สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
64.71K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
71) พยัคฆ์ปะทะอัณยาวีร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่คำตอบของจ้าวเวตาลโลหิตก็ทำให้มูติชาห์ถึงกับอึ้งอ้าปากค้างไปทันที ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปมองท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ราวกับจะขอความเห็น
"มูติชาห์..." ท่านจ้าวพูดขึ้น "ท่านมหาดาบสก็คืออาจารย์ของเจ้า เจ้าก็เคยรับรู้มาตลอดว่า ท่านเป็นคนดี และได้คอยช่วยเหลือรวมทั้งได้สนับสนุนให้กับพวกเรามาตลอดเป็นระยะเวลาได้ราวสิบปีแล้ว แล้วเจ้านั้นยังจะมีความหวาดระเเวงกับตัวท่านได้อย่างนั้นหรือ ?"
ท่านจ้าวกล่าวแบบนี้ราวกับจะคาดได้ว่ามูติชาห์กำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างไม่ศรัทากับคำพูดของจ้าวเวตาลโลหิต
"พ่อจ้าว เจ้าปีกค้างคาวนั่นมันดูจะมั่นใจในสิ่งที่พูดมาก หากว่าไม่ใช่เรื่องจริง มันจะมีเหตุผลอะไรให้มันต้องพูดออกมาอย่างนั้น นี่มันหมายความว่า มันน่าจะไม่สนใจพวกเราอีกต่อไปจริงๆมิใช่หรือ ?" มูติชาห์ตั้งข้อสังเกตุและถามท่านจ้าวด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว
และนั่นก็ทำให้ท่านจ้าวต้องอึ้งไปทันที
จากนั้นมูติชาห์ก็เงยหน้าขึ้นมองจ้าวเวตาลโลหิต
"ในเมื่อมันเป็นอย่างที่เจ้าเพิ่งจะบอกพวกเรา ก็แล้วพวกเจ้ายังจะตามราวีหรือขังพวกเราแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันล่ะ เพราะจุดประสงค์ของพวกเจ้าอย่างที่เป็นมา ก็คือการค้นหาประตูศิลานั่นให้เจอให้ได้ ใช่หรือไม่ ?"
คำถามของมูติชาห์ฟังดูสมเหตุผล ก็ถ้าพวกมันมีมหาดาบสเป็นพวกแล้ว ก็แล้วยังจะตามราวีพวกชาวมิตทราห์ไปเพื่อสิ่งใดกัน ?
"เรื่องนี้น่ะหรือ..." จ้าวเวตาลโลหิตหันไปทางอัณยาวีร์ "ก่อนหน้านี้พวกเราเองก็ยังไม่ได้ตัวมหาดาบสของพวกเจ้ามาเป็นพวกของเรา จึงพยายามทำทุกวิธีที่จะลิดรอนกำลังของพวกเจ้าให้ยอมสยบกับพวกเราให้ได้ และวิธีการหนึ่งที่พวกเราใช้ ก็คือการใช้คนในของพวกเจ้าที่ได้มีความเคียดแค้นชิงชังต่อพวกเจ้าจนพร้อมจะทำทุกวิธี ที่ไม่ว่าจะเลวทรามแค่ไหน ก็ขอให้ตัวเองกำจัดพวกเจ้าได้ก็พอ และบัดนี้พวกเจ้าก็ได้รู้แล้วนี่ ว่าคนผู้นี้ก็คือ'นาง'นี่เอง ฮ่าฮ่าฮ่า"
แล้วทุกคนก็หันไปมองอัณยาวีร์กันเป็นตาเดียวอีกครั้ง และสีหน้าของนางก็ดูจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับคำพูดนั้นแม้แต่น้อย
แต่กับตัวของมูติชาห์นั้น ขณะนี้ผมก็สังเกตุเห็นว่า เขาถึงกับกำหมัดของตัวเองแน่น จนมือสั่นระริกทีเดียว
"คนทรยศหักหลังกับเหล่าพวกพ้องพี่น้องของตัวเองเช่นเจ้า ข้าสาบานว่า จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้เสวยสุขหรือมีชีวิตได้อีกต่อไปหากข้าไม่ตายไปซะก่อนในวันนี้ อัณยาวีร์ !"
คำเรียกชื่อนางที่ลงท้ายด้วยเสียงอันดังนั้น ราวกับจะเน้นย้ำเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของมูติชาห์
"เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังจะมีโอกาสรอดไปจากที่นี่อีกหรือ ?" อัณยาวีร์พูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน "เจ้ารู้ไหม ว่าข้ารอวันนี้มาเป็นสิบปี วันนี้ไง ที่ข้าจะได้แล่เนื้อพ่อของเจ้าเพื่อเซ่นสังเวยให้กับสามีที่รักของข้า ฮ่าฮ่าฮ่า"
"เจ้า...!! เจ้าบังอาจมาก นังมารสารเลว !!" มูติชาห์แทบจะแหกกรงเหล็กออกมา
เมื่ออัณยาวีร์เห็นโทสะของมูติชาห์ที่มีมากขึ้น นางก็กลับหัวเราะอย่างลำพองใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางกุสุมาและสองบุรุษผู้น่าสะพรึง
"เอาล่ะ ตกลงพวกท่านจะเอายังไงกันแน่ จะเอาสิงห์ไปในตอนนี้ก็รีบๆจัดการเสียเถอะ ยังไงพวกคนที่เหลือนี่ก็ไม่ได้มีความสำคัญกับพวกท่านอีกแล้วนี่ ข้าเองก็จะได้ลงมือชำระแค้นของข้าได้เสียที ?"
"น้องอัณยาวีร์อย่าเพิ่งหุนหันสิ..." กุสุมาที่นิ่งเงียบไปพักหนึ่งเอ่ยขึ้น "จะอย่างไรเจ้าก็จะได้ชำระแค้นของเจ้าแน่ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้ายังไม่ได้ฟังข้าอธิบายนะ"
"อธิบาย...?" อัณยาวีร์เลิกคิ้ว "ยังมีอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอก หรืออธิบายกับข้างั้นรึ ?"
กุสุมาจ้องหน้าอัณยาวีร์ และกล่าวขึ้นอย่างช้าชัด
"เจ้านายของพวกเรา มีคำสั่งพิเศษอย่างหนึ่งที่บอกผ่านมาทางข้า ให้เจ้าควบคุมพวกชาวมิตทราห์ทั้งหมดเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งได้ลงมือเข่นฆ่าพวกเขาไปซะในคราวนี้ โดยเฉพาะกับมูติชาห์และบิดาของเขานั้น เจ้านายของพวกเรายังมีคำถามบางอย่างที่จะซักถามเป็นการส่วนตัวนะน้องอัณยาวีร์"
"โอ๊ย... มันอะไรกันนักกันหนาอีกล่ะ ?!" อัณยาวีร์กระแทกเสียง "ถ้าข้าไม่ทำตามที่บอกมาก็จะกลายเป็นฝืนคำสั่งหรืออย่างไรกัน ?"
"ไม่ใช่แค่ฝืนคำสั่งเท่านั้น..." สีหน้าอันถมึงทึงของจ้าวเวตาลโลหิตมองอัณยาวีร์ "แต่เจ้าจะกลายเป็นคนทรยศที่เจ้านายของเราจะขึ้นบัญชีเพื่อกำจัดทิ้งไปทันที เจ้าคงไม่อยากลองเสี่ยงดูหรอกนะ ?"
"ถูกต้องแล้ว" กุสุมาเสริมขึ้น "สิ่งที่ท่านจ้าวเวตาลบอกเป็นความจริง จะอย่างไรแล้ว ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ก็จะต้องถูกเจ้าแล่เนื้อเถือหนังอย่างใจชอบแน่ แต่ตอนนี้เจ้าจะต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายเราอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้น เจ้าเองก็จะกลายเป็นคนทรยศไปโดยไม่รู้ตัว"
สีหน้าอันอึดอัดขัดใจของอัณยาวีร์ฉายชัดออกมา แต่แล้วนางก็กล่าวว่า
"ตกลง ข้าจะคุมขังพวกมันไว้ก่อน แล้วตอนนี้จะเอายังไงกับสิงห์ จะพาเขาไปเลยใช่ไหม ข้าจะได้ช่วยจัดการให้ ?"
เเล้วทุกคนที่อยู่บนระเบียงก็หันหน้าลงมาทางสิงห์ที่ยังคงอยู่ในร่างของหญิงสาว
"หึหึหึ" พยัคฆ์ที่ได้ฟังคำสนทนาที่ผ่านมาโดยตลอดหัวเราะในลำคอ
"ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้าข้ายังไม่ได้ดวลกับสิงห์ ใครหน้าไหนก็เอาเขาไปไม่ได้ทั้งสิ้น แม้แต่ไอ้ตาไฟเจ้านายของพวกเจ้าก็เถอะ...!"
สิ้นคำพยัคฆ์ แววตาอันดุดันของจ้าวเวตาลโลหิตก็สาดประกายมาทางเขาทันที
"เห๊อะ...! บุตรนอกสมรสของกษัตริย์วาณิการ์เช่นเจ้าช่างดูกำแหงหาญยิ่งนัก ถ้างั้น ให้เจ้ามาดวลกับข้าจะดีกว่ากระมัง ?!"
"หยุด...!" อัณยาวีร์ยกแขนขวางหน้าจ้าวเวตาลไว้ "ท่านไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลากับมันผู้นี้แม้แต่น้อย ข้าจะจัดการกับเขาเอง !"
อา... ผู้หญิงที่มีรูปร่างอันอรชรอย่างอัณยาวีร์ กลับออกตัวว่าจะจัดการกับพยัคฆ์ด้วยตัวเอง นี่เธอกำลังคิดอะไร...? หรือว่าเธอจะใช้กองกำลังทหารที่ติดเชื้ออสูรดำเข้ากลุ้มรุมพยัคฆ์กันล่ะนี่ ? ผมเองอดที่จะตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ไม่ได้เลยจริงๆ
เมื่อพยัคฆ์ได้ยินอัณยาวีร์พูดอย่างนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธออย่างสนเท่ห์ แล้วก็ส่ายหัวช้าๆ
"ไม่นึกว่าเป็นพันธมิตรกันอยู่หลัดๆ แต่สุดท้ายเราก็จะต้องมาห้ำหั่นกัน ก็ดูซิ ว่าสตรีที่มีรูปร่างบอบบางอ่อนแออย่างเจ้า จะสู้กับข้ายังไง ?"
แล้วรอยยิ้มอันแฝงไปด้วยความชั่วร้ายของอัณยาวีร์ก็ปรากฏออกมาให้เห็นทันที
"หึหึ ถึงข้าจะบอบบางอ่อนแออย่างที่เจ้าบอก แต่สุดท้ายเจ้าก็จะเห็นว่าความบอบบางอ่อนแอของข้านั้น จะชนะตัวเจ้าได้อย่างไร"
อัณยาวีร์กล่าวประโยคนี้แล้วก็หันไปทางกลุ่มทหารปิศาจของเธอทันที "ทหาร ! นำน้ำมาฉีดมันหน่อย ให้มันได้อาบน้ำเพื่อชำระร่างกายสักหน่อยเถอะ !"
อะไรนะ...?
ผมว่าผมเองก็คงฟังไม่ผิด อัณยาวีร์กลับสั่งให้ทหารตัวเองนำน้ำมาฉีด ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรของเธอกันแน่... หรือว่าจะเกิดอาการเพี้ยนขึ้นมาอย่างกะทันหันกันล่ะนี่ ?!
ท่ามกลางความตะลึงของพวกเรา ทหารปิศาจจำนวนหนึ่งของอัณยาวีร์ก็ช่วยกันลากสิ่งที่ดูคล้ายท่อฉีดออกมาข้างหน้า จากนั้นก็ฉีดน้ำพุ่งมาทางพวกเราโดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่พยัคฆ์
และครั้งแรกที่สายน้ำพุ่งมาทางพวกเรา แต่ละคนของพวกเราก็พยายามยกแขนยกมือสกัดกั้นน้ำกันอย่างตื่นตระหนก เพราะเกรงว่าจะเป็นน้ำที่มีพิษหรือเป็นน้ำกรดอะไรสักอย่างหนึ่ง ยกเว้นก็แต่พยัคฆ์ที่ยังคงยืนเฉยเมย ไม่ใส่ใจกับสายน้ำที่พุ่งเข้ามาปะทะร่างกายแม้แต่น้อยนิด
เพียงครู่เดียวอัณยาวีร์ก็สั่งให้ทหารหยุดฉีดน้ำ
"เป็นไงบ้างล่ะ น้ำนี้ที่จริงกะจะอาบให้กับพยัคฆ์ผู้เดียว แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆกันหลายคน ก็ถือซะว่าได้อานิสงส์กันไปถ้วนหน้าก็แล้วกันนะ"
นอกจากพยัคฆ์แล้ว พวกเราที่เหลือก็ดูจะงุนงงกันไปหมด น้ำที่ฉีดออกมานั้น นอกจากจะไม่มีอันตรายอะไร มิหนำซ้ำกลับทำให้พวกเราได้คลายความร้อนในร่างกายกันไปอีกไม่น้อย
พยัคฆ์ที่ยืนอยู่ข้างหน้ามองจ้องไปที่อัณยาวีร์ "เจ้าเล่นอะไรของเจ้ากันแน่...? หรือว่า... เจ้าสูญเสียสติไปเสียแล้..."
หางเสียงคำสุดท้ายของพยัคฆ์ยังไม่ทันขาดคำดี อยู่ๆเขาก็ตาเหลือกลาน และเพียงไม่กี่วินาที เขาก็ถึงกับทรุดร่างทิ้งเข่าลงกับพื้นไปทันที...?!!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ