The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี

9.7

เขียนโดย Jalando

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.

  174 LV
  22 วิจารณ์
  165.75K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ผลการฝึก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

เครดิตภาพจาก  https://www.pexels.com
 
 
………………………..
 
“ ที่นี่ที่ไหน ” มาวินมองไม่เห็นอะไร ทุกอย่างดำมืดไปหมด มีแต่ความเงียบและเสียงสะท้อนจากหัวใจ
        
 
        ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังสับสน ไม่รู้จะไปทางไหน ความรู้สึกทางกายก็กลับมา หูเริ่มได้ยินเสียง และสิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ……..
 
“ ครืน..... ซ่า..... ”
 
“ เอ....... นี่มันเสียงฟ้าร้อง เสียงฝนตกนี่นา ” เด็กหนุ่มรำพันกับตัวเอง
 
“ ก็ใช่น่ะซิ ฝนกำลังตก ตื่นได้แล้ว เจ้าลิงหัวเขียว เช้านี้เราจะฝึกท่านั่งม้ากันในถ้ำ ” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา เสียงนั้นห้าวใหญ่คล้ายผู้ชาย แต่ถ้าฟังให้ดีก็มีเค้าของอิสตรี
 
“ เอ๊ะ เสียงคุ้นๆแฮะ ใครน่ะ ” มาวินถามกลับ เพราะดวงตายังคงฝ้าฟางด้วยอาการสะลึมสะลือ ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้รับบางสิ่งแทนคำตอบ
 
“ โป๊ก..... ”
         
 
       เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสนั่น พร้อมความเจ็บปวดที่บริเวณศีรษะ สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและแหกปากเสียงดัง
 
“ โอ๊ย..... มันเจ็บนะ ”
         
 
        เด็กหนุ่มกระโดดตัวลอย ดวงตาสว่างในฉับพลัน พอจับโฟกัสได้ ก็พบว่าตนกำลังอยู่ในถ้ำกว้าง ใกล้ตัวปรากฏกายของเด็กสาวหน้าเข้ม
 
“ ถ้านายไม่อยากเจ็บตัวอีก ก็ลุกขึ้นมาฝึก เข้าใจมั้ย เจ้าลิงหัวเขียว ” เด็กสาวปริศนาขู่อีกครั้ง น้ำเสียงดุดัน จริงจังและปราศจากอาการล้อเล่น
 
“ จ้าๆ ยอมแล้วจ้า ดุเหลือเกิน เฮ้อ..... ” เด็กหนุ่มหัวเขียวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ตั้งท่านั่งม้าในทันที
          
 
         เด็กสาวยืนกอดอกมองการฝึกอยู่เงียบๆ ก่อนจะแยกตัวไปนั่งขัดสมาธิที่ฟากหนึ่งของถ้ำ ทันทีที่เธอหย่อนกายลง ดวงตาก็ปิดสนิท
         
 
        มาวินสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไป ถึงกระนั้นก็ไม่นึกแปลกใจ เพราะเกือบเดือนที่ผ่านมา เขาได้เห็นเด็กสาวนั่งสมาธิแบบนี้อยู่หลายหน คิดจะถามอยู่เหมือนกันว่า “เธอกำลังทำอะไร” แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเคยถามในเรื่องที่ง่ายกว่าอย่างเช่น “เธอชื่ออะไร” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ......ความเงียบ
          
 
        มาวินตั้งท่านั่งม้าต่อไป เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าการฝึกฝนแบบนี้มีผลอย่างไร สิ่งที่รู้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ….มันเป็นท่าพื้นฐานของผู้ฝึกกังฟู ระยะหลังเขาก็เริ่มชินกับการฝึกและสามารถตั้งท่าต่อเนื่องได้ถึงสามชั่วโมง
         
 
        เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง วัยรุ่นทั้งสองยังประจำอยู่คนละจุดด้วยอากัปกิริยาเดิมๆ ราวกับพวกเขาถูกสาปให้เป็นหิน อึดใจต่อมาเด็กสาวก็ลืมตาขึ้น เธอพ่นลมแรงอยู่หลายครั้ง พอกระบวนการหายใจกลับมาเป็นปกติ ก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังจุดที่เด็กหนุ่มฝึกท่านั่งม้า
        
 
         ทันทีที่เด็กสาวหยุดยืนเบื้องหน้า ก็มองไปที่มาวิน เธอพบว่าเด็กหนุ่มกำลังเกร็งและนิ่งขึง เหงื่อสีใสไหลย้อยอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ยังคงอยู่ในท่านั่งม้าได้มั่นคงและแข็งแรง พอสองตาสบกับ แววตาของเขาก็ส่อประกายสงสัย เป็นนัยจะถามว่า "เธอมองหน้าชั้นทำไม ชั้นมีเขางอกบนหัวหรือ"
 
“ เอาล่ะ พอได้แล้ว พักซักครู่หนึ่ง ” เด็กสาวกล่าวแผ่วเบา แต่กระแสเสียงสะท้านไปทั่วบริเวณ เนื่องจากทั้งคู่ยังอยู่ในถ้ำกว้าง
        
 
        ทันทีที่สิ้นคำ มาวินก็ทรุดกายลงมานั่งชันเข่า พลางเปิดปากบ่น
 
“ เฮ้อ..... ไอ้ท่าที่เธอให้ชั้นฝึกเนี่ย มันชวนเมื่อยชะมัดเลย ”
        
 
        เด็กสาวผู้เงียบขรึมไม่โต้ตอบประการใด แต่หยิบเนื้อย่างรมควันออกจากย่าม แล้วโยนให้มาวิน เด็กหนุ่มรีบส่งมันเข้าปาก โดยไม่ถามไถ่ เขาได้รับบทเรียนจากชีวิตลำเค็ญที่เคยเผชิญ บทเรียนนั้นมีชื่อว่า "ถ้ายังอยากมีชีวิต ก็อย่าเรื่องมากในการกิน "
        
 
        ระหว่างที่เด็กสาวกำลังกินเนื้อย่างรมควัน สายตาก็มองมาที่มาวินอยู่เงียบๆ ถึงกระนั้นผู้ถูกจับจ้องก็ไม่ใส่ใจ เขายังคงสวาปามอาหารแห้งอย่างเอร็ดอร่อย
         
 
        เวลาผ่านไปไม่นาน ฝนห่าใหญ่ก็หยุดตก ทั้งคู่เดินทางไปยังลานกว้างของน้ำตกใหญ่ พอประจันหน้ากัน เด็กสาวก็ร้องถามเสียงดัง
 
“ พร้อมหรือยัง ”
 
“ ถึงไม่อยากพร้อม ก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ ” เด็กหนุ่มมาดกวนตอบแหยงๆ ใจนึกเกลียดและกลัวการฝึกนี้มาก เพราะเกือบเดือนที่ผ่านมา เขาได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวจากหินก้อนเล็กๆมานับครั้งไม่ถ้วน
 
“ งั้นก็ เริ่ม…” เด็กสาวส่งสัญญาณเตือน ก่อนหยิบหินมาก้อนหนึ่ง แล้วตวัดข้อมือ เพื่อเขวี้ยงใส่มาวิน
        
 
        หินก้อนเล็กๆพุ่งตรงไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม แต่ก่อนจะกระทบเป้าหมาย เขาก็โยกหลบได้แบบเฉียดฉิว
 
“ อืม..... ไม่เลวนี่ ” ใบหน้าเด็กสาวกระตุกนิดๆ ก่อนจะเอ่ยชม
 
“ ฮ่าๆ ของมันแน่อยู่แล้ว ก็ชั้นเป็นอัจฉริยะนี่นา เชื่อมั้ยเล่า สายตาของชั้นมันไวขั้นเทพ ” มาวินคุยโม้โอ้อวดไปเรื่อยเปื่อย
 
“ หึๆ ก็รอดูต่อไป ” เด็กสาวปริศนากล่าวจบ เธอก็ฉวยจังหวะที่มาวินเผลอ เขวี้ยงหินใส่เด็กหนุ่มอีกที คราวนี้พุ่งตรงไปที่หน้าอก
 
“ เฮ้ย ” เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เพราะถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ยกแขนขึ้นปัดหินได้อย่างหวุดหวิด
 
“ นี่เธอ....จะขว้างหินมา ก็ช่วยให้สุ้มให้เสียงกันมั่งดิ ชั้นเกือบปัดไม่ทันนะ ” มาวินโวยเด็กสาว น้ำเสียงดูขุ่นๆ
 
“ หึๆ ดีมาก ตอนนี้นายเริ่มจับทิศทางการจู่โจมได้ มิหนำซ้ำยังมีสายตา ปฏิกิริยาที่พอจะตอบโต้ความเร็วระดับนี้ ” เด็กสาวปริศนาไม่สนคำโวย เธอหัวเราะเบาๆ
 
“ เอ๊ะ อืม..... เอ่อ…คงงั้นมั้ง ” เด็กหนุ่มทำท่าจะโวยต่อ แต่ก็หยุดชะงักอย่างฉับพลัน เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้นี้ถือเป็นคำชมมั้ย
 
“ ดังนั้นแล้ว ชั้นจะยกระดับการฝึกไปอีกขั้น ” สีหน้าของเด็กสาวปริศนาเรียบเฉย แววตาแทบไม่กะพริบ
 
“ เอ่อ….. แล้วจะยกระดับยังไง ” เด็กหนุ่มถามแบบกล้าๆกลัวๆ หัวสมองนึกภาพเด็กสาวกำลังยกหินหนักร้อยกิโล เพื่อเตรียมขว้างใส่เขา
 
“ แบบนี้ไง ” เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอตวัดข้อมือ เพื่อซัดหินออกไปอย่างรวดเร็ว
 
“ เชอะ มันก็แบบเดิมๆนั่นแหละน่า ” มาวินตอบยิ้มๆ พลางพลิกหลบหินที่พุ่งเข้ามาอย่างง่ายดาย ทันใดนั้นเอง
 
“ โป๊ก ”
 
“ โอ๊ย..... ” เด็กหนุ่มร้องลั่น พร้อมผงะไปด้านหลัง เมื่อพบว่ามีหินก้อนที่สองพุ่งปะทะหน้าผาก หินก้อนนี้วิ่งตามหลังหินก้อนแรกมาติดๆ
       
 
        เด็กสาวยืนมองมาวิน ที่ตอนนี้ก้มตัวลงกุมหน้าผาก พร้อมซู้ดปากด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเธอเหมือนจะอมยิ้มนิดๆ ครู่หนึ่งปากกระจับก็อ้าออก เพื่อเอื้อนเอ่ยวาจา
 
“ ชั้นยกระดับการฝึกให้นายด้วยการปาหินสองก้อน ”
 
“ โห.....แล้วก็ไม่บอกกันก่อน อู้ย..... ” มาวินคลำหัวเบาๆ พลางตัดพ้อต่อว่าเด็กสาวปริศนาเป็นการใหญ่
 
“ นายพูดอย่างกับว่า....ถ้ารู้แล้ว จะป้องกันได้ทันอย่างงั้นแหละ ” เด็กสาวเลิกคิ้วสูง
 
“ ก็ใช่อ่ะดิ ถ้าแค่สองครั้ง ชั้นคิดว่าพอจะหลบไหว ” เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
 
“ หึ ก็ลองดูกัน ” เด็กสาวตวัดข้อมือส่งหินออกไปอีกครั้ง
       
 
        คราวนี้มาวินโยกหลบหินที่พุ่งเข้ามาได้อย่างสมบูรณ์ เสี้ยววินาทีต่อมา สายตาอันแหลมคมก็จับภาพหินก้อนที่สองได้ มันมีเป้าหมายอยู่ที่ระหว่างคิ้ว
 
“ อึ้บ ”
       
 
        มาวินเอี้ยวใบหน้าหลบก้อนหินได้นิดๆ มันพุ่งถากแก้มซ้ายจนก่อให้เกิดแผลเล็กๆ คล้ายโดนมีดคมกรีดใส่
       
 
        สิ้นสุดการโจมตีระลอกแรก ทั้งคู่ถึงกลับยืนนิ่ง เด็กสาวปริศนาดูเหมือนจะตกใจนิดๆกับพัฒนาการที่ค่อนข้างไว ครู่หนึ่งก็เอ่ยชม
 
“ ถือว่าพอใช้ได้นะ ”
 
“ ฮะๆ ” เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ แต่ครั้งนี้สายตาเรียวเล็กจ้องจับมาที่มือของเด็กสาวอยู่ตลอด เพราะกลัวโดนโจมตีทีเผลอเหมือนครั้งก่อน
 
“ เเต่ยังไม่พอนะ จะให้ดี นายต้องหลบการโจมตีชุดนี้ให้ได้ซะก่อน ” เด็กสาวพูดเรื่อยๆ พอจบประโยค เธอก็ถลึงตาขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนปล่อยกระสุนก้อนหินที่อยู่ในมือ
         
 
        มาวินพลิกซ้ายพลิกขวา เพื่อหลบหินสองก้อนที่พุ่งเข้ามา แต่ทันใดนั้นเอง…..
 
“ โป๊ก ”
 
“ โอ๊ย..... ” มาวินร้องโอยด้วยความเจ็บปวด พร้อมทรุดกายลงไปกุมหน้าแข้ง ด้วยถูกหินก้อนที่สามพุ่งปะทะ
 
“ ชุดนี้คือการโจมตีสามครั้งติด ” เด็กสาวอธิบาย ท่าทางดูจะสะใจนิดๆที่ทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวด
 
“ อู้ย.... โอเค จัดมาเลย ” เด็กหนุ่มค่อยๆหยัดยืน พร้อมตั้งสมาธิ เพื่อจับไปที่การโจมตีครั้งต่อไป
         
 
        มาวินตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่ยากเกินไป เพราะหินทั้งสามก้อนแทบจะพุ่งกระทบเป้าหมายในเวลาเดียวกัน ทำให้มองทิศทางการจู่โจมไม่ทัน เด็กหนุ่มมักจะตกม้าตายตรงหินก้อนที่สามเสมอ ตามร่างกายเริ่มมีรอยฟกช้ำให้เห็น การฝึกดำเนินไปได้สองชั่วโมงเศษ ก็สิ้นสุด
 
“ เอาล่ะจบการฝึก พักซักครู่และกินอาหารกลางวัน ” เด็กสาวพูดจบ เธอก็เดินไปที่แอ่งน้ำใสไหลเย็น
 
“ เฮ้อ....... ” เด็กหนุ่มทรุดกายลงนั่งชันเข่า ท่าทางเหนื่อยอ่อน
        
 
         ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังพักอยู่นั้น เขาก็จับจ้องทุกการกระทำของเด็กสาว ซึ่งตอนนี้กำลังยืนตัวตรงแน่วอยู่ที่ริมแอ่งน้ำอันลึกแค่เข่า
        
 
         สายตาคมวาวของเด็กสาวจับจ้องไปยังปลาที่ว่ายอยู่ในแอ่ง วินาทีต่อมาดวงตาก็เปล่งประกายแรงกล้า ฝ่ามือที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดพุ่งเสียบเข้าไปที่เป้าหมายหนึ่งครั้ง ก่อนหยุดชะงัก ครู่หนึ่ง ปลาหน้าตาประหลาดตัวย่อมๆก็ลอยขึ้นมานอนตายบนผิวน้ำ
        
 
         มาวินได้เห็นการจับปลาขั้นเทพมาเกือบเดือน เขาจับจุดได้ว่าการทำแบบนี้ จำเป็นต้องมีสายตาและมือที่ว่องไว แถมต้องจับการเคลื่อนไหวของเป้าหมายอย่างแม่นยำ ระยะเวลาที่ผ่านมา เด็กหนุ่มอดอาหารกลางวันเกือบทุกมื้อ มีแค่เมื่อวานที่ดันฟลุ๊คแทงโดนจนปลาลอยขึ้นมานอนตายบนผิวน้ำ แต่กว่าจะทำสำเร็จ ก็เกือบจะหมดเวลาพัก
 
“ เอาล่ะ ตานายแล้ว ” เด็กสาวหิ้วปลาหน้าตาประหลาดขึ้นมา พร้อมบุ้ยปากเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มไปจับปลาบ้าง
 
“ อืม...... ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ ท่าทางไม่มั่นใจ
       
 
         ทันทีที่เด็กหนุ่มประจำที่ เขาก็ตั้งสติ เพื่อเพ่งมองการเคลื่อนไหวของฝูงปลาซึ่งกำลังว่ายเวียนวนอยู่ในน้ำที่ใสราวกระจก เขาไม่มีปัญหาในการจับการเคลื่อนไหว แต่ที่ยังทำได้ไม่ดีก็คือความไวและความคมของฝ่ามือ ทุกครั้งที่พุ่งฝ่ามือลงไป ปลายนิ้วมักแฉลบพื้นผิวที่เป็นมันแผล็บของปลาหน้าตาประหลาด
 
“ ย่ะ...... ” ครั้งนี้เด็กหนุ่มมาแผนใหม่ นั่นก็คือ.....เมื่อดวงตาจับเป้าหมายที่ต้องการสังหาร เขาก็พุ่งฝ่ามือออกมาแบบรัวๆ
 
“ โจมตีถี่แบบนี้ มันต้องโดนเข้าซักตัวล่ะน่า...... ” เด็กหนุ่มคิดในใจ
       
 
         ในระยะแรกเด็กหนุ่มทำได้ดีเลยทีเดียว หลายฝ่ามือถูกปลาหน้าตาประหลาดเข้าอย่างจัง กระนั้นมันก็ไม่เร็วและคมพอที่จะปลิดชีวิตของเหยื่อ
       
 
        เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง มาวินยังจับปลาไม่ได้เลย เขาปลงตกจนย้ายมานอนแผ่หลาสิ้นสภาพอยู่ริมตลิ่ง อกสะท้านขึ้นลงตามจังหวะการหอบ
 
“ แฮ่กๆ บ้าชะมัด สงสัยวันนี้อดกินปลาตามเคย ” เด็กหนุ่มรำพันกับตัวเองเบาๆ…..แต่ทันทีที่พูดจบ ดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมา คล้ายว่านึกอะไรขึ้นมาได้
 
“ ใช่แล้ว เยี่ยมไปเลย ฮ่าๆ ” เด็กหนุ่มทะลึ่งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาก้มลงเก็บหินก้อนเล็กๆที่อยู่บริเวณนั้นขึ้นมากอบที่วงแขน จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่แอ่งน้ำ
         
 
        มาวินจ้องมองปลาที่ว่ายไปมา พอดวงตาที่รวดเร็วจับโฟกัสได้อย่างแม่นยำ เด็กหนุ่มก็ซัดหินด้วยการตวัดมือขวา ทันทีที่กระทบถูก สายน้ำก็พุ่งกระจายขึ้นสูงตามแรงกระแทก ครู่หนึ่งปลาตัวนั้นก็ลอยขึ้นมานอนตายบนผิวน้ำ
 
“ ฮ่าๆ สำเร็จแล้ว ย้าฮู้ ” เด็กหนุ่มกระโดดตัวลอย ท่าทางดีใจสุดขีด นี่เป็นครั้งแรกที่สามารถจับปลาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
        
 
        เมื่อเห็นศิษย์เอกใช้วิธีพลิกแพลงจนสามารถเอาตัวรอดจากโจทย์ที่เธอตั้ง เด็กสาวปริศนาก็เริ่มแย้มยิ้มออกมานิดๆ
 
………………………
      
       เวลาล่วงเข้าสู่ช่วงบ่าย การฝึกฝนกระบวนท่าได้เริ่มต้นขึ้น มาวินฝึกเพลงหมัดแมวป่าซึ่งเป็นพื้นฐานของวรยุทธ์สายความเร็วอย่างขะมักเขม้นจนก้าวหน้าไปมาก ตอนนี้เขาสามารถฝึกได้ถึง 6 กระบวนท่า        
          
 
        มาวินพลิกซ้ายขวาสลับพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ฝ่ามือกับฝ่าเท้าดูกวัดแกว่งอย่างไร้แบบแผน แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปตามกระบวนท่าที่ได้รับการถ่ายทอด
          
 
        เด็กสาวปริศนายืนดูการฝึกอยู่ไม่ห่าง สายตาส่อแววชื่นชม เพราะมาวินเรียนรู้วิชาได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงเดือน เด็กหนุ่มก็สามารถฝึกเพลงหมัดแมวป่าได้ถึงครึ่งทาง ถ้าเป็นคนทั่วไป กว่าจะฝึกถึงขั้นนี้ ได้ ต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นปี
          
 
        มาวินร่ายรำตั้งแต่กระบวนท่าที่หนึ่งจนถึงกระบวนท่าที่หก โดยใช้เวลาราวๆ 10 นาที หลังเสร็จสิ้น เขาก็หันไปสอบถามอาจารย์สาวรุ่นเดียวกัน
 
“ เฮ้ เป็นไงบ้าง การฝึกของชั้นโอเคมั้ย มีอะไรผิดพลาดหรือมีคำแนะนำรึเปล่า ”
          
 
        เด็กสาวปริศนาสะดุ้งนิดๆ คล้ายว่าเพิ่งตื่นจากภวังค์ พอตั้งสติได้ เธอก็ตอบกลับช้าๆแต่ชัดเจน
 
“ อืม...... นายวางท่วงท่าได้ถูกต้องจนเกือบจะสมบูรณ์เลยทีเดียว ”
 
“ หือ..... เกือบสมบูรณ์ ” สีหน้าของมาวินส่อเค้าไม่พอใจ เพราะเขาคิดว่ากระบวนท่าที่ร่ายรำน่าจะเข้าขั้นเพอร์เฟค
 
“ แม้ท่าร่างจะถูกต้อง แต่ขาดความหนักแน่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการสั่งสม ” เด็กสาวตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
 
“ หมายความว่าการออกกระบวนท่าของชั้นไม่แข็งแรงพอ ” มาวินเลิกคิ้วสูงและเท้าสะเอวถาม กิริยาออกไปทางกวนเบื้องต่ำ
 
“ ก็ประมาณนั้นแหละ ” เด็กสาวตอบกลับ
 
“ จะให้กระบวนท่ามั่นคงและแข็งแรง ก็ต้องฝึกมากๆกับฝึกนานๆ ” มาวินถามกลับอีก คราวนี้ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจเล็กน้อย
 
“ ใช่ ” เด็กสาวตอบสั้นๆ
 
“ ต้องฝึกนานเท่าไหร่ ถึงจะพอใช้ได้” มาวินถามอีกครั้ง ถึงตอนนี้ใบหน้าเล็กเรียวเริ่มเหยเก
 
“ กะคร่าวๆ อย่างเร็วสุดก็น่าจะประมาณ 1- 5 ปี อย่างช้าก็สิบปี ”
         
 
        ทันทีที่ได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มก็เกิดอาการประหลาด เขากระโดดโลดเต้นไปมารอบลานกว้างราวกับคนบ้า บางครั้งก็แหกปากตะโกนเสียงดัง
 
“ จ้าก..... ไม่เอา ให้อยู่ที่นี่นานขนาดนั้น ไม่เอา ”
         
 
        เมื่อเด็กสาวเห็นอาการคล้ายวิกลจริตของอีกฝ่าย เธอก็ผวาเล็กน้อย พอตั้งสติได้ ก็ร้องบอกเสียงเข้ม
 
“ นี่ เงียบซะ เจ้าลิงหัวเขียว ”
        
 
         แม้เด็กสาวจะตะโกนดัง แต่ก็เหมือนจะไร้ผล มาวินยังคงสติแตก คลุ้มคลั่งและวิ่งวนไปมา ครู่หนึ่งเธอก็เหมือนจะปลงตก จึงย้ายไปนั่งที่โขดหินใต้ร่มไม้ เพื่อรอให้เด็กหนุ่มคลายอาการบ้าคลั่ง
           
 
        เวลาผ่านไปพักใหญ่ มาวินก็ค่อยๆเดินคอตก ลิ้นห้อยมาหาเด็กสาวปริศนา จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงอ่อย ท่าทางเหนื่อยอ่อน
 
“ นี่....เธอ มีทางลัดในการฝึกมั้ย ชั้นไม่มีเวลาอยู่ที่นี่นานขนาดนั้น ”
         
 
        เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้ามึนงงเล็กน้อยกับคำถามแปลกๆของมาวิน แต่ก็ไม่สงสัยมากนัก ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่อยู่ร่วมกันมา ทำให้พอรู้ว่าเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ตรงหน้าเป็นคนประหลาด ซนเป็นลิงและรอไม่เป็น จึงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับ
 
“ ถ้าจะฝึกกระบวนท่าให้เกิดความมั่นคง แข็งแรงโดยเร็ว ก็พอมีทางอยู่ นั่นก็คือ..นายต้องฝึกกำลังภายใน ”
 
“ โห.... อย่างกับหนังจีนกำลังภายในเลย เท่ชะมัด ฝึกยังไง เธอช่วยสอนชั้นทีดิ อยากเก่งแล้ว เอาเลยๆ ” มาวินโพล่งขึ้นมาด้วยความดีใจ พลางเร่งเร้าเด็กสาว เพื่อขอฝึกฝนโดยไว
        
 
       เด็กสาวมองหน้ามาวินนิ่งๆ ดวงตาแฝงแววกลัดกลุ้ม ซึ่งเด็กหนุ่มก็พอจะจับความรู้สึกได้ เขานึกแปลกใจกับท่าทีของอาจารย์สาววัยเดียวกัน
 
“ เอ่อ..... ตกลงเราจะฝึกกำลังภายในกันยังไง ” เด็กหนุ่มเริ่มหน้าเสีย เพราะรู้สึกว่าการฝึกกำลังภายในน่าจะอันตรายอยู่พอสมควร
 
“ อืม...... ชั้นสอนให้นายก็ได้ แต่ต้องฝึกตามอย่างเคร่งครัด ห้ามออกนอกลู่นอกทางหรือพลิกแพลงเหมือนที่ผ่านมาโดยเด็ดขาด เข้าใจมั้ย ” เด็กสาวตัดสินใจบอก น้ำเสียงจริงจังเป็นที่สุด
 
“ เอ่อ..... มีคำถาม ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทันที หน้าตาออกไปในทางเหลอหลา
 
“ เฮ้อ..... ว่ามา ” เด็กสาวกุมขมับคล้ายคนที่กำลังจะเป็นไมเกรน สาเหตุที่เธอไม่อยากจะฝึกกำลังภายในให้ ก็เพราะอุปนิสัยประหลาดของมาวินนี่แหละ
 
“ ถ้าฝึกพลาดหรือมั่ว ผลจะเป็นยังไง ” เด็กหนุ่มถาม
 
“ พลาดนิดหน่อย ก็บาดเจ็บสาหัส พลาดปานกลาง เป็นบ้าหรือพิการ หนักที่สุดก็คือ…….” เด็กสาวเน้นคำ เพื่อหวังปรามเด็กหนุ่มว่าอย่ามั่วกับการฝึกแนวนี้อย่างเด็ดขาด
 
“ หนักสุดคืออะไร ” มาวินลุ้นคำตอบสุดท้ายจนตัวโก่ง
 
“ ตาย ” เด็กสาวตอบกลับดุดัน ทำให้มาวินผวาเฮือกใหญ่ ใบหน้าเจื่อนลงและขอยกเลิกการฝึกอย่างฉับพลัน
 
“ เอ่อ...... งั้นชั้นถอนตัวจากการฝึกก็แล้วกัน เหอๆ ไม่เป็นไรความเก่งมันรอกันได้ เพิ่มเวลาฝึกอีกนิดหน่อย จะเป็นไรไป ฮะๆ ”
 
“ อืม..... ใจเย็นน่า เพียงหกกระบวนท่าที่ฝึกมา ก็พอจะเอาตัวรอดได้ ถ้าเจอศัตรูหรือมอนสเตอร์ที่ไม่เก่งนัก นายก็น่าจะสู้ได้ ” เด็กสาวให้กำลังใจ
 
“ ครับๆ คุณนายจัน เฮ้ย ไม่ใช่สิ อาจารย์ ” เด็กหนุ่มตอบกลับมาเบาๆแบบกวนๆ เขาเผลอหลุดปากเรียกกังฟูสาวว่า “คุณนายจัน” ซึ่งเป็นสรรพนามที่ใช้ล้อเลียนเพื่อนสาวคนสนิท สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเด็กสาวปริศนาและจันมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกัน ถ้าจะพูดว่าเป็นคนๆเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
 
……………………….
           
        ยามค่ำคืนกลางป่าที่เงียบสงัด เสียงแมลงดังระงมราวดนตรีขับกล่อม รอบด้านดูมืดสนิท มีเพียงกองไฟดวงใหญ่ที่คอยให้แสงสว่างและความอบอุ่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำ อันเป็นที่อยู่อาศัยของสองวัยรุ่น
         
 
        เด็กวัยรุ่นทั้งสองนั่งผิงกาย คลายความหนาวอยู่ข้างกองไฟ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
 
“ นี่ก็ใกล้จะหนึ่งเดือนแล้ว เธอจะทำยังไงต่อไป ”
 
“ เราก็แยกกัน ชั้นไปตามทางของชั้น ส่วนนายก็ไปตามทางของนาย ” เด็กสาวตอบเรียบเฉย ท่าทางดูแล้งน้ำใจยังไงชอบกล
 
“ อืม...... ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ
          
 
        ทั้งคู่นั่งสงบนิ่ง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดต่อกัน อึดใจต่อมาเด็กหนุ่มก็ถามต่อ
 
“ ว่าแต่ทำไม.....เราต้องแยกจากกัน ไปด้วยกันก็ได้นี่ ยังไงซะชั้นก็ไปแคว้นเยอมาเนียไม่ถูกอยู่แล้ว เธอควรจะช่วยชั้นต่อนะ หลวมตัวช่วยถึงขนาดนี้แล้ว ก็ช่วยให้ตลอดรอดฝั่งสิ ”
 
“ นั่นเป็นปัญหาของนาย ไม่ใช่ของชั้น ” เด็กสาวตัดบท น้ำเสียงเครียดขึ้ง
         
 
         มาวินสะดุ้งกับคำตอบที่ไร้น้ำใจและรุนแรง เด็กหนุ่มก้มหน้ารับคำ พลางตอบกลับมาเบาๆด้วยอาการเซื่องซึม
 
“ เข้าใจแล้ว ถึงยังไงเธอก็ไม่ใช่จัน แม้ว่าหน้าตาจะเหมือนเพื่อนของชั้นก็ตามที ”
         
 
        เด็กสาวเหลือบมองเด็กหนุ่ม ที่ตอนนี้ออกอาการหงอยลงไปถนัด ฉับพลันแววตาและสีหน้าของเธอกลับดูอ่อนโยนลงอย่างประหลาด เวลาต่อมาก็เอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ คล้ายว่าจะเผลอตัว
 
“ เพื่อนของนายมีหน้าตาที่คล้ายกับชั้นขนาดนั้นเลยหรือ ”
          
 
         เด็กหนุ่มชำเลืองมองใบหน้าของเด็กสาวนิดนึง ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล จนไม่น่าเชื่อว่าคนซนๆอย่างเขาจะทำแบบนั้นได้
 
“ จะว่าไปแล้ว มันไม่ใช่แค่คล้ายหรอก ความจริงคือ.....เธอกับจันเหมือนกันอย่างกับแกะ แถมนิสัยใจคอก็ยังคล้ายกันอีก โดยเฉพาะ…..”
 
“ เฉพาะอะไร ” เด็กสาวถามต่อ
         
 
        มาวินเงยหน้าขึ้นมองแบบเต็มสองตา แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายลึกซึ้ง คล้ายอยากจะปลดปล่อยความห่วงหาอาลัยที่ซุกซ่อนอยู่ในใจออกมาให้หมดสิ้น ทำเอาเด็กสาวถึงกับชะงักงันและจ้องกลับแบบไม่วางตา
 
“ โดยเฉพาะตรงนี้ของเธอและจัน ” เด็กหนุ่มยกมือขวาขึ้นมาแตะหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง
 
“ มันอบอุ่นมาก ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าเรียวเล็กที่เคยทะเล้นแปรเปลี่ยนเป็นเคลิ้มฝันกับอดีตที่แสนสุข
 
" เอ..... แต่เท่าที่จำได้ ชั้นเพิ่งปฏิเสธการร่วมทางกับนายนี่นา มันดูแล้งน้ำใจและโหดร้ายไม่ใช่น้อย แล้วแบบนี้ จะบอกว่าชั้นมีหัวใจที่อบอุ่นเหมือนเพื่อนของนายได้ยังไง " เด็กสาวกล่าวค้านในคำพูดที่ย้อนแย้ง
        
 
         มาวินไม่ตอบคำในทันที เขามองหน้าของเด็กสาวนิ่งๆ พร้อมยิ้มออกมานิดๆ ครู่หนึ่งก็ตอบกลับ
 
" ถึงจะดูเย็นชา ใจดำที่ไม่ยอมช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดี ชั้นก็เป็นแค่คนแปลกหน้า แต่เธอกลับช่วยฝึกวิชาให้ถึงหนึ่งเดือน เพียงเพื่อเพิ่มโอกาสให้ชั้นอยู่รอดในโลกแห่งนี้ โดยที่เธอไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าหัวใจอบอุ่น แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ "
       
 
         ทันทีที่ได้รับคำตอบ เด็กสาวก็ถึงกับนิ่งอึ้งอย่างฉับพลัน แต่ก่อนจะโต้ตอบคำใด มาวินก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีก
 
" เธอต้องมีเหตุผลที่ทำให้เดินทางคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีงาม ชั้นเชื่ออย่างนั้น " มาวินพูดจบ เขาก็แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง ใบหน้าเรียวเล็กแย้มยิ้มนิดๆ เพราะเจ้าตัวรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้ปลดปล่อยทุกสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
         
 
        เวลาแห่งความเงียบงันผ่านไปนานหลายอึดใจ เมื่อมันถึงจุดอิ่มตัว เด็กสาวปริศนาก็เอ่ยถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
 
“ นายคิดถึงจัน คนรักของนายมาก ใช่มั้ย….”
 
“ ใช่….เฮ้ย ไม่ใช่ ใครจะไปคิดถึงยัยผู้หญิงบ้าพลังคนนั้น ชั้นแค่อยากกลับไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ต่างหากเล่า ” เด็กหนุ่มเผลอตอบรับ แต่พอนึกขึ้นมาได้ ก็รีบปฏิเสธด้วยความเขินอาย
 
“ ฮะๆ นายนี่ล่ะน้า ปากกับใจไม่ตรงกัน เออ..... ว่าแต่เกมคอมพิวเตอร์คืออะไร ” เด็กสาวปิดปากหัวเราะเล็กน้อย ผิดกับกิริยานิ่งขรึมที่ผ่านมา ถึงกระนั้นก็ดูสดใสสมวัย
 
“ ชั้นไม่พูดกับเธอแล้ว นอนดีกว่า พรุ่งนี้มีการฝึกอีก เชอะ ” มาวินแกล้งหัวเสีย จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน พร้อมหันหลังให้เด็กสาวปริศนา
          
 
         เด็กสาวนั่งชันเข่า สายตาเหม่อมองเด็กหนุ่มที่นอนหันหลังให้ ครู่หนึ่ง เธอก็ได้ยินเสียงกรนที่แผ่วเบา
 
“ ครอก.......ฟี้....... ”
        
 
         สีหน้าของเด็กสาวดูแปลกใจ เธอนึกสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าถึงเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ เมื่อกี้เพิ่งพูดคุยในเรื่องซึ้งใจ พักเดียวพวกหลับผล็อยไปหน้าตาเฉย สุดท้าย ก็อมยิ้มนิดๆ พร้อมพูดออกมาเบาๆแค่พอได้ยิน
 
“ พักผ่อนซะนะ เจ้าลิงหัวเขียว ”
 
 
สามารถติดตามงานเขียน  ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา