The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
41) ฟื้นคืนชีพ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เครดิตภาพจาก https://pixabay.com
มาวินค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ อันที่จริง ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีร่างกาย ทุกอย่างดูล่องลอย ภาพที่เห็นนั้นพร่ามัว เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ภาพต่างๆก็เริ่มชัดขึ้นจนพอจะรู้ได้เลาๆว่านั่นคือฝ้าขาวสะอาดตา จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดและความเย็นฉ่ำของสายลมที่พัดผ่านหน้าต่างซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอน
“ ที่นี่คือที่ไหน ” เด็กหนุ่มรู้สึกกระหายน้ำ ดวงตาเรียวเล็กเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจให้หายสงสัย ในที่สุด เขาก็พบว่าที่นี่คือห้องนอนของใครซักคน เพราะมีเครื่องเรือนอย่างโต๊ะ ตู้ เตียง ประดับครบครัน
“ แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ”
มาวินพยายามนึกอยู่นานพอดู ในที่สุด ห้วงความจำสุดท้ายก็กลับมา สิ่งแรกที่ระลึกถึงคือภาพการต่อสู้กับโกส เนโครมันเซอร์หนุ่ม ผู้ใช้เวทมนตร์แห่งความตาย
“ แย่แล้ว เรากำลังต่อสู้กับไอ้บ้านั่นนี่นา ผลเป็นยังไงนะ ” มาวินร้องดัง ท่าทางร้อนรน เขารีบลุกขึ้นมา ทันทีที่นั่งเต็มตัว ก็เกิดอาการปวดแปล๊บทั่วร่างกาย
“ โอ๊ย….. ”
มาวินรู้สึกปวดร้าวอย่างรุนแรง ราวกับเพิ่งโดนสิบล้อเหยียบมาหมาดๆ แต่ในที่สุด เขาก็นึกออก
“ เอ….ที่นี่ไม่มีสิบล้อนี่หว่า แล้วเราเจ็บหนักขนาดนี้ เพราะอะไร ”
ระหว่างที่มาวินกำลังงุนงง เสียงห้าวที่สดใสก็ดังมาจากด้านหลัง
“ ไง ฟื้นแล้วเหรอ เจ้าลิงหัวเขียว ”
มาวินสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันไปมอง ก็พบกับเหมยลี่ เพื่อนสาวคนสนิท ซึ่งบัดนี้ เธอกำลังยืนกอดอกอยู่ เขาจึงถามกลับไปเบาๆ
“ อ้าว ยัยโย่งนี่เอง เธอไม่เป็นไรนะ ”
เหมยลี่มองเด็กหนุ่มหัวเขียวที่นอนบนเตียงด้วยแววตาที่เหมือนจะขำ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย คล้ายจะหัวเราะ
“ ยังมีหน้ามาถามชั้นอีก คนที่เจ็บหนักคือนายต่างหาก หึ หึ หึ ”
“ ฮะๆ นั่นน่ะสิ ว่าแต่ชั้นไปโดนอะไรมา ถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้ ” มาวินถอนหายใจโล่งอก ก่อนหัวเราะต่อ
“ นี่จำเหตุการณ์ไม่ได้จริงๆเหรอ ” เด็กสาวทำหน้างง พลางสอบถามอย่างจริงจัง
เด็กหนุ่มหัวเขียวก้มหน้านิ่ง คิ้วเรียวขมวดย่น คล้ายคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ก่อนจะตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“ อืม….. คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังสู้กับไอ้หัวล้านที่ยิงแสงบ้าๆบอๆ (โกส) ต่อมา ชั้นก็วิ่งเข้าใส่แสงสีดำนั่น จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ ”
เด็กสาวร่างสูงมองหน้านิ่งๆ ถ้ามาวินไม่คิดไปเอง เขารู้สึกว่าเหมยลี่กำลังจับผิดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเธอทำแบบนี้ไปทำไม พอเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกขัดเขินผสมกระอักกระอ่วน จึงลองตวาดกลับ
“ นี่เธอจะมาจ้องทำไม หูชั้นงอกออกมาสี่ข้างรึไง ”
เหมยลี่ยังคงจ้องนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ เฮ้อ…. นายคงจำไม่ได้จริงนั่นแหละ งั้นจะบอกให้ฟัง คนที่จัดการเจ้าเนโครมันเซอร์นั่นก็คือ….นาย ”
“ ฮ้า…… คนอย่างชั้นนี่นะ ไม่น่าเชื่อ ” ดวงตาของมาวินเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ ก็ใช่น่ะสิ นายนั่นแหละที่เป็นคนล้มมัน ” เหมยลี่ยืนกอดอก พร้อมเอียงคอตอบด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
“ เป็นไปไม่ได้ เจ้าโล้นนั่น โคตรเก่งบรรลัย แถมยกแรก ชั้นถูกมันอัดเอาอัดเอาจนล้มลงไปนอนวัดพื้น แล้วอย่างนี้ มันจะแพ้ชั้นได้ยังไง ” มาวินเถียง เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เด็กสาวเล่า
“ เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตามใจ ความจริงคือ…..นายล้มมันไปแล้ว แต่…….ที่สำคัญกว่านั้น ” เด็กสาวร่างสูงตัดบท หลังจากนั้นก็เว้นระยะไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดบางสิ่งที่สำคัญ
“ นายเป็นบ้าอะไร ถึงได้ยืดอกรับคาถาของมัน รู้มั้ย ถ้าสู้ไปตามวิธีที่นายใช้ในตอนแรก ก็ชนะได้ง่ายๆ ไม่ต้องเจ็บหนักแบบนี้ ” เหมยลี่เริ่มใส่เป็นชุด ทำให้มาวินถอยหลังหนีจนติดขอบเตียง
“ แล้วรู้มั้ยว่า….ไอ้คาถาเดทที่เพิ่งโดน มันคือคาถาสั่งตายที่ทำให้นายสิ้นลมในทีเดียว ถึงไม่ตาย ก็อาจพิการหรือไม่ก็เจ็บหนักแบบนี้ ” เด็กสาวยังใส่ไม่เลิก สีหน้าของเธอดูขึงขังเป็นอย่างยิ่ง
ความจริง มาวินก็รู้สึกเกรงเหมยลี่อยู่แล้ว แต่ในยามนี้ ความกลัวยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี เขาคาดว่าตัวเองอาจโดนขนมตุ้บตั้บอีกหนึ่งชุดใหญ่ ถึงกระนั้น ลึกๆในใจกลับรู้สึกเป็นสุข ด้วยสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แฝงในการกระทำของเพื่อนสาว ทำให้เผลอยิ้มออกมา
“ ยิ้มทำไม เจ้าลิงหัวเขียว ” เด็กสาวร่างสูงร้องถาม
“ เอ๊ะ ไม่นะ เปล่านี่ ไม่ได้ยิ้มซักหน่อย ” มาวินเปลี่ยนท่าที เขาแสร้งทำเป็นงง
เหมยลี่จ้องอยู่ครู่หนึ่ง แววตาดูเอาเรื่อง เวลาต่อมา เด็กสาวร่างสูงก็โยนบางสิ่งไปที่ตัก เมื่อเด็กหนุ่มมองมา ก็พบว่าสิ่งนั้นคือ……จานข้าว
“ กินอาหาร แล้วพักผ่อนซะ นายต้องรักษาตัวซักพัก ถึงจะออกเดินทางได้ ” เด็กสาวพูดเสียงแข็ง ก่อนเดินจากไป
เด็กหนุ่มหัวเขียวมองอาหารในจานซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้งสาลีเม็ดกลม เจ้าก้อนเล็กๆนั้นลอยตัวอยู่บนซุปร้อน มาวินไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่มันดูคล้ายข้าวต้มในโลกมนุษย์ ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะสวาปาม ด้วยถูกความหิวบงการจิตใจ นาทีต่อมา จานใบนั้นก็กลับกลายเป็นว่างเปล่า
“ เค็มไปนิด แต่ก็อร่อยใช้ได้ รสชาติคล้ายข้าวต้มบ้านเราแฮะ มีอีกจานมั้ยเนี่ย ” เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียปาก เขาพึงพอใจในอาหารมื้อนี้
…………………….
เวลาย่างเข้าสู่หัวค่ำ บรรยากาศเริ่มมืดครึ้ม มาวินจึงยันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เพื่อไปปิดหน้าต่าง จะได้ป้องกันลมหนาวยามดึก หลังจากนั้นก็กลับมานอนที่เตียง
“ อู้ย.....ปวดไปทั้งตัวเลย นี่คือผลจากการโดนแสงสีดำนั่นใช่มั้ย ” เด็กหนุ่มร้องครางเบาๆ เขาสงสัยว่าทำไมถึงปวดร้าวขนาดนี้ ทั้งๆที่ร่างกายปรากฏบาดแผลเพียงเล็กน้อย ระหว่างนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออกมาช้าๆ
“ แอ๊ด…. ”
มาวินเงยหน้ามองบุคคลที่กำลังเข้ามา เขาคือชายวัยกลางคน ร่างสูงผอม ใบหน้ามีหนวดเคราปกคลุมถึงปลายคาง เส้นผมสั้นๆบนศีรษะเป็นสีเทา คนผู้นี้เปิดยิ้มกว้าง พร้อมกล่าวทักด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ ตื่นแล้วเหรอ พ่อหนุ่ม ”
เด็กหนุ่มเอ๋ออยู่แวบหนึ่ง ก่อนตอบกลับ
“ อืม ตื่นแล้วล่ะ ลุง ว่าแต่ที่นี่คือ…..”
“ ที่นี่คือหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่า.....ลูกากู ” ชายกลางคนตอบกลับ สีหน้ายิ้มแย้ม
“ เหอๆ งั้นขอถามบ้างนะ หลังจากต่อสู้กับไอ้โล้นยิงแสง (โกส) ชั้นหลับไปกี่ชั่วโมง ” เด็กหนุ่มถามเพลียๆ
ชายกลางคนตรึกตรองนิดหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าไอ้โล้นยิงแสงคือใคร หลังจากคิดออก เขาก็ตอบคำถามของเด็กหนุ่ม
“ อืม…..ก็ประมาณ 3 วัน ”
“ อ้อ แค่ 3 วัน เฮ้ย……ตั้ง 3 วันเลยเหรอ ลุง ” มาวินรับคำเบาๆ ก่อนสะดุ้งตกใจ
“ จริงตามนั้น ว่าแต่เรายังไม่รู้จักกันเลยนะ ลุงชื่อ อีริก เมนสัน เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เธอล่ะ ชื่ออะไร ” ชายกลางคนแนะนำตัว ก่อนจับมือของมาวิน เพื่อทักทาย
“ เอ่อ…. ชั้นชื่อ มาวินน่ะ ” เด็กหนุ่มเขย่ามือกลับ พลางแนะนำตัวเองแบบงงๆ
“ อืม… ก่อนจะพูดเรื่องอื่น ขอกล่าวบางอย่าง ในฐานะที่ชั้นเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ขอบใจเธอมากที่สามารถขับไล่อันธพาลกลุ่มนั้นได้ พวกเราลำบากจากการถูกกดขี่มานาน ทีนี้จะได้อยู่อย่างสงบซักที ขอบคุณจริงๆ ” หัวหน้าหมู่บ้านเขย่ามือแรงขึ้น ขอบตาแดงก่ำ คล้ายจะร้องไห้ แต่เด็กหนุ่มไม่รู้สึกตื้นตันไปด้วย ในใจแอบขบคิด
“ รู้แล้วว่าอยากขอบใจ แต่ช่วยหยุดเขย่ามือซักที ชั้นเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้ว ขอร้องเถอะนะ ”
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเด็กหนุ่มเริ่มรำคาญ ถึงกระนั้น ชายกลางคนก็ชดเชยด้วยการยกสำรับชุดใหญ่มาเสิร์ฟ ในนั้นมีทั้งอาหารร้อนอาทิเช่นข้าวต้มประหลาดที่เพิ่งกินเมื่อตอนกลางวันและเนื้อแปลกๆที่มีสีออกไปโทนแดง ตามด้วยองุ่น มะม่วง สับปะรด
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมปฏิเสธความหวังดีของเจ้าบ้านแน่ๆ เขาจึงยัดอาหารทั้งสำรับเข้าสู่กระเพาะ สุดท้ายก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก นับว่าเป็นการรับประทานที่ชวนให้สุนัขร้องไห้จริงๆ
……………………….
มาวินหลับอย่างสบายอารมณ์ เตียงหนานุ่มและผ้าห่มอันอบอุ่น ประกอบกับอากาศบริสุทธิ์ของบ้านแถบชนบท สร้างความสงบสุขให้กับเด็กหนุ่ม พอถึงเช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆก็สาดผ่านมู่ลี่หน้าต่างเข้ามา มันแยงตาจนทำให้เขาตื่นจากนิทรา
“ หาว....... ” เด็กหนุ่มยกสองแขนขึ้นสูง เพื่อบิดขี้เกียจ เขาเริ่มขยี้ตา แล้วหันซ้ายแลขวา เพื่อดูเวลา
“ กี่โมงกี่ยามแล้ว นาฬิกาอยู่ไหนกันนะ ”
เด็กหนุ่มมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก็จำได้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่โลกมนุษย์ แล้วจะมีนาฬิกาตั้งโต๊ะได้ยังไง จึงเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืน เพื่อออกไปสูดอากาศข้างนอก ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น ก็รู้สึกสูญกำลังและเจ็บปวดอยู่นิดๆ เลยก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าและยากเย็น
“ พักตั้งคืนหนึ่งแล้ว ยังไม่หายอีก ท่าทางจะหนักกว่าที่คิด หรือเราจะชนกับรถสิบล้อมาจริงๆ ” เด็กหนุ่มนึกหงุดหงิดที่ไม่อาจใช้ร่างกายได้ตามประสงค์ ทันใดนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นไม้พลองยาวขนาดเกือบเท่าตัวคน
“ เอ๊ะ เยี่ยมไปเลย เจอของดีเข้าให้แล้ว ” เด็กหนุ่มยิ้มหน้าบาน เขาหยิบไม้ยาวมาไว้ในมือ เพื่อใช้ยันกาย
พอประตูเปิดออก เด็กหนุ่มก็พบกับห้องรับแขกที่ประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนประเภทไม้แบบง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ผนังมีเครื่องมือทำเกษตรกรรมวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
“ ที่นี่คือบ้านของใคร ”
แม้มาวินจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่นาน เขาก็อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกตามประสาลิงที่อยู่ไม่สุข จึงเริ่มเขยกกายไปพร้อมไม้ค้ำยัน
มาวินเขยกไปตามทาง พอถึงประตูไม้ไร้ลวดลาย เด็กหนุ่มรู้ทันทีว่านี่คือปรากการด่านสุดท้าย เขาจึงเอื้อมมือไปเปิดมัน
“ แอ๊ด….. ”
ทันทีที่ประตูเปิดออก แสงแดดแรงกล้าจากภายนอกก็สาดส่องเข้ามาจนต้องหรี่ตาลง เพราะเขาอยู่ในห้องมานานเกินไป
มาวินยกมือขึ้นป้องหน้าผาก เพื่อบังแสงแดด เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็แสบตาน้อยลง ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มพบว่าตนกำลังยืนอยู่กลางชนบท มีบ้านไม้สร้างแบบง่ายๆอยู่หลายหลัง ต้นไม้หลากชนิดยืนต้นเป็นระยะ สายลมปะทะใบหน้า เมื่อนำมาผสมกับเสียงนกร้องเบาๆราวกับดนตรีธรรมชาติ ทำให้รู้สึกอิ่มใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันทั้งสงบสุขและเรียบง่าย
“ อืม……รู้สึกดีจังเลย ” เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นฟ้า พลางหลับตา เพื่อให้ใบหน้าเรียวเล็กได้สัมผัสลมเย็นอย่างเต็มที่
ขณะที่มาวินกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ เขาก็รู้สึกว่าหมู่บ้านนี้เงียบเกินไป มันผิดปกติเอามากๆ เพราะในยามเช้าแบบนี้ ควรเป็นเวลาที่ชาวบ้านออกหากิน แต่กลับไม่พบผู้คน ระหว่างที่สงสัยอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงผู้คนโห่ร้อง มันดังมาจากที่ไหนซักแห่ง
“ เฮ้ เฮ้ เฮ้ ”
“ ใครมาร้องเอะอะโวยวายแถวนี้ ” เด็กหนุ่มหัวเขียวตัดสินใจ เขยกไปตามทิศทางที่เกิดเสียง
มาวินเขยกได้ไม่นาน เขาก็ถึงจุดเกิดเหตุ สถานที่นั้นก็คือ……ลานกว้างกลางหมู่บ้าน มีเหล่าชาวบ้านราวๆ 50 คนรวมตัวกันอย่างหนาแน่น
“ เอ๋.....เขากำลังทำอะไรกัน ” เด็กหนุ่มมองไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงห้าวๆของสาวคนหนึ่ง มันฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“ เอาล่ะ กระบวนท่าที่ 1 แมวป่าหัดเดิน ”
เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าใครคือเจ้าของเสียง ย่อมหนีไม่พ้นเหมยลี่ เด็กสาวยอดกังฟูเป็นแน่ ทันใดนั้นเอง เหล่าชาวบ้านก็ก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนปล่อยหมัดตรงและตะโกนดังอย่างพร้อมเพรียง
“ เฮ้ ”
เด็กหนุ่มถึงกับใบ้รับประทาน อาจารย์สาวของเขากำลังฝึกวิทยายุทธ์ให้เหล่าชาวบ้าน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ก็พบว่าในกลุ่มนั้นมีทั้งคนแก่ ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว แม้กระทั่งเด็ก 7 ขวบก็ยังมาฝึก ทำให้ดูขบขันและชื่นชมในเวลาเดียวกัน
“ ฮะๆ ยัยโย่งเกณฑ์คนมาฝึกทั้งหมู่บ้านเลย แน่จริงๆ ” มาวินหัวเราะเบาๆ
“ กระบวนท่าที่ 2 แมวป่าคืนรัง ” เด็กสาวตะโกนดังจนก้องบริเวณ เหล่าชาวบ้านก็ดีดตัวถอยหลัง พลางยกเท้าเตะสูงอย่างฉับพลัน แม้จะเป็นกระบวนท่าที่ยากพอสมควรสำหรับผู้ฝึกใหม่ แต่พวกเขาก็ออกท่าทางได้อย่างพร้อมเพรียง ทำให้มาวินรู้สึกทึ่งมิใช่น้อย
“ โอ้โห ฝึกได้ถึงขั้นนี้เลยเหรอ ไม่เบาแฮะ ”
มาวินยืนดูอยู่ครู่ใหญ่ การฝึกซ้อมก็จบลง ทันใดนั้นเอง ก็มีเด็กชายอายุราวๆ 10 ขวบหันมาเห็น ผู้เยาว์จึงร้องบอกพ่อของตนเอง
“ พ่อๆ….. นั่นพี่มาวินนี่นา เขาฟื้นแล้ว ”
สิ้นเสียงร้อง ทุกคนในกลุ่มพากันหันขวับมาที่มาวิน ทำให้เด็กหนุ่มผวาเฮือกใหญ่ ภายในรู้สึกถึงลางอัปมงคล
“ ซวยแล้วสิ พวกนั้นจะมาไม้ไหนกันนะ ” เด็กหนุ่มรำพันกับตัวเองเบาๆ ใบหน้าเล็กเรียวเริ่มซีดเซียว
เวลาต่อมา เหล่าชาวบ้านก็ตรงมาที่เด็กหนุ่มพร้อมกัน ใบหน้าของทุกคนดูบ้าคลั่ง เขาเลยถอยหนี แต่ไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่
“ เอ๊ะ ติดต้นไม้ ” เด็กหนุ่มเหลียวหลังไปมอง จังหวะที่หันกลับมา เขาก็พบว่ากลุ่มชาวบ้านกว่าครึ่งร้อยได้มายืนรายล้อมเป็นที่เรียบร้อย
“ ไม่รู้ว่าไปทำผิดอะไร เขาถึงมารุมกระทืบเรา ไม่ได้การ ต้องรีบขอโทษ ” มาวินนึกผวาอยู่ในใจ จังหวะที่เด็กหนุ่มเตรียมยกมือไหว้ ชายร่างยักษ์ซึ่งมีหนวดเคราเฟิ้ม ก็ก้าวเข้ามาประชิด เพื่อทำบางสิ่งที่คาดไม่ถึง
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ