Secret Love ลิขิตรัก

-

เขียนโดย PMIX

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 14.06 น.

  12 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 14.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ดังลมพัดหวน /2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

              
 
 สี่ทุ่มกว่าแล้ว..

     อัครเมฆ ปันสา ออกมายืนหน้าระเบียงห้องนอนของเขาบนชั้นสอง

    คืนนี้พระจันท์เสี้ยว ครึ่งดวงมืดมิดยังมีอีกซีกหนึ่งที่สว่างสดใสอยู่

                
    แต่กระนั้นคนเศร้ากลับให้ความสำคัญกับด้านที่มืดมิด เพราะมันคล้ายกับเขาในตอนนี้ 
ไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้วสำหรับแพรไหม ความหม่นเศร้าครอบครุมทั้งหัวใจ

          ดาวส่องแสงระยิบเต็มท้องฟ้า เขาไล่ดูไปทีล่ะกลุ่มเหมือนเคย นั่นดาวลูกไก่เป็นกลุ่มเล็กๆ  ดาวดวงที่เจ็ด ส่องแสงริบหรี่กว่าใคร ช่างน่าสงสาร
        
    ดาวคันไถ ดาวเหนือ และดาวน้อยใหญ่ที่เขาไม่รู้จักแข่งกันส่องแสง 
ดาวในดวงใจของเขา วันนี้ก็หลุดลอย เขาจะส่งคืนให้เธอไปสดใสอยู่ในใจคนอื่นตามที่เธอต้องการ  ภาพอดีต แสนหวานเขาอยากจะเก็บมันไว้ แต่ก็แสนเจ็บปวดเหลือเกิน ถ้าระงับความเจ็บปวดเหล่านี้ด้วยการกระโดดลงไปข้างล่างนี้ล่ะ?


            
     หนุ่มน้อยชะโงกดูข้างล่าง เป็นกระถางต้นไม้ และอิฐปูทางเดิน "จะตายไหม
?" 
              
     หรือแค่พิการ คงไม่ดีแน่ถ้าเกิดไม่ตาย พิการเป็นภาระให้พ่อแม่

    แม่เราคงต้องร้องไห้ให้เห็นทุกวัน พ่อคงจะเอาแต่ประณามว่าเราน่าสมเพชเพียงใด ถ้าตายล่ะ เราคงอดเห็นว่าไหมจะเสียใจบ้างไหม หรือว่าจะภูมิใจมีความสำคัญกับเราขนาดไหน 



 ไม่หรอก เราจะไม่ทำอะไรสิ้นคิดให้ใครต้องมาสมเพช หรือสะใจ เราต้องอยู่ต่อไปให้ได้ แม้ว่าจะไม่มีไหม อีกต่อไปก็ตามที"



 จากระเบียงชั้นบน หลังห้องของอัครเมฆมองลงไปจะเห็นรถวิ่งไปมา เพราะเป็นฟากที่ติดถนน รั้วห่างออกไปจากประตูบ้านประมาณสองเมตร รั้วทำด้วยเหล็กลวด และต้นชาเงินเพียงเท่านั้น

           
เพราะแถวนี้ไม่มีโจรขโมย ทั้งเพื่อนบ้านต่างคอยเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแล และถ้าจะนับไป คนแถวนี้ก็เป็นเหมือนญาติกันทั้งนั้น จึงหมดปัญหาเรื่องความปลอดภัย



      รถเก๋งคันงาม แล่นมาจอดเกือบถึงประตูหน้าบ้าน ผู้ที่ลงจากรถคือหญิงวัยกลางคนอายุ สี่สิบห้าปี ซึ่งนั่นคือแม่ของเขาเอง นางจันทร์แรม ปันสา นามสกุลเดิมของหล่อน พิจิตรไพศาล เพราะกว่าเป็นไหนๆ 
          
     ไม่รู้ว่าทำไมคนอย่างแม่ต้องถึงได้มาตกลงใจแต่งงานกับพ่อได้ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจมานาน


     
    หญิงวัยกลางคนก้าวเดินเนิบนาบด้วยชุดกระโปรงนั้นแคบ ในแสงไฟสลัวที่รั้วบ้านส่องให้เห็นว่าหล่อนสวมชุดลายลูกไม้สีชมพู

      
         
 
     รถผ่านเข้าประตูมาไม่นาน ประตูหน้าห้องเขาก็มีเสียงเคาะ
 ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร คงไม่ใช่พ่อแน่ เพราะนานแล้วที่พ่อไม่เคยขึ้นมาบนห้องของเขาเลย หญิงคนนั้นเปิดประตูเข้ามาอย่างเคยชิน

                                 

         "ไง..ตาเอ ลูก ยังไม่นอนอีกเหรอ?” หล่อนทักลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อน “ดึกแล้วนะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า”

               

     อัครเมฆเปิดประตูบานเลื่อนมุ้งลวดมาจากระเบียงบ้าน ปากก็ว่า
             

    “พรุ่งนี้ผมไม่ไปโรงเรียนซักวันนะครับแม่”


                                 

        "ไม่สบายเหรอลูก?.. ไหนแม่ดูสิ” ถลาตัวเข้าหาลูกชาย มือข้างที่ใส่แหวนเพชร วงเล็กๆนั้นถึงหน้าผากก่อนที่ตัวจะมาถึงซะอีก

                                       
           "ตัวก็ไม่ร้อนนี้!!” แม่ลากเขามานั่งที่เตียง


                        

  "เปล่าครับ แค่มีเรื่องนิดหน่อย”



 "เรื่องอะไร ไหนเล่าให้แม่ฟังสิจ๊ะ?” สังเกตว่าแม่เขาดูวิตกกังวลจึงยอมบอกเหตุ


                                

 "ผมเลิกกับไหมแล้วครับแม่!!” แม่มีอาการกระตุกเล็กน้อย


                                    

"ไหน เรื่องเป็นไง เล่าให้แม่ฟั.."น้ำเสียงพลอยสลดไปด้วย


                          

  "ช่างมันเถอะครับ!!” เด็กหนุ่มตัดบทควบคุมอารมณ์เต็มที่


              
       แม้ว่าเราจะพูดกับแม่ได้ทุกเรื่อง แต่เราก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรในตอนนี้ ตอนที่เรากำลังรู้สึกแย่ 
แม่คงจะพลอยรู้สึกแย่ไปกับเราด้วย


     "จ๊ะ....งั้นไม่เป็นไร ยังไม่ต้องเล่าก็ได้” มีท่าทางลังเล
     "แต่....แม่ว่าพ่อเค้าจะว่ายังไง" หญิงวัยทอง รู้ดีว่าลูกชายไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเขานัก ตั้งแต่ลูกชายเลือกเรียนสายศิลปภาษา แทนที่จะเรียนสายวิทย์ เพราะต้องการให้ลูกชายเรียนแพทย์เหมือนเขา


                              
    "ก็บอกว่าผมไม่ค่อยสบายแล้วกันครับ เขาคงไม่ได้สนใจลูกนอกคอกอย่างผมนักหรอกครับ” ชายหนุ่มน้อยล้มตัวลงนอน

                     

  "อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ พ่อเขาก็รักลูกนะจ๊ะ” มืออุ่นๆของแม่วางบนแขนและอีกข้างวางบนหน้าผากเขา

                                 
                         
        
"ครับ ผมจะพยายามคิดตามที่แม่พูด ล่ะกันครับ


     อัครเมฆพลิกตัวตะแคง หลับตาที่ปวดร้อนลง ซ่อนน้ำตาที่ไหลจากสายตาผู้เป็นแม่

                    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


          



       
 ผู้คนมากมายในชุดนักเรียน เสื้อขาว กระโปรงและกางเกงต่างสีสัน ทันสมัย ต่างเบียดเสียดเพื่อแย่งดูบอร์ดติดประกาศห้องสอบในเช้าที่อากาศอบอ้าว แต่ที่ทำให้ร้อนยิ่งขึ้น คืออุณภูมิร้อนรุ่มของภายในใจแต่ละคน



     
ลมจากต้นก้ามปูพัดเอื่อยๆ ช่วยคลายความอบอ้าวลงเป็นพักๆ
         
          
     
แต่ใจอัครเมฆไม่ได้ลดความวิตกลงเลย พยายามแทรกตัวเข้าไปจน ชนกระแทกเอาเด็กผู้หญิงผมเปียสองข้างยาวปะบ่าคนหนึ่งเข้า หล่อนเป็นคนไม่ได้สวยเตะตาเอาเสียเลย แถมท่าทางยังเก้งก้างเกะกะอีกด้วย
         
     
     ทั้งกระโปรงสีดำของหล่อนที่ใส่ นั้นก็ดูไม่เข้ากับขายาวๆของเอาเสียเลย หล่อนยิ้มให้เขาเห็นลักยิ้ม   เมื่อเขาก้มลงเก็บหนังสือที่ถูกกระแทกทำหล่นอีก

                          
 " ขอบคุณนะ”มือเรียวนั้นเอื้อมมารับ  ยิ้มนั้นยังไม่หุบ แต่เขากลับไม่มีกระจิตกระใจจะยิ้มตอบ

                      
               
"ไม่เป็นไร!!” เขาพูดเพียงเท่านั้น ยิ้มนั้นดูเจือนๆอย่างผิดหวัง

           
     เขาหลบสายตา และรีบหันกลับไปหากลุ่มเพื่อน


                   
 "ไง ว่ะ เอ!!” กลุ่มเพื่อนๆของเขาตาม แทรกฝูงชนออกมา เพื่อนๆ มองดูเด็กสาวกับเขาสลับไปมาอย่างข้องใจ เด็กสาวคนนั้น พยักหน้าทักเพื่อนๆชายกลุ่มเขาก่อนจะหลบฉากไป


                
 "เฮ้ยใครว่ะ น่ารักนะเว้ย จีบกันอยู่เหรอวะ?”กิ๊ก เพื่อนอ้วนที่สุดในกลุ่มว่า

                                

   "บ้าสิ!! ของเขาตก ข้าก็ช่วยเก็บก็เท่านั้น”


                             
 "เออ..ไงอ่ะ แกสอบห้องไหนหรือ?”ไอ้หนุ่มสูงโย่งเปลี่ยนเรื่อง

                        

   "ห้องสองห้าสาม”เขาก้มหน้าหลบสายตา


                                
"เออ...พวกข้าก็เหมือนกันว่ะ” หนุ่มใส่หมวก สวมแว่นว่าต่อ “ห้องเราติดกันเกือบครึ่งห้อง เองเจอ..”

       อัครเมฆชะงักกึก มองมาทางคนพูด เล่นเอาฝ่ายนั้งถึงชะงัก
              

     "เออ..เฮ้ย!!..ก็อย่าคิดมากเลยว่ะ” หนุ่มตัวตุ้ยนุ้ยหอบพุงตามมากับหนุ่มรูปร่างสันทัด ทั้งหมดแทรกฝูงชนออกมาห่างมากแล้ว


                        
   "รู้สึกว่าแอนจะเลือกจุฬาฯอันดับหนึ่งนะ” เจ้าอ้วนว่า


                      
    "แล้วแอนมาหรือยังไม่รู้นะ”



"เห็นว่าฝากเจ้าอ๊อดมาดูห้องก่อน กำลังมา”



 "เออ แล้วพวกเองเห็นชื่อไหม.. หรือเปล่า?.. ข้าไม่เห็นว่ะ” หนุ่มน้อยตัวกลมพูด


                            

  "อย่า..เอ่ยชื่อนี้ให้ข้าได้ยินอีกนะ!!” อัครเมฆ กระแทกเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินจ้ำ เร็วกึ่งวิ่งเดินก้มหน้างุดๆ 

 

 "แกนี่นะ..” คนผอมชื่อแมนสรวงพูด
     
     “ไม่น่าพูดเลย ก็น่าจะรู้ว่าไอ้เอมัน.. อกกลัดหนองอยู่”ทั้งหมดพากันเดินจ้ำตาม แต่แทบจะเป็นกึ่งวิ่ง


          
    "เออ ข้าขอโทษ.. ไม่ทันคิด” อ๊อดตบหัวหนุ่มอ้วนดังฉาด
            

      “นี่แน่ะ! เอายาแก้ลืมไปกิน” หนุ่มอ้วนลูบหัว  ทำหน้าเหยเก



     "ไม่รู้มันจะรีบไปตามญาติมันที่ไหนว่ะ!.. ข้าไปเข้าห้องน้ำก่อนนะเว้ย!! พวกเองไปห้องน้ำก่อนเลย” ”กลมกิ๊กพูดบ่นอุบอิบตามหลัง มือหนึ่งปาดเหงื่อที่ไหลข้างแก้มอวบอูม



     "เออ พวกเองไปไหนก่อนหรือเปล่า?” อัครเมฆหยุดกึก แล้วหันกลับมาพูด ทำเอาเพื่อนที่จ้ำตามมาเบรคแทบไม่ทัน


                                
         "เออนี่!!” คิ้วอัครเมฆ แทบชนกันเป็นปมเมื่อเห็นอาการสะดุ้งน้อยๆของเพื่อน


         "เป็นไรกันว่ะ?..ทำหน้าเหมือนเห็นผีงั้นแหละ นี่ข้าไม่ใช่ผีนะเว้ย!”




  "ผีเข้าผีออกหน่ะไม่ว่า”เจ้าอ้วนด้านหลังบ่นให้เพื่อนๆ

           


                  เมื่ออัครเมฆ หันไปจ้ำต่อ

              พวกที่เหลือพากันขำคิกคัก กับคำพูดนั้น

                           
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


 
        



                        
ชื่นกมล ประภากร หอบกระเป๋าไว้กับอกแน่น เหมือนกับว่ามันจะหลุดมืออีกเป็นครั้งที่สอง
      

      หลังจากที่เผลอซุ่มซ่าม ชนเอากับเด็กหนุ่มหน้าตายคนนั้น ตอนก่อนเข้าห้องสอบ นี้ถ้าเป็นป้าอิ่ม ป้าของเธอ คงคิดว่าเป็นลางไม่ดี หรือไม่ก็เป็นบุพเพสันนิวาส ตามหนังสือนิยายเล่มล่ะสิบห้าเหล่านั้นที่ตั้งอยู่เป็นกองๆ

            
      แจ่มใส นึกขันอยู่ในใจ เมื่อฉุกคิดได้ว่า ต้องรีบกลับจึงก้าวยาวขึ้น เดินมาถึงรถ ที่มารอรับอยู่แล้ว ใต้ร่มหูกวางใหญ่ เธอส่งยิ้มแต่ไกลเมื่อเห็น ชายสูงอายุ วัยใกล้เคียงกับป้าอิ่ม จะแก่กว่าป้าก็คงสัก ปี สองปี

             
             

      ลุงอ้ายเป็นชายร่างผอมสูง หน้าตายิ้มแย้ม บ่งบอกลักษณะว่าเป็นคนใจดี และเป็นคนมีศีลธรรม ชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ มักจะชวนป้าอิ่มเข้าวัดประจำ แต่ป้าแกก็ มักจะหาข้ออ้างไม่ไปนอนวัด จำศีลเพราะเป็นห่วงแจ่มใส ซึ่งลุงอ้ายเองก็ ไม่กล้าเซ้าซี้

            
              

      แจ่มใส เองก็รู้ว่าลุงอ้ายนั้นชอบพอป้าอิ่ม แต่ป้าแกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนลุงอ้ายเอง ด้วยเป็นคนพูดน้อย ก็จึงไม่กล้าสารภาพอะไร จนบางครั้งเป็นเธอเองที่ทำตัวเป็นแม่สื่อเสียเอง

        
                      

           "ไง..จ๊ะ!! ทำข้อสอบได้ไหม?” ลุงอ้ายเข้ามาช่วยรับกระเป๋า 

 


      "สบายมากจ๊ะ ลุง” แจ่มใสยิ้มกว้าง 

     “ลุงมารอ แจ่ม นานไหมคะ?” ว่าพลางเขี่ยผมทัดหู

                  

             "สักพักนี่เอง จ๊ะ” ลุงแกว่ายิ้มในหน้า

     “รีบกลับเถอะหนูแจ่ม เดี๋ยวแม่อิ่มจะว่าลุงพาหนูกลับช้า เพราะมัวเถลไถล”ว่าเสร็จ ปากก็หัวเราะมือก็เปิดประตูให้
      

       
    แจ่มใส ก้าวเข้าไปนั่งโดยง่าย ในรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ ของป้าอิ่ม แล่นออกไปจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้น
 
ด้วยความโล่งใจกับการสอบวันสุดท้าย 


                                           ..........................

 


                                       

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา