สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
64.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
69) บุรุษสามเขา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
"สิงห์ต้องไปกับเราเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ให้กับใครในที่นี้อีกทั้งสิ้น !" เสียงพูดอันห้าวกระด้างนี้กลับดังมาจากบุคคลที่ยืนอยู่ทางขวามือของกุสุมา
และนั่นก็ทำให้พวกเราทั้งหมดเบนสายตาไปหาบุคคลผู้นี้ทันที
บุคคลผู้นี้ก้าวย่างออกมายังเบื้องหน้าสามก้าว และมองจากริมระเบียงมาที่พวกเรา ขณะที่กุสุมาก็หันไปจ้องมองดูเขาและดูเหมือนทำท่าว่าจะกล่าวสิ่งใด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในตอนนี้
เมื่อบุคคลลึกลับก้าวมายังเบื้องหน้าของระเบียงแล้ว มันก็ทำให้รูปโฉมของเขาได้ปรากฏออกมาให้พวกเราได้เห็นจนชัดเจนมากยิ่งขึ้น และแท้ที่จริง เขาสามเขาที่พวกเราได้เห็นเมื่อตอนแรกนั้นก็ไม่ได้เป็นเขาจริงๆแต่อย่างใด แต่บุคคลผู้นี้กลับได้สวมหมวกโลหะสีดำเป็นมันเงาอันมีเขาที่คล้ายเขาโคสามเขาซึ่งก็คือมีเขาสองเขาอยู่ข้างซ้ายและขวา และก็มีเขาที่สามอยู่ตรงกลางหน้าผากด้วย ซึ่งหมวกที่มีเขานี้ที่จริงก็ดูคล้ายคลึงกับหมวกที่มีเขาของพวกทหารชาวมิตทราห์ของท่านจ้าวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
และเมื่อผมได้เพ่งพิจารณาดูสีหน้าที่อยู่ภายใต้หมวกโลหะมีเขาของบุคคลผู้นี้แล้วนั้น ผมก็เห็นว่าใบหน้าของเขากลับมีความความขาวซีดราวกับกระดาษที่ถูกวาดด้วยดวงตาคู่เฉียงสีดำทั้งหมด แต่ทว่าริมฝีปากของเขานั้นก็ดันกลับมีสีแดงเข้มราวกับเพิ่งดื่มโลหิตสดๆของมนุษย์มาหยกๆ
และเมื่อเขาได้กวาดสายตามาทางผมแล้ว ความรู้สึกที่น่าขนลุกและหนาวเหน็บก็ได้จู่โจมเข้ามาสู่ภายในตัวผมอย่างน่าประหลาด ส่วนจันที่เกาะอยู่ข้างๆผมก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
"บรื๊อ... พ... พี่กิต ดูแขนผมสิ ขนบนแขนของผมทำไมถึงลุกซู่อย่างนี้ ผ... ผมไม่อยากมองหน้าไอ้คนผู้นี้เลย มัน... มันน่ากลัวน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยอ่ะพี่..." จันพูดกับผมเบาๆอย่างติดอ่างเหมือนเคย และผมก็สังเกตุเห็นว่าขนบนแขนของจันลุกชันขึ้นมาจริงๆ
แต่เมื่อผมได้เหลือบมองไปที่คนอื่นๆทางฝั่งพวกเราแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีใครแสดงอาการใดๆออกมา แม้แต่พี่เมฆเองก็เช่นกัน
"แต่ข้าขอยืนยันอย่างไม่อาจแปรผันเป็นอื่นได้ว่าสิงห์ต้องไปกับข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น !" พยัคฆ์เงยหน้าส่งเสียงบอกออกไปอีกครั้งอย่างไม่สนไม่แคร์ใครที่อยู่ด้านบนทั้งสิ้น "ข้าต้องได้ดวลกับสิงห์ก่อนที่ใครจะมาทำอะไรอย่างอื่นกับเขา คำพูดของข้า ชัดเจนรึยัง ?!"
"เจ้า...!" คำนี้พอหลุดออกจากปากบุรุษผู้มีสีหน้าขาวซีด ตัวเขาก็ลอยพุ่งลงมาจากระเบียงข้างบนทันที !
รวดเร็วราวสายฟ้าแล่บที่ตัวผมได้เห็นเงาร่างสีขาวพุ่งเข้าปะทะร่างของพยัคฆ์พร้อมกับเสียงของคลื่นความถี่ต่ำๆที่ดังเสียดหูพวกเราและตามมาด้วยเสียง'บึ้งงงง'เหมือนตอนที่ที่ชาร์จโทรศัพท์ระเบิดเบาๆก่อนที่เงาร่างสีขาวนั้นจะลอยกลับขึ้นไปบนระเบียงอย่างรวดเร็ว !
อะไรกันล่ะนี่ ? ผมเองมองอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อแป๊บๆนี้แทบไม่ทันเลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดจริงๆ... ?!
"พี่... พี่เมฆครับ....?" ผมเหลียวไปมองหน้าพี่เมฆอย่างงุนงง
"ดูไม่ทันใช่ไม๊ ?" พี่เมฆถามโดยไม่หันมาทางผม "เมื่อกี้ทั้งสองปะทะกันแล้วรู้ไหมน้องกิตติ ?"
ผมกลับยิ่งงุนงงกับคำพูดของพี่เมฆ ในขณะที่ผมก็สังเกตุว่าในแววตาของพี่เมฆกลับมีประกายของความตื่นเต้นเหมือนคนที่เพิ่งได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจอย่างที่สุด
"เหรอ... เหรอครับพี่เมฆ...?" ผมกระพริบตาปริบๆอย่างมึนๆ "คนนั้น เขาเป็นอะไรกันแน่ครับพี่เมฆ เขาจะเคลื่อนไหวร่างกายได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ มัน... มันไม่น่าเชื่อเลยนะครับพี่เมฆ...?"
พี่เมฆหันมามองผมทันที "วันหนึ่ง ถ้าน้องกิตติได้มีโอกาสฝึกสมาธิขั้นสูงจนสำเร็จระดับหนึ่ง แม้จะได้เห็นความเร็วระดับถอดจิตแบบนี้อีก น้องกิตติก็น่าจะมองออกได้่บ้าง..."
"อะไรนะครับ... ความเร็วระดับถอดจิตงั้นเหรอครับ ?!" ผมว่าผมฟังไม่ผิด แต่ก็ต้องทวนถามคำอันประหลาดนั้นกับพี่เมฆอย่างทันที
"ใช่... ใช่แล้ว น้องกิตติ นั่นคือความเร็วระดับถอดจิตของมันคนนั้น มันแค่ถอดจิตออกมาโจมตีพยัคฆ์อย่างเร็ว เงาขาวๆที่พุ่งลงมาเป็นเพียงรูปจิตของมัน ส่วนตัวของมันจริงๆไม่ได้พุ่งลงมา มันแค่ยังยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น"
แล้วพี่เมฆก็บุ้ยปากไปที่พยัคฆ์ "ร่างกายของพยัคฆ์เองก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน เสียงเมื่อกี้เป็นเสียงของการปะทะกันด้วยรูปจิต มันคนนั้นใช้รูปจิตเป็นฝ่ามือเข้าตะปปร่างของพยัคฆ์ แต่พยัคฆ์ก็กลับใช้รูปจิตที่เป็นกำหมัดพุ่งกระแทกสวนไปที่ฝ่ามือจนเกิดเป็นเสียงปะทะกันอย่างกับไฟช็อตเมื่อกี้นี้ไง"
ให้ตายสิ...! มันมีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอนี่ ?
มันไม่น่าเชื่อว่า ในแต่ละนาทีที่ผ่านไปของโลกต่างมิติแบบนี้ มันจะมีสิ่งอันพิศดารใหม่ๆมาทำให้ผมงวยงงอีกเรื่อยๆ
และแล้วรอยยิ้มของบุคคลลึกลับผู้มีใบหน้าขาวซีดก็ปรากฏขึ้นมาที่มุมปากอย่างหยันๆเล็กน้อยในขณะที่สายตาของเขาก็ช้อนมองลงมายังจุดที่พยัคฆ์ยืนอยู่
"สมควรแล้วที่เจ้าเกิดมาเป็นบุตรแห่งกษัตริย์วาณิการ์อีกผู้หนึ่ง ปฏิกิริยาแห่งจิตของเจ้าช่างโต้ตอบสะท้อนกลับได้อย่างว่องไว หากได้เปรียบเทียบกับสิงห์แล้ว ข้าก็ยังสงสัยว่า ปฏิกิริยาแห่งจิตของเจ้าทั้งสองนั้น ใครล่ะจะเหนือชั้นกว่ากัน ?" บุคคลลึกลับผู้นี้กลับกล่าวจบประโยคด้วยคำถามที่น่าสนใจ
เพราะใช่แล้ว ถ้าหากว่าสิงห์กับพยัคฆ์ได้ดวลกันจริงๆ ความสามารถของผู้ที่เป็นบุตรของราชาแห่งวาณิการ์ด้วยกันทั้งสองคนนี้ จะเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่อกันสักเพียงใดนะ
แล้วกุสุมาผู้เงียบเสียงไปได้ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้น "เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ ท่านเองคงจะไม่..."
"เปลี่ยนแผนออกไปใช่ไหม..." คนลึกลับรีบพูดต่อประโยคทันที
"ไม่ๆ แผนการอันยิ่งใหญ่ของเจ้านายเราย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ" เขาพูดต่อ "แต่การดวลของพี่น้องคู่นี้ถ้าเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆก่อนที่เราจะนำตัวสิงห์ไปหาเจ้านายของเรา กลับน่าสนใจขึ้นมาสำหรับข้าในตอนนี้ และข้าอยากจะรู้จริงๆว่า ความสามารถของพยัคฆ์จะคู่ควรกับการเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์อันเกิดจากการช่วงชิงมาจากสิงห์พี่ชายชองเขาหรือไม่ ?"
กุสุมาและอัณยาวีร์ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ และหันไปสบตากัน ใช่ล่ะ เพราะแม้แต่ผมเองก็อดประหลาดใจไม่ได้ ที่คนลึกลับผู้นี้กลับเปลี่ยนความดึงดันที่จะนำตัวสิงห์ไปอย่างเร่งด่วนไปซะง่ายๆอย่างนี้ หรือว่า การที่เขาได้ปะทะกับพยัคฆ์เมื่อครู่นี้กลับเกิดทำให้เขาสนใจที่จะได้เห็นการดวลของสิงห์กับพยัคฆ์ขึ้นมาอย่างปุปปับกันนะ ?
"ข้าขอคัดค้าน !" เสียงอันแหบพร่าน่าขนลุกเสียงหนึ่งดังขึ้น "ข้าไม่เห็นด้วยกับความต้องการอยากรู้อันเป็นเหตุผลส่วนตัวของท่านแม้แต่น้อยนิด...!"
แล้วทุกๆคนในที่นี้ต่างก็หันไปที่บุคคลที่เป็นเจ้าของเสียงนี้แทบจะทันที...!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ