The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
76) ถึงสวรรค์แล้วใช่มั้ย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://www.pexels.com
มาวินล้มลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้น แต่แทนที่จะพบคมเขี้ยว กลับสัมผัสถึงสายลมและแสงแดด สิ่งนั้นทำให้เขาประหลาดใจ
“ เอ๋....พวกค้างคาวหายไปไหน หรือเราตายไปแล้ว และนี่คือสวรรค์ สงสัยจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง ”
เด็กหนุ่มนอนนิ่งๆ เพื่อพักเอาแรงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆพยุงกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เพราะเพิ่งใช้กระบวนท่าพยุหะกรงเล็บแมวป่าอย่างหนักจนแทบไม่เหลือพลัง
ภาพแรกที่มาวินได้เห็นก็คือ.....ทุ่งกว้างเขียวขจีที่มีสายลมพัดแรงจนยอดหญ้าปลิวไสว เบื้องบนเป็นท้องฟ้าสีครามที่มีปุยเมฆลอยละล่อง ใกล้ๆกันปรากฏพระอาทิตย์ดวงโตส่องแสงสว่างอ่อนๆมาสู่พื้นพสุธา มันช่างสวยงามราววิจิตรศิลป์จากสรวงสวรรค์ ทำให้เด็กหนุ่มออกปากชมโดยไม่รู้ตัว
“ ว้าว...... สวยเหลือเกิน นี่เราคงตายไปแล้วจริงๆ และที่แห่งนี้คือสวรรค์ ”
มาวินดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสงบสุขและสวยงามได้ไม่นาน เขาก็รู้สึกถึงความเศร้าโศกที่ถาโถมเข้ามา จึงล้มตัวลงนอนและเหม่อมองท้องฟ้า น้ำตาแห่งความอาดูรเริ่มไหลริน
“ เฮ้อ...... ในที่สุดเราก็ตายจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้กลับบ้าน คงไม่พบคนที่รักอีกแล้ว ”
มโนภาพในหัวของมาวินปรากฏเงาร่างของบุคคลที่ใกล้ชิดหลายคน ไม่ว่าจะเป็นลุงจอมซ่า(พ่อของจัน) น้าเดชสติเฟื่อง ป้าผู้ใจดี(แม่ของจัน) สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าคมงามของเด็กสาวนางหนึ่ง เธอก็คือ….จัน เพื่อนสาวคนสนิทและลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกัน
หยาดน้ำตาเริ่มไหลพรากอาบสองแก้ม มือขวายกขึ้นกุมหน้าผาก ท่าทางซึมเศร้าสุดๆ ทว่ามาวินโชว์บทโศกได้ไม่นาน เสียงหัวเราะของชายหนุ่มก็ดังแทรกเข้ามา
“ ฮะๆ ”
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นมานั่ง และหันซ้ายแลขวา เพื่อมองหาที่มาของเสียง แต่ก็พบเพียงทุ่งกว้างที่ว่างเปล่า นั่นทำให้เขาเกิดความหวาดระแวง
“ ผีเหรอ ไม่สิ ตอนนี้เราตายไปแล้ว วิญญาณเหล่านั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับเรา จะกลัวไปทำไม เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาว ได้ข่าวว่าพวกนี้ชอบลักพาตัวมนุษย์ซะด้วยสิ เอ๋ เดี๋ยวนะ ตอนนี้เราไม่ใช่คน พวกมันจะลักพาตัวเราไปได้ยังไง ”
ความคิดของมาวินวกวนจนเริ่มปวดหัว ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจคืออะไร ทันใดนั้นเอง เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา
“ เฮ้ หยุดร้องไห้ได้แล้ว เห็นแล้วตลกว่ะ ชั้นจะบอกข่าวดีให้ฟัง ตอนนี้นายยังไม่ตาย ”
มาวินพยายามนึกทบทวนอยู่นาน ในที่สุด เด็กหนุ่มก็จำเจ้าของเสียงได้ เขาจึงฉีกยิ้มกว้างจนหน้าบานเป็นกระด้ง ปากก็ร้องทักเสียงแหลม
“ เฮ้ย นี่มัน โจจี้นี่หว่า ”
“ เออ ใช่ ชั้นเอง และสิ่งที่ยืนยันว่านายยังไม่ตายอยู่ข้างหลัง ถ้าไม่เชื่อ ลองหันกลับไปดู ฮะๆ.....” โจจี้ตอบกลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
มาวินรีบหันกลับไปดูตามคำบอก จึงพบกับปากถ้ำใหญ่ อันน่าจะเป็นทางออกของด่านที่สอง
“ ฮะๆ นี่ก็แปลว่า……” มาวินยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ เสียงที่เปล่งออกมาดูสั่นเทา
“ ใช่แล้ว นายผ่านด่านถ้ำมืดมาได้ ดีใจด้วยนะ มาถึงด่านสามแล้ว มีฝีมือเหมือนกันนี่หว่า ” โจจี้เอ่ยชม
“ ย้าฮู้..... เรายังไม่ตาย ดีใจที่สุดเลยโว้ย ” มาวินแหงนหน้าขึ้นฟ้า ปากก็โห่ร้องออกมาจนสุดเสียง แต่ด้วยความที่ไร้กำลัง เลยยังกระโดดโลดเต้นไม่ได้
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็เริ่มคลายความดีใจและพยุงกายลุกขึ้นยืน ทั่วร่างสั่นเทาอย่างหนักหน่วง เมื่อเดินไปข้างหน้าได้หนึ่งก้าว เขาก็……
“ เอ๊ะ ”
เด็กหนุ่มอุทานได้คำเดียว จากนั้นก็ล้มลงไปนั่งชันเข่า ใบหน้าเรียวเล็กที่ขมุกขมัวดูซีดเซียว คล้ายจะเป็นลม
“ เฮ้ น้องชายหัวเขียว นายไหวรึเปล่า สีหน้าดูไม่ดีเอาซะเลย ” โจจี้ถามผ่านลำโพงนาฬิกา น้ำเสียงดูห่วงใย
“ ฮะๆ ไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะชั้นมาถึงครึ่งทางแล้ว หรือนายจะให้ย้อนกลับไปที่จุดสตาร์ท ” มาวินตอบกลับด้วยเสียงที่ขาดห้วงสลับหอบเหนื่อย
ปลายสายเงียบอยู่พักใหญ่ คล้ายกำลังพิจารณาบางอย่าง เวลาผ่านไปหลายอึดใจ เสียงโจจี้ก็ดังขึ้นมา
“ โอเค เมื่อดูจากสถานการณ์ คงต้องลุยต่อ แต่ก่อนจะไป ควรพักฟื้นร่างกายซักพัก และชั้นกำลังส่งของไปให้นาย ”
“ หา...... มันคืออะไร ส่งทางไหน ส่งยังไง ” มาวินเกิดเอ๋อรับประทาน พร้อมหันรีหันขวางด้วยอาการร้อนรน ในใจมีแต่คำถาม หรือโจจี้จะส่งของทางอากาศ ที่นี่มีเฮลิคอปเตอร์ด้วยเหรอ
“ เอ้า เตรียมรับนะ น้องชายหัวเขียว ” โจจี้ร้องบอก
“ เฮ้ เดี๋ยวนะ จะให้รับทางไหน ชั้นงงไปหมดแล้ว ” มาวินร้องถามเสียงหลง
“ เจ้างั่ง นายนี่มันบ้านนอกขนานแท้ ชั้นจะส่งให้ทางนาฬิกาไงเล่า เตรียมรับให้ดีๆ ” โจจี้ตวาดกลับ
“ เฮ้ เราจะส่งของทางนาฬิกาได้ยังไง นายเพิ่งออกมาจากศรีธัญญารึไงฟะ ” มาวินโต้กลับทันควัน ในใจแอบคิด......เจ้าหมอนี่คงหล่อเกินไปจนสติสตังเลอะเลือน
“ ได้สิ ใครๆก็รู้ว่ามันส่งของให้กันได้ เจ้าเด็กบ้านนอก เอ๊ะ ว่าแต่….ศรีธัญญาคืออะไร ” โจจี้ตอบกลับเสียงขุ่น พร้อมนึกสงสัยในสิ่งที่มาวินพูดถึง
“ ศรีธัญญาก็คือ…. เฮ้อ ช่างมันเถอะ ตกลงจะให้ชั้นรับยังไง ว่ามา ” มาวินทำท่าจะตอบคำถาม แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะกลัวว่าเรื่องจะยาวเกินพอดี
“ อ้อ นายต้องดูหน้าจอนาฬิกาของตัวเอง ถ้ามีข้อความเข้ามา ให้กดหน้าจอ แล้วมันจะปรากฏภาพสิ่งของ หลังจากนั้นจะมีตัวอักษรให้เลือกว่ารับหรือไม่ ให้กดรับ ของที่ส่งก็จะเด้งออกมาเอง ” โจจี้อธิบายอย่างละเอียด เนื่องจากกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเปิ่นจนรับของไม่ได้
“ โห..... นี่นาฬิกาเส็งเคร็งของชั้นสามารถทำได้ถึงเพียงนี้เลยเหรอเนี่ย เทคโนโลยีของโลกนี้ โคตรล้ำกว่าเมืองไทยหลายล้านปีแสง ” มาวินถึงกับเหวอ เขามองนาฬิกาสีกระดำกระด่างบนข้อมือของตนเองแบบไม่ใคร่จะศรัทธา
“ เดี๋ยวนะ ถิ่นที่อยู่ของนายคือเมืองไทยเหรอ แล้วมันอยู่ตรงจุดไหนของโลก เพราะตั้งแต่เกิดมา ชั้นยังไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้เลย ” หนุ่มผมทองเอ่ยถามอีกครั้ง ไม่ต้องเห็นหน้า ก็รู้ว่า....สงสัยมาก
มาวินนึกด่าตัวเอง เขาอยากทำโทษด้วยการตบปากซัก 9,999 หน แต่เพราะกลัวเสียเวลาและกลัวปากบวม เลยทำได้แค่เถกลับไปแบบเนียนๆ
“ บ้านของชั้นเป็นพื้นที่นอกสำรวจน่ะ เลยไม่ปรากฏในแผนที่โลก ว่าแต่นายส่งของมาให้รึยัง ”
“ อ้อ ได้ ชั้นจะส่งไปให้แล้ว ” อุบายของมาวินได้ผล หนุ่มหล่อเลิกสนใจและหันกลับมาทำในสิ่งที่สมควร
มาวินนั่งพักผ่อนในท่าเดิม ไม่ถึงนาที หน้าจอนาฬิกาก็ปรากฏข้อความเป็นอักษรสีขาวดำ อ่านจับใจความได้ว่า…….
“ มีวัสดุส่งเข้ามา 2 รายการ ”
“ สิ่งที่พี่ชายหน้าหล่อส่งมา คืออะไร ” มาวินแลบลิ้นเลียปาก เขาอยากรู้สุดขีด จึงรีบกดหน้าจอนาฬิกา วินาทีต่อมา ก็ปรากฏภาพสิ่งของที่โจจี้ส่งมา
สิ่งนั้นคือ......ขวดทรงกลมจำนวนสองขวด ขวดแรกบรรจุหมึกสีแดงสด ส่วนอีกขวดบรรจุหมึกสีน้ำเงินเข้ม
“ แล้วมันจะส่งหมึกน้ำเงินกับหมึกแดงมาให้เราทำไม แถวนี้มีปากกากับกระดาษให้ใช้รึไง เจ้าพี่ชายผมทองน่าจะเพี้ยนไปแล้ว ” มาวินนึกด่าในใจ ใบหน้าเรียวเล็กขมวดนิ่วด้วยความสงสัย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ