The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี

9.7

เขียนโดย Jalando

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.

  174 LV
  22 วิจารณ์
  165.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) ภัยมืด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

เครดิตภาพจาก  https://www.pexels.com
 
       
      ขณะที่มาวินกำลังตกใจกับท่าทีที่แปลกไปของเด็กสาวร่างสูง เสียงหัวเราะแหบแห้งๆอันน่ารังเกียจก็ดังออกมาจากปากของสมุนร่างผอม 
 
“ ฮ่าๆ……. ” 
        
 
        เด็กหนุ่มหัวเขียวรีบเข้าไปหาสมุนร่างผอมที่นอนหงาย เมื่อเข้าถึงตัว เขาก็กระชากคอเสื้อขึ้นมา พร้อมตะคอกใส่อย่างดุดัน 
 
“ เฮ้ย แกทำอะไรยัยโย่ง บอกมาเดี๋ยวนะ ” 
 
“ หึๆ ไม่มีอะไร นังหนูนั่นก็แค่ติดพิษที่ฉาบบนใบมีดของข้าเท่านั้นเอง ” สมุนร่างผอมตอบช้าๆ พลางแสยะยิ้มที่ดูชั่วร้าย
 
“ แปลว่า….” ใบหน้าของเด็กหนุ่มหัวเขียวสลดลง 
 
“ หึๆ ใจเย็น พิษนี้ไม่ทำให้ถึงตายหรอก มันแค่ทำให้เหยื่อสลบไปประมาณสามชั่วโมง ” สมุนร่างผอมแจงต่อ น้ำเสียงเย้ยหยัน 
 
“ เฮ้อ……. ” เด็กหนุ่มหัวเขียวโล่งอกนิดๆ 
 
“ แต่ถึงจะทำให้สลบแค่สามชั่วโมง มันก็เพียงพอแล้วที่จะให้ลูกพี่กาสเซ่กระทืบพวกแกจนจมธรณี เพราะแกมันไร้น้ำยา ถ้าไม่มีนังกังฟูสาว แกก็ทำอะไรไม่ได้ ฮ่าๆ…… ” สมุนร่างผอมหัวเราะใส่หน้า ท่าทางสะใจเป็นอย่างยิ่ง 
 
“ เอายาแก้พิษมา ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ” เด็กหนุ่มง้างหมัด เพื่อข่มขู่
 
“ ฮี่ๆ เสียใจด้วย ถึงแกจะอัดจนขี้แตก ก็ไม่มียาถอนพิษให้ ใครจะเอาของแบบนั้นติดตัวมาในขณะที่ตัวเองกำลังล่าเหยื่อเล่า ไอ้หน้าโง่ ” สมุนร่างผอมตอบยียวน ทั้งที่ตัวเองสาหัสจนจะสลบอยู่มะลอมมะล่อ
        
 
       ทันทีที่ได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มหัวเขียวก็อัดกำปั้นลุ่นๆเข้าไปที่แสกหน้า ส่งผลให้เจ้าสมุนร่างผอมร่วงลงไปนอนน้ำลายไหลยืดอีกคน 
 
“ นี่แน่ะ อยากปากสุนัขดีนัก ” เด็กหนุ่มหัวเขียวนึกสมน้ำหน้า ก่อนหันกลับไปดูอาการของเด็กสาวร่างสูง 
 
“ เธอเป็นไงมั่ง ยัยโย่ง ไหวมั้ย ” มาวินคุกเข่าที่ข้างกาย พลางเอ่ยถาม เขาดูกังวลใจ 
 
“ ไหว ชั้นยังไหว ” แม้เด็กสาวจะบอกว่ายังไหว แต่จากสีหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกและเหงื่อที่ไหลโทรมกาย ไม่ได้ทำให้มาวินรู้สึกสบายใจขึ้นมาเลย 
 
“ เดินไหวมั้ย ” เด็กหนุ่มหัวเขียวทำท่าจะเข้าไปประคอง แต่เด็กสาวปริศนากลับปัดมือออกและพยายามลุกขึ้นด้วยตัวเอง พอหยัดยืนเต็มสองขา กายก็ปวดแปลบไปทุกสัดส่วน ราวกับโดนค้อนปอนด์ขนาดใหญ่กระหน่ำใส่ อึดใจต่อมา เธอก็ทรุดกายลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้น
 
“ เฮ้ย ยัยโย่ง ” มาวินร้องเสียงหลง เพราะอาการของเด็กสาวร่างสูงดูจะหนักหนาสาหัสกว่าเมื่อกี้ เธอไม่สามารถขยับตัวได้เลย ลมหายใจก็เริ่มขาดห้วง
       
 
       มาวินมองไปรอบๆ เพื่อหาทางรอด สิ่งเดียวที่น่าสนใจก็คือ…..ถ้ำใหญ่เบื้องหน้า 
        
 
        เด็กหนุ่มหัวเขียวอุ้มเด็กสาวขึ้น จากนั้นก็พาเข้าไปในถ้ำ ไม่นานนัก พวกเขามาถึงส่วนลึกสุด ซึ่งอยู่ห่างจากปากถ้ำเพียงสามสิบเมตรเท่านั้น 
       
 
         เด็กหนุ่มค่อยๆวางเด็กสาวลงนอนอย่างนุ่มนวล มือสากๆแตะที่แก้มของอีกฝ่าย เพื่อเรียกสติ 
 
“ เฮ้ ยัยโย่ง เธอเป็นไงมั่ง ”  
        
 
        ดวงตาคมเข้มเผยอออกมาอย่างช้าๆ ในแสงสว่างรำไร เหมือนเด็กหนุ่มจะเห็นรอยยิ้มน้อยๆ อึดใจต่อมา เด็กสาวร่างสูงก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า 
 
“ ไม่ไหว ชั้นโดนพิษ ตอนนี้ไม่สามารถขยับตัวได้เลย ” 
       
 
        มาวินนิ่งขึ้ง สีหน้าที่เคยทะเล้นมลายหายไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เด็กสาวรับรู้ถึงภาวะวิกฤติที่กำลังจะเกิด เธอจึงปลอบประโลมด้วยเสียงที่แผ่วเบา 
 
“ ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว เจ้าลิงหัวเขียว นายจะไม่เป็นไร หนีไปเถอะ ชั้นจะต้านศึกนี้เอง ได้พักซักหน่อย คงดีขึ้นจนพอสู้กับพวกมันได้ ”  
 
“ ไม่ เธอไม่ไหวหรอก แต่ถึงยังไง ชั้นก็ไม่ทิ้งเธอ ” เด็กหนุ่มหัวเขียวตอบกลับ แววตาและน้ำเสียงดูเด็ดเดี่ยว
 
“ ไปเถอะน่า เจ้าลิงโง่ ตายคนเดียว ยังดีกว่าตายทั้งสองคน ” เด็กสาวถลึงตาใส่ 
         
 
        เด็กหนุ่มหัวเขียวก้มหน้านิ่ง กายไม่ไหวติง ดวงตาของเด็กสาวจึงแลอ่อนโยนลง เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล อันเป็นสิ่งที่ไม่เคยกระทำ 
 
“ เอาล่ะ ไม่หนีก็ได้ แต่ถ้าอยู่อย่างนี้ เราต้องตายพร้อมกันแน่ เอางี้ นายไปตามคนในเมืองมาช่วย ชั้นจะซ่อนตัวอยู่ในนี้ รับรองว่าพวกมันหาชั้นไม่เจอแน่ ที่สำคัญ ยานี้มีฤทธิ์แค่สามชั่วโมงเท่านั้น นายไม่ต้องห่วงหรอก ไม่นานชั้นจะหายดี ”  
       
 
         มาวินเงยหน้าขึ้น ขอบตาเริ่มมีน้ำใสไหลออกมานิดๆ แต่เด็กสาวได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเพียงแวบเดียว เขาก็ลุกขึ้นยืนและวิ่งจากไป 
       
 
         เด็กสาวมองตามแผ่นหลัง เธอรู้สึกใจหายที่ต้องจากลา แต่ก็โล่งอกที่อีกฝ่ายสามารถหนีรอดไปได้ 
 
“ โชคดีและลาก่อน เจ้าลิงหัวเขียว ” เด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะสลบไสลไปทั้งรอยยิ้ม 
         
 
         เด็กหนุ่มหัวเขียววิ่งสุดกำลัง พอหยุดยืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำ น้ำตาก็ไหลนองหน้าจนต้องยกสองมือขึ้นขยี้ ไม่นานหยาดน้ำแห่งอารมณ์ก็หยุดหลั่งไหล ประกายตาจึงแปรเปลี่ยนไป มันลุกโชนราวเปลวไฟ อันแสดงออกถึงจิตเจตนาที่จริงจัง ประมาณว่า…..ต้องทำบางสิ่งให้สำเร็จ แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตามที 
        
 
         พอมาวินมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นลานโล่ง ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร ปรากฏหมู่ไม้ใหญ่ยืนต้นหนาแน่น เด็กหนุ่มพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ปากก็กล่าวออกมาเบาๆว่า….. 
 
“ เหอๆ เอาล่ะ ใช้วิธีนี้ดีกว่า ” 
 
………………………..
          
        มาวินเก็บกิ่งไม้มาสุมกองไฟที่กำลังมอด ทำให้เพลิงร้อนแรงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มทำทุกสิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาอาศัยอยู่ในป่ามาแรมเดือน จึงทำให้พอมีสกิลการใช้ชีวิตในป่า
         
 
        พอกองไฟตรงลานกว้างลุกโชน ประกายแดงฉานก็ฉายมาที่ดวงตาของมาวิน เขาถอดเสื้อขาดวิ่นของตัวเองออก แล้วฉีกแบ่งเป็นจำนวนหลายชิ้น จากนั้นก็เก็บเศษผ้าเกือบทั้งหมดลงไปในกระเป๋ากางเกง เหลือเพียงชิ้นหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ ต่อมาเด็กหนุ่มก็นำสิ่งนั้นมาห่อก้อนหินที่ตกอยู่ตามพื้น 
 
“ อืม…..ใช้แทนถุงผ้าได้เป็นอย่างดี ในนี้น่าจะบรรจุหินได้ประมาณ 10 ก้อนล่ะมั้ง ” เด็กหนุ่มหัวเขียวเดาะเศษผ้าที่ใช้ห่อก้อนหิน ก่อนเหน็บติดกับผ้าคาดเอว 
         
 
        เมื่อเตรียมการเป็นที่เรียบร้อย มาวินก็เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่าง วินาทีต่อมา เขาก็กระโจนใส่สุดแรง
        
 
        เด็กหนุ่มกระโดดสูงถึงสามเมตร ก่อนจะใช้มือและเท้าตะกายอย่างรวดเร็ว เพื่อไต่ต้นไม้ อันเป็นวิธีเดียวกับเด็กสาวร่างสูง เพียงพริบตา เขาก็ไปหยุดยืนอยู่บนยอดไม้         
      
 
         เด็กหนุ่มมองหากิ่งไม้ที่ดูสะดุดตา จากนั้นก็เอาถุงผ้าบรรจุก้อนหินมาผูกที่กิ่งไม้นั้นแทน พอก้มลงมองข้างล่าง ก็พบว่าอยู่สูงจากพื้นดินพอสมควร 
 
“ โห…… เรานี่ก็เก่งใช่ย่อยนะ ทำได้ใกล้เคียงกับยัยโย่งเลย ” 
         
 
        ตอนขาลงนี่ง่ายกว่าตอนปีนขึ้น มาวินเพียงเกาะต้นไม้ไว้นิดหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยมือให้ร่างกายหล่นลงไปตามแรงโน้มถ่วงโลก พอร่วงมาระดับหนึ่ง ก็เอามือและเท้ารั้งที่ลำต้นแกร่ง ทำให้การทิ้งดิ่งช้าลง แล้วก็ปล่อยให้ร่วงลงมาอีก เขาทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ลงสู่พื้นแบบนิ่มๆ 
         
 
        เมื่อลงสู่พื้น เด็กหนุ่มหัวเขียวก็ทำซ้ำแบบเดิมอีกประมาณ 10 ครั้ง โดยเลือกต้นที่ตั้งอยู่ไม่ห่าง หลังเสร็จสิ้นการเตรียมตัว เขาก็มานั่งหอบเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
 
“ แฮ่กๆ เตรียมการเสร็จแล้ว จะมาก็มาเถอะ ไอ้พวกกุ๊ย ฮ่าๆ ” เด็กหนุ่มหัวเขียวหอบไปหัวเราะไป ท่าทางคลายกังวลไปหลายส่วน  
 
……………………….
          
        เวลาผ่านไปนานพอสมควร คนกลุ่มใหญ่ก็มุ่งตรงมาที่หน้าปากถ้ำ โดยมีลิ่วล้อคนหนึ่งนำทาง เมื่อมาถึง ก็พบว่าแท้จริงแล้วพวกมันมีจำนวนมากกว่าที่คาดเอาไว้ ถ้านับกันอย่างละเอียด น่าจะร่วม 100 คนเลยทีเดียว  
          
 
        กาสเซ่ หัวหน้าแก๊งร่างยักษ์ ยืนนำหน้ามวลหมู่สมาชิก คิ้วขมวดนิ่ว ดวงตาฉายแววดุร้าย เขาโกรธเกรี้ยวที่เห็นลูกน้อง 10 กว่าคนนอนสลบไสลสิ้นท่า แถมหนึ่งในนั้นยังเป็น ปารุสซี่ สมุนร่างผอมผู้เป็นมือขวา
 
“ เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกลูกน้องของข้าถึงได้นอนหมดสภาพแบบนี้ ” กาสเซ่หันไปถามชายผู้นำทาง
 
“ เอ่อ…….น่าจะเกิดจากการต่อสู้กับเจ้าเด็กทั้งสองคนนั่นครับ ” ชายผู้นำทางกล่าวเสียงสั่น ด้วยรู้ซึ้งถึงความโมโหร้ายของลูกพี่ใหญ่เป็นอย่างดี 
 
“ แล้วเจ้าเด็กพวกนั้นหายหัวไปไหน ” กาสเซ่คำรามลั่น 
 
“ สงสัย จะ….หนีไปแล้วมั้งครับ ” ชายผู้นำทางตอบ ท่าทางหวาดกลัว 
 
“ หนีเหรอ….” กาสเซ่ก้มหน้าลงไปมองชายผู้นำทาง ใบหน้าของทั้งคู่แทบจะติดกัน 
 
“ เอ่อ…ครับ ” ชายผู้นั้นเหลือบมองนิดๆ แล้วก็หลบตา อึดใจต่อมา กาสเซ่ก็ทุบลงไปที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย ส่งผลให้ชายผู้นำทางล้มลงไปนอนกองกับพื้น พร้อมสลบไสลในทันที 
 
“ นี่ไง หนี ถุย…. ” กาสเซ่สบถ พลางถ่มน้ำลายใส่ จากนั้นก็หันไปสั่งพรรคพวกเสียงกร้าว
 
“ พวกเอ็งตามล่าไอ้เด็กสองคนนั่นให้ถึงที่สุด ไม่ว่ามันจะหนีไปนรกหรือไปหลบอยู่บนสวรรค์ ก็ต้องลากหัวมันมาให้ข้า เข้าใจมั้ย ” 
 
“ เข้าใจครับ ” ชาวแก๊งเกือบร้อยคนรับคำโดยพร้อมเพรียง 
      
 
         หลังจากนั้น กาสเซ่ก็หันมาออกคำสั่งพิเศษแก่สมุนมือซ้าย อันเป็นชายร่างอ้วน ผิวขาว ดวงตาเล็กตี่ หน่วยก้านคล้ายคลึงกับคนเชื้อสายมังกร
 
“ ไอ้อ้วน เปรุสซี่ เอ็งนำทีม 20 คน แยกไปตามหาไอ้เด็กเวร ”
 
“ ขอรับ ลูกพี่ ว่าแต่จะให้เอาใครไปมั่ง ” สมุนร่างอ้วนนามว่า “เปรุสซี่” ถามกลับ สีหน้าเอ๋อรับประทาน
 
“ จะเอาใครไป ก็ตัดสินใจเองสิวะ เอ็งเป็นรองหัวหน้าไม่ใช่รึ ไอ้อ้วน ” กาสเซ่ถึงกับกุมขมับ เขานึกระอาความปัญญาอ่อนของลูกน้องคนสนิท 
 
“ เค ครับ ลูกพี่ ” ไอ้อ้วนยกนิ้วเป็นรูปตัวโอ เป็นนัยว่าโอเค จากนั้นก็หันไปคัดเลือกสมาชิกเข้ากลุ่มด้วยวิธีที่แปลกประหลาด เขาชี้นิ้วไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์แบบมั่วๆ ปากก็นับยานคางและเชื่องช้าราวกับเด็กน้อยเพิ่งหัดนับเลข 
 
“ อะหนึ่ง อะสอง อะสาม อะสี่ อะห้า อะหก…..” 
         
 
       กาสเซ่กุมขมับอีกครั้ง ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าอ้วนติดตามเขามาเนิ่นนานและเป็นคนที่ทรหดกว่ามนุษย์ธรรมดา คงพาสมุนมือซ้ายไปสถานบำบัดคนบ้าหรือไม่ก็สถานรับเลี้ยงคนปัญญาอ่อนไปแล้ว เมื่อเห็นว่ากระบวนการคัดสรรล่าช้ากว่าปกติ จึงออกโรงเลือกผู้ติดตามแทน
 
“ เอ็ง เอ็ง เอ็ง แล้วก็เอ็ง ตามไอ้อ้วนไปเดี๋ยวนี้ ”  
 
“ โธ่……. ลูกพี่ ผมยังนับไม่ครบยี่สิบเลย ” ไอ้อ้วนอุทธรณ์ 
         
 
        กาสเซ่ระเบิดอารมณ์โกรธด้วยการเตะเข้าไปที่ก้นของเจ้าอ้วนเต็มแรง ทำให้ร่างหนักกว่า 100 กิโลลอยขึ้นมา ทว่าผู้โดนบาทาดูจะไม่เจ็บปวดอะไรนัก อึดใจต่อมา ก็กระโดดโลดเต้นไปตามหาสองวัยรุ่นตามคำสั่ง แต่ปากก็ไม่วายบ่น 
 
“ อู้ย…… เตะหนักจริง เอ้า พวกเราไปตามหาไอ้เด็กสองคนนั่นเร็ว ถ้าชักช้า เดี๋ยวข้าจะโดนเตะอีก ” 
        
 
        ลูกน้องยี่สิบคนรีบตามเจ้าอ้วนไปในทันที แน่นอนไม่มีใครกล้าหัวเราะ แม้เหตุการณ์เบื้องหน้าจะชวนขบขันอยู่ไม่น้อย เพราะทุกคนครั่นคร้ามอารมณ์โมโหร้ายของกาสเซ่และความอึดเกินพิกัดของมือซ้ายร่างอ้วน 
        
 
         พอกาสเซ่เห็นเจ้าอ้วนพาลูกสมุนออกไปค้นหา เขาก็หันไปสั่งลิ่วล้อที่เหลือ  
 
“ พวกเอ็งที่เหลือค้นบริเวณนี้ แล้วแบ่งคนไปดูแลไอ้พวกที่นอนกองเป็นศพ พอพยาบาลจนฟื้น ค่อยถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น ” 
         
 
         สมุนทุกคนทำตามคำสั่งของหัวหน้าแก๊งผู้เหี้ยมเกรียม ระหว่างที่กาสเซ่มองเหล่าลิ่วล้อปฏิบัติงาน ดวงตาพองโตก็เหลือบไปเห็นถ้ำใหญ่ คิ้วดกหนากระตุกอย่างรุนแรง คล้ายคนที่คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงตะโกนสั่งลูกสมุนสามคนที่ยังโต๋เต๋อยู่แถวนั้น 
 
“ เฮ้ย พวกเอ็งสามคนเข้าไปสำรวจในถ้ำนั้นดูสิ ได้ความยังไง ก็ออกมาบอกข้า ” 
 
“ ครับผม ” สมุนทั้งสามนายรับคำพร้อมกัน จากนั้นก็เตรียมเข้าไปในถ้ำ เพื่อสำรวจตามคำสั่งของลูกพี่
          
 
        สามชายฉกรรจ์ย่องเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่คนหน้าสุดเหยียบเข้าเขตถ้ำ เขาก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือทั้งสองยกขึ้นกุมศีรษะ พร้อมแผดเสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวด 
 
“ โอ๊ย…… ” 
         
 
        เหล่าสมุนนับสิบเริ่มหูผึ่ง ลูกพี่ใหญ่ตะโกนดังลั่นป่า
 
“ ใครน่ะ ปรากฏตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ” 
        
 
       แม้เสียงที่เปล่งออกมาจะกังวานเพียงใด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบโต้กลับมา เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ชายคนที่ร่วงล้มก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ นอกจากบริเวณขมับซ้ายที่อาบเลือดกับอาการมึนงง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก 
 
“ เฮ้ย แกเป็นไรรึเปล่า แล้วเมื่อกี้ โดนอะไรเข้าไปวะ ” กาสเซ่ถามสมุนผู้เคราะห์ร้าย 
 
“ อู้ย….. ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ส่วนโดนอะไร ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มันต้องแข็งมากแน่ๆ เพราะโดนอัดเข้าไปแค่ทีเดียว ก็ถึงกับหัวแตกเลย ” สมุนผู้เคราะห์ร้ายตอบกลับ พร้อมครางออกมาด้วยความเจ็บปวด 
 
“ พวกเอ็งระวังให้ดี คนที่มันลอบกัดพวกเรา ต้องอยู่แถวนี้แหละ ถ้าเป็นไปได้ ให้รวมตัวกันเอาไว้ ” กาสเซ่สั่งลูกสมุนที่เหลือ นับคร่าวๆน่าจะมีจำนวนประมาณ 70 คน 
         
 
        ทุกคนรู้สึกเกร็ง จนบัดนี้ คู่ต่อสู้ของเหล่าชาวแก๊งก็ยังไม่ปรากฏ นับว่าเป็นการต่อสู้ที่ผิดแผก เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา พวกเขาล้วนเจอแต่การปะทะแบบตรงๆ
       
 
         การกระชับพื้นที่ของเหล่ามาเฟียกินเวลาเนิ่นนาน ทว่าพวกเขาก็พบแต่ความเงียบงัน ในที่สุด หนึ่งในแก๊งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมบอกลูกพี่ตน 
 
“ ลูกพี่ ผมว่ามันหนีไปแล้วมั้ง…โอ๊ย ” สมุนผู้นั้นพูดไม่ทันจบ เขาก็ล้มตัวลงไปนอนกับพื้น มือกุมศีรษะที่หลั่งเลือดสีแดงฉาน 
 
“ เฮ้ย ระวัง ” กาสเซ่แผดเสียงสั่งสมุน 
        
 
        แม้เหล่าลิ่วล้อจะระวังตัวเพียงใด ก็ไม่สามารถป้องกันภัยที่มองไม่เห็น ไม่ทันที่กาสเซ่จะพูดจบประโยค สมุนอีกคนก็ล้มลงไปนอน พร้อมร้องโอดโอย ทำให้ชาวแก๊งที่เหลือดูล่อกแล่กและลนลาน  
 
“ มันอยู่ที่ไหน ลูกพี่ ” สมุนคนหนึ่งร้องถาม สายตาเหลือกไปมา เพื่อมองหาที่มาของอันตราย ไม่กี่อึดใจสมุนผู้นั้นก็ล้มลงไปอีกคน พร้อมเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดุจเดิม 
 
“ เฮ้ย ไอ้ปีศาจ แกอยู่ที่ไหนวะ ” สมุนบางคนเริ่มตะโกนท้าทาย เพื่อหวังให้คู่ต่อสู้เปิดเผยตัวตน แต่ไร้ผล ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากความเงียบและความมืดที่รายล้อมรอบตัว
          
 
        ใกล้เช้าเข้าไปทุกขณะ บรรยากาศโดยรอบจึงเริ่มสว่าง ถึงกระนั้นกลับมองเห็นได้ยากกว่าเดิม เพราะหมอกเริ่มลง ทัศนวิสัยแคบชนิดที่สามารถมองเห็นไม่เกินสามก้าว จึงทำให้ภัยมืดเดินเกมได้ง่ายขึ้น
       
 
         เหล่าลูกสมุนร้องโอยไปตามๆกัน พวกเขาทยอยลงไปนอนกองกับพื้นเป็นระยะ เสียงร้องถามดังระงมจนดูสับสนวุ่นวาย ทันใดนั้นเองก็บังเกิดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังกังวาน 
 
“ พลั้ก พลั้ก พลั้ก……. ” 
 
“ เฮ้ย เสียงอะไรวะ ” กาสเซ่ร้องถามรัวเร็ว เพราะเขาเองก็ได้ยินเสียงประหลาดอยู่เหมือนกัน 
 
“ ไม่รู้ครับ ลูกพี่ แต่มีคนล้มลงไปนอนอีกแล้ว ” หนึ่งในเหล่าสมุนรายงาน
       
 
         กาสเซ่แหวกกลุ่มคนเข้าไปดู เพียงพริบตา ก็ถึงจุดเกิดเหตุ เขาพบว่าชายผู้เคราะห์ร้ายนอนหงายหลังสิ้นสติ ดวงตาเหลือกโปน น้ำลายไหลยืด มีรอยฟกช้ำปรากฏขึ้นตามใบหน้าและร่างกาย 
 
“ บ้าชิบ ระวังให้ดี เจ้าวายร้ายนั่นต้องแฝงตัวอยู่ในหมู่พวกเรานี่แหละ” กาสเซ่ร้องบอกพรรคพวก แต่ไม่ทันจะพูดจบ เสียงร้องโอยจากผู้เคราะห์ร้ายก็ดังขึ้นมาอีก 
 
“ หน็อย…มันเป็นใครกันนะ ” กาสเซ่กัดฟัน คิ้วกระตุก ดวงตาฉายแววถมึงทึง 
         
 
        แม้เหล่าสมุนจะระวังตัวอย่างเต็มที่ แต่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย สุดท้ายก็มีคนร่วงลงไปนอนกองกับพื้นอยู่ดุจเดิม บางครั้งก็มีเสียงตุ้บตั้บคล้ายคนถูกอัดดังแทรกเข้ามา ในระยะหลัง กาสเซ่เริ่มได้ยินเสียงอื่น อาทิเช่น เสียงกิ่งไม้ไหว
       
 
         ระหว่างที่กาสเซ่กำลังขบคิด หูก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศ มันพุ่งตรงมายังเขา ด้วยปฏิกิริยาที่ว่องไว ลูกพี่ใหญ่จึงยกมือขึ้นรับสิ่งนั้นในทันที 
 
“ ตุ้บ ” 
      
 
        สิ่งนั้นแข็งมาก แม้กาสเซ่จะมีอุ้งมือที่แกร่งปานเหล็ก แต่ก็ไม่วายเจ็บแสบ เขาแบมือขึ้นดู พอเห็นวัตถุประหลาดอย่างถนัดตา ก็กัดฟันกรอดใหญ่ พร้อมสบถออกมาเบาๆ
 
“ นี่มันก้อนหินนี่หว่า ” 
 
 
สามารถติดตามงานเขียน  ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา