ๊ะ..” ต้นสายว่า “รอโทรศัพท์ แอนอยู่เหรอลูก?”
"ครับ แม่!!”เขายกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้าง
"คืนนี้แม่กับพ่อกลับดึกหน่อยนะลูก คุณยายไม่ค่อยสบาย แม่ต้องอยู่ดูแลท่านก่อน รอน้ามาเปลี่ยนดูท่าน... ลูกทานอะไรหรือยัง?" น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยเขาเช่นเคย ฝ่ายนั้นไม่รอคำตอบ
"ถ้าหิว..แม่ทำกับข้าวไว้ในตู้เย็น พะโล้หมูที่ลูกชอบไง..เอามาอุ่นทานซะนะ” "ครับ!!”เขาสูดหายใจแรงเพราะคัดจมูก
"เอ...เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ลูกเสียงแปลกๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า..ลู๊กก?.. ถ้าไม่สบาย...หา..”
"ไม่ครับแม่!! ผมไม่เป็นไร” เขาตัดบทหงุดหงิดอย่างลืมตัว
"งั้นแค่นี้นะลูก แม่จะรีบกลับจ๊ะ!”
หนุ่มน้อยวางหูโทรศัพท์ แล้วนั่งจ้องไปที่โทรศัพท์ อย่างสับสน ยายไม่สบาย ทำไมเราไม่ถามถึงอาการของยาย แล้วต้องไปพาลหงุดหงิดเอากับแม่ด้วย นี่เราบ้าไปแล้วหรือ อาจเพราะเรามึนงง ไปหมด.. เราต้องรู้เหตุผลให้ได้ ว่าทำไม? เขาตัดสินใจยกโทรศัพท์อีกครั้ง กดหมายเลขที่คุ้นเคย และท่องจำได้ขึ้นใจ
"ฮัลโหล!! ฮัลโหล!!” ฝั่งนั้นพูดน้ำเสียงเธอเป็นปกติ เช่นเคย “จะพูดกับใครค่ะ?” เสียงที่คุ้นหูว่า เขายิ่งเจ็บ
เสียงคนใจดำที่บอกเลิกเขาหน้าตาย
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงเบาๆ แค่ได้ยินเสียงไหม เราก็ไม่กล้าที่จะพูด ไม่กล้าที่จะถามอะไรเลย เอาแต่จ้องโทรศัพท์ อย่างหมดอาลัย
โทรศัพท์แผดเสียงขึ้นอีกครั้ง ทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง
"ครับ!!” เขาขานรับ
"เอ...โทรมาหาแอนเหรอ?.. ว่าไงล่ะ?..มีอะไรหรือเปล่า?”ฝ่ายนั้นถามเสียงละมุน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย ชายหนุ่มอึ้งไป
"ไหม...ไหมเขาบอกเลิก...เรา” เขาควบคุมเสียง ไม่ให้สั่นได้ยากเย็น
"อืม!!..” น้ำเสียงราบเรียบ “เราคิดอยู่แล้ว.. ว่าต้องเป็นแบบนี้”
เมื่อได้ยินเสียงฝ่ายนู้นว่า อัครเมฆยิ่งปวดใจ และรู้สึกคอแห้งผาก
"เราเจอ.." ฝ่ายนั้นเหมือนลังเลในน้ำเสียง "ไหมไปเที่ยวกับโยที่ห้าง อาทิตย์ก่อน โยที่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียน ที่อยู่ห้องสาม เอ..จำได้ไหม?”
"เราไม่อยากเชื่อเลย!..”เสียงเล็ดลอดออกมาจากคอตีบตันได้แผ่วเบา
"แล้วแอนทำไมไม่บอกเรา?” เขาควบคุมก้อนสะอึกในลำคอ
"เราขอโทษนะเราไม่กล้า เราก็กำลังคิดว่าจะบอก แต่กลัวเอจะไม่เชื่อ ก็ไม่คิดว่าไหมเค้าจะขอเลิกกับเอ เร็วขนาดนี้”เสียงนั้นก็ดูสลดไม่แพ้กัน
"แค่นี้ก่อนนะแอน”รู้สึกไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ มันเพียงพอแล้ว
"เออย่าคิดมากนะ เอต้องคิดตัดใจให้ได้นะ ผู้หญิงอย่างนั้นไม่คู่ควรกับเอหรอก เอไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ต้องการเพื่อนไหม เราไปอยู่เป็นเพื่อนดีไหม?”
"ไม่เป็นไรแอน เราอยู่ได้ ขอบใจนะ" เขากัดฟันพูดยกมืออีกข้างขึ้นบีบขมับ
"เหรอ..เอางั้นเหรอ?” แอนคงไม่กล้าเซ้าซี้
"แล้วพวกเจ้า อ๊อด กิ๊ก เบิ้ล แมน มันรู้เรื่องนี้ด้วยใช่ไหม?”น้ำตาเริ่มไหลแล้ว จึงรีบใช้หลังมือป้าย
"อืม...อย่าโกรธเรานะ เราแค่ปรึกษาพวกมัน ก็เราไม่รู้จะทำไงนี้ เอ..ไม่โกรธเรานะ”เสียงเพื่อนสาวมั่นดูเกรงๆกว่าเคย
"แล้วพวกมันก็บอกให้ปิดเราใช่ไหม?”ชายหนุ่มเริ่มเสียงเข้ม อัครเมฆ เริ่มนึกถึงอาการแปลกๆ ของเพื่อนๆ เมื่อหลายวันก่อน เวลาเขาพูดกับไหม เขาก็สังเกตเห็นว่าพวกมันแอบสุมหัวกัน แต่พอเขาหันไป พวกเพื่อนๆก็ ต่างตกใจและทำท่าพิกล เขาเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง
"เอ...โกรธเราใช่ไหม?” ฝ่ายนั้นเสียงอ่อยเมื่อเห็นเขาเงียบไป “โกรธแน่ๆเลย ใช่ไหม?”
เขากัดปากพูดไม่ออก
"โกรธแหงๆ เป็นเพื่อนกันมาตั้งห้าปีกว่า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง งั้นเค้าจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย”
"อย่าเลยแอน เราอยากอยู่คนเดียว แค่นี้ก่อนนะ”
"เอางั้นเหรอ?”ต้นสายคงรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเวลานี้ “ก็ได้!.. อย่าโกรธนานล่ะกัน แล้วก็อย่าคิดมากล่ะ”
"อืม!!” เขาตอบแค่นั้น แล้ววางหู ไม่รอให้ฝ่ายนั้นได้ร่ำลา
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ