The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) ม้าคู่ใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://www.pexels.com
ขวานคมกริบถูกฟาดลงมาที่กบาลของมาวิน
“ แว้ก…… ” เด็กหนุ่มร้องดังด้วยอาการเสียขวัญ แต่ก็หลบคมขวานได้อย่างหวุดหวิด
“โครม ”
ขวานด้ามโตจามเข้าไปที่ลังไม้ ด้วยความแรงในการฟาดฟัน ทำให้ลังนั้นถึงกลับแตกเป็นเสี่ยงๆ
พอชายหน้ากากเหล็กเห็นว่าขวานคู่ใจพลาดเป้า เขาก็ค่อยๆหันหน้ากลับมาประจัน จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยช้าๆด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“ จ่ายค่าเสียหายมา ”
“ ใจเย็นๆก่อน พี่ชาย ตอนนี้ชั้นยังไม่มีเงิน แต่จะพยายามหาเงินมาจ่ายค่าซ่อมกำแพงให้ ” มาวินพยายามเจรจาต่อรอง แต่ดูเหมือนคำวิงวอนจะไม่สามารถหยุดยั้งชายหน้ากากเหล็กให้ยกขวานขึ้นสูง ปากก็ขยับช้าๆ เพื่อตอกย้ำเจตนาเดิม
“ จ่ายค่าเสียหายมา ”
“ ซวยแล้ว ” มาวินหน้าเสีย ในใจคิดว่าหมอนี่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือจะฆาตกรรมคนกันแน่ ทันใดนั้นเอง ขวานด้ามโตก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้เด็กหนุ่มต้องกระโดดถอยหลังสุดกำลัง เพื่อพาตัวเองให้พ้นระยะของศาสตรา
“ แฮ่กๆ สมกับเป็นพ่อค้าอาวุธ ใช้ขวานได้โคตรเทพเลย อีแบบนี้ ไม่เอาจริงไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องงัดท่าไม้ตายสูงสุดขึ้นมาใช้ ” มาวินหอบถี่ พลางคิดแผนเผด็จศึก
ชายหน้ากากเหล็กยืดตัวจนสุดกาย จากนั้นก็คำรามดัง พร้อมพุ่งเข้าใส่มาวิน
“ จ่ายค่าเสียหายมา ”
ก่อนที่ชายหน้ากากเหล็กจะเข้าถึงตัว มาวินก็เกร็งกายและกู่ก้องร้องตะโกน
“ ว้าก...... ท่าไม้ตาย.....มังกรทลายฟ้าทะยานดิน ”
เสียงดังของมาวิน ส่งผลให้ชายหน้ากากเหล็กชะงักงันและหันมาระวังตัว เพื่อเตรียมรับท่าไม้ตายสูงสุด (แค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว)
วินาทีต่อมา มาวินก็รีบหันหลังกลับและวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงฝุ่นจากปลายรองเท้า
พอชายหน้ากากเหล็กได้เห็นท่าไม้ตายในตำนาน เขาก็นิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะกล่าวออกมาเบาๆ ท่าทางดูหงอย คล้ายหมาเหงาในหน้าหนาว
“ จ่ายค่าเสียหายมา ”
……………………….
มาวินวิ่งห้อจนสุดฝีเท้า ด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา ทำให้ถึงอีกฟากหนึ่งของเมืองอย่างรวดเร็ว ทันทีที่หนีพ้น เด็กหนุ่มก็ก้มกาย พร้อมหอบหายใจแรง
“ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก โคตรน่ากลัวเลย ตกลงมันเป็นพ่อค้าอาวุธหรือเจสัน วอร์ฮีส์กันแน่ พูดแล้วเสียวสันหลัง มันวิ่งตามเรามารึป่าวฟะ ” มาวินพูดจบ เขาก็เหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางหวาดระแวง
“ ไม่ตามมาหรอก ชั้นสำรวจรอบๆแล้ว ” เสียงห้าวที่คุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง พอมาวินหันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้ที่ร้องทักคือเหมยลี่ เขาจึงรีบรุดเข้าไปโวย
“ เธอหายไปไหนมา ชั้นเกือบถูกไอ้หน้ากากเหล็กฆ่าตายคาร้านแล้ว ”
“ แต่นายก็รอดมาได้ นับว่าเก่งไม่ใช่เล่น ” เด็กสาวร่างสูงชมเชย สีหน้าตายด้านดุจเดิม
“ ฮะๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอก เฮ้ย ไม่ใช่ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ” ใบหน้าของมาวินแดงก่ำด้วยความเขินอายอยู่แวบนึง ก่อนย้อนกลับมาโกรธ เพราะจดจำได้ว่าตนเพิ่งถูกทิ้งให้ผจญกับเจ้าของร้านมหาภัยตามลำพัง ถึงกระนั้น เหมยลี่ก็ไม่คิดจะสนใจ เธอหันหลังกลับ พร้อมกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“ ไม่มีอะไรแล้ว จุดหมายต่อไปคือ….ร้านขายม้า ”
มาวินมองเหมยลี่ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ แววตาส่อประกายอาฆาต แต่สุดท้าย เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากแสดงอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและบ่นงึมงำ
“ ฝากไว้ก่อนเถอะ ยัยโย่งตัวแสบ ”
………………………..
หลังจากเดินได้ครู่ใหญ่ สองวัยรุ่นก็มาถึงเมืองฝากตะวันออก อันเป็นโซนที่ค้าขายพาหนะ ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว มีคอกกั้นสัตว์แยกออกเป็นสัดส่วน บางร้านที่ไม่มีคอก ก็จะผูกสัตว์พาหนะไว้กับเสาขนาดใหญ่หน้าร้าน แต่ละร้านล้วนมีพาหนะยอดฮิตอย่างม้า แต่ถ้าลูกค้าชอบพาหนะที่บังคับง่าย ก็มีลาคอยให้บริการ หรือถ้าสนใจพวกอึดๆ เดินทางไกล ก็มีอูฐให้เลือกใช้
“ เจ้านาย ร้านข้าเด็ดมาก มีทั้งม้า ลา ล่อ อูฐ กระทั่งยีราฟก็มีนะ ”
“ สนใจม้าแข่งฝีเท้าดี เชิญทางนี้เลย นายท่าน ”
“ ม้าแม่พันธุ์ชั้นดี ลูกดกทั้งปี ทางนี้เลยจ๋า ”
บรรดาพ่อค้าต่างกรูเข้ามารุมล้อม ปากก็โฆษณาสรรพคุณสินค้าของร้านตัวเอง
วัยรุ่นทั้งสองรู้สึกว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ ทุกคนที่รุมล้อมล้วนโพกผ้า ใส่เสื้อผ้ารุ่มร่าม แถมยังมีเคราดกคล้ายแขก ตามเนื้อตัวมีกลิ่นคลื่นเหียน ชวนอาเจียน เนื่องจากคนเหล่านั้นมีอาชีพที่ต้องคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง
“ โอ้โห.... ตกลง พวกนี้จะเสนอสินค้า หรือลากเราไปรุมฆ่ากลางป่า ทำไมตื้อลูกค้าได้ดุเดือดปานนี้ ยัยโย่งช่วยที อ้าว.... เฮ้ย หายไปอีกแล้ว ” มาวินร้องโวย พลางหันไปขอความช่วยเหลือ แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
“ แหม.... ยัยนี่ มันนกรู้จริงๆ ” มาวินเกาหัวแกรกๆ ร่างเล็กบางถูกเหล่าพ่อค้ากระชาก ลาก ถูอย่างเมามัน
ขณะที่มาวินกำลังตกอยู่กลางวงล้อมของกลุ่มพ่อค้าสายตื้อ เขาก็ได้ยินเสียงห้าวๆจากทางด้านบน
“ เฮ้ ชั้นอยู่ทางนี้ โดดขึ้นมา ”
มาวินเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับเหมยลี่ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังคา เลยทำให้ยิ้มขึ้นมาได้
“ ฉลาดนี่ ยัยโย่ง ”
พอมาวินพูดจบ เขาก็กระโดดสุดแรง เด็กหนุ่มลอยตัวสูงถึงสี่เมตร ก่อนจะใช้เท้าเหยียบกำแพง แล้วถีบตัวให้พุ่งทะยานขึ้นไปอีก สุดท้ายก็สามารถกระโจนขึ้นไปยืนเท่ๆบนหลังคาได้สำเร็จ
“ ตามไปเร็ว หมูหนี เฮ้ย ไม่ใช่ ลูกค้าหนีไปแล้ว รีบตามไป ” เหล่าพ่อค้าหน้าแขกพากันโหวกเหวกโวยวาย บางรายเอาจริงเอาจังจนถึงขนาดพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อปีนตาม
“ โห..... นี่พ่อค้าอะไรเนี่ย ” มาวินทำหน้าแหยๆ ในใจนึกกลัวเมืองนี้
“ เรื่องธรรมดา สาเหตุที่พ่อค้าแย่งกันขนาดนี้ เพราะที่นี่คือเมืองแห่งการเริ่มต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่พวกเลเวลต่ำ ไร้สกิลขี่ม้า ลูกค้าเลยน้อย การแข่งขันจึงค่อนข้างสูง ไปกันเถอะ ชั้นมีร้านประจำที่ไว้ใจได้ ” เหมยลี่อธิบายเนือยๆ ก่อนวิ่งนำ
“ ฮะๆ ว่าไงก็ว่าตามกัน ” มาวินมองพ่อค้าคนหนึ่งที่พยายามปีนเสาขึ้นมา ก่อนจะวิ่งตามเด็กสาวไปในทันที โดยมีเสียงร้องเรียกจากเหล่าพ่อค้าเป็นรีวิวประกอบฉาก
“ กลับมาก่อน คุณลูกค้า ผมมีม้าดีจริงๆนะ ”
……………………..
เหมยลี่วิ่งไปตามหลังคาร้านค้าและบ้านเรือนที่ตั้งติดกัน ท่าทางดูช่ำชอง แต่มาวินก็ไวพอจะไล่ทัน ไม่นานนัก เด็กสาวก็มาถึงร้านค้าหลังสุดท้าย ซึ่งอยู่ห่างไกลจากใจกลางเมือง ละแวกนั้นค่อนข้างร้างราผู้คน เนื่องจากเป็นดินแดนที่ติดกับกำแพงฝั่งตะวันออก นอกเขตเมืองมีภูเขาสูงขวางกั้น จึงทำให้เส้นทางสายนี้ ไม่มีผู้ใดสัญจรไปมา
ร้านค้าหลังสุดท้ายทำมาจากไม้ กว้างประมาณห้าคูหา หลังคาเป็นทรงสูงที่มุงกระเบื้องแดง บริเวณรอบๆอุดมไปด้วยกองฟาง อันเป็นเสบียงหลักของสัตว์พาหนะ
“ โอ้โห..... ร้านนี้ใหญ่กว่าร้านอื่นซักสามเท่าตัว แต่มาอยู่ในที่ร้างคนแบบนี้ น่าจะเจ๊งแล้วล่ะมั้ง ” มาวินมองไปรอบๆ เขาเห็นเพียงทหารยามสองนายประจำอยู่ตรงด่านตรวจ หนึ่งในนั้นกำลังอ้าปากหาวแบบยาวๆ เพื่อบรรเทาอาการง่วงนอน
เหมยลี่เดินไปที่ร้านขายม้า ซึ่งมีชายวัยฉกรรจ์กำลังหอบหญ้ามาวางไว้หน้าคอก คนผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นเกรียน เคราหนาดก ร่างขนาดบิ๊กไซร์ถูกซ่อนในเสื้อผ้าป่านราคาถูก ดูเผินๆเหมือนชาวนาทั่วไป แต่ถ้าพินิจอย่างละเอียด ก็พบว่านายคนนี้ไม่เหมาะกับการเป็นชาวนาซักเท่าไหร่
พอสองวัยรุ่นมาถึงระยะที่คุยกันได้ เหมยลี่ก็ร้องทัก
“ จางสิน สบายดีรึ ”
ทันทีที่ชายผู้นั้นได้ยินเสียง เขาก็หันขวับมาทางเด็กสาว พอสบตากัน แววตาที่แข็งกร้าวก็คลายตัว ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย คล้ายกับคนที่กำลังสะเทือนใจอย่างรุนแรง เวลาต่อมา ก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน
“ ฮือ..… ” ชายร่างยักษ์ร้องไห้ฟูมฟายเป็นการใหญ่ พร้อมพุ่งเข้ามากอดเอวบางของเด็กสาวร่างสูง
“ อย่าร้องไห้สิ จางสิน สงบใจไว้ ” เหมยลี่เริ่มหน้าแดง นี่ถ้าเป็นกลางตลาดซึ่งมีคนพลุกพล่าน เธอคงจะอายมากกว่านี้ ส่วนมาวินได้แต่นิ่งอึ้ง ในใจแอบขบคิด
“ แบบนี้ ก็มีด้วย หมอนี่เป็นใครกันนะ ”
เหมยลี่ใช้เวลาปลุกปลอบจางสินอยู่พักใหญ่ ชายร่างน้องๆหมีควายจึงเริ่มสงบ
“ อึกๆ จางดีใจมากที่ได้พบท่าน ไม่ทราบว่า....อง เอ๊ะ เหมยลี่ ไปยังไงมายังไง ถึงมาอยู่ในเมืองนี้ ”
“ ชั้นก็แค่พเนจรไปเรื่อยๆ บังเอิญมาเจอเจ้าลิงหัวเขียวตัวนี้ เลยต้องพามาด้วย ” เหมยลี่แนะนำมาวินให้จางสินรู้จัก ชายร่างยักษ์พยักหน้า พร้อมยิ้มให้ตามมารยาท
“ นี่ ยัยโย่ง จริงๆแล้ว ชั้นชื่อมาวิน นะ ” มาวินสะกิดไหล่เหมยลี่ พร้อมเตือนให้แนะนำตัวใหม่ แต่เด็กสาวไม่ใส่ใจ
“ อืม…… เข้าใจแล้ว เชิญท่านทั้งสองเข้ามาก่อน ” จางสินเชื้อเชิญอาคันตุกะทั้งสอง
ภายในห้องรับแขกถูกประดับไปด้วยโต๊ะ ตู้ เตียงที่สลักลายสไตค์จีนโบราณ ทำให้ดูคล้ายโรงเตี๊ยมในหนังจีนกำลังภายใน
“ โห……อย่างกับหลุดเข้ามาในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้เลย เจ๋งมาก พี่จาง ” มาวินอุทานดัง ท่าทางบ่งบอกว่าทึ่ง
จางสินหันมามองเหมยลี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถาม ทำนองที่ว่า……..เด็กหนุ่มหัวเขียวคนนี้ปกติดีมั้ย
พอเหมยลี่เห็นสายตาของจางสิน เธอรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคิดอะไร จึงส่ายหัวไปมา พร้อมตอบกลับไปเบาๆแค่พอได้ยิน
“ หมอนี่ไม่เป็นอะไรหรอก อากาศคงร้อนเกินไป เลยคุ้มดีคุ้มร้ายแบบนี้ ”
จางสินจับจ้องไปที่มาวิน ซึ่งบัดนี้กำลังสำรวจรอบห้อง พอเด็กหนุ่มเจอสิ่งของที่ชอบใจ เขาก็ร้องฮือฮาในลำคอ ทำให้ชายร่างยักษ์รู้สึกเวทนา
“ เฮ้อ……. ไม่น่าเลย ยังเด็กอยู่แท้ๆ วิกลจริตไปซะแล้ว ”
จางสินและเหมยลี่ปลงอนิจจาให้กับอาการวิกลจริตของมาวินอยู่พักหนึ่ง ชายร่างยักษ์ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นงานเป็นการ
“ แล้วที่ท่านมาซื้อม้าในครั้งนี้ แสดงว่ามีวัตถุประสงค์ที่จะเดินทางอย่างเร่งด่วนล่ะสิ ”
“ ใช่แล้ว เป้าหมายที่จะเดินทางอยู่ไกลมากและเราต้องการไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด เลยจำเป็นต้องใช้ม้า ” เหมยลี่ตอบ พลางจิบน้ำชาที่จางสินรินให้
“ อืม..... ” จางสินกอดอก พร้อมขบคิด เหมยลี่จึงถามต่อ
“ แล้ว……จางสินพอมีม้าฝีเท้าดีให้พวกชั้นบ้างมั้ย ”
“ ว่าแล้วว่า อง เอ๊ะ เหมยลี่ต้องการแบบนี้ ข้ามีม้าตัวหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าควรเสนอให้ท่านดีมั้ย ” ชายร่างยักษ์ตอบตะกุกตะกัก คล้ายพยายามระวังคำพูดอย่างหนักหน่วง
“ ทำไม ม้าตัวนั้น มันแก่ชราเกินไปหรือเป็นม้าเกรดต่ำรึไง ” เหมยลี่ย้อนถาม
“ ไม่ใช่หรอก จริงๆแล้ว มันเป็นม้าศึกพันธุ์ดี แต่ข้ากลัวว่าท่านจะไม่สามารถบังคับได้ เพราะมันพยศเหลือเกิน ” จางสินตอบกลับ สีหน้าแฝงแววกังวล
“ อืม..... ” ถึงคราวที่เหมยลี่ต้องขบคิดบ้าง แต่ไม่นาน เธอก็ตัดสินใจไปดูม้าพันธุ์ดี
“ เอาล่ะ ชั้นขอไปดูม้าศึกตัวนั้นก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ”
…………………………
ทั้งสามมาถึงโรงเลี้ยงม้า ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังบ้านพัก มันมีสภาพคล้ายโรงนาขนาดใหญ่ บรรยากาศตลบอบอวลด้วยกลิ่นสาบสัตว์ มีการแบ่งคอกด้วยการซอยเป็นห้องเล็กๆขนาด 4 X 2เมตรจำนวนนับสิบ แต่ละห้องจะมีม้าประจำอยู่หนึ่งตัว ช่วงที่เดินผ่านพวกมัน มาวินจะส่งเสียงฮือฮา ประมาณว่าตื่นเต้นดีใจ
“ โห.... นี่ก็ม้า โน่นก็ม้า ว้าว....อยากขี่เล่น อยากรู้จังว่าจะมันกว่าขี่มอเตอร์ไซด์มั้ย ” เด็กหนุ่มพล่ามเรื่อยเปื่อยไปตลอดทางจนเพื่อนร่วมทางรู้สึกรำคาญ
ทั้งสามเดินเข้ามาจนสุดทาง ก็ประจักษ์กับคอกม้าขนาดใหญ่ มันกว้างกว่าคอกอื่นถึงสองเท่า แถมยังตั้งอยู่โดดเดี่ยว
ภายในคอก มีม้าขาวยืนเด่นเป็นสง่า ขนที่แผงคอปลิวไสวไปตามแรงลม ดวงหน้ายาว แลองอาจสมชาติอาชาไนย ทว่าดวงตากลับดูไม่เป็นมิตรและไว้ตัวอย่างร้ายกาจ ขณะนี้ มันกำลังจ้องมายังผู้มาเยือนทั้งสามแบบไม่วางสายตา
“ ว้าว…ม้าตัวนี้ดูเท่สุดๆไปเลย อย่างกับสัตว์ลึกลับในเกมออนไลน์ที่ต้องเติมเงินเท่านั้น ถึงจะซื้อได้ ” ดวงตาของมาวินลุกวาว บ่งบอกถึงความอยากได้อย่างรุนแรง
เหมยลี่และจางสินมองหน้ากันเอง ทั้งสองรู้สึกงุนงง เพราะไม่เข้าใจว่ามาวินพูดถึงอะไร แต่ต่อมา เด็กสาวก็บุ้ยปากเป็นเชิงบอกใบ้ว่า…..อย่าไปสนใจเลย
ระหว่างนั้นเอง มาวินก็จับมือของเหมยลี่เขย่าแรงๆ พร้อมรบเร้าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ นี่ ยัยโย่ง ซื้อม้าตัวนี้ให้ทีดิ ชั้นอยากได้ นะ นะ นะ..... ชั้นขอร้อง ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ