The Last Love รักครั้งสุดท้าย
-
เขียนโดย ศรุตา
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.08 น.
9 ตอน
0 วิจารณ์
10.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 22.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) รัก แค้น แตกหัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2
รัก แค้น แตกหัก
รถยนต์สปอร์ตสีขาวคันหนึ่งโลดแล่นบนท้องถนนด้วยความเร็วสูง เหตุเนื่องจากคนขับอยู่ในอารมณ์โกรธจัด จึงใช้มันราวกับเครื่องระบายอารมณ์ เมย์ยอมเสียเวลาขับรถกลับบ้านที่ตั้งอยู่แถบชานเมือง แทนการหาคอนโดหรูอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพราะชอบอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เกลียดความวุ่นวาย อึกทึกครึกโครม
บ้านของเมย์เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่ ชั้นล่าง… เมื่อเปิดประตูโรงจอดรถด้านติดกับตัวบ้านเข้ามาภายใน ขวามือเป็นห้องใช้จัดการเสื้อผ้า ตั้งแต่ซัก อบแห้ง ไปจนรีด ซ้ายมือเป็นส่วนของครัวและห้องรับประทานอาหาร ลึกเข้าไปตรงบริเวณประตูหน้าบ้าน พบกับชุดรับแขกหรูหราสีขาวสะอาดตา เดินต่อจนถึงในสุดจะพบกับสระว่ายน้ำขนาดกลางและห้องหนังสือขนาดใหญ่ บ่งบอกนิสัยรักการอ่านของผู้เป็นเจ้าของ
ชั้นบนของบ้านเป็นบริเวณที่เมย์ให้ความสำคัญเป็นหนักหนา เป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่อนุญาตและยินยอมให้ใครก้าวล่วงอย่างเด็ดขาด ไม่แม้แต่เพื่อนสนิท เพราะมักใช้เวลาส่วนใหญ่ขณะอยู่บ้าน ณ บริเวณนี้ ไม่ว่านอนหลับ นั่งเล่น หรือทำงาน
ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ซ้ายมือคือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เคลือบเงาอย่างดีตั้งอยู่ กำแพงด้านหลังทั้งหมดคือชั้นวางหนังสือทำด้วยไม้เข้าชุดกันกับโต๊ะ นอกเหนือจากนี้มีอุปกรณ์สำหรับการทำงานครบครัน อาทิเช่น เครื่องโทรศัพท์ เครื่องโทรสาร โน้ตบุ้ค
ถัดไปคือส่วนที่ใช้นั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจ เพราะผนังทั้งแถบถูกออกแบบเป็นกระจกใส เพื่อให้ชื่นชมกับทัศนียภาพอันสวยงามภายนอก ด้านในมีโซฟาครบชุด เคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กพร้อมเครื่องดื่มหลากหลายประเภท
ลึกเข้าไปด้านในสุดมีอ่างจากุซซี่ที่เจ้าของชอบนอนแช่ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้านหลังมีห้องขนาดกลางซ่อนตัวอยู่ ห้องนี้ถูกใช้เป็นทั้งห้องหนังสือ พักผ่อน และทำงานในบางครั้ง
ด้านขวามือของชั้นสองคือห้องนอน มีด้วยกันทั้งหมดสองห้อง ห้องด้านในค่อนข้างใหญ่ เป็นห้องนอนของเมย์ ส่วนห้องแรกที่เห็นเมื่อเดินขึ้นบันไดจนสุดทาง คือห้องนอนของคนที่ทำให้บ้านหลังใหญ่ แต่มีผู้อาศัยเพียงหนึ่งเดียวมีชีวิตชีวา อบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ไม่อ้างว้าง และเงียบเหงาเหมือนเช่นที่ผ่านมา คนเพียงคนเดียวที่เมย์ยอมให้เข้ามาเหยียบย่างอย่างเต็มใจ ยิ่งไปกว่านั้น... คือยอมให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเอริ ไอ
ดร.เมย์ เมอร์ริสัน สาววัยสามสิบกลาง รูปร่างหน้าตาเข้าขั้นสวย ถึงสวยมาก สวยขนาดใครก็ตามที่เดินผ่าน ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างมองตามจนเหลียวหลัง รูปร่างสูงโปร่ง สมส่วน ขนาดนางแบบมืออาชีพบางคนยังต้องอาย เครื่องหน้าสวยเข้ากันกับใบหน้าเรียวรูปไข่ ผมสีบลอนด์เข้มรับกับนัยน์ตาสีฟ้าคราม ที่อ่านออกยากว่าสื่อความหมาย อารมณ์ และความรู้สึกอะไรอยู่
มิได้เพียงมีดีที่รูปร่างหน้าตา แต่ยังฉลาดปราดเปรื่องดูจากการเรียนคงพอเข้าใจได้ เมย์จบปริญญาตรี คณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยในบ้านเกิด จบปริญญาโทสองสาขาวิชา จากมหาวิทยาลัยคเวเซอร์ คือแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ และเนรอนเทคโนโลยี จบการศึกษาขั้นสูงสุดระดับปริญญาเอกด้านเนรอนเทคโนโลยี ทำงานเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลคเวเซอร์ด้วยตำแหน่งสูงสุดคือหัวหน้าแผนกหัวใจและโรคเกี่ยวกับหัวใจ
นอกจากการเป็นแพทย์รักษาคนไข้แล้ว เมย์ยังได้รับคำเชิญจากมหาวิทยาลัยคเวเซอร์ให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาทางการแพทย์บ้าง เนรอนเทคโนโลยีบ้าง ตามแต่โอกาสและความพึงใจของเธอ อีกทั้งยังเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญเนรอนเทคโนโลยีของโลกคนที่ 6 มีความสามารถเฉพาะตัวไม่ต่างจากเอริ อาจเก่งกว่าเสียด้วยซ้ำไป
น่าเสียดายที่คนเพียบพร้อมเช่นนี้ ปิดกั้นตัวเองจากสังคมและคนรอบข้าง ไม่สนใจและใส่ใจใคร ปล่อยตัวเองจมดิ่งกับเรื่องราวในอดีต ที่มีส่วนผลักดันให้มีตัวตนเช่นทุกวันนี้ ‘เย็นชา ไร้ความรู้สึก ไม่เชื่อใจใคร อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย’ อย่างไรเสียเมย์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทีละน้อย ๆ เมื่อเอริก้าวเข้ามาในชีวิต หัวใจถูกสั่นคลอน ทำให้ต้องเปิดใจยอมรับความรักที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ความรักที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรักระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ ไม่ได้เป็นความรัก ความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็ก หากเป็นความรักเฉกเช่นเดียวกับความรักของคู่รัก
โดยปกติระยะทางและระยะเวลาในการขับรถไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับเมย์ เพราะต้องขับรถไปทำงานในเมืองเป็นประจำทุกวัน แต่ ณ ตอนนี้เมย์รู้สึกว่าระยะทางช่างยาวไกล และระยะเวลาช่างยาวนานเสียเหลือเกิน อยากกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด ใจมันร้อนรุ่มราวกับมีใครมานั่งสุมไฟ สับสน แค้นใจ เจ็บใจ เสียใจ ระคนปะปนกันไปหมด
ห้ามไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร เมื่อคนเพียงคนเดียวที่ทำให้ยอมเปิดใจอีกครั้ง คนที่ดึงเธอออกจากห้องมืดมิด ที่กักขังตัวเองนานนับปี คนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า เพราะได้ดูแลและปกป้อง คนที่ทำให้สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความหมาย เติมความอบอุ่นให้หัวใจแสนเย็นชา สร้างรอยยิ้มบนใบหน้า คนที่ยอมยกทั้งใจให้โดยไม่เหลือที่ว่างให้ใครอีก และคนที่ไม่เคยคิดว่าจะทำให้เธอต้องพบกับความผิดหวังหรือเสียใจ
แต่คนคนนี้... เอริกำลังทำให้แทบคลั่ง คำพูดของเอมิเลียเหมือนสายฟ้าฟาดเข้ากลางอก เจ็บปวดรวดร้าว แสนทรมาน เมย์ปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจให้ค่อย ๆ ไหลรินออกมา น้ำตาที่ไม่เคยมีให้ใครนับจากวันที่เรื่องราวในอดีตครั้งนั้นจบลง
“ไอ้เด็กบ้า!!! ก่อนกลับบ้านรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะโทรหาทันทีที่ถึง จะโทรมาคุยด้วยทุกวัน แต่นี่... นี่มัน...” ตัดพ้อพลาง ร้องไห้พลาง
“นอกจากจะไม่โทรมา ยังทำเรื่องสำคัญขนาดนั้นโดยไม่บอกกันสักคำ เห็นเราเป็นตัวอะไร ไม่เห็นความสำคัญกันเลยใช่ไหม เสียแรง... เสียแรงที่อุตส่าห์คิดถึงทุกวัน ทุกคืน เสียแรงที่รักและไว้ใจ เธอมันไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นเลย เกลียด... ฉันเกลียดเธอ... เอริ”
เมย์ไม่ได้เพียงโกรธลูกศิษย์ในการปกครองเพียงคนเดียวที่ทำอะไรไม่บอก ทำราวกับเธอไร้ตัวตน หากต้องปวดใจและเจ็บที่เอริทำงานงานนี้กับคนอื่น แทนที่จะเป็นเธอ นึกถึงคำพูดของคนคนนั้นที่บังเอิญเจอกันหลังออกจากห้องประชุม ยิ่งแค้นใจ
ระหว่างรอลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถ เมย์พบใครคนหนึ่งกำลังก้าวออกจากลิฟต์โดยสารเพื่อเข้าสู่ตัวอาคาร แล้วคนคนนี้ คนที่ไม่อยากเจอ คนที่ทำให้รู้สึกว่าอาจต้องสูญเสียเอริไปก็ส่งเสียงทักทาย
“ไงเมย์... สบายดีไหม ไม่เจอกันนานเลยนะ กี่ปีแล้ว ห้าหกปีได้ไหม”
ดร.เรย์น่า โอลเว่น (Rayna Olwen) อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมย์ รูปร่างสูง ผมยาวสลวยสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีเขียวเข้ม ส่องประกายความเจ้าเล่ห์ บ่งบอกนิสัยของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากบางเฉียบ พร้อมส่งยิ้มเย้ยหยันผู้อื่นเสมอเมื่อเห็นความผิดพลาดปรากฏแก่สายตา
จะฟันธงว่าเมย์และเรย์น่าเป็นเพื่อนกันคงไม่ได้ เป็นศัตรูกันก็ไม่เชิง ให้คำจำกัดความว่า ‘คู่แข่งหรือคู่ปรับ’ น่าจะเหมาะกว่า สองคนนี้พบกันตอนทั้งคู่ศึกษาระดับปริญญาโทจนกระทั่งเรียนจบปริญญาเอกถึงได้แยกย้าย ปัจจุบันเรย์น่าเป็นอาจารย์และเจ้าของมหาวิทยาลัยมีชื่อในเมืองเรย์ตัน อยู่ห่างคเวเซอร์ราว 200 ไมล์
ตลอดช่วงเวลานั้น ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เมย์ไม่อึดอัด เบื่อหน่ายกับนิสัย พฤติกรรมของเรย์น่า นิสัยชอบเอาชนะ รักการแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะกับเธอ
ความสวย ความฉลาด และความสามารถของเรย์น่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมย์ แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่เอาชนะได้ ไม่ว่าอย่างไรต้องเป็นที่สองรองจากเมย์เสมอ ด้วยเหตุนี้เรย์น่าวางเมย์ไว้ในตำแหน่งคู่แข่งคนสำคัญในชีวิต ต้องเอาชนะให้ได้ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม แม้แต่ตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น เรย์น่าช่างสรรหาคำพูดมาทับถม ตอกย้ำคนฟังที่เจ็บเป็นทุนเดิม ให้เจ็บยิ่งขึ้นไปอีก เพราะความเป็นคนเข้มแข็ง ทำให้เมย์ใช้เวลาทำใจไม่นาน โอกาสเสมือนเหนือกว่านี้จึงอยู่ได้ไม่นานตามไปด้วย
ครานี้ราวกับว่าโอกาสของเรย์น่ากำลังกลับมาเยือนอีกครั้ง...
“เอ๊ะ! นี่ประชุมกันเสร็จแล้วเหรอ เอมิเลียบอกว่าถ้าถึงแล้ว ให้รีบมาที่นี่ทันทีนี่นา ทำไมเสร็จเร็วจัง อุตส่าห์รีบแทบตาย ไม่รอกันบ้างเลย” พูดราวกับเสียดายเต็มประดาที่มาไม่ทันประชุม ความเป็นจริงก็พูดไปอย่างนั้น ไม่คิดจริงจัง หรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แค่หาเรื่องถ่วงเวลา ให้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้านานขึ้น
“พูดจบรึยัง จะได้ไปเสียที” โทนเสียงยังคงราบเรียบตามนิสัย แต่แฝงไว้ด้วยความเบื่อหน่าย รำคาญ
“แหมมมมม... ตัดรอนกันจังนะ ไม่ได้เจอกันนาน อยากคุยด้วย ไม่ได้รึไง เย็นชาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
เมย์เดินเข้าลิฟต์แทนการโต้ตอบคำพูดกวนประสาท
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป ยังไม่จบ”
เมย์หันหลังกลับ พูดอย่างเสียไม่ได้ “มีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา ฉันไม่ได้ว่างจะต่อปากต่อคำกับเธอได้ทั้งวี่ทั้งวันหรอกนะ”
“เรื่องนี้... ไม่ทำให้เธอเสียเวลานักหรอกเมย์” น้ำเสียงยียวนถูกปรับเปลี่ยนให้ฟังดูจริงจัง เป็นการเป็นงาน
“ก็แล้วมันเรื่องอะไร เข้าประเด็นเลยได้ไหม”
“...”
“...”
“เอริน่ะ... ขอได้ไหม”
“หมายความว่ายังไง” เสียงที่ไม่เคยหวั่นไหว ไม่ว่ามีเรื่องใดมากระทบ บัดนี้แปรเปลี่ยนเสียจนคู่สนทนาจับสังเกตได้ และแอบยิ้มด้วยความสะใจ
“ก็... หมายความอย่างที่พูด บังเอิญว่าตลอดห้าวันที่ทำด้วยกัน เด็กคนนี้สร้างความประทับใจหลายอย่าง ไม่รู้จะสาธยายให้เธอฟังหมดได้ยังไง เอาเป็นว่าฉันชอบ อยากได้ จะให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัว และลูกศิษย์ในการปกครอง ที่มหาวิทยาลัยของฉัน รับรองว่าจะดูแลอย่างดี เรียนฟรี อยู่ฟรี แถมเงินเดือนให้ด้วย น่านะ... เท่าที่รู้ เธอไม่ได้เต็มใจรับเอริมาเป็นลูกศิษย์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง หวงเอาไว้ทำไมล่ะ ยกให้ฉันละกัน”
ต้องสะกดอารมณ์ ความรู้สึกอยู่นานพอสมควร กว่าจะกลับมาปกติ “ถ้าอยากได้นัก ไม่ไปบอกเจ้าตัวเขาเองล่ะ บอกฉันมันจะมีประโยชน์อะไร”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันคุบกับเอริเรียบร้อย ที่บอกเธอเพราะอยากให้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ... ก็เท่านั้น”
เมย์ไม่พูดอะไร รีบก้าวเข้าลิฟต์ กดปุ่มปิดประตู เลือกชั้นที่ต้องการไป ปล่อยอีกฝ่ายยืนยิ้มอย่างผู้มีชัย
ตั้งแต่คุยกับเรย์น่าจนกระทั่งกลับบ้าน สมองมีแต่ ‘เอริน่ะ ขอได้ไหม... ชอบและถูกใจตั้งแต่แรกเห็น... เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง คุยกับเอริเรียบร้อย’ วนกลับไปกลับมา ไม่ต่างอะไรจากคนที่กรอเทปฟังแต่เพลงที่ตัวเองชอบ ทุกถ้อยคำเสมือนคมมีดกรีดแทงหัวใจ
เมย์ไม่มั่นใจว่าเรย์น่าต้องการแข่งขันกับเธออีกครั้งโดยใช้เอริเป็นเครื่องมือ หรือชอบเอริจริง ที่แน่ ๆ คือเรย์น่ากำลังพรากเอริไป ไม่รู้ว่าเด็กนั่นคิดอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน ข้อเสนอนั่นอีก... สำหรับคนที่มีฐานะปานกลาง เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย มีหรือจะไม่สนใจ ถึงแม้ว่าการที่มาอยู่กับเธอช่วยประหยัดค่ากินอยู่ แต่รายจ่ายด้านอื่นยังคงมี มิหนำซ้ำยังไม่ต้องทนกับคนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ต้องทำตัวเยี่ยงทาส เงินซื้อทุกอย่างได้จริง
ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งเจ็บใจ ยิ่งแค้น
ทันทีที่ถึงบ้าน เมย์เปิดประตูโรงจอดรถด้านติดกับตัวบ้านเข้ามาภายใน ตรงดิ่งยังชั้นสอง หวังให้พื้นที่ส่วนตัว ช่วยปลอบประโลมจิตใจร้อนรุ่ม สับสน กระวนกระวายให้บรรเทาเบาบาง ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย อยู่บริเวณชั้นสองเรียบร้อย คนที่คิดถึง อยากเจอ และรักมากที่สุดเปิดประตูห้องนอนออกมายืนอยู่ตรงหน้า
เอริเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน หากเมย์ไม่ได้ถูกความโกรธเข้าครอบงำ คงสังเกตเห็นความดีใจที่ปรากฎขึ้นบนสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของเจ้าของนัยน์ตาสีดำ
“เมย์... ดีใจจังท...” ยังไม่ทันจบประโยค ต้องถูกฝ่ามือฟาดปะทะใบหน้า สร้างรอยแดงบนแก้มบางของเจ้าตัวทันที
“เมย์... ทะ... ทำไมถ...” อีกครั้งที่เอริไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ เพราะอีกฝ่ายสวนกลับด้วยถ้อยคำที่ทำให้แปลกใจ ระคนเสียใจ
“หุบปาก! คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงมาเรียกชื่อฉันเฉย ๆ แบบนี้”
“ก็... มะ... เอ่อ... ดร.เมอร์ริสันบอกให้ไอเรียกแบบนี้เอง แล้วไอก็เรียกมาตั้งนานแล้ว ทำไมตอนนี้ถึง...”
“มันไม่สำคัญว่าฉันเป็นคนบอกรึเปล่า แล้วก็ไม่สำคัญว่าเธอจะเรียกมานานแค่ไหน แต่ตอนนี้... เธอไม่มีสิทธิ์” ความรู้สึกที่อัดอั้นในใจ ระเบิดออกมาผ่านคำพูดและเสียงที่ตะคอกใส่คู่สนทนาครั้งแล้วครั้งเล่า
เอริเลือกที่จะเงียบ ด้วยรู้นิสัยของเมย์ว่าเวลาโกรธหรือโมโหจะเป็นอย่างไร
“ยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีก ทำอะไรไว้ รู้ตัวรึเปล่า วางตัวว่าเป็นคนรักษาคำพูด เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ สับปลับ นี่ไปทำอะไรกับใครมาล่ะ เขาถึงได้ชอบนักชอบหนา ขนาดยื่นข้อเสนอแสนวิเศษให้... ฉันพูดถูกไหม รีบ ๆ ไปอยู่กับเขาเสียสิ กลับมาทำไม คนอย่างเธอมันไม่คู่ควรกับที่นี่ เธอมีเวลาสามชั่วโมง จนถึงหกโมงเย็น เก็บข้าวของออกไปจากบ้านฉันให้หมด อย่าเหลือแม้แต่เพียงชิ้นเดียว อะไรที่ฉันให้ ก็เอาไปให้หมด ฉันขี้เกียจเอาไปทิ้ง หวังว่าตอนฉันกลับมาคงไม่เห็นหน้าเธอแล้วนะ... เอริ ไอ”
เมย์หันกลับมาพูดต่อหลังจากเดินลงบันไดได้เพียงไม่กี่ขั้น “ส่วนเรื่องทางมหาวิทยาลัย ฉันจะสงเคราะห์เธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการทำเรื่องลาออกให้ เธอแค่มาเซ็นชื่อก็พอ”
ร่างสูงโปร่งเดินหายไปทางโรงจอดรถ ปล่อยคู่สนทนายืนตัวแข็งทื่อ น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
ชอบหรือไม่ชอบ อยากติชม หรือพูดคุยกับศรุตา เชิญได้ตามด้านล่างเลยค่ะ รออยู่นะคะ Email: saruta.map@gmail.com Facebook: https://www.facebook.com/saruta.map
สำหรับคนที่ไม่อยากรอ ต้องการอ่านแบบรวดเดียวจบ อุดหนุนศรุตาได้ตามนี้ค่ะ The Last Love
รัก แค้น แตกหัก
รถยนต์สปอร์ตสีขาวคันหนึ่งโลดแล่นบนท้องถนนด้วยความเร็วสูง เหตุเนื่องจากคนขับอยู่ในอารมณ์โกรธจัด จึงใช้มันราวกับเครื่องระบายอารมณ์ เมย์ยอมเสียเวลาขับรถกลับบ้านที่ตั้งอยู่แถบชานเมือง แทนการหาคอนโดหรูอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพราะชอบอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เกลียดความวุ่นวาย อึกทึกครึกโครม
บ้านของเมย์เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่ ชั้นล่าง… เมื่อเปิดประตูโรงจอดรถด้านติดกับตัวบ้านเข้ามาภายใน ขวามือเป็นห้องใช้จัดการเสื้อผ้า ตั้งแต่ซัก อบแห้ง ไปจนรีด ซ้ายมือเป็นส่วนของครัวและห้องรับประทานอาหาร ลึกเข้าไปตรงบริเวณประตูหน้าบ้าน พบกับชุดรับแขกหรูหราสีขาวสะอาดตา เดินต่อจนถึงในสุดจะพบกับสระว่ายน้ำขนาดกลางและห้องหนังสือขนาดใหญ่ บ่งบอกนิสัยรักการอ่านของผู้เป็นเจ้าของ
ชั้นบนของบ้านเป็นบริเวณที่เมย์ให้ความสำคัญเป็นหนักหนา เป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่อนุญาตและยินยอมให้ใครก้าวล่วงอย่างเด็ดขาด ไม่แม้แต่เพื่อนสนิท เพราะมักใช้เวลาส่วนใหญ่ขณะอยู่บ้าน ณ บริเวณนี้ ไม่ว่านอนหลับ นั่งเล่น หรือทำงาน
ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ซ้ายมือคือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เคลือบเงาอย่างดีตั้งอยู่ กำแพงด้านหลังทั้งหมดคือชั้นวางหนังสือทำด้วยไม้เข้าชุดกันกับโต๊ะ นอกเหนือจากนี้มีอุปกรณ์สำหรับการทำงานครบครัน อาทิเช่น เครื่องโทรศัพท์ เครื่องโทรสาร โน้ตบุ้ค
ถัดไปคือส่วนที่ใช้นั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจ เพราะผนังทั้งแถบถูกออกแบบเป็นกระจกใส เพื่อให้ชื่นชมกับทัศนียภาพอันสวยงามภายนอก ด้านในมีโซฟาครบชุด เคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กพร้อมเครื่องดื่มหลากหลายประเภท
ลึกเข้าไปด้านในสุดมีอ่างจากุซซี่ที่เจ้าของชอบนอนแช่ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้านหลังมีห้องขนาดกลางซ่อนตัวอยู่ ห้องนี้ถูกใช้เป็นทั้งห้องหนังสือ พักผ่อน และทำงานในบางครั้ง
ด้านขวามือของชั้นสองคือห้องนอน มีด้วยกันทั้งหมดสองห้อง ห้องด้านในค่อนข้างใหญ่ เป็นห้องนอนของเมย์ ส่วนห้องแรกที่เห็นเมื่อเดินขึ้นบันไดจนสุดทาง คือห้องนอนของคนที่ทำให้บ้านหลังใหญ่ แต่มีผู้อาศัยเพียงหนึ่งเดียวมีชีวิตชีวา อบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ไม่อ้างว้าง และเงียบเหงาเหมือนเช่นที่ผ่านมา คนเพียงคนเดียวที่เมย์ยอมให้เข้ามาเหยียบย่างอย่างเต็มใจ ยิ่งไปกว่านั้น... คือยอมให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเอริ ไอ
ดร.เมย์ เมอร์ริสัน สาววัยสามสิบกลาง รูปร่างหน้าตาเข้าขั้นสวย ถึงสวยมาก สวยขนาดใครก็ตามที่เดินผ่าน ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างมองตามจนเหลียวหลัง รูปร่างสูงโปร่ง สมส่วน ขนาดนางแบบมืออาชีพบางคนยังต้องอาย เครื่องหน้าสวยเข้ากันกับใบหน้าเรียวรูปไข่ ผมสีบลอนด์เข้มรับกับนัยน์ตาสีฟ้าคราม ที่อ่านออกยากว่าสื่อความหมาย อารมณ์ และความรู้สึกอะไรอยู่
มิได้เพียงมีดีที่รูปร่างหน้าตา แต่ยังฉลาดปราดเปรื่องดูจากการเรียนคงพอเข้าใจได้ เมย์จบปริญญาตรี คณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยในบ้านเกิด จบปริญญาโทสองสาขาวิชา จากมหาวิทยาลัยคเวเซอร์ คือแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ และเนรอนเทคโนโลยี จบการศึกษาขั้นสูงสุดระดับปริญญาเอกด้านเนรอนเทคโนโลยี ทำงานเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลคเวเซอร์ด้วยตำแหน่งสูงสุดคือหัวหน้าแผนกหัวใจและโรคเกี่ยวกับหัวใจ
นอกจากการเป็นแพทย์รักษาคนไข้แล้ว เมย์ยังได้รับคำเชิญจากมหาวิทยาลัยคเวเซอร์ให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาทางการแพทย์บ้าง เนรอนเทคโนโลยีบ้าง ตามแต่โอกาสและความพึงใจของเธอ อีกทั้งยังเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญเนรอนเทคโนโลยีของโลกคนที่ 6 มีความสามารถเฉพาะตัวไม่ต่างจากเอริ อาจเก่งกว่าเสียด้วยซ้ำไป
น่าเสียดายที่คนเพียบพร้อมเช่นนี้ ปิดกั้นตัวเองจากสังคมและคนรอบข้าง ไม่สนใจและใส่ใจใคร ปล่อยตัวเองจมดิ่งกับเรื่องราวในอดีต ที่มีส่วนผลักดันให้มีตัวตนเช่นทุกวันนี้ ‘เย็นชา ไร้ความรู้สึก ไม่เชื่อใจใคร อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย’ อย่างไรเสียเมย์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นทีละน้อย ๆ เมื่อเอริก้าวเข้ามาในชีวิต หัวใจถูกสั่นคลอน ทำให้ต้องเปิดใจยอมรับความรักที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ความรักที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรักระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ ไม่ได้เป็นความรัก ความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็ก หากเป็นความรักเฉกเช่นเดียวกับความรักของคู่รัก
โดยปกติระยะทางและระยะเวลาในการขับรถไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับเมย์ เพราะต้องขับรถไปทำงานในเมืองเป็นประจำทุกวัน แต่ ณ ตอนนี้เมย์รู้สึกว่าระยะทางช่างยาวไกล และระยะเวลาช่างยาวนานเสียเหลือเกิน อยากกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด ใจมันร้อนรุ่มราวกับมีใครมานั่งสุมไฟ สับสน แค้นใจ เจ็บใจ เสียใจ ระคนปะปนกันไปหมด
ห้ามไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร เมื่อคนเพียงคนเดียวที่ทำให้ยอมเปิดใจอีกครั้ง คนที่ดึงเธอออกจากห้องมืดมิด ที่กักขังตัวเองนานนับปี คนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า เพราะได้ดูแลและปกป้อง คนที่ทำให้สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความหมาย เติมความอบอุ่นให้หัวใจแสนเย็นชา สร้างรอยยิ้มบนใบหน้า คนที่ยอมยกทั้งใจให้โดยไม่เหลือที่ว่างให้ใครอีก และคนที่ไม่เคยคิดว่าจะทำให้เธอต้องพบกับความผิดหวังหรือเสียใจ
แต่คนคนนี้... เอริกำลังทำให้แทบคลั่ง คำพูดของเอมิเลียเหมือนสายฟ้าฟาดเข้ากลางอก เจ็บปวดรวดร้าว แสนทรมาน เมย์ปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจให้ค่อย ๆ ไหลรินออกมา น้ำตาที่ไม่เคยมีให้ใครนับจากวันที่เรื่องราวในอดีตครั้งนั้นจบลง
“ไอ้เด็กบ้า!!! ก่อนกลับบ้านรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะโทรหาทันทีที่ถึง จะโทรมาคุยด้วยทุกวัน แต่นี่... นี่มัน...” ตัดพ้อพลาง ร้องไห้พลาง
“นอกจากจะไม่โทรมา ยังทำเรื่องสำคัญขนาดนั้นโดยไม่บอกกันสักคำ เห็นเราเป็นตัวอะไร ไม่เห็นความสำคัญกันเลยใช่ไหม เสียแรง... เสียแรงที่อุตส่าห์คิดถึงทุกวัน ทุกคืน เสียแรงที่รักและไว้ใจ เธอมันไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นเลย เกลียด... ฉันเกลียดเธอ... เอริ”
เมย์ไม่ได้เพียงโกรธลูกศิษย์ในการปกครองเพียงคนเดียวที่ทำอะไรไม่บอก ทำราวกับเธอไร้ตัวตน หากต้องปวดใจและเจ็บที่เอริทำงานงานนี้กับคนอื่น แทนที่จะเป็นเธอ นึกถึงคำพูดของคนคนนั้นที่บังเอิญเจอกันหลังออกจากห้องประชุม ยิ่งแค้นใจ
ระหว่างรอลิฟต์เพื่อไปยังลานจอดรถ เมย์พบใครคนหนึ่งกำลังก้าวออกจากลิฟต์โดยสารเพื่อเข้าสู่ตัวอาคาร แล้วคนคนนี้ คนที่ไม่อยากเจอ คนที่ทำให้รู้สึกว่าอาจต้องสูญเสียเอริไปก็ส่งเสียงทักทาย
“ไงเมย์... สบายดีไหม ไม่เจอกันนานเลยนะ กี่ปีแล้ว ห้าหกปีได้ไหม”
ดร.เรย์น่า โอลเว่น (Rayna Olwen) อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมย์ รูปร่างสูง ผมยาวสลวยสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีเขียวเข้ม ส่องประกายความเจ้าเล่ห์ บ่งบอกนิสัยของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากบางเฉียบ พร้อมส่งยิ้มเย้ยหยันผู้อื่นเสมอเมื่อเห็นความผิดพลาดปรากฏแก่สายตา
จะฟันธงว่าเมย์และเรย์น่าเป็นเพื่อนกันคงไม่ได้ เป็นศัตรูกันก็ไม่เชิง ให้คำจำกัดความว่า ‘คู่แข่งหรือคู่ปรับ’ น่าจะเหมาะกว่า สองคนนี้พบกันตอนทั้งคู่ศึกษาระดับปริญญาโทจนกระทั่งเรียนจบปริญญาเอกถึงได้แยกย้าย ปัจจุบันเรย์น่าเป็นอาจารย์และเจ้าของมหาวิทยาลัยมีชื่อในเมืองเรย์ตัน อยู่ห่างคเวเซอร์ราว 200 ไมล์
ตลอดช่วงเวลานั้น ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เมย์ไม่อึดอัด เบื่อหน่ายกับนิสัย พฤติกรรมของเรย์น่า นิสัยชอบเอาชนะ รักการแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะกับเธอ
ความสวย ความฉลาด และความสามารถของเรย์น่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมย์ แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่เอาชนะได้ ไม่ว่าอย่างไรต้องเป็นที่สองรองจากเมย์เสมอ ด้วยเหตุนี้เรย์น่าวางเมย์ไว้ในตำแหน่งคู่แข่งคนสำคัญในชีวิต ต้องเอาชนะให้ได้ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม แม้แต่ตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น เรย์น่าช่างสรรหาคำพูดมาทับถม ตอกย้ำคนฟังที่เจ็บเป็นทุนเดิม ให้เจ็บยิ่งขึ้นไปอีก เพราะความเป็นคนเข้มแข็ง ทำให้เมย์ใช้เวลาทำใจไม่นาน โอกาสเสมือนเหนือกว่านี้จึงอยู่ได้ไม่นานตามไปด้วย
ครานี้ราวกับว่าโอกาสของเรย์น่ากำลังกลับมาเยือนอีกครั้ง...
“เอ๊ะ! นี่ประชุมกันเสร็จแล้วเหรอ เอมิเลียบอกว่าถ้าถึงแล้ว ให้รีบมาที่นี่ทันทีนี่นา ทำไมเสร็จเร็วจัง อุตส่าห์รีบแทบตาย ไม่รอกันบ้างเลย” พูดราวกับเสียดายเต็มประดาที่มาไม่ทันประชุม ความเป็นจริงก็พูดไปอย่างนั้น ไม่คิดจริงจัง หรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แค่หาเรื่องถ่วงเวลา ให้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้านานขึ้น
“พูดจบรึยัง จะได้ไปเสียที” โทนเสียงยังคงราบเรียบตามนิสัย แต่แฝงไว้ด้วยความเบื่อหน่าย รำคาญ
“แหมมมมม... ตัดรอนกันจังนะ ไม่ได้เจอกันนาน อยากคุยด้วย ไม่ได้รึไง เย็นชาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
เมย์เดินเข้าลิฟต์แทนการโต้ตอบคำพูดกวนประสาท
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป ยังไม่จบ”
เมย์หันหลังกลับ พูดอย่างเสียไม่ได้ “มีอะไรก็รีบ ๆ ว่ามา ฉันไม่ได้ว่างจะต่อปากต่อคำกับเธอได้ทั้งวี่ทั้งวันหรอกนะ”
“เรื่องนี้... ไม่ทำให้เธอเสียเวลานักหรอกเมย์” น้ำเสียงยียวนถูกปรับเปลี่ยนให้ฟังดูจริงจัง เป็นการเป็นงาน
“ก็แล้วมันเรื่องอะไร เข้าประเด็นเลยได้ไหม”
“...”
“...”
“เอริน่ะ... ขอได้ไหม”
“หมายความว่ายังไง” เสียงที่ไม่เคยหวั่นไหว ไม่ว่ามีเรื่องใดมากระทบ บัดนี้แปรเปลี่ยนเสียจนคู่สนทนาจับสังเกตได้ และแอบยิ้มด้วยความสะใจ
“ก็... หมายความอย่างที่พูด บังเอิญว่าตลอดห้าวันที่ทำด้วยกัน เด็กคนนี้สร้างความประทับใจหลายอย่าง ไม่รู้จะสาธยายให้เธอฟังหมดได้ยังไง เอาเป็นว่าฉันชอบ อยากได้ จะให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัว และลูกศิษย์ในการปกครอง ที่มหาวิทยาลัยของฉัน รับรองว่าจะดูแลอย่างดี เรียนฟรี อยู่ฟรี แถมเงินเดือนให้ด้วย น่านะ... เท่าที่รู้ เธอไม่ได้เต็มใจรับเอริมาเป็นลูกศิษย์อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง หวงเอาไว้ทำไมล่ะ ยกให้ฉันละกัน”
ต้องสะกดอารมณ์ ความรู้สึกอยู่นานพอสมควร กว่าจะกลับมาปกติ “ถ้าอยากได้นัก ไม่ไปบอกเจ้าตัวเขาเองล่ะ บอกฉันมันจะมีประโยชน์อะไร”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันคุบกับเอริเรียบร้อย ที่บอกเธอเพราะอยากให้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ... ก็เท่านั้น”
เมย์ไม่พูดอะไร รีบก้าวเข้าลิฟต์ กดปุ่มปิดประตู เลือกชั้นที่ต้องการไป ปล่อยอีกฝ่ายยืนยิ้มอย่างผู้มีชัย
ตั้งแต่คุยกับเรย์น่าจนกระทั่งกลับบ้าน สมองมีแต่ ‘เอริน่ะ ขอได้ไหม... ชอบและถูกใจตั้งแต่แรกเห็น... เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง คุยกับเอริเรียบร้อย’ วนกลับไปกลับมา ไม่ต่างอะไรจากคนที่กรอเทปฟังแต่เพลงที่ตัวเองชอบ ทุกถ้อยคำเสมือนคมมีดกรีดแทงหัวใจ
เมย์ไม่มั่นใจว่าเรย์น่าต้องการแข่งขันกับเธออีกครั้งโดยใช้เอริเป็นเครื่องมือ หรือชอบเอริจริง ที่แน่ ๆ คือเรย์น่ากำลังพรากเอริไป ไม่รู้ว่าเด็กนั่นคิดอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน ข้อเสนอนั่นอีก... สำหรับคนที่มีฐานะปานกลาง เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย มีหรือจะไม่สนใจ ถึงแม้ว่าการที่มาอยู่กับเธอช่วยประหยัดค่ากินอยู่ แต่รายจ่ายด้านอื่นยังคงมี มิหนำซ้ำยังไม่ต้องทนกับคนอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ต้องทำตัวเยี่ยงทาส เงินซื้อทุกอย่างได้จริง
ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งเจ็บใจ ยิ่งแค้น
ทันทีที่ถึงบ้าน เมย์เปิดประตูโรงจอดรถด้านติดกับตัวบ้านเข้ามาภายใน ตรงดิ่งยังชั้นสอง หวังให้พื้นที่ส่วนตัว ช่วยปลอบประโลมจิตใจร้อนรุ่ม สับสน กระวนกระวายให้บรรเทาเบาบาง ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย อยู่บริเวณชั้นสองเรียบร้อย คนที่คิดถึง อยากเจอ และรักมากที่สุดเปิดประตูห้องนอนออกมายืนอยู่ตรงหน้า
เอริเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน หากเมย์ไม่ได้ถูกความโกรธเข้าครอบงำ คงสังเกตเห็นความดีใจที่ปรากฎขึ้นบนสีหน้า แววตา และรอยยิ้มของเจ้าของนัยน์ตาสีดำ
“เมย์... ดีใจจังท...” ยังไม่ทันจบประโยค ต้องถูกฝ่ามือฟาดปะทะใบหน้า สร้างรอยแดงบนแก้มบางของเจ้าตัวทันที
“เมย์... ทะ... ทำไมถ...” อีกครั้งที่เอริไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ เพราะอีกฝ่ายสวนกลับด้วยถ้อยคำที่ทำให้แปลกใจ ระคนเสียใจ
“หุบปาก! คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดียังไงมาเรียกชื่อฉันเฉย ๆ แบบนี้”
“ก็... มะ... เอ่อ... ดร.เมอร์ริสันบอกให้ไอเรียกแบบนี้เอง แล้วไอก็เรียกมาตั้งนานแล้ว ทำไมตอนนี้ถึง...”
“มันไม่สำคัญว่าฉันเป็นคนบอกรึเปล่า แล้วก็ไม่สำคัญว่าเธอจะเรียกมานานแค่ไหน แต่ตอนนี้... เธอไม่มีสิทธิ์” ความรู้สึกที่อัดอั้นในใจ ระเบิดออกมาผ่านคำพูดและเสียงที่ตะคอกใส่คู่สนทนาครั้งแล้วครั้งเล่า
เอริเลือกที่จะเงียบ ด้วยรู้นิสัยของเมย์ว่าเวลาโกรธหรือโมโหจะเป็นอย่างไร
“ยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีก ทำอะไรไว้ รู้ตัวรึเปล่า วางตัวว่าเป็นคนรักษาคำพูด เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ สับปลับ นี่ไปทำอะไรกับใครมาล่ะ เขาถึงได้ชอบนักชอบหนา ขนาดยื่นข้อเสนอแสนวิเศษให้... ฉันพูดถูกไหม รีบ ๆ ไปอยู่กับเขาเสียสิ กลับมาทำไม คนอย่างเธอมันไม่คู่ควรกับที่นี่ เธอมีเวลาสามชั่วโมง จนถึงหกโมงเย็น เก็บข้าวของออกไปจากบ้านฉันให้หมด อย่าเหลือแม้แต่เพียงชิ้นเดียว อะไรที่ฉันให้ ก็เอาไปให้หมด ฉันขี้เกียจเอาไปทิ้ง หวังว่าตอนฉันกลับมาคงไม่เห็นหน้าเธอแล้วนะ... เอริ ไอ”
เมย์หันกลับมาพูดต่อหลังจากเดินลงบันไดได้เพียงไม่กี่ขั้น “ส่วนเรื่องทางมหาวิทยาลัย ฉันจะสงเคราะห์เธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการทำเรื่องลาออกให้ เธอแค่มาเซ็นชื่อก็พอ”
ร่างสูงโปร่งเดินหายไปทางโรงจอดรถ ปล่อยคู่สนทนายืนตัวแข็งทื่อ น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
ชอบหรือไม่ชอบ อยากติชม หรือพูดคุยกับศรุตา เชิญได้ตามด้านล่างเลยค่ะ รออยู่นะคะ Email: saruta.map@gmail.com Facebook: https://www.facebook.com/saruta.map
สำหรับคนที่ไม่อยากรอ ต้องการอ่านแบบรวดเดียวจบ อุดหนุนศรุตาได้ตามนี้ค่ะ The Last Love
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ