The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) วิ่งสู้ฟัด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เครดิตภาพจาก https://www.lifeofpix.com
กาสเซ่รู้สึกผิดสังเกตหลายอย่าง เขาคาดในตอนต้นว่าศัตรูอาจมีหลายคน เพราะทิศทางการจู่โจมค่อนข้างหลากหลาย เมื่อดูจากน้ำหนักของหินที่พุ่งเข้ามา ผู้ลงมือน่าจะมีวรยุทธ์ติดตัว นอกจากนี้ หนึ่งในกลุ่มศัตรูยังชอบอาศัยจังหวะที่พลพรรคโจรสับสน เพื่อดอดเข้ามาอัดอย่างรวดเร็ว แล้วล่าถอย หัวหน้าโจรจึงแก้เกมด้วยการออกคำสั่งเสียงดัง
“ ทุกคนหยุดแตกตื่น ชักไม้พลองขึ้นมา แปรขบวนเป็นรูปวงกลม แล้วหันหลังชนกัน คอยระวังข้าศึก ”
เหล่าโจรในสังกัดดูเหมือนจะถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่ได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ปฏิบัติตามได้อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กำลังพลที่เหลืออยู่ประมาณ 50 คนก็ตั้งรูปขบวนเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนดูมีขวัญกำลังใจและสติที่ตั้งมั่นยิ่งขึ้น
“ ว่ายังไง ไอ้หนูผี พวกข้าตั้งรับเรียบร้อยแล้ว เข้ามาลุยกันซึ่งหน้าเลยดีกว่า ” กาสเซ่ตะโกนท้าทาย เสียงดังกังวานก้องป่า เขาไร้ความกลัวโดยสิ้นเชิง เพราะยามนี้มีเพียงหัวหน้าโจรร่างใหญ่ที่ยืนโดดเดี่ยว ไม่รวมกลุ่มกับใคร
ป่าดูเงียบสงบ ไร้สรรพสำเนียงใดๆ อันธพาล 50 นายล้วนอยู่ในอาการเคร่งเครียด มือทั้งสองกระชับไม้พลองมั่น เพื่อเตรียมรับกับการโจมตีจากศัตรูปริศนา ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงแหวกอากาศ กระสุนหินพุ่งเข้าใส่อันธพาลนายหนึ่งทางทิศเหนือ
“ เฮ้ย ” อันธพาลคนนั้นร้องได้คำเดียว ก่อนจะหลับตาปี๋ แต่เขาก็ร้องเสียเที่ยวเปล่า เนื่องจากพรรคพวกรอบข้างใช้ไม้พลองยาวปัดกระสุนหินได้ทัน
“ เปรี้ยง ”
ทันทีที่หินก้อนนั้นหล่นกระทบพื้น มันก็แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะเดียวกัน ลูกน้องคนหนึ่งที่ตาดีถึงกลับร้องโพล่งออกมา
“ ลูกพี่ มันอยู่บนต้นไม้ หินพุ่งมาจากยอดไม้ต้นนั้น ”
แม้ลูกน้องผู้ตาดีไม่บอก กาสเซ่ก็มองเห็นอยู่แล้ว เพราะจับตาดูการโจมตีของศัตรูปริศนาอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเริ่มปรากฏ เวลาต่อมา เขาก็ตะโกนท้าทายต่อ เพื่อยั่วยุข้าศึก
“ ว่ายังไง กระสุนหินของแกทำอะไรไม่ได้แล้ว ออกมาลุยกันตรงๆดีกว่าน่า…… ไอ้ขี้ขลาดตาขาว ”
ศัตรูผู้เร้นกายไม่ได้ตอบกลับ มีเพียงเสียงใบไม้ไหวอยู่แผ่วๆ ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงแหวกอากาศ พร้อมกระสุนหินที่พุ่งเข้ามา คราวนี้มันถูกยิงจากทางทิศใต้
“ เฮ้ย มันมาอีกแล้ว ” ลิ่วล้อที่ถือไม้พลองทางทิศนั้นช่วยกันปัดป้องกระสุนหิน
เหล่าสมุนเริ่มยิ้มได้ เพราะอาวุธของศัตรูปริศนากำลังจะกลายเป็นหมัน ถึงกระนั้นอริร้ายก็ไม่วายที่จะโจมตีต่อ ซักพักก็มีกระสุนหินปลิวมาจากทิศตะวันตก แต่ลิ่วล้อที่ประจำอยู่ทางนั้น ก็ปัดป้องไว้ได้อีก
แม้กาสเซ่จะเป็นนักสู้ที่เน้นพวกมากและชอบใช้กำลังเข้าปะทะ แต่ก็ถือว่าเจนศึกอยู่พอสมควร เพียงเจอการโจมตีประหลาดไม่กี่ครั้ง เขาก็เริ่มจับทางได้ มองเผินๆ เหมือนศัตรูมีหลายคน แต่ในความเป็นจริง ศัตรูอาจมีแค่คนเดียว เพราะทุกครั้งที่อีกฝั่งโจมตีด้วยกระสุนหิน เสียงใบไม้ไหวจะดังขึ้นมาก่อน ถ้าข้าศึกมีหลายคน แล้วแยกกันประจำตามต้นไม้ ก็น่าจะโจมตีแบบเงียบๆ ไม่น่าก่อเสียงดังแบบนี้
“ หรือว่าศัตรูจะมีแค่คนเดียว มันลอบโจมตีด้วยการขว้างหิน จากนั้นก็กระโดดข้ามไปต้นอื่น เพื่อโจมตีต่อ เป็นการหลอกให้พวกเราคิดว่ามันมีกันหลายคน ” คิ้วเข้มๆของกาสเซ่กระตุกเล็กน้อย
สิ่งที่กาสเซ่คิดนั้นใกล้เคียงกับความเป็นจริง การที่หัวหน้าโจรร่างใหญ่ปรับเปลี่ยนมาใช้แผนตั้งรับ ทำให้มาวินลอบจู่โจมได้ยากยิ่งขึ้น และในตอนนี้ เขากำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่บนคาคบที่มีใบไม้ปกคลุมหนาทึบ
“ แฮ่กๆ เหนื่อยกับการโดดไปโดดมาบนต้นไม้เสียจริงๆ แถมบางครั้ง ยังต้องปีนลง เพื่อดอดเข้าไปอัดเจ้าพวกนี้ อีกอย่างก้อนหินที่เก็บมาก็เริ่มร่อยหรอแล้ว ” มาวินหอบไป บ่นไป เขาเริ่มหมดมุก ทว่าเด็กหนุ่มหัวเขียวไม่เคยคาดหวังว่าตนจะชนะในศึกนี้ เป้าหมายหลักก็คือ.....ถ่วงเวลาจนพระอาทิตย์ขึ้น เด็กสาวร่างสูงก็จะหายเป็นปกติ
มาวินไม่สนกระบวนทัพของเหล่านักเลงด้านล่าง ไม่สนคำท้าทายที่ดังขึ้นมาเป็นระยะ สิ่งที่สนใจมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือความปลอดภัยของเด็กสาวร่างสูง มีโอกาสสูงที่กาสเซ่จะสั่งให้ลูกน้องเข้าไปค้นถ้ำอีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดก็จะไร้ความหมาย จึงต้องขัดขวางหรือเบี่ยงเบนความสนใจของเหล่ามาเฟีย ทว่าในยามนี้กลับทำได้แค่กบดานอยู่นิ่งๆ เพื่อฟื้นฟูพลังงานที่สูญเสียไป ไม่กี่อึดใจ พละกำลังก็เริ่มกลับคืน มันรวดเร็วจนเขานึกแปลกใจ
“ โห….. พักแผล็บเดียว ก็เริ่มฟื้นตัว ต้องชมการติวเข้มของยัยโย่งจริงๆ ” เด็กหนุ่มหัวเขียวกล่าวชมจากใจจริง ก่อนจะเหลือบมองกลุ่มศัตรูที่รวมตัวอยู่ด้านล่าง
“ คอยดูฝีมือชั้นให้ดี ยัยโย่ง ” มาวินกล่าวออกมาเบาๆ น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ดวงตาเรียวเล็กเจิดจรัสเป็นประกายในบรรยากาศที่ขมุกขมัว
………………………..
ทุกสิ่งในป่าดูเงียบสงบ แต่บรรยากาศกลับหนักหน่วง เหมือนฟ้าโล่งก่อนเกิดพายุฝน เหล่าลิ่วล้อทั้ง 50 คนนิ่งขึ้ง ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปรอบๆด้วยอาการระแวดระวัง เพราะที่ผ่านมาสมาชิกในกลุ่มแก๊งได้ถูกภัยมืดเก็บจนร่วงล้มลงไปนอนกองราว 30 เศษ
พอความตึงเครียดเดินทางมาถึงขีดสุด ลิ่วล้อคนหนึ่งก็หมดความอดทน เขาร้องออกมาดังๆ
“ ลูกพี่กาสเซ่ ผมว่ามันน่าจะหนีไปแล้ว ไล่ตามมันไปดีกว่า ”
กาสเซ่นิ่งเงียบ ประสาทหูอันว่องไวไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งใดเลย เขาจึงตอบกลับแผ่วเบา
“ รอดูไปก่อน คิดว่ามันยังไม่ไปไหน ข้าไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของไอ้หนูผีนั่นมาพักใหญ่แล้ว ”
บรรดาลิ่วล้อพากันมองหน้าลูกพี่ พวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหัวโจกร่างใหญ่ดูใจเย็นกว่าที่ผ่านมา แต่ไม่นาน พวกเขาก็ละสายตาจากจุดเดิม เพื่อหันไปมองอาคันตุกะผู้มาใหม่
“ เฮ้ย นั่นไง ไอ้หนูผีของลูกพี่ มันปรากฏตัวออกมาแล้ว ” สมุนรายหนึ่งที่ปากไวหน่อย รีบเอ็ดตะโล
กาสเซ่หันไปมองเจ้าหนูผี ทันทีที่ได้เห็น ดวงตาก็ถึงกลับถลนและแฝงแววสงสัย เพราะบุคคลที่ปรากฏตรงหน้าก็คือ มาวิน เด็กหนุ่มหัวเขียวที่ตามหา
“ แกเองหรือ ไอ้เด็กเวร ” กาสเซ่อุทานในลำคอ
“ ใช่ ชั้นเอง เจ้ากอริลลา ” มาวินตอบกลับ พลางลอยหน้าลอยตาใส่ ท่าทางเต็มไปด้วยอาการทะเล้น คล้ายเจตนาจะยั่วเย้า
ทว่ากาสเซ่ไม่มีวี่แววโกรธเคือง ดวงตาเหลือบมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ เนื่องจากในตอนนี้ เรือนกายของเด็กหนุ่มอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อจนดูปราดเปรียวราวไฮยีน่าหนุ่ม แม้กระทั่งแววตาก็เด็ดเดี่ยวและมีประกายแรงกล้าซ่อนอยู่ภายใน
“ แกไปทำอะไรมา ไอ้เด็กหัวเขียว ” กาสเซ่ดูเลื่อนลอย เพราะยังงงๆกับพัฒนาการแบบก้าวกระโดดของมาวิน
“ เอ๊ะ ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่ฝึกหนักมาตลอดหนึ่งเดือนเท่านั้นเอง ” เด็กหนุ่มหัวเขียวตอบ ท่าทางดูงงไม่แพ้กัน
กาสเซ่นิ่งคิดอยู่ในใจ เพียงเดือนเดียว เด็กหนุ่มตรงหน้าสามารถฝึกฝนจนพัฒนาถึงขั้นนี้ ถ้าปล่อยให้มีชีวิตสืบไป มันอาจจะเก่งขึ้นจนเขาไล่ตามไม่ทัน ดังนั้นจึงมีทางเลือกเดียว นั่นก็คือ……..
“ ฆ่ามัน ”
ทันทีที่กาซเซ่ออกคำสั่ง เหล่าสมุนที่เหลือก็กรูเข้าใส่ เพื่อหวังฟาดไม้พลองยาวให้ตายคามือ เด็กหนุ่มหัวเขียวยิ้มรับอย่างใจเย็น ก่อนทำในสิ่งที่ทุกคนตกใจ นั่นก็คือ “วิ่งหนี”
“ เฮ้ย มันหนีไปแล้ว ตามมันไป ” เหล่าสมุนตะโกนดัง เมื่อเห็นเหยื่อที่หมายตาวิ่งหนี
“ ตามมันไป แล้วฆ่ามัน อย่าให้มันหนีไปได้ ” กาสเซ่ตะโกนสั่งเสียงขรม
เหล่าสมุนรีบจ้ำสุดกำลัง เพื่อวิ่งไล่ตาม แต่ก็ยากจะเข้าถึงตัว เพราะมาวินมีจุดเด่นที่ความเร็วมาตั้งแต่กำเนิด ยิ่งได้รับการฝึกอย่างหนักหน่วงจากยอดกังฟูสาว ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มมีความเร็วมากกว่าเดิม
“ หยุดนะ ” สมุนที่วิ่งตามหลังร่ำร้อง เสียงเริ่มขาดห้วง เพราะเหน็ดเหนื่อยเหลือประมาณ
เหมือนสวรรค์สาปนรกส่ง เด็กหนุ่มหัวเขียวหยุดวิ่งตามคำขอ แต่ก็ไม่หยุดเปล่า เขาหมุนตัวกลับมาเตะตัดขาสมุนที่วิ่งล้ำหน้า เป็นเหตุให้ผู้เคราะห์ร้ายถึงกับลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่
“ พลั๊ก ”
“ เฮ้ย มันหันกลับมาสู้แล้ว ” ลูกสมุนคนหนึ่งเบรกเท้าจนตัวโก่ง ปากก็ร้องตะโกนบอกพรรคพวกที่กำลังวิ่งตาม แต่พูดได้แค่นั้น มาวินก็พุ่งเข้าไปรัวกรงเล็บใส่ แน่นอนว่าลิ่วล้อนายนั้นไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย เพราะเขาไม่คิดว่าคนที่วิ่งหนีมาตลอด จะหันหลังกลับมาสู้แบบนี้ เมื่อกรงเล็บสุดท้ายถูกปลดปล่อย สมุนผู้นั้นก็ล้มลงไปนอนสิ้นสภาพ
“ เฮ้ย ล้อมมันไว้ ” พรรคพวกที่ตามมารีบตีวงล้อม ถึงกระนั้นก็ไม่อาจสกัดกั้นความว่องไวของมาวิน ไม่นาน ไฮยีน่าผู้ปราดเปรียวก็แหวกวงล้อมไปได้อีกครั้ง
“ เฮ้ย มันหนีไปอีกแล้ว ตามมันไป ” พลพรรคที่เหลือพากันวิ่งไล่ แต่ไม่ว่าจะพยายามปานใด ก็ไล่ตามไม่ทัน
“ ฮะๆ เก่งจริง ก็ตามมา ” มาวินวิ่งหนีไป หัวเราะไป ท่าทางร่าเริงเกินจริง
“ อย่าหนีสิวะ แฮ่กๆ ” พลพรรคโจรวิ่งตามไป ก็หอบไป
“ ได้เลย ไม่หนีก็ได้ ” พอมาวินพูดจบ เขาก็พลิกกายกลับมาถีบลูกสมุนที่วิ่งนำ เท้าเล็กๆพุ่งใส่คอหอยอย่างรวดเร็วชนิดที่อีกฝ่ายไม่อาจหลบทัน เนื่องจากลิ่วล้อผู้นั้นห้อตามเด็กหนุ่มจนสุดฝีเท้า
“ แอ้ก ” สมุนผู้นั้นร้องได้คำเดียว ก่อนจะร่วงล้มลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
“ เฮ้ย มันหันกลับมาสู้อีกแล้ว เตรียมรับมือ ” สมุนที่เหลือรอดตั้งท่าเตรียมต่อสู้ พลองนับสิบถูกยกขึ้นสูง แต่อริร้ายร่างเล็กกลับไม่เข้าปะทะ เขาเพียงหันหลัง แล้ววิ่งหนี
“ เฮ้ย มันหนีไปอีกแล้ว ” กลุ่มสมุนโวยดัง พร้อมวิ่งไล่ตามเด็กหนุ่มอีกคำรบ
การวิ่งไล่จับเป็นไปอย่างดุเดือด มาวินพากลุ่มแก๊งวิ่งวนรอบป่า พอเผลอก็หันกลับมาจัดการเหล่าสมุนอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัวจนล้มลงไปนอนกองกับพื้นอีกหลายสิบคน พอผ่านไประยะหนึ่ง ชาวแก๊งก็เริ่มหมดแรงและวิ่งช้าลง หลายคนเปลี่ยนมานั่งพักเหนื่อย ทำให้สมาชิกที่วิ่งไล่ตามมีแต่พวกหัวแถวที่อึดพอ นับคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 คน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นเช่นนี้ เขาจึงหยุดวิ่ง แล้วหันกลับมาเผชิญหน้า
“ เฮ้ย มันหยุดวิ่งแล้ว ” สมุนที่วิ่งนำรีบเบรก ก่อนจะโดนลูกไม้อัดแบบไม่ทันตั้งตัวที่เด็กหนุ่มหัวเขียวใช้เป็นประจำ
เด็กหนุ่มหันกลับมาประจันหน้าอย่างหาญกล้า แม้ว่าเขาจะหอบเหนื่อยจนหน้าซีด แต่แววตายังเปล่งประกายแรงกล้าอยู่ดุจเดิม ด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง จึงทำให้กลุ่มสมุนไม่กล้าบุกเข้ามา
“ เอาไงดีวะ ศรี ” สมุนหน้าเสี้ยม ร่างผอมเกร็งหันไปถามสมาชิกกลุ่ม ผู้มีนามว่า “ศรี”
“ ฮ้าย….. ถามชั้น แล้วชั้นจะถามใครยะ เดี้ยนไม่ถนัดสู้กับใครตรงๆหรอก ชอบแต่เล่นลอบกัดเท่านั้นแหละ ดังนั้นโนคอมเม้นท์นะคะ นายแห้ง ” สมุนผู้ที่มีนามว่า “ศรี” ตอบแบบสะบัดๆผสานจริตจะก้านแนวชายเทียมหญิงไม่แท้ ซึ่งจะว่าไปนางก็มีหน่วยก้านที่ดีพอจะเดินไปในเส้นทางนี้ได้อย่างสบาย เนื่องจากมีใบหน้าที่สวยหวาน ผมยาวสลวยสีดำขลับ แถมรูปร่างยังสะโอดสะองจนสาวๆนึกอาย
ชายหน้าเสี้ยมผู้มีนามว่า “แห้ง” และพรรคพวกที่เหลือพากันนิ่วหน้า พวกเขารู้สึกสงสัยว่าทำไมชายเทียมหน้าสวยอย่าง ศรี ถึงเข้ามาร่วมกลุ่มแก๊งจอมโหดของกาสเซ่ได้ เจ้าหล่อนมีดีอะไร หรือว่าคุณเธอจับฉลากเข้ามาได้ ถึงกระนั้นทุกคนก็พยายามไม่ใส่ใจและเริ่มส่งเสียงขู่ขวัญศัตรูของตน
“ เฮ้ย มันจนมุมแล้ว แกหนีไม่รอดแน่ รุมเลย ”
มาวินตั้งท่าสู้ด้วยกระบวนท่าแมวป่า กรงเล็บจากมือทั้งสองข้างเริ่มขยับ ขาถ่างออกจากกันเล็กน้อย เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องไปยังคู่ต่อสู้เบื้องหน้า
ด้วยท่วงท่าจริงจังและรัดกุม ทำให้ลูกสมุนที่เหลือถึงกับแหยง ไม่กล้าจู่โจมในทันที แม้จะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม แต่ในที่สุด แก๊งกอริลลาก็มีผู้กล้า เจ้าแห้งกัดฟันกรอดใหญ่ เพื่อข่มความกลัว จากนั้นก็สบถดัง
“ ฮึ่ม….. ขอบุกก่อนล่ะนะ ”
ทันทีที่พูดจบ เจ้าแห้งก็ปรี่เข้าจู่โจม สองมือยกพลองยาวขึ้นสูง เพื่อเตรียมฟาดศีรษะ แต่เพลงพลองนั้นช้าเกินไป มาวินหลบฉากไปทางซ้ายแบบง่ายๆ ส่งผลให้การโจมตีบ้าเลือดนั้นพลาดเป้าจนสมุนผู้ห้าวหาญเสียหลัก เด็กหนุ่มหัวเขียวจึงกระโดดเข้ามารัวกรงเล็บใส่นับ 10 ดอก
“ อุ๊กๆ แอ้กๆ ” เจ้าแห้งร้องดังด้วยความเจ็บจุก ทุกกรงเล็บที่อัดใส่ ล้วนเข้าจุดสำคัญของร่างกาย พอกรงเล็บสุดท้ายตะปบไปที่ลำคอ ดวงตาของสมุนจอมห้าวก็เหลือกลอย พร้อมล้มลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นในทันที
“ ใครจะเป็นรายต่อไป ” เด็กหนุ่มหัวเขียวเงยหน้าขึ้นสบตา พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า
สมุนที่เหลือเริ่มปอดลอยกันทุกคน เพราะเจ้าแห้งจัดเป็นนักเลงมือดีที่จัดเจนการต่อยตีอยู่พอสมควร แต่กลับถูกเด็กหนุ่มผู้นี้อัดจนลงไปนอนวัดพื้นในกระบวนท่าเดียว บ่งบอกถึงฝีมือที่เหนือล้ำได้เป็นอย่างดี
“ เฮ้ย เอ็งบุกดิ ” สมุนหนึ่งในนั้นเกี่ยงเพื่อน
“ บ้าสิ เอ็งนั่นแหละบุกก่อน ” สมุนคนที่ถูกเกี่ยงตอบกลับ
“ หึๆ เอางี้มั้ยจ๊ะ ชั้นมีแผนดีๆด้วยแหละ ” สมุนหน้าสวยนามว่า ศรี พูดยิ้มๆ
“ แผนอะไร ” สามคนที่เหลือร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน
“ แผนก็คือ พวกเราต้องบุกเข้าไปพร้อมกัน ” นายหรือนางสาวศรี เผยแผนออกมาง่ายๆ ใบหน้ายิ้มละไมดุจเดิม
“ นี่น่ะหรือ…..แผน ” หนึ่งในกลุ่มสมุนหงุดหงิด เพราะแผนนี้ดูงี่เง่าเกินไป
“ ใช่แล้วย่ะ มีอะไรไม่พอใจยะ ” นางสาวศรีออกอาการคิ้วขมวด เจ้าหล่อนเริ่มฉุนขึ้นมานิดๆ
“ ก็แผนของเธอมันง่ายเกินไป เจ้าหนูนี่มันเก่งขนาดน็อคไอ้แห้งในกระบวนท่าเดียว แล้วเราจะเข้าไปซัดกับมันตรงๆได้ยังไง ” สมุนร่างป้อมเปิดปากแจง
สมุนหน้าสวยหันไปมองสมุนร่างป้อม ดวงตางามหรี่ลง เธอเบ้หน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเหยียดหยาม ก่อนจะพ่นคำอธิบายที่ผสมสำเนียงดูแคลนออกมาอย่างชัดเจน
“ นายลองนึกเอา ตอนเจ้าแห้งบุกเข้าไปมีแค่คนเดียว พอมันเสียหลัก เจ้าหนูนั่นก็เลือกอัดได้ตามใจชอบ แต่ถ้าเป็นกรณีที่เจ้าแห้งบุกไปพร้อมกับพรรคพวก เด็กนั่นจะฉวยโอกาสเข้ามาอัดได้มั้ย ดีร้ายยังไง พรรคพวกที่ตามมาย่อมต้องเข้ามาช่วยเหลือ ”
“ เออ…… จริงโว้ย นังศรีพูดมีเหตุผล ” ชาวแก๊งทั้งสามเริ่มเห็นด้วย
“ งั้นดีล่ะ พวกเราลุยเข้าไปพร้อมกันนะ หนุ่มๆ ” นังศรีตบมือปลุกปลอบอารมณ์ ทำให้กำลังใจของชาวแก๊งพุ่งกระจาย ทุกคนประสานมือรวมใจ ก่อนตะโกนดัง
“ let go ”
เด็กหนุ่มหัวเขียวยืนมองการกระทำแปลกประหลาดด้วยอาการเอ๋อรับประทาน ในใจนึกขบขัน
“ อย่างนี้เขาเรียกว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า เจ้าพวกนี้ท่าทางจะติ๊งต๊องกว่าเราอีกนะเนี่ย เหอๆ ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ