The Last Love รักครั้งสุดท้าย
เขียนโดย ศรุตา
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.08 น.
แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 22.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ 3 จากลา (Part 1/2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
จากลา
เอริกลับเข้าห้องนอน ปล่อยตัวเองทรุดลงกับพื้นหน้าเตียง ร้องไห้เสียจนแทบไม่มีน้ำตาไหลออกมา ถ้าน้ำตาสามารถกลายเป็นเลือดได้ คงได้เห็นสีแดงฉานเปื้อนเต็มใบหน้า
เพราะไม่เคยมีใครทำให้เสียใจขนาดนี้ ครอบครัวไม่ว่าพ่อ แม่ พี่ชาย หรือพี่สาว ทุกคนรักเธอราวกับดวงใจ ไม่เคยทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ไม่เคยพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรง ไม่แม้แต่ลงไม้ลงมือ แต่อาจารย์ที่ปรึกษากลับฝากร่องรอยของความเกี้ยวกราดไว้บนใบหน้า ความผิดของเธอสมควรได้รับการลงโทษเช่นนี้เชียวหรือ
เอริไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิด สร้างความไม่พอใจด้วยเรื่องอันใด เมย์ถึงได้โกรธขนาดนี้ เธอไม่ได้โทรศัพท์มาหาตามที่รับปาก แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างทำให้ไม่สามารถทำได้ เมย์น่าจะถามถึงสาเหตุบ้าง แต่นอกจากไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ ยังไม่เปิดโอกาสให้ได้พูดอะไรด้วยซ้ำไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเอริต้องเผชิญความร้ายกาจของเมย์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าท่าทางแสนเย็นชา คาดเดาไม่ได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน นึกอยากพูดด้วยก็พูด พอนึกไม่อยากพูดก็เงียบไปเสียดื้อ ๆ ไหนจะอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นั่นอีก เวลาอารมณ์ดีก็ดีจนน่าใจหาย บทจะร้ายก็ร้ายขึ้นมา ไม่ต่างอะไรกับพายุโหมกระหน่ำซัดบ้านเรือนพังพินาศต่อหน้าต่อตา สารพัดรูปแบบที่ต้องเจอ
ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงทนได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่สามารถตัดเขาออกไปจากชีวิตด้วยการทำเรื่องขอเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา แต่ไม่ทำ และไม่เคยคิดที่จะทำ เรื่องพรรค์นี้ไม่มีอยู่ในสมอง อาจเพราะรู้สึกว่าลึก ๆ แล้วเมย์ไม่ได้เลวร้ายเฉกเช่นตัวตนที่เป็นอยู่ ยิ่งมองเห็นแววตาอันอ่อนโยนยามมองเธอ ทำให้ลืมความร้ายกาจที่เคยเผชิญจนหมดสิ้น
ยิ่งคิด น้ำตาเจ้ากรรมยิ่งไหล คิดไม่ออกว่าควรทำอะไรต่อ เรื่องการเรียน... เหมือนว่าถูกไล่ออกกลาย ๆ เรื่องที่อยู่อาศัย... ได้ยินเต็มสองหูว่าเขาไล่เธอออกจากบ้าน
นึกย้อนกลับไปตอนเมย์ชวนให้มาอยู่ที่นี่ เธอควรปฏิเสธ ไม่น่าไปตอบรับ ตอบตกลงโดยไม่ถามสักคำว่าทำไมต้องการให้มาอยู่ด้วย ต่อให้ถามหาเหตุผล ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับคำตอบ อาจารย์คนนี้ทำอะไรแต่ละอย่าง แต่ละครั้ง แต่ละคราว ไม่เคยบอกเหตุผลให้รับรู้ แล้วเธอเองไม่ใช่คนประเภทอยากรู้อยากเห็น ช่างซักช่างถาม ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามที่อีกฝ่ายบอกหรือสั่ง
เหตุผลของเอริที่ตกลงปลงใจย้ายมาอยู่กับเมย์ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน หรือความสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องที่พัก อาหารการกิน แต่เป็นสายตาสีฟ้าครามคู่นั้นที่ทำให้ตัดสินใจกระทำสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรกระทำ สายตาเย็นชา เฉยเมย ไร้ความรู้สึก บางครั้งก็ดูเศร้าสร้อย เหงาหงอยจนคนมองใจหาย หากบางคราวสามารถมองเห็นสิ่งที่ผิดแผก สายตาที่ส่งผ่านความอ่อนโยน อบอุ่น และปลอดภัย เพราะสายตานี้ที่ทำให้ตัดสินใจมาอยู่กับผู้เป็นเจ้าของ โดยไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ‘เหตุการณ์ที่ถูกไล่อย่างไม่มีเยื่อใย’
จะทำอย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน กลับไปหอพักที่เคยอยู่ก็ไม่ดี ไม่อยากตอบคำถามเจ้าของหอที่รักและเอ็นดูเธอไม่ต่างอะไรกับลูกสาวคนหนึ่ง ต้องถูกถามแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงกลับมา
ครั้นจะขอร้องลิล เจ้าของร้านอาหารแสนใจดีที่ทำงานด้วย ให้ช่วยหาที่พัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ นอกจากลิลจะเป็นเจ้านายที่ปฏิบัติกับเธอเหมือนญาติคนหนึ่ง ยังเป็นเพื่อนสนิทของเมย์ สนิทขนาดเมย์และเพื่อนในกลุ่มคนอื่นมาทานอาหารที่ร้านเป็นประจำทุกสัปดาห์ ทันทีที่เอ่ยปาก ลิลรู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งรอยแดงบนแก้ม ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด ไม่อยากคิดเลยว่าเรื่องราวจะบานปลายไปถึงไหนต่อไหน
เอริได้แต่คิด... คิดหาทางออกให้กับตัวเอง ไม่มีทางไหนให้เลือกเดิน ในที่สุดทางออกหนึ่งก็ผุดขึ้น เอริรีบเก็บข้าวของ เพราะเริ่มเย็นมากแล้ว ปล่อยเนิ่นนานกว่านี้จะยิ่งลำบาก
หลังขับรถออกจากบ้านอีกครั้ง เมย์ขับไปเรื่อย ๆ ไร้จุดหมาย ปล่อยความเจ็บปวดในใจ และอารมณ์พลุ่งพล่านให้บรรเทาลงไปพร้อมกับทิวทัศน์สองข้างทางที่ขับผ่าน ขับรถไป คิดถึงสิ่งที่เพิ่งทำกับคนที่รักมากที่สุดไป
“นี่เราทำกับเอริรุนแรงไปรึเปล่า ไม่... ไม่สิ... เอริทำกับเราร้ายกาจกว่าอีก แค่นี้น้อยไปด้วยซ้ำ”
รำพึงรำพันอยู่คนเดียวจนอาทิตย์ใกล้อัสดง จึงรู้สึกตัวว่าขับรถออกมานานแค่ไหน เมย์ตัดสินใจหักพวงมาลัย เลี้ยวรถกลับบ้านพัก ในใจหวังว่ายังคงเจอเอริมากล่าวขอโทษ งอนง้อด้วยกิริยาน่ารักของเจ้าตัว อ้อนวอนขอให้ยกโทษให้กับความผิดพลาดที่ทำ
แต่เมื่อเปิดประตูห้องของคนที่รักยิ่งกว่าดวงใจ แทบล้มทั้งยืน สภาพห้องตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ข้าวของส่วนใหญ่หายไปเกือบหมด เมย์สังหรณ์ใจกับสิ่งที่กังวลมาตลอดทาง และภาวนาขออย่าให้เกิดขึ้นจริง จึงรีบเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อสำรวจดู
ในตู้เสื้อผ้า... ไม่มีกระเป๋าเดินทางอันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์การมีอยู่ของเด็กสาว เสื้อผ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมบัติส่วนตัว ไม่หลงเหลือแม้แต่เพียงชิ้นเดียว สิ่งที่ทิ้งไว้มีแต่สมบัติ และข้าวของที่เธอเป็นคนซื้อให้ รวมถึงโทรศัพท์มือถือที่ใช้ประจำ โทรศัพท์ถูกวางไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะเขียนหนังสือ ในสภาพปิดเครื่อง ตัดขาดจากการติดต่อ แบบนี้เธอจะตามหาเจอได้อย่างไร คิดแล้วน้ำตาพาลไหลอีกครั้ง
เมย์ยังจำตอนที่มอบโทรศัพท์เครื่องนี้ให้เอริได้ดี วันนั้นเป็นวันที่ห้า นับจากวันที่พบกันครั้งแรก เธอฝากโน้ตไปกับอาจารย์ที่มีชั่วโมงสอนห้องของเด็กสาว ในโน้ตนั้นสั่งให้มาพบเธอช่วงพักกลางวันที่ห้องพักอาจารย์
ขณะทำงานเพลิน ๆ พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงใสของคนที่รออยู่
“ขออนุญาตค่ะ”
“เข้ามาได้”
หลังอนุญาตให้เข้ามาในห้องแล้ว เมย์หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งส่งให้ “เอ้านี่”
“ทำไมคะ” ลูกศิษย์ในปกครองเพียงคนเดียวถามกลับ เพราะไม่เข้าใจว่าอาจารย์ยื่นโทรศัพท์ให้ทำไม
ไม่ต้องรอให้สงสัยนาน คำถามได้รับคำตอบด้วยประโยคถัดไป
“รับไปสิ”
“รับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“บอกให้รับก็รับไปสิ อย่าเรื่องมากได้ไหม” เสียงเริ่มส่อถึงความรำคาญ
“หนูไม่ได้ซื้อมันด้วยเงินของตัวเอง และถึงจะรับมา หนูไม่มีกำลังทรัพย์พอสำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนหรอกค่ะ ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณา แต่หนูรับไว้ไม่ได้จริง ๆ”
“นี่... อย่านึกว่าฉันพิศวาสเธอนักหนาเลยนะ ที่ซื้อให้เพราะฉันจะได้สะดวกสบายเวลาเรียกใช้งาน ไม่ใช่ต้องคอยฝากโน้ตไว้กับอาจารย์ที่มีชั่วโมงสอนเธออยู่อย่างนี้ ยุ่งยาก น่ารำคาญ แล้วไอ้เรื่องค่าใช้จ่ายนั่น ฉันจัดการเอง เงินแค่นี้ ขนหน้าแข็งไม่ร่วงหรอก”
“แต่...”
เอริยังยืนกรานปฏิเสธ จนเมย์ต้องขึ้นเสียงกลับอย่างคนหมดความอดทน
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้ามากนะที่เรื่องมากกับฉันแบบนี้ บอกให้รับ ก็รับ ๆ ไปซะ ทำตัวน่าเบื่อเสียจริง”
ในที่สุดเอริต้องรับมาใช้ แต่จะเรียกว่าใช้ คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเจ้าลูกศิษย์ตัวดีแทบไม่เคยใช้โทรออกเลย เพียงแค่รอรับสายจากเธอเท่านั้น หากต้องการโทรศัพท์หาใคร มักเลือกบริการจากโทรศัพท์สาธารณะแทน มิหนำซ้ำบางเดือนยังนำเงินสำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนมาให้อีก จนยื่นคำขาดให้หยุดการกระทำแบบนั้น ถึงได้ยอมเลิกรา
“หึ... ดี... ดีจริง ๆ บอกให้ไป ก็ไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ คงอยากไปหาอีกคนใจแทบขาด นี่ยังหยิ่งยโส ข้าวของที่ซื้อให้ก็ไม่เอาไปสักชิ้น มือถือบ้านี่ก็ไม่เอาไป คงไม่อยากเจอ ไม่อยากติดต่อกันอีกแล้วใช่ไหม เป็นแบบนี้ก็ดี... ไปให้พ้นหน้าแบบนี้แหละดี คนสับปลับ หลอกลวง ชาตินี้ทั้งชาติไม่ต้องมาเจอกันเลย”
เมย์กลับเข้าห้องนอนตัวเอง ทิ้งตัวลงบนเตียง ปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งไหลจากนัยน์ตาสีฟ้าครามไม่ขาดสาย จนผู้เป็นเจ้าของหลับไป
แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องเข้าห้องนอนของคนที่ยังอยู่ในสภาพชุดเดียวกันกับเมื่อวาน สัญลักษณ์การมาเยือนของวันใหม่ปลุกคนผู้นี้ให้ตื่นจากการหลับใหล เมย์ลุกจากเตียง เดินตรงเข้าห้องน้ำส่วนตัวที่อยู่ภายในห้อง หวังความเย็นของสายน้ำจากฝักบัวช่วยทำให้หลุดพ้นจากความเหนื่อยล้าทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่ากายหรือใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนำพาความโศกเศร้าเสียใจสู่เธอมากเสียยิ่งกว่าความเสียใจที่เคยมีต่อเรื่องในอดีตครั้งนั้น ต้องร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้อง ความเข้มแข็งที่ไม่เคยมีใครหรือสิ่งใดมาสั่นคลอน ถูกเด็กนั่นพังทลายเพียงชั่วข้ามคืน ถ้าไม่ติดว่าวันนี้มีประชุมสำคัญที่โรงพยาบาล และไม่อยากให้คนไข้ที่มีนัดตรวจต้องเสียเวลามาเก้อ ก็ไม่อยากออกจากบ้านไปไหนในสภาพนี้ ดวงตาคู่งามผ่านศึกหนักเกือบตลอดคืน ผลลัพธ์ที่ได้คือนัยน์ตาแดงก่ำ เปลือกตาบวมเป่ง
หลังใช้เครื่องสำอางปกปิดร่องรอยไว้ดีพอควร เมย์ออกจากห้องนอน ลงบันไดมาชั้นล่างของบ้าน ตรงเข้าครัว หวังหาอะไรรองท้องเสียหน่อย เนื่องจากยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่มื้อเที่ยงของเมื่อวาน
ปกติมื้อเช้าของเมย์คือกาแฟดำไม่ใส่อะไรเลยเพียงหนึ่งถ้วย นับตั้งแต่เอริก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็ทำให้อาหารการกินของเธอต้องเปลี่ยนแปลงไป จากกาแฟดำธรรมดา เปลี่ยนเป็นใส่ครีมและน้ำตาลปริมาณพอเหมาะ รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานและมันจนเกินไป ตามด้วยขนมปังปิ้ง ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก สลัด หรือไม่ก็ซุปร้อน ๆ สลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน
เหตุเนื่องจากเอริเป็นคนที่ขาดอาหารมื้อเช้าไม่ได้เลย แถมยังทนไม่ได้ที่เห็นเธอดื่มกาแฟเพียงแค่ถ้วยเดียว เลยเจ้ากี้เจ้าการตระเตรียมแบบครบชุดให้ทุกวัน แรก ๆ ต้องเททิ้งกันนานเกือบเดือน ด้วยความพยายามของเจ้าตัวดี จึงสามารถเอาชนะใจได้สำเร็จ มิหนำซ้ำทำให้ติดใจรสชาติกาแฟที่อีกฝ่ายชงให้ จนลืมกาแฟดำที่ดื่มมานานนับสิบปีไปเลย
แต่เช้านี้... บริเวณนี้... เงียบเหงาเหลือเกิน ไม่มีอาหารเช้าของเธอวางพร้อมบนโต๊ะเหมือนเคย หนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ที่ถูกวางไว้อย่างเรียบร้อยเผื่ออยากเปิดอ่านดูก่อนไปทำงานก็ไม่มี ไม่แม้แต่เสียงทักทายอรุณสวัสดิ์เหมือนเช่นทุกเช้า
เหงา... มันเหงาเหลือเกิน... ไม่เคยคิดเลยว่าพอเอริไม่อยู่ด้วยแล้ว มันจะเหงาจับขั้วหัวใจได้ขนาดนี้
“ได้... เราต้องอยู่ได้สิ เมื่อก่อนก็อยู่คนเดียวมาได้ตั้งนานนี่นา” พูดให้กำลังใจตัวเองก่อนขับรถออกไปทำงาน
Email: saruta.map@gmail.com
Facebook: https://www.facebook.com/saruta.map/
E-book: The Last Love
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ