The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) ผลการฝึก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://www.pexels.com
………………………..
“ ที่นี่ที่ไหน ” มาวินมองไม่เห็นอะไร ทุกอย่างดำมืดไปหมด มีแต่ความเงียบและเสียงสะท้อนจากหัวใจ
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังสับสน ไม่รู้จะไปทางไหน ความรู้สึกทางกายก็กลับมา หูเริ่มได้ยินเสียง และสิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ……..
“ ครืน..... ซ่า..... ”
“ เอ....... นี่มันเสียงฟ้าร้อง เสียงฝนตกนี่นา ” เด็กหนุ่มรำพันกับตัวเอง
“ ก็ใช่น่ะซิ ฝนกำลังตก ตื่นได้แล้ว เจ้าลิงหัวเขียว เช้านี้เราจะฝึกท่านั่งม้ากันในถ้ำ ” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา เสียงนั้นห้าวใหญ่คล้ายผู้ชาย แต่ถ้าฟังให้ดีก็มีเค้าของอิสตรี
“ เอ๊ะ เสียงคุ้นๆแฮะ ใครน่ะ ” มาวินถามกลับ เพราะดวงตายังคงฝ้าฟางด้วยอาการสะลึมสะลือ ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้รับบางสิ่งแทนคำตอบ
“ โป๊ก..... ”
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสนั่น พร้อมความเจ็บปวดที่บริเวณศีรษะ สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและแหกปากเสียงดัง
“ โอ๊ย..... มันเจ็บนะ ”
เด็กหนุ่มกระโดดตัวลอย ดวงตาสว่างในฉับพลัน พอจับโฟกัสได้ ก็พบว่าตนกำลังอยู่ในถ้ำกว้าง ใกล้ตัวปรากฏกายของเด็กสาวหน้าเข้ม
“ ถ้านายไม่อยากเจ็บตัวอีก ก็ลุกขึ้นมาฝึก เข้าใจมั้ย เจ้าลิงหัวเขียว ” เด็กสาวปริศนาขู่อีกครั้ง น้ำเสียงดุดัน จริงจังและปราศจากอาการล้อเล่น
“ จ้าๆ ยอมแล้วจ้า ดุเหลือเกิน เฮ้อ..... ” เด็กหนุ่มหัวเขียวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ตั้งท่านั่งม้าในทันที
เด็กสาวยืนกอดอกมองการฝึกอยู่เงียบๆ ก่อนจะแยกตัวไปนั่งขัดสมาธิที่ฟากหนึ่งของถ้ำ ทันทีที่เธอหย่อนกายลง ดวงตาก็ปิดสนิท
มาวินสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไป ถึงกระนั้นก็ไม่นึกแปลกใจ เพราะเกือบเดือนที่ผ่านมา เขาได้เห็นเด็กสาวนั่งสมาธิแบบนี้อยู่หลายหน คิดจะถามอยู่เหมือนกันว่า “เธอกำลังทำอะไร” แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเคยถามในเรื่องที่ง่ายกว่าอย่างเช่น “เธอชื่ออะไร” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ......ความเงียบ
มาวินตั้งท่านั่งม้าต่อไป เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าการฝึกฝนแบบนี้มีผลอย่างไร สิ่งที่รู้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ….มันเป็นท่าพื้นฐานของผู้ฝึกกังฟู ระยะหลังเขาก็เริ่มชินกับการฝึกและสามารถตั้งท่าต่อเนื่องได้ถึงสามชั่วโมง
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง วัยรุ่นทั้งสองยังประจำอยู่คนละจุดด้วยอากัปกิริยาเดิมๆ ราวกับพวกเขาถูกสาปให้เป็นหิน อึดใจต่อมาเด็กสาวก็ลืมตาขึ้น เธอพ่นลมแรงอยู่หลายครั้ง พอกระบวนการหายใจกลับมาเป็นปกติ ก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังจุดที่เด็กหนุ่มฝึกท่านั่งม้า
ทันทีที่เด็กสาวหยุดยืนเบื้องหน้า ก็มองไปที่มาวิน เธอพบว่าเด็กหนุ่มกำลังเกร็งและนิ่งขึง เหงื่อสีใสไหลย้อยอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ยังคงอยู่ในท่านั่งม้าได้มั่นคงและแข็งแรง พอสองตาสบกับ แววตาของเขาก็ส่อประกายสงสัย เป็นนัยจะถามว่า "เธอมองหน้าชั้นทำไม ชั้นมีเขางอกบนหัวหรือ"
“ เอาล่ะ พอได้แล้ว พักซักครู่หนึ่ง ” เด็กสาวกล่าวแผ่วเบา แต่กระแสเสียงสะท้านไปทั่วบริเวณ เนื่องจากทั้งคู่ยังอยู่ในถ้ำกว้าง
ทันทีที่สิ้นคำ มาวินก็ทรุดกายลงมานั่งชันเข่า พลางเปิดปากบ่น
“ เฮ้อ..... ไอ้ท่าที่เธอให้ชั้นฝึกเนี่ย มันชวนเมื่อยชะมัดเลย ”
เด็กสาวผู้เงียบขรึมไม่โต้ตอบประการใด แต่หยิบเนื้อย่างรมควันออกจากย่าม แล้วโยนให้มาวิน เด็กหนุ่มรีบส่งมันเข้าปาก โดยไม่ถามไถ่ เขาได้รับบทเรียนจากชีวิตลำเค็ญที่เคยเผชิญ บทเรียนนั้นมีชื่อว่า "ถ้ายังอยากมีชีวิต ก็อย่าเรื่องมากในการกิน "
ระหว่างที่เด็กสาวกำลังกินเนื้อย่างรมควัน สายตาก็มองมาที่มาวินอยู่เงียบๆ ถึงกระนั้นผู้ถูกจับจ้องก็ไม่ใส่ใจ เขายังคงสวาปามอาหารแห้งอย่างเอร็ดอร่อย
เวลาผ่านไปไม่นาน ฝนห่าใหญ่ก็หยุดตก ทั้งคู่เดินทางไปยังลานกว้างของน้ำตกใหญ่ พอประจันหน้ากัน เด็กสาวก็ร้องถามเสียงดัง
“ พร้อมหรือยัง ”
“ ถึงไม่อยากพร้อม ก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ ” เด็กหนุ่มมาดกวนตอบแหยงๆ ใจนึกเกลียดและกลัวการฝึกนี้มาก เพราะเกือบเดือนที่ผ่านมา เขาได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวจากหินก้อนเล็กๆมานับครั้งไม่ถ้วน
“ งั้นก็ เริ่ม…” เด็กสาวส่งสัญญาณเตือน ก่อนหยิบหินมาก้อนหนึ่ง แล้วตวัดข้อมือ เพื่อเขวี้ยงใส่มาวิน
หินก้อนเล็กๆพุ่งตรงไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม แต่ก่อนจะกระทบเป้าหมาย เขาก็โยกหลบได้แบบเฉียดฉิว
“ อืม..... ไม่เลวนี่ ” ใบหน้าเด็กสาวกระตุกนิดๆ ก่อนจะเอ่ยชม
“ ฮ่าๆ ของมันแน่อยู่แล้ว ก็ชั้นเป็นอัจฉริยะนี่นา เชื่อมั้ยเล่า สายตาของชั้นมันไวขั้นเทพ ” มาวินคุยโม้โอ้อวดไปเรื่อยเปื่อย
“ หึๆ ก็รอดูต่อไป ” เด็กสาวปริศนากล่าวจบ เธอก็ฉวยจังหวะที่มาวินเผลอ เขวี้ยงหินใส่เด็กหนุ่มอีกที คราวนี้พุ่งตรงไปที่หน้าอก
“ เฮ้ย ” เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เพราะถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ยกแขนขึ้นปัดหินได้อย่างหวุดหวิด
“ นี่เธอ....จะขว้างหินมา ก็ช่วยให้สุ้มให้เสียงกันมั่งดิ ชั้นเกือบปัดไม่ทันนะ ” มาวินโวยเด็กสาว น้ำเสียงดูขุ่นๆ
“ หึๆ ดีมาก ตอนนี้นายเริ่มจับทิศทางการจู่โจมได้ มิหนำซ้ำยังมีสายตา ปฏิกิริยาที่พอจะตอบโต้ความเร็วระดับนี้ ” เด็กสาวปริศนาไม่สนคำโวย เธอหัวเราะเบาๆ
“ เอ๊ะ อืม..... เอ่อ…คงงั้นมั้ง ” เด็กหนุ่มทำท่าจะโวยต่อ แต่ก็หยุดชะงักอย่างฉับพลัน เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้นี้ถือเป็นคำชมมั้ย
“ ดังนั้นแล้ว ชั้นจะยกระดับการฝึกไปอีกขั้น ” สีหน้าของเด็กสาวปริศนาเรียบเฉย แววตาแทบไม่กะพริบ
“ เอ่อ….. แล้วจะยกระดับยังไง ” เด็กหนุ่มถามแบบกล้าๆกลัวๆ หัวสมองนึกภาพเด็กสาวกำลังยกหินหนักร้อยกิโล เพื่อเตรียมขว้างใส่เขา
“ แบบนี้ไง ” เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง เธอตวัดข้อมือ เพื่อซัดหินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ เชอะ มันก็แบบเดิมๆนั่นแหละน่า ” มาวินตอบยิ้มๆ พลางพลิกหลบหินที่พุ่งเข้ามาอย่างง่ายดาย ทันใดนั้นเอง
“ โป๊ก ”
“ โอ๊ย..... ” เด็กหนุ่มร้องลั่น พร้อมผงะไปด้านหลัง เมื่อพบว่ามีหินก้อนที่สองพุ่งปะทะหน้าผาก หินก้อนนี้วิ่งตามหลังหินก้อนแรกมาติดๆ
เด็กสาวยืนมองมาวิน ที่ตอนนี้ก้มตัวลงกุมหน้าผาก พร้อมซู้ดปากด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเธอเหมือนจะอมยิ้มนิดๆ ครู่หนึ่งปากกระจับก็อ้าออก เพื่อเอื้อนเอ่ยวาจา
“ ชั้นยกระดับการฝึกให้นายด้วยการปาหินสองก้อน ”
“ โห.....แล้วก็ไม่บอกกันก่อน อู้ย..... ” มาวินคลำหัวเบาๆ พลางตัดพ้อต่อว่าเด็กสาวปริศนาเป็นการใหญ่
“ นายพูดอย่างกับว่า....ถ้ารู้แล้ว จะป้องกันได้ทันอย่างงั้นแหละ ” เด็กสาวเลิกคิ้วสูง
“ ก็ใช่อ่ะดิ ถ้าแค่สองครั้ง ชั้นคิดว่าพอจะหลบไหว ” เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ หึ ก็ลองดูกัน ” เด็กสาวตวัดข้อมือส่งหินออกไปอีกครั้ง
คราวนี้มาวินโยกหลบหินที่พุ่งเข้ามาได้อย่างสมบูรณ์ เสี้ยววินาทีต่อมา สายตาอันแหลมคมก็จับภาพหินก้อนที่สองได้ มันมีเป้าหมายอยู่ที่ระหว่างคิ้ว
“ อึ้บ ”
มาวินเอี้ยวใบหน้าหลบก้อนหินได้นิดๆ มันพุ่งถากแก้มซ้ายจนก่อให้เกิดแผลเล็กๆ คล้ายโดนมีดคมกรีดใส่
สิ้นสุดการโจมตีระลอกแรก ทั้งคู่ถึงกลับยืนนิ่ง เด็กสาวปริศนาดูเหมือนจะตกใจนิดๆกับพัฒนาการที่ค่อนข้างไว ครู่หนึ่งก็เอ่ยชม
“ ถือว่าพอใช้ได้นะ ”
“ ฮะๆ ” เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ แต่ครั้งนี้สายตาเรียวเล็กจ้องจับมาที่มือของเด็กสาวอยู่ตลอด เพราะกลัวโดนโจมตีทีเผลอเหมือนครั้งก่อน
“ เเต่ยังไม่พอนะ จะให้ดี นายต้องหลบการโจมตีชุดนี้ให้ได้ซะก่อน ” เด็กสาวพูดเรื่อยๆ พอจบประโยค เธอก็ถลึงตาขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนปล่อยกระสุนก้อนหินที่อยู่ในมือ
มาวินพลิกซ้ายพลิกขวา เพื่อหลบหินสองก้อนที่พุ่งเข้ามา แต่ทันใดนั้นเอง…..
“ โป๊ก ”
“ โอ๊ย..... ” มาวินร้องโอยด้วยความเจ็บปวด พร้อมทรุดกายลงไปกุมหน้าแข้ง ด้วยถูกหินก้อนที่สามพุ่งปะทะ
“ ชุดนี้คือการโจมตีสามครั้งติด ” เด็กสาวอธิบาย ท่าทางดูจะสะใจนิดๆที่ทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวด
“ อู้ย.... โอเค จัดมาเลย ” เด็กหนุ่มค่อยๆหยัดยืน พร้อมตั้งสมาธิ เพื่อจับไปที่การโจมตีครั้งต่อไป
มาวินตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่ยากเกินไป เพราะหินทั้งสามก้อนแทบจะพุ่งกระทบเป้าหมายในเวลาเดียวกัน ทำให้มองทิศทางการจู่โจมไม่ทัน เด็กหนุ่มมักจะตกม้าตายตรงหินก้อนที่สามเสมอ ตามร่างกายเริ่มมีรอยฟกช้ำให้เห็น การฝึกดำเนินไปได้สองชั่วโมงเศษ ก็สิ้นสุด
“ เอาล่ะจบการฝึก พักซักครู่และกินอาหารกลางวัน ” เด็กสาวพูดจบ เธอก็เดินไปที่แอ่งน้ำใสไหลเย็น
“ เฮ้อ....... ” เด็กหนุ่มทรุดกายลงนั่งชันเข่า ท่าทางเหนื่อยอ่อน
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังพักอยู่นั้น เขาก็จับจ้องทุกการกระทำของเด็กสาว ซึ่งตอนนี้กำลังยืนตัวตรงแน่วอยู่ที่ริมแอ่งน้ำอันลึกแค่เข่า
สายตาคมวาวของเด็กสาวจับจ้องไปยังปลาที่ว่ายอยู่ในแอ่ง วินาทีต่อมาดวงตาก็เปล่งประกายแรงกล้า ฝ่ามือที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดพุ่งเสียบเข้าไปที่เป้าหมายหนึ่งครั้ง ก่อนหยุดชะงัก ครู่หนึ่ง ปลาหน้าตาประหลาดตัวย่อมๆก็ลอยขึ้นมานอนตายบนผิวน้ำ
มาวินได้เห็นการจับปลาขั้นเทพมาเกือบเดือน เขาจับจุดได้ว่าการทำแบบนี้ จำเป็นต้องมีสายตาและมือที่ว่องไว แถมต้องจับการเคลื่อนไหวของเป้าหมายอย่างแม่นยำ ระยะเวลาที่ผ่านมา เด็กหนุ่มอดอาหารกลางวันเกือบทุกมื้อ มีแค่เมื่อวานที่ดันฟลุ๊คแทงโดนจนปลาลอยขึ้นมานอนตายบนผิวน้ำ แต่กว่าจะทำสำเร็จ ก็เกือบจะหมดเวลาพัก
“ เอาล่ะ ตานายแล้ว ” เด็กสาวหิ้วปลาหน้าตาประหลาดขึ้นมา พร้อมบุ้ยปากเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มไปจับปลาบ้าง
“ อืม...... ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ ท่าทางไม่มั่นใจ
ทันทีที่เด็กหนุ่มประจำที่ เขาก็ตั้งสติ เพื่อเพ่งมองการเคลื่อนไหวของฝูงปลาซึ่งกำลังว่ายเวียนวนอยู่ในน้ำที่ใสราวกระจก เขาไม่มีปัญหาในการจับการเคลื่อนไหว แต่ที่ยังทำได้ไม่ดีก็คือความไวและความคมของฝ่ามือ ทุกครั้งที่พุ่งฝ่ามือลงไป ปลายนิ้วมักแฉลบพื้นผิวที่เป็นมันแผล็บของปลาหน้าตาประหลาด
“ ย่ะ...... ” ครั้งนี้เด็กหนุ่มมาแผนใหม่ นั่นก็คือ.....เมื่อดวงตาจับเป้าหมายที่ต้องการสังหาร เขาก็พุ่งฝ่ามือออกมาแบบรัวๆ
“ โจมตีถี่แบบนี้ มันต้องโดนเข้าซักตัวล่ะน่า...... ” เด็กหนุ่มคิดในใจ
ในระยะแรกเด็กหนุ่มทำได้ดีเลยทีเดียว หลายฝ่ามือถูกปลาหน้าตาประหลาดเข้าอย่างจัง กระนั้นมันก็ไม่เร็วและคมพอที่จะปลิดชีวิตของเหยื่อ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง มาวินยังจับปลาไม่ได้เลย เขาปลงตกจนย้ายมานอนแผ่หลาสิ้นสภาพอยู่ริมตลิ่ง อกสะท้านขึ้นลงตามจังหวะการหอบ
“ แฮ่กๆ บ้าชะมัด สงสัยวันนี้อดกินปลาตามเคย ” เด็กหนุ่มรำพันกับตัวเองเบาๆ…..แต่ทันทีที่พูดจบ ดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมา คล้ายว่านึกอะไรขึ้นมาได้
“ ใช่แล้ว เยี่ยมไปเลย ฮ่าๆ ” เด็กหนุ่มทะลึ่งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาก้มลงเก็บหินก้อนเล็กๆที่อยู่บริเวณนั้นขึ้นมากอบที่วงแขน จากนั้นก็วิ่งกลับไปที่แอ่งน้ำ
มาวินจ้องมองปลาที่ว่ายไปมา พอดวงตาที่รวดเร็วจับโฟกัสได้อย่างแม่นยำ เด็กหนุ่มก็ซัดหินด้วยการตวัดมือขวา ทันทีที่กระทบถูก สายน้ำก็พุ่งกระจายขึ้นสูงตามแรงกระแทก ครู่หนึ่งปลาตัวนั้นก็ลอยขึ้นมานอนตายบนผิวน้ำ
“ ฮ่าๆ สำเร็จแล้ว ย้าฮู้ ” เด็กหนุ่มกระโดดตัวลอย ท่าทางดีใจสุดขีด นี่เป็นครั้งแรกที่สามารถจับปลาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เมื่อเห็นศิษย์เอกใช้วิธีพลิกแพลงจนสามารถเอาตัวรอดจากโจทย์ที่เธอตั้ง เด็กสาวปริศนาก็เริ่มแย้มยิ้มออกมานิดๆ
………………………
เวลาล่วงเข้าสู่ช่วงบ่าย การฝึกฝนกระบวนท่าได้เริ่มต้นขึ้น มาวินฝึกเพลงหมัดแมวป่าซึ่งเป็นพื้นฐานของวรยุทธ์สายความเร็วอย่างขะมักเขม้นจนก้าวหน้าไปมาก ตอนนี้เขาสามารถฝึกได้ถึง 6 กระบวนท่า
มาวินพลิกซ้ายขวาสลับพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ฝ่ามือกับฝ่าเท้าดูกวัดแกว่งอย่างไร้แบบแผน แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปตามกระบวนท่าที่ได้รับการถ่ายทอด
เด็กสาวปริศนายืนดูการฝึกอยู่ไม่ห่าง สายตาส่อแววชื่นชม เพราะมาวินเรียนรู้วิชาได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงเดือน เด็กหนุ่มก็สามารถฝึกเพลงหมัดแมวป่าได้ถึงครึ่งทาง ถ้าเป็นคนทั่วไป กว่าจะฝึกถึงขั้นนี้ ได้ ต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นปี
มาวินร่ายรำตั้งแต่กระบวนท่าที่หนึ่งจนถึงกระบวนท่าที่หก โดยใช้เวลาราวๆ 10 นาที หลังเสร็จสิ้น เขาก็หันไปสอบถามอาจารย์สาวรุ่นเดียวกัน
“ เฮ้ เป็นไงบ้าง การฝึกของชั้นโอเคมั้ย มีอะไรผิดพลาดหรือมีคำแนะนำรึเปล่า ”
เด็กสาวปริศนาสะดุ้งนิดๆ คล้ายว่าเพิ่งตื่นจากภวังค์ พอตั้งสติได้ เธอก็ตอบกลับช้าๆแต่ชัดเจน
“ อืม...... นายวางท่วงท่าได้ถูกต้องจนเกือบจะสมบูรณ์เลยทีเดียว ”
“ หือ..... เกือบสมบูรณ์ ” สีหน้าของมาวินส่อเค้าไม่พอใจ เพราะเขาคิดว่ากระบวนท่าที่ร่ายรำน่าจะเข้าขั้นเพอร์เฟค
“ แม้ท่าร่างจะถูกต้อง แต่ขาดความหนักแน่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการสั่งสม ” เด็กสาวตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ หมายความว่าการออกกระบวนท่าของชั้นไม่แข็งแรงพอ ” มาวินเลิกคิ้วสูงและเท้าสะเอวถาม กิริยาออกไปทางกวนเบื้องต่ำ
“ ก็ประมาณนั้นแหละ ” เด็กสาวตอบกลับ
“ จะให้กระบวนท่ามั่นคงและแข็งแรง ก็ต้องฝึกมากๆกับฝึกนานๆ ” มาวินถามกลับอีก คราวนี้ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจเล็กน้อย
“ ใช่ ” เด็กสาวตอบสั้นๆ
“ ต้องฝึกนานเท่าไหร่ ถึงจะพอใช้ได้” มาวินถามอีกครั้ง ถึงตอนนี้ใบหน้าเล็กเรียวเริ่มเหยเก
“ กะคร่าวๆ อย่างเร็วสุดก็น่าจะประมาณ 1- 5 ปี อย่างช้าก็สิบปี ”
ทันทีที่ได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มก็เกิดอาการประหลาด เขากระโดดโลดเต้นไปมารอบลานกว้างราวกับคนบ้า บางครั้งก็แหกปากตะโกนเสียงดัง
“ จ้าก..... ไม่เอา ให้อยู่ที่นี่นานขนาดนั้น ไม่เอา ”
เมื่อเด็กสาวเห็นอาการคล้ายวิกลจริตของอีกฝ่าย เธอก็ผวาเล็กน้อย พอตั้งสติได้ ก็ร้องบอกเสียงเข้ม
“ นี่ เงียบซะ เจ้าลิงหัวเขียว ”
แม้เด็กสาวจะตะโกนดัง แต่ก็เหมือนจะไร้ผล มาวินยังคงสติแตก คลุ้มคลั่งและวิ่งวนไปมา ครู่หนึ่งเธอก็เหมือนจะปลงตก จึงย้ายไปนั่งที่โขดหินใต้ร่มไม้ เพื่อรอให้เด็กหนุ่มคลายอาการบ้าคลั่ง
เวลาผ่านไปพักใหญ่ มาวินก็ค่อยๆเดินคอตก ลิ้นห้อยมาหาเด็กสาวปริศนา จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงอ่อย ท่าทางเหนื่อยอ่อน
“ นี่....เธอ มีทางลัดในการฝึกมั้ย ชั้นไม่มีเวลาอยู่ที่นี่นานขนาดนั้น ”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้ามึนงงเล็กน้อยกับคำถามแปลกๆของมาวิน แต่ก็ไม่สงสัยมากนัก ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่อยู่ร่วมกันมา ทำให้พอรู้ว่าเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ตรงหน้าเป็นคนประหลาด ซนเป็นลิงและรอไม่เป็น จึงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับ
“ ถ้าจะฝึกกระบวนท่าให้เกิดความมั่นคง แข็งแรงโดยเร็ว ก็พอมีทางอยู่ นั่นก็คือ..นายต้องฝึกกำลังภายใน ”
“ โห.... อย่างกับหนังจีนกำลังภายในเลย เท่ชะมัด ฝึกยังไง เธอช่วยสอนชั้นทีดิ อยากเก่งแล้ว เอาเลยๆ ” มาวินโพล่งขึ้นมาด้วยความดีใจ พลางเร่งเร้าเด็กสาว เพื่อขอฝึกฝนโดยไว
เด็กสาวมองหน้ามาวินนิ่งๆ ดวงตาแฝงแววกลัดกลุ้ม ซึ่งเด็กหนุ่มก็พอจะจับความรู้สึกได้ เขานึกแปลกใจกับท่าทีของอาจารย์สาววัยเดียวกัน
“ เอ่อ..... ตกลงเราจะฝึกกำลังภายในกันยังไง ” เด็กหนุ่มเริ่มหน้าเสีย เพราะรู้สึกว่าการฝึกกำลังภายในน่าจะอันตรายอยู่พอสมควร
“ อืม...... ชั้นสอนให้นายก็ได้ แต่ต้องฝึกตามอย่างเคร่งครัด ห้ามออกนอกลู่นอกทางหรือพลิกแพลงเหมือนที่ผ่านมาโดยเด็ดขาด เข้าใจมั้ย ” เด็กสาวตัดสินใจบอก น้ำเสียงจริงจังเป็นที่สุด
“ เอ่อ..... มีคำถาม ” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทันที หน้าตาออกไปในทางเหลอหลา
“ เฮ้อ..... ว่ามา ” เด็กสาวกุมขมับคล้ายคนที่กำลังจะเป็นไมเกรน สาเหตุที่เธอไม่อยากจะฝึกกำลังภายในให้ ก็เพราะอุปนิสัยประหลาดของมาวินนี่แหละ
“ ถ้าฝึกพลาดหรือมั่ว ผลจะเป็นยังไง ” เด็กหนุ่มถาม
“ พลาดนิดหน่อย ก็บาดเจ็บสาหัส พลาดปานกลาง เป็นบ้าหรือพิการ หนักที่สุดก็คือ…….” เด็กสาวเน้นคำ เพื่อหวังปรามเด็กหนุ่มว่าอย่ามั่วกับการฝึกแนวนี้อย่างเด็ดขาด
“ หนักสุดคืออะไร ” มาวินลุ้นคำตอบสุดท้ายจนตัวโก่ง
“ ตาย ” เด็กสาวตอบกลับดุดัน ทำให้มาวินผวาเฮือกใหญ่ ใบหน้าเจื่อนลงและขอยกเลิกการฝึกอย่างฉับพลัน
“ เอ่อ...... งั้นชั้นถอนตัวจากการฝึกก็แล้วกัน เหอๆ ไม่เป็นไรความเก่งมันรอกันได้ เพิ่มเวลาฝึกอีกนิดหน่อย จะเป็นไรไป ฮะๆ ”
“ อืม..... ใจเย็นน่า เพียงหกกระบวนท่าที่ฝึกมา ก็พอจะเอาตัวรอดได้ ถ้าเจอศัตรูหรือมอนสเตอร์ที่ไม่เก่งนัก นายก็น่าจะสู้ได้ ” เด็กสาวให้กำลังใจ
“ ครับๆ คุณนายจัน เฮ้ย ไม่ใช่สิ อาจารย์ ” เด็กหนุ่มตอบกลับมาเบาๆแบบกวนๆ เขาเผลอหลุดปากเรียกกังฟูสาวว่า “คุณนายจัน” ซึ่งเป็นสรรพนามที่ใช้ล้อเลียนเพื่อนสาวคนสนิท สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเด็กสาวปริศนาและจันมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกัน ถ้าจะพูดว่าเป็นคนๆเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
……………………….
ยามค่ำคืนกลางป่าที่เงียบสงัด เสียงแมลงดังระงมราวดนตรีขับกล่อม รอบด้านดูมืดสนิท มีเพียงกองไฟดวงใหญ่ที่คอยให้แสงสว่างและความอบอุ่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำ อันเป็นที่อยู่อาศัยของสองวัยรุ่น
เด็กวัยรุ่นทั้งสองนั่งผิงกาย คลายความหนาวอยู่ข้างกองไฟ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“ นี่ก็ใกล้จะหนึ่งเดือนแล้ว เธอจะทำยังไงต่อไป ”
“ เราก็แยกกัน ชั้นไปตามทางของชั้น ส่วนนายก็ไปตามทางของนาย ” เด็กสาวตอบเรียบเฉย ท่าทางดูแล้งน้ำใจยังไงชอบกล
“ อืม...... ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ
ทั้งคู่นั่งสงบนิ่ง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดต่อกัน อึดใจต่อมาเด็กหนุ่มก็ถามต่อ
“ ว่าแต่ทำไม.....เราต้องแยกจากกัน ไปด้วยกันก็ได้นี่ ยังไงซะชั้นก็ไปแคว้นเยอมาเนียไม่ถูกอยู่แล้ว เธอควรจะช่วยชั้นต่อนะ หลวมตัวช่วยถึงขนาดนี้แล้ว ก็ช่วยให้ตลอดรอดฝั่งสิ ”
“ นั่นเป็นปัญหาของนาย ไม่ใช่ของชั้น ” เด็กสาวตัดบท น้ำเสียงเครียดขึ้ง
มาวินสะดุ้งกับคำตอบที่ไร้น้ำใจและรุนแรง เด็กหนุ่มก้มหน้ารับคำ พลางตอบกลับมาเบาๆด้วยอาการเซื่องซึม
“ เข้าใจแล้ว ถึงยังไงเธอก็ไม่ใช่จัน แม้ว่าหน้าตาจะเหมือนเพื่อนของชั้นก็ตามที ”
เด็กสาวเหลือบมองเด็กหนุ่ม ที่ตอนนี้ออกอาการหงอยลงไปถนัด ฉับพลันแววตาและสีหน้าของเธอกลับดูอ่อนโยนลงอย่างประหลาด เวลาต่อมาก็เอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ คล้ายว่าจะเผลอตัว
“ เพื่อนของนายมีหน้าตาที่คล้ายกับชั้นขนาดนั้นเลยหรือ ”
เด็กหนุ่มชำเลืองมองใบหน้าของเด็กสาวนิดนึง ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล จนไม่น่าเชื่อว่าคนซนๆอย่างเขาจะทำแบบนั้นได้
“ จะว่าไปแล้ว มันไม่ใช่แค่คล้ายหรอก ความจริงคือ.....เธอกับจันเหมือนกันอย่างกับแกะ แถมนิสัยใจคอก็ยังคล้ายกันอีก โดยเฉพาะ…..”
“ เฉพาะอะไร ” เด็กสาวถามต่อ
มาวินเงยหน้าขึ้นมองแบบเต็มสองตา แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายลึกซึ้ง คล้ายอยากจะปลดปล่อยความห่วงหาอาลัยที่ซุกซ่อนอยู่ในใจออกมาให้หมดสิ้น ทำเอาเด็กสาวถึงกับชะงักงันและจ้องกลับแบบไม่วางตา
“ โดยเฉพาะตรงนี้ของเธอและจัน ” เด็กหนุ่มยกมือขวาขึ้นมาแตะหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง
“ มันอบอุ่นมาก ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าเรียวเล็กที่เคยทะเล้นแปรเปลี่ยนเป็นเคลิ้มฝันกับอดีตที่แสนสุข
" เอ..... แต่เท่าที่จำได้ ชั้นเพิ่งปฏิเสธการร่วมทางกับนายนี่นา มันดูแล้งน้ำใจและโหดร้ายไม่ใช่น้อย แล้วแบบนี้ จะบอกว่าชั้นมีหัวใจที่อบอุ่นเหมือนเพื่อนของนายได้ยังไง " เด็กสาวกล่าวค้านในคำพูดที่ย้อนแย้ง
มาวินไม่ตอบคำในทันที เขามองหน้าของเด็กสาวนิ่งๆ พร้อมยิ้มออกมานิดๆ ครู่หนึ่งก็ตอบกลับ
" ถึงจะดูเย็นชา ใจดำที่ไม่ยอมช่วยให้ตลอดรอดฝั่ง แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดี ชั้นก็เป็นแค่คนแปลกหน้า แต่เธอกลับช่วยฝึกวิชาให้ถึงหนึ่งเดือน เพียงเพื่อเพิ่มโอกาสให้ชั้นอยู่รอดในโลกแห่งนี้ โดยที่เธอไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าหัวใจอบอุ่น แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ "
ทันทีที่ได้รับคำตอบ เด็กสาวก็ถึงกับนิ่งอึ้งอย่างฉับพลัน แต่ก่อนจะโต้ตอบคำใด มาวินก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีก
" เธอต้องมีเหตุผลที่ทำให้เดินทางคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีงาม ชั้นเชื่ออย่างนั้น " มาวินพูดจบ เขาก็แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง ใบหน้าเรียวเล็กแย้มยิ้มนิดๆ เพราะเจ้าตัวรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้ปลดปล่อยทุกสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
เวลาแห่งความเงียบงันผ่านไปนานหลายอึดใจ เมื่อมันถึงจุดอิ่มตัว เด็กสาวปริศนาก็เอ่ยถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ นายคิดถึงจัน คนรักของนายมาก ใช่มั้ย….”
“ ใช่….เฮ้ย ไม่ใช่ ใครจะไปคิดถึงยัยผู้หญิงบ้าพลังคนนั้น ชั้นแค่อยากกลับไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ต่างหากเล่า ” เด็กหนุ่มเผลอตอบรับ แต่พอนึกขึ้นมาได้ ก็รีบปฏิเสธด้วยความเขินอาย
“ ฮะๆ นายนี่ล่ะน้า ปากกับใจไม่ตรงกัน เออ..... ว่าแต่เกมคอมพิวเตอร์คืออะไร ” เด็กสาวปิดปากหัวเราะเล็กน้อย ผิดกับกิริยานิ่งขรึมที่ผ่านมา ถึงกระนั้นก็ดูสดใสสมวัย
“ ชั้นไม่พูดกับเธอแล้ว นอนดีกว่า พรุ่งนี้มีการฝึกอีก เชอะ ” มาวินแกล้งหัวเสีย จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน พร้อมหันหลังให้เด็กสาวปริศนา
เด็กสาวนั่งชันเข่า สายตาเหม่อมองเด็กหนุ่มที่นอนหันหลังให้ ครู่หนึ่ง เธอก็ได้ยินเสียงกรนที่แผ่วเบา
“ ครอก.......ฟี้....... ”
สีหน้าของเด็กสาวดูแปลกใจ เธอนึกสงสัยว่าทำไมเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าถึงเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ เมื่อกี้เพิ่งพูดคุยในเรื่องซึ้งใจ พักเดียวพวกหลับผล็อยไปหน้าตาเฉย สุดท้าย ก็อมยิ้มนิดๆ พร้อมพูดออกมาเบาๆแค่พอได้ยิน
“ พักผ่อนซะนะ เจ้าลิงหัวเขียว ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ