The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) การต่อสู้ครั้งแรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://pixabay.com
…………………………
มาวินเดินตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทางที่ดูมาดมั่น ใจรู้สึกฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาคือคนแรกในรอบสิบปีที่ลงทะเบียนสายอาชีพในตำนาน (หรือเปล่านะ) เด็กหนุ่มอยากพิสูจน์ว่าเส้นทางที่เลือกไม่ใช่พวกไร้ค่าอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
มาวินจ้ำอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็มาถึงใจกลางเมือง ทันใดนั้นเอง กลิ่นหมูอบก็ลอยมาเตะจมูกจนทำให้ต้องชะงักฝีเท้าโดยปริยาย ดวงตาเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาที่มา ไม่นานก็พบว่าจุดกำเนิดนั้นมาจากร้านขายบะหมี่น้ำที่ตั้งอยู่ข้างทาง
“ มันจะเหมือนจริงเกินไปแล้ว เป็นแค่เกม จะมีหมูอบขายได้ยังไง ” เด็กหนุ่มนึกสงสัย แต่สองเท้ากลับนำพาไปยังร้านค้าซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ภายในนั้นมีโต๊ะ เก้าอี้ไม้เก่าๆอยู่ห้าชุด เกือบทุกที่นั่งมีผู้ใช้บริการอยู่ก่อน
“ ซาหวาดดีคับ นายทั่นต้องกันอะไรคับ ” เถ้าแก่พาร่างอ้วนใหญ่ในชุดเสื้อกันเปื้อนสีขาวออกมารับหน้า ถ้อยวาจาที่ไม่ชัดเจนประกอบกับโหงวเฮงบนใบหน้า บ่งบอกได้เลยว่านายคนนี้น่าจะมีเชื้อสายมังกร
“ เอ่อ…… ก็ไม่มีอะไรหรอก เถ้าแก่ ชั้นกะว่าจะขอบะหมี่เกี๊ยวน้ำหมูแดงกินซักจาน เดินไปเดินมาในเกมตั้งสองชั่วโมง เลยรู้สึกหิวน่ะ ” มาวินตอบ พร้อมเอามือกุมท้องของตัวเอง ท่าทางดูหิวโซเป็นที่สุด
“ เชิญทางนี้คับ นายทั่น ” เถ้าแก่ออกอาการงงกับประโยคที่ว่า “เดินไปเดินมาในเกม” แต่สุดท้ายเขาก็สลัดความสงสัยและเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มไปนั่งที่โต๊ะตัวในสุด
พอมาวินนั่งประจำที่ เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ายามนี้กำลังอยู่ในโลกของเกม ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างที่เคย เขาจึงเอ่ยถามเถ้าแก่ในทันที
“ เอ่อ……..เถ้าแก่ บะหมี่น้ำของที่นี่ราคากี่บาทหรือ ”
“ บาท….คืออาไรคับ นายทั่น ” เถ้าแก่งุนงงอีกครั้ง
“ ก็สกุลของเงินยังไงเล่า ส่วนเงินก็คือสิ่งที่เอาไว้ใช้จ่าย เพื่อซื้อทรัพย์สินต่างๆ ” มาวินรู้สึกเหนื่อยอ่อน เด็กหนุ่มยอมรับว่าโลกใหม่ใบนี้มีอะไรให้เขาเรียนรู้อีกเยอะ
“ ฮ่อ…….ท่าทางทั่นจะมาจักต่างเมืองที่กันดานมักๆ บนโลกนี้ใช้เงินเพียงแค่สี่แบบเท่านั้น นั่นก็คือ เหรียญทองแดง เหรียญเงิน เหรียญทองและเหรียญทองคำขาว ” เถ้าแก่ร่างอ้วนชี้แจงอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในโลก The Dark World
“ ทองแดง เงิน ทองและทองคำขาว อะไรมีค่ามากกว่ากัน เถ้าแก่ช่วยอธิบายหน่อยซิ ” มาวินเริ่มไถ่ถาม เขารู้สึกสงสัย
เถ้าแก่เชื้อสายมังกรมองหน้าเด็กหนุ่มแบบงงๆ สุดท้ายก็อธิบายแต่โดยดี รายละเอียดของอัตราแลกเปลี่ยนมีดังนี้
อัตราแลกเปลี่ยนในโลก The Dark World
100 ทองแดง = 1 เงิน
100 เงิน = 1 ทอง
100 ทอง = 1 ทองคำขาว
“ อ้อ……. มันเป็นแบบนี้เอง ว่าแต่บะหมี่เกี๊ยวน้ำมีราคาเท่าไหร่หรือ ” มาวินถาม สีหน้าดูแหยๆ เพราะตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัวซักทองแดงเดียว
“ ราคา 40 ทองแดงคับ เอ่อ…… ว่าแต่นายทั่นมีเงินติดตัวมามั่งมั้ยคับ ” เถ้าแก่เริ่มสงสัย เพราะอ่านสีหน้าของเด็กหนุ่มออก
“ ฮะๆ…… ไม่มีเลยซักทองแดงเดียว ขอแปะโป้งไว้ก่อนได้มั้ย ” มาวินหัวเราะแห้งๆ พลางขอร้องอ้อนวอนเถ้าแก่ เจ้าของร้าน
……………………
( หน้าร้านบะหมี่น้ำ )
ร่างเล็กบางของมาวินได้ปลิวถลาลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้น ผลงานดังกล่าวมาจากฝีมือของลูกจ้างร่างยักษ์จำนวนสองนาย
“ ไปเลยนะ ไอ้เด็กบ้า อย่าเข้ามาในร้านอีก ถ้าเข้ามา อั้วจะสั่งลูกน้องให้ตื้บลื้อซะจนจำทางกลับบ้านไม่ถูกเลย ” เถ้าแก่ไล่เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย พร้อมส่งซิกให้สองลูกน้องร่างยักษ์ที่กระหนาบซ้ายขวา
“ อู้ย…… ไม่เห็นต้องรุนแรงแบบนี้เลย อู้ย……. ” เด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นมาเถียง ปากก็ร้องโอดโอยเบาๆ
“ ก็ลื้อไม่มีเงิน แต่ดันทะลึ่งเข้ามาสั่งของกินในร้าน มันก็ต้องโดนแบบนี้แหละ ” เถ้าแก่โวยกลับ
“ แล้วชั้นจะหาเงินได้ยังไง ” มาวินโวยบ้าง ตัวเขาเองก็ไม่รู้จริงๆว่าจะหาเงินในโลกนี้ด้วยวิธีใด
“ มีหลายวิธี ไอ้หนู วิธีที่หนึ่งคือ…..ทำงานตามสาขาอาชีพของตน ” เถ้าแก่แจง
“ ชั้นทำอะไร ไม่เป็นเลย นอกจากเล่นเกม ” มาวินตอบไม่เต็มเสียง ภายในใจแอบคิดว่าโลกนี้จะมีอาชีพยูทูปเบอร์แคสเกมมั้ยนะ
“ งั้นวิธีที่สอง ลื้อก็เข้าร่วมการแข่งหรือการประลองที่จัดขึ้นในหลายๆเมืองทั่วโลก ถ้าชนะ ก็จะได้เงินรางวัล ” เถ้าแก่แนะนำวิธีที่สอง
“ อืม…… ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ ภายในใจคิดว่าที่นี่ เขาเล่นสเก็ตบอร์ดกันมั้ย
“ ส่วนวิธีที่สาม ลื้อก็ออกล่ามอนสเตอร์หรือไม่ก็หาของป่า จากนั้นก็นำวัสดุที่หามาได้ ขายให้กับคนที่ต้องการ “ เถ้าแก่แนะนำวิธีหาเงิน
“ เยี่ยม วิธีนี้ดีที่สุด เพราะชั้นอยากบู๊กับพวกมอนสเตอร์เต็มแก่แล้ว ” มาวินลุกขึ้นยืน แววตาเรียวเล็กเปล่งประกายมุ่งมั่น
“ งั้นเชิญ มีเงินเมื่อไหร่ ค่อยมากินต่อ ” เถ้าแก่พูดจบ ก็เดินกลับเข้าไปในร้าน
“ เออ คอยดูดิ หลังเสร็จจากภารกิจล่ามอนสเตอร์แบบจัดเต็ม ชั้นจะเอาเงินที่ได้ มาซื้อร้านบะหมี่ของแกเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า…… ” มาวินหัวเราะร่า เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะล่ามอนสเตอร์อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เอาไอเท็มที่ดรอปมาแลกเงิน เพื่อเทคโอเวอร์ร้านแห่งนี้ เป็นการล้างแค้นที่ถูกหิ้วปีกแล้วโยนบก
เถ้าแก่ส่ายหัวเล็กน้อย แต่ก็เดินจากไปโดยไม่โต้ตอบซักคำเดียว เพราะเขาไม่อยากยุ่งกับคนบ้า ซึ่งจะว่าไป ท่าทางของมาวินในตอนนี้ก็ดูคล้ายคนบ้าจริงๆ
……………………..
มาวินเดินต่อไปเรื่อยๆด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ในที่สุดก็มาถึงประตูเมืองอันเป็นจุดหมายปลายทาง เขาเหลือบไปเห็นทหารยามสองคนซึ่งยืนถือหอกคมๆ ทั้งสองยังคงนิ่งขึ้ง ไม่ไหวติง
“ อ้าว นี่มันทหารยามที่เคยไล่เราไปลงทะเบียน ฮ่าๆ ได้การล่ะ ขอเอาคืนหน่อยนะ พี่ทหารยามจ๋า......... ” เด็กหนุ่มหัวเขียวนึกคะนอง
มาวินไปหยุดยืนหน้าทหารยามคนที่หนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมอง เพราะทหารคนนี้ค่อนข้างสูง เด็กหนุ่มแย้มยิ้มด้วยอาการทะเล้น วินาทีต่อมาก็ยื่นนาฬิกาประจำตัวไปตรงหน้าของทหารยาม พลางตะโกนเสียงดังจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องหันกลับมามอง
“ หวาดดีจ้า….. พี่ทหารยามจ๋า เห็นนาฬิกานี้มั้ย นี่ไงครับ เล่นงานชั้นไม่ได้ล่ะซิ เหอ เหอ เหอ ”
ทหารยามนายนั้นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาได้แต่ยืนนิ่ง สีหน้าฉายแววแข็งกระด้าง
“ ว้า....... เซ็ง ไม่โต้ตอบอะไรเลย ไปดีกว่า ” มาวินทำท่าเซ็งๆที่กวนประสาทคนอื่นไม่สำเร็จ เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาแกล้งทหารยามอีกคนในรูปแบบเดิม
ทหารยามนายนี้รูปร่างสูงพอๆกับคนแรก แต่เรือนกายดูกำยำ ล่ำสันกว่า ใบหน้าเหลี่ยมกรามใหญ่ภายใต้หมวกหนังทรงกลมยังคงนิ่งเฉย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่แสดงออกถึงอารมณ์ขุ่นมัว
“ เฮ้อ...... หมอนี่ก็ไม่ยั้ว เซ็งว่ะ แกล้งคนไม่สำเร็จอีกตามเคย ” มาวินเอาสองมือประสานกันที่ท้ายทอย พร้อมตีหน้าเซ็ง จากนั้นก็หันหลังกลับ เพื่อเตรียมลาจาก
ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่มรู้สึกว่ามีของแข็ง คล้ายกำปั้นเขกเข้ามาที่กลางกระบาล ดาเมจนั้นรุนแรงจนถึงกลับทำให้เขาต้องทรุดกาย
“ โป๊ก ”
“ โอ๊ย…… เจ็บ ” เด็กหนุ่มกุมกระบาล พลางหันกลับไปมอง ก็พบว่าทหารยามร่างล่ำยังคงยืนนิ่งอยู่ดุจเดิม แต่คราวนี้แปลกประหลาดตรงที่ใบหน้าเหมือนจะอมยิ้มนิดๆ
“ หน็อย…… อย่างนี้มันต้องวิวาท ” เด็กหนุ่มรู้สึกโกรธเกรี้ยวที่โดนลอบเขกหัว เขาจึงตรงรี่เข้าไปหาทหารยาม ท่าทีดูเอาเรื่อง
“ หือ...... ” ทหารยามร่างยักษ์ไม่ขยับกาย แต่ส่งเสียงขู่ในลำคอ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงักและคลายอาการดุร้าย
“ อ้อ.... เปล่า ไม่มีอะไรครับ แค่จะเดินมาขอบคุณที่หยอกล้อด้วยการลูบหัว แต่รู้สึกว่าพี่ท่านจะลูบหัวหนักไปนะ แฮะๆ ” มาวินกล่าวแก้เกี้ยว พร้อมหัวเราะแห้งๆ
“ เหวอ...... นั่นอะไรอยู่ข้างหลัง ” ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ร้องเหวอ พร้อมอ้าปาก ตาค้าง เหมือนเห็นอะไรที่น่ากลัว ส่งผลให้ทหารยามร่างยักษ์หันกลับไปมอง
“ ดีล่ะ ได้จังหวะแล้ว ” มาวินเห็นสบโอกาส เขาก็จิ้มหัวเกือกไปที่หน้าแข้งของทหารยามร่างยักษ์ จากนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในกลุ่มคน
ทหารยามร่างยักษ์หันกลับมามอง ท่าทีดูเฉยเมย คล้ายไม่รู้สึกรู้สากับการถูกจิ้มหัวเกือกที่ได้รับ วินาทีต่อมา ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ เฮ้อ......... ”
……………………………………………….
มาวินหนีภัยมาได้ เขาหลุดออกมานอกเมือง บรรยากาศในยามนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเป็นหย่อมๆ ใต้ต้นไม้มีกลุ่มคนนั่งสังสรรค์ เฮฮา กระนั้นก็มีบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะถกกันในเรื่องเครียดๆ สังเกตได้จากสีหน้าและท่าทาง ไม่เพียงเท่านี้ ในบางจุดที่ห่างไกลผู้คน เด็กหนุ่มสาบานกับตัวเองว่าเห็น “คู่รักหนุ่มสาวกำลังนอนหนุนตักกันอยู่”
“ โห....... นี่คือเกมจริงๆหรือเปล่าเนี่ย ทำไมเหมือนจริงปานนี้ ” มาวินรำพึงรำพันกับตัวเอง
เด็กหนุ่มเดินไกลออกไปอีกนิด ก็พบกับแม่น้ำสายยาวซึ่งกว้างประมาณ 10 เมตร พื้นผิวนั้นดูใสสะอาด แตกต่างจากแม่น้ำบนโลกมนุษย์
“ เอ......แม่น้ำนี้ตัดขวางทาง สงสัยต้องยอมเปียก เพื่อเดินข้ามซะล่ะมั้ง ” ระหว่างที่มาวินขบคิด เด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นสะพานข้ามแม่น้ำที่ทำจากหิน มันดูแข็งแรงและกว้างพอจะให้รถแล่นพร้อมกันถึงสองคัน
“ โอ้ เยส เจอสะพานพอดีเลย ไม่ต้องเปียกน้ำแล้ว ว่าแต่ตอนนี้เราเดินออกจากเมืองมาร่วม 10 นาทีแล้ว แต่ยังไม่เจอมอนสเตอร์ซักตัวเดียว นี่มันยังไงกัน ” เด็กหนุ่มดีใจที่เจอสะพานหิน แต่เขาก็นึกแปลกใจที่ป่านนี้ยังหามอนสเตอร์ไม่เจอ
ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มาวินก็พบกับเด็กชายคนหนึ่ง เขาน่าจะมีอายุราวๆ 12 ปี ร่างเตี้ยเล็กถูกซุกซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตา บนหัวสวมหมวกทรงสูงเป็นสันสี่เหลี่ยมที่ดูประหลาด ใบหน้าเล็กและอ่อนเยาว์ถูกประดับด้วยแว่นตาทรงกลมที่หนาเตอะ ทั่วทั้งกายสั่นเทา คล้ายหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
“ ไง เจ้าหนู นายมายืนสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ตรงนี้ทำไม ” มาวินตรงเข้าไปทักทาย
“ สวัสดีครับ พี่ ผมรู้สึกกลัวน่ะ เพราะนี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรก ” เด็กน้อยตอบกลับอย่างสุภาพ
“ ฮะๆ เหมือนชั้นเลย อย่าซีเรียสน่า ไอ้หนู คิดว่าไปเล่นเกมให้สนุกก็แล้วกัน ” มาวินปลอบ ใบหน้าแย้มยิ้ม
เด็กน้อยยืนเอ๋อกับคำพูดของมาวินอยู่พักใหญ่ พอตั้งหลักได้ เขาก็เอ่ยค้านเบาๆ ท่าทางเหมือนคนที่ไม่มั่นใจตัวเองอย่างรุนแรง
“ เอ่อ……พี่ครับ การล่ามอนสเตอร์เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การเล่นเกม ผมว่าที่พี่พูดมาเมื่อครู่ มันดูแปลกๆนะ ”
“ เออ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตกลงนายจะออกไปสู้กับมอนสเตอร์อะไร แล้วมันอยู่ที่ไหน ” เด็กหนุ่มกล่าวตัดบท เพราะขืนอธิบายต่อ เกรงว่าเด็กน้อยจะงงไปมากกว่านี้
“ ผมกะมาสู้กับสไลม์น่ะครับ มันเป็นมอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย หน้าตาดูคล้ายเยลลี่เหลว ส่วนใหญ่จะมีสีเขียว ” เด็กน้อยอธิบายรูปร่างหน้าตาของคู่ต่อกรที่จะตะลุยโดยละเอียด
“ เจ้าตัวกะเปี๊ยกที่มีหน้าตาเหมือนขนมนี่นะ นายกลัวเข้าไปได้ยังไง ไม่ไหวเลยเอาซะเลย ” เด็กหนุ่มตอบกลับ ท่าทางดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด
“ เอ่อ….พี่ครับ สไลม์เป็นมอนสเตอร์ที่กระจอกก็จริง แต่มันสามารถพุ่งชนเราได้ ความแรงในการโจมตีก็เท่ากับตบหนักๆของผู้หญิงคนหนึ่ง แถมบางตัวก็มีพิษอีกต่างหาก พิษของมันจะทำให้แสบคันบริเวณที่สัมผัสถูก ” เด็กน้อยสาธยายสรรพคุณของคู่ต่อกรอย่างละเอียด
“ อู้ว…..ซี้ด...... น่ากลัวจนตัวสั่น ว่าแต่เจ้าพวกนี้อยู่ไหน พี่จะตามไปตื้บพวกมันเล่นแบบขำๆ ” มาวินแสร้งทำเป็นกลัว
“ พวกมันรวมตัวอยู่ที่ชายป่าครับ ” เด็กน้อยชี้ไปยังชายป่าที่อยู่ข้างหน้า กะคร่าวๆน่าจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร
มาวินมองจุดหมายปลายทาง จากนั้นก็หันกลับมามองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ อึดใจต่อมา ก็เอ่ยปากเชื้อเชิญ
“ ไอ้หนู นายไปลุยกับพี่มั้ย พี่ต้องการผู้ช่วย ”
“ โอ้......เยี่ยมไปเลย ผมอยากลุยใจจะขาดแล้ว แต่ก็ยังกลัวๆอยู่ เลยรอให้มีคนมาชวน ” เด็กน้อยแย้มยิ้มจนหน้าบาน
“ โอเค ตกลงเราไปลุยด้วยกัน ว่าแต่สายอาชีพของนายคืออะไร ” มาวินถาม
“ อาชีพนักศึกษาขั้น 1 สายเวทมนตร์โจมตีครับ แล้วพี่ล่ะ ดูจากหน่วยก้านน่าจะเป็นอาชีพนักสู้ สายมือเปล่าแน่ๆเลย ” เด็กน้อยพูด พลางหัวเราะชอบใจ เขาดูพึงพอใจที่ได้เพื่อนร่วมทีม
“ เปล่า พี่เป็นพวกไร้อาชีพ เพิ่งลงทะเบียนกับ NPC เมื่อครู่นี้เอง ” มาวินตอบเรียบๆ ใบหน้ายิ้มละไม ในใจนึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้เข้าให้แล้ว
“ เมื่อกี้ พี่ว่าอะไรนะ ” เด็กน้อยหุบยิ้มในทันที
“ เอ่อ......ก็สายไร้อาชีพ ไง ” มาวินตอบ ท่าทาง งุนงง เขากำลังคิดว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ ไปตายให้หนอนแดกเลย ไอ้บ้า หลงชื่นชมตั้งนาน นึกว่าเป็นนักสู้ผู้กล้า ที่ไหนได้ก็แค่พวกกากไร้ฝีมือ เชอะ ไอ้งี่เง่า ชาตินี้อย่าได้พบเจอกันอีกเลย ” เด็กน้อยเปลี่ยนบุคลิกจากเรียบร้อยกลายเป็นนักเลงปากจัดในทันที หลังจากที่ด่าทออย่างเกรี้ยวกราดได้ชุดใหญ่ ผู้เยาว์ก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้มาวินยืนเอ๋อตามลำพัง
อาการสตั้นคงอยู่เกือบนาที มาวินก็พลันรู้สึกตัว ความโมโหคืบคลานเข้ามาแทนที่ เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มสบถด่าหยาบคาย
“ หน็อย….. ไอ้เด็กบ้า อยู่ๆก็มาด่ากันซะเละ เจอกันครั้งหน้า ชั้นจะเลาะฟันออกมาทำลูกเต๋าให้หมดปากเลยคอยดูดิ ”
หลังจากความโกรธคลายตัว มาวินก็นึกสงสัยว่าทำไมอาชีพของตนถึงได้เป็นที่รังเกียจของสังคมขนาดนี้ แต่ขบคิดได้ไม่นาน เขาก็เดินจากไป จุดหมายปลายทางมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ......ชายป่าอันเป็นแหล่งกบดานของเหล่าสไลม์
……………………………………………….
เด็กหนุ่มเดินมาถึงชายป่า เขาพบว่าอากาศบริเวณนั้นค่อนข้างเย็นและชื้น มิหนำซ้ำยังดูอึมครึม เพราะมีต้นไม้ใหญ่ขนาดสามคนโอบยืนต้นติดกันอย่างแน่นขนัด ทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง
เด็กหนุ่มหันซ้ายแลขวา เพื่อค้นหามอนสเตอร์ที่เรียกว่า “สไลม์” วินาทีต่อมาสายตาอันแหลมคมก็ประสบเข้ากับสิ่งมีชีวิตประหลาดกลุ่มหนึ่ง
สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายเยลลี่ใสสีเขียว ขนาดค่อนข้างเล็ก กะคร่าวๆน่าจะประมาณหนึ่งฝ่ามือ ดวงตาสองข้างกลมโตและบ้องแบ๊ว ปากจิ้มลิ้มแย้มกว้างเหมือนจะยิ้ม ดูไปแล้วน่าจะไม่มีพิษมีภัยอะไร
มาวินรู้สึกคึกคัก เขารีบขวางทางเดินของเหล่าสไลม์ ทำให้พวกมันพร้อมใจกันมองหน้าเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…. ในที่สุดก็เจอแล้ว พวกนายคงเป็นสไลม์.ใช่มั้ย หน้าตาตลกดีอ่ะ น่าจับไปเลี้ยงที่โลกของชั้น ” มาวินกล่าวกับกลุ่มสไลม์ ใบหน้ายิ้มสดใสด้วยความยินดี
กลุ่มสไลม์ดูร้อนรน หลายตัวมีสีหน้าสับสน บางตัวก็หันไปทำปากขมุบขมิบกับเพื่อนในกลุ่ม พร้อมส่งเสียงจี้ดเบาๆ ราวกับจะปรึกษากันว่า........จะเอายังไงกับมนุษย์ประหลาดที่ขวางทาง
“ เอาล่ะ พวกเราไม่มีเรื่องแค้นเคืองต่อกัน แต่เพื่อความมันในการเล่นเกมและเงินที่จะเอาไปเซ้งร้านบะหมี่น้ำ ขอให้พวกนายตายซะ เตรียมตัวได้ ลองชิมพลังอัดกระแทกของชั้น ” พอมาวินพูดจบ เขาก็ตั้งท่าสู้ พร้อมเกร็งกำลังและกระแทกฝ่ามือออกไป ภาพที่ปรากฏในสมองคือแสงเพลิงอันร้อนแรงที่พุ่งออกมา
แต่ในความเป็นจริง กลับมีแต่ความเงียบงัน ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม กลุ่มสไลม์นับสิบมองมาที่มาวิน ดวงตาส่อเเววสงสัย ถ้าพวกมันพูดได้ คงถามไปแล้วว่า “นายกำลังทำอะไรอยู่หรือ เจ้ามนุษย์ ”
“ เอ.......หรือเราปล่อยพลังผิดท่ากันนะ มันน่าจะเปล่งแสงเหมือนในการ์ตูนสิ ” มาวินหงายฝ่ามือตัวเองไปมา เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ปรากฏแสงสีอะไร
“ อ้อ..........รู้แล้ว ต้องเกร็งกำลังก่อน แล้วค่อยกระแทกฝ่ามือออกไป ” มาวินเลิกคิ้วสูง ท่าทางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เวลาต่อมา เขาก็เริ่มย่อตัว พร้อมเกร็งกำลังไปทั่วกาย
“ ได้ผล ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆแล้ว ” ระหว่างที่เกร็งกำลัง มาวินเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
“ อ้า….. ” มาวินร้องตะโกน เขาเคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ตัวละครในท้องเรื่องมักทำแบบนี้ในยามที่ปล่อยพลัง เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนมโนไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่าร่างกายกำลังเปล่งแสงออกมานิดๆ
สไลม์หลายตัวเริ่มมีสีหน้าหวาดหวั่นและทำท่าจะผละหนี บางตัวที่ขวัญกำลังใจดี ก็หันไปฉุดรั้งไม่ให้พลพรรคหลบหนีตามอำเภอใจ
" ย้าก......." มาวินคำรามดัง กายเพรียวบางเกร็งกำลังถึงขีดสุด พอได้ที่ เขาก็ปลดปล่อยพลังแฝงออกมา
“ ปู้ด…….”
ลมสลาตันที่รุนแรงถูกกระแทกออกจากรูทวาร ความร้ายกาจของคลื่นพลังนั้นเพียบพร้อมไปทั้งเสียงและกลิ่น มันเลวร้ายต่อฆานประสาทเป็นที่สุด
“ จี้ด จี้ด จี้ด…… ” เสียงเล็กๆดังออกมาจากกลุ่มสไลม์ แทบทุกตัวล้วนยิ้มกริ่มไปตามๆกัน ร่างกระจิ๋วหลิวกระตุกนิดๆ อันเป็นอาการที่ดูคล้ายคนหัวเราะ ซึ่งก็น่าจะฮากันทั้งกลุ่ม เพราะขณะที่พวกมันกำลังลุ้นตัวโก่งกับการเกร็งกำลังของเด็กหนุ่ม พวกดันผายลมใส่ซะอย่างงั้น
“ หน็อย....... ไอ้พวกนี้ แกกล้าหัวเราะชั้นงั้นหรือ หยุดเดี๋ยวนี้ นะ” มาวินทั้งโกรธทั้งอาย ในใจคิดว่า......ไม่น่ายัดถั่วเข้าท้องเมื่อเช้าเลย
มาวินตวาดใส่กลุ่มสไลม์ ทว่าพวกมันกลับขำหนักกว่าเดิม โดยเฉพาะหัวหน้าใหญ่ซึ่งเขื่องที่สุด ถึงกลับกลิ้งไปมาบนพื้น ราวกับคนที่กำลังขบขันจนสติแตก
“ หน็อย....... ทนไม่ไหวแล้วเฟ้ย นี่แน่ะ ” มาวินยั้วจัด เขาพุ่งเข้าไปซัลโวหัวหน้าใหญ่ด้วยฝ่าเท้า ส่งผลให้ร่างเล็กๆของมันลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นไม้ การเปิดฉากดังกล่าว ทำให้มหกรรมการขำของเหล่าสไลม์สิ้นสุด
“ เป็นยังไงล่ะ เจ้าพวกสไลม์ นี่คือผลของการดูถูกชั้น ” มาวินหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ
“ จี้ด จี้ด จี้ด…… ” เสียงเล็กแหลมของเหล่าสไลม์ดังระงม มันยาวนานจนมาวินเริ่มผวา ทันใดนั้นเอง เจ้าเยลลี่ร่างจิ๋วก็พร้อมใจกันแหวกทางให้หัวหน้ากลุ่มเดินกลับมา สีหน้าและแววตาฉายแววอาฆาตอย่างชัดเจน
“ อ้าว..... เฮ้ย ไหงทำหน้าดุแบบนั้นฟะ แกดันหัวเราะชั้นก่อน ก็เลยเตะเข้าให้ดิ แบบนี้จะมาโกรธชั้นไม่ได้นะ ” ท่าทางเอาจริงเอาจังของสไลม์หัวหน้ากลุ่ม เริ่มทำให้มาวินปอดแหก
ทันใดนั้นเองสไลม์หัวหน้ากลุ่มก็พุ่งขึ้นมากระแทกใบหน้าของเด็กหนุ่ม มันเป็นการโจมตีที่คาดไม่ถึง เลยทำให้โดนดาเมจเข้าอย่างจัง
ใบหน้าของเด็กหนุ่มสะบัด กายบางเซนิดๆ ในหัวขบคิดถึงคำพูดของเด็กน้อย.......“พลังโจมตีของมันเท่ากับแรงตบหนักๆของผู้หญิงเลย”
“ เออ จริงอย่างที่ไอ้เด็กนั่นมันว่าเลยวุ้ย โดนเข้าไปทีเดียว รู้สึกหน้าชาเลย ” เด็กหนุ่มคลำแก้มที่โดนสไลม์กระแทก พลางสะบัดหน้าไปมา เพื่อขับไล่อาการมึนงง
ระหว่างที่มาวินกำลังตั้งตัว หางตาก็เหลือบไปเห็นการพุ่งชนของสไลม์จ่าฝูง แต่ครั้งนี้ไม่ได้รับประทาน เด็กหนุ่มพลิกหลบอย่างหวุดหวิด
“ เชอะ ไม่ได้กินเป็นครั้งที่สองหรอกน่า ฮะๆ ” มาวินเริ่มเต้นฟุตเวิร์ค ดวงตาจับจ้องการโจมตีของมอนสเตอร์
สไลม์พุ่งเข้าใส่มาวินอย่างดุดัน แต่เด็กหนุ่มก็อ่านจังหวะและหลบหลีกได้ทุกครั้ง ในใจแอบคิดว่า…..ตกลงไอ้เจ้านี่มันเป็นสไลม์สายพันธุ์วัวกระทิงหรือเปล่านะ
สไลม์พุ่งเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยท่าเดิมๆ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เริ่มจับจังหวะได้ หนนี้จึงไม่ได้หลบหลีกเหมือนทุกคราว แต่กลับย่อตัวลงต่ำ สองมือรับการพุ่งชนด้วยท่วงท่าที่คล้ายกับผู้รักษาประตู พอรับจ่าฝูงเข้าซอง เขาก็จับมันกดลงพื้นในทันที
“ เป็นไงล่ะ ไอ้ซ่า โดนจับแล้วสินะ โอ๊ย…..” แม้มาวินจะจับสไลม์เอาไว้ได้ แต่ก็ต้องร้องลั่นทุ่งด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากมือซ้ายถูกคมเขี้ยวเข้าอย่างจัง จนเผลอปล่อยมือ เป็นผลให้จ่าฝูงหลุดรอดไปอีกคราว
การต่อสู้ระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งสไลม์เป็นไปอย่างดุเดือด นับว่าเป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ทั้งคู่ผลัดกันแลกคนละดอก บางครั้งสไลม์ก็พุ่งกระแทกใบหน้าจนทำให้มาวินล้มลงไปนอนกับพื้น แต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็ต่อยสวนใส่สไลม์จนกระเด็นกระดอนไปตามแรงหมัด
การต่อสู้ที่แสนทุเรศกินเวลายาวนานถึง 10 นาที มาวินก็ได้จังหวะดี เขาใช้มือซ้ายกดสไลม์ตัวเขื่องลงบนพื้น ใบหน้าของมันถูกฝังกับดิน จึงไม่อาจฝังเขี้ยวลงบนมือ จากนั้นเด็กหนุ่มก็ประเคนหมัดขวาใส่แบบไม่ยั้ง ทุกดอกที่อัดเข้าไป ล้วนทำให้จ่าฝูงร้องครวญคราง
" จี้ด จี้ด จี้ด......."
ในที่สุดสไลม์ตัวนั้นก็แน่นิ่ง เด็กหนุ่มมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ท่าทางหวาดระแวง จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ แล้วลุกขึ้นยืน เพื่อดูผลงาน
“ ตกลง.....เราชนะรึยัง ” มาวินพูดกับตัวเอง
ทันใดนั้นเองสไลม์ที่คาดว่าตายคาที่ กลับกระดุกกระดิกเล็กน้อย ท่าทางคล้ายจะลุก
“ เฮ้ย ยังไม่ตายอีกเหรอ นี่แน่ะ ” เด็กหนุ่มหัวเขียวตกใจ เขาเลยกระทืบรัวเร็วชนิดไม่ต้องนับกันให้เสียเวลา
“ ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก……”
สิ้นการกระทืบครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ (ตกใจจนลืมนับ) ร่างสไลม์ที่แน่นิ่งก็ค่อยๆสลายตัว ในที่สุดก็แปรสภาพเป็นเยลลี่เหลว ปิดท้ายด้วยการระเหยกลายเป็นไอ
“ ตายได้แปลกประหลาด สมกับเป็นโลกของเกมจริงๆ ” เด็กหนุ่มมองการตายของสไลม์ตรงหน้าด้วยแววตาฉงน ใบหน้าปรากฏร่องรอยรอยฟกช้ำ ลมหายใจหอบเหนื่อยเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง สายตาของมาวินก็เหลือบไปเห็น อะไรบางอย่างที่แวววับตรงจุดเดียวกับที่สไลม์นอนตาย เด็กหนุ่มก้มลงไปดู จึงพบว่ามันคือ……. “ลูกแก้ว”
“ อ้าว...... พอฆ่าสไลม์ ก็ได้ลูกแก้วเป็นของรางวัล แล้วเราจะเอามันไปทำอะไร หรือจะเอาไปดีดลูกแก้วเล่น แต่ในโลกนี้เขาเล่นดีดลูกแก้วกันหรือเปล่านะ ” มาวินหยิบลูกแก้วขึ้นมาดู พร้อมนึกเพ้อไปเรื่อยเปื่อย
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังเพลิดเพลินกับลูกแก้ว เขาก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กของเหล่าสไลม์ กระแสนั้นดังระงมอย่างดุร้าย
“ จี้ด จี้ด จี้ด……… ”
มาวินเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็พบกับกลุ่มสไลม์นับสิบที่พร้อมใจกันส่งเสียงร้อง ทุกตัวล้วนจับจ้องมาทางเด็กหนุ่ม ประกายตาแฝงแววเคียดแค้น ชิงชัง
เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป เด็กหนุ่มถึงกลับผวาเฮือกใหญ่ ภายในใจนึกหวาดหวั่น
“ ขนาดตัวเดียว เรายังแย่เลย เท่าที่นับจำนวนดู เจ้าเยลลี่เหลวที่ท้าไขว้น่าจะมีไม่ต่ำกว่าสิบตัว แล้วเราจะรอดมั้ยเนี่ย ซวยแล้วสิ ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ