สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.02K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
55) แผนการของมูติชาห์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"แล้วตอนนี้จะทำยังไงต่อไปกันดีล่ะมูติชาห์? " ด้วยอารมณ์ที่ห่วงในความปลอดภัยของไอริณทำให้ผมแทบจะเค้นเสียงถามไป
"สิ่งเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ เราต้องหาจังหวะที่จะไปสมทบรวมกำลังกับท่านพ่อของข้าให้ได้ก่อน..." มูติชาห์พูดเนิบๆ
"เอาอย่างนั้นเหรอ... จะเป็นไรไหม ถ้าผมจะขอแยกออกไปตามหาตัวไอริณในตอนนี้ เอ่อ... ผมคิดว่าจะไปกับจันน่ะ" ผมตัดสินใจบอกมูติชาห์ไปอย่างนั้นเพราะความร้อนใจของผมในตอนนี้มันก็ได้ทำให้ผมไม่อาจจะนึกถึงเรื่องอื่นๆ ได้อีกเลย
มูติชาห์เลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างอึ้งๆ แล้วเขาก็หันไปสบตากับสิงห์ ซึ่งสิงห์เองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับแค่เพียงยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างเบาบางตามสไตล์ของเขา แต่ทว่าในดวงตาของเขานั้นมันก็หมือนจะมีความเข้าใจหรือมองเห็นว่าในใจของผมรู้สึกอย่างไร
แล้วมูติชาห์ก็หันมาพูดกับผม "ท่านมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสตรีนางนั้นจนถึงกับไม่แม้แต่จะคิดใคร่ครวญถึงเหตุถึงผลของอะไรอย่างอื่นเลยแม้แต่นิดเดียวสินะ..." คำพูดของมูติชาห์กลับเป็นการติติงผมอย่างชัดเจน
"ผม..." แล้วผมก็ตัดสินใจกล้ำกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกมาไว้ทันที เพราะการติติงของมูติชาห์นั้น ก็ถือได้ว่าไม่ได้ผิดไปจากความจริงในตอนนี้เลยแม้เต่น้อย ใช่ล่ะ... ความที่เป็นห่วงไอริณมากเกินไป ทำให้ผมไม่คิดคำนึงถึงเหตุผลใดๆ เหมือนอย่างปกติก่อนหน้านี้
แล้วลูกธนูอีกระลอกหนึ่งก็ถูกยิงออกมาจากหลังเนินหินฝั่งตรงข้ามเราอีกครั้ง สามสี่ดอกได้พุ่งผ่านเลยเหนือก้อนหินใหญ่ตรงที่เราใช้เป็นที่กำบังกายจนเสียงดังเฟี้ยวๆ และอีกสองสามดอกก็ได้พุ่งกระทบกับหลังก้อนหินจนมีเสียงหักให้ได้ยินอยู่เป็นระลอกๆ และแน่นอนว่าถ้าพวกเราจะยังคงหมอบกำบังกายอยู่ที่ตรงนี้โดยไม่ขยับออกไปโดยไร้เหตุผล ลูกธนูเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้แม้แต่นิดเดียว
"เห็นอย่างนี้แล้ว ท่านก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดแล้วสินะ..." มูติชาห์พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งดูยังไงก็คล้ายกับรอยยิ้มของผู้หญิง "และอันที่จริง ข้าเองก็มองออกถึงความห่วงใยที่ท่านมีต่อสตรีนางนั้นอยู่ค่อนข้างมาก แต่ถ้าท่านกับเพื่อนของท่านคนนี้หุนหันออกไปตามนางในตอนนี้ ข้าก็คิดว่าก่อนที่จะถึงยามอัสดงของวันนี้ ท่านทั้งสองคนก็อาจจะต้องไปทอดร่างเป็นศพไร้วิญญาณอยู่ในดินแดนแห่งนี้กันซะก่อนที่จะมีโอกาสได้พบหน้าเพื่อนคนสวยของท่านกันอีกครั้งซะมากกว่านะ..."
สำนวนการพูดของมูติชาห์นั้นอาจจะฟังดูโบร่ำโบราณราวกับลิเกหน่อยๆ แต่ก็ครบถ้วนกระบวนความจนแม้แต่ผมเองก็ไม่คิดจะโต้แย้งอะไรเลย และสิ่งที่ผมสามารถจะทำได้ในตอนนี้ก็คือการถอนใจออกมาสักครั้งหนึ่งแค่นั้นเอง
"เฮ้อ... เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว และก็ต้องขอโทษด้วยที่ได้คิดจะทำอะไรโดยไร้สติ" ผมพูดกับมูติชาห์อย่างละอายในความคิดของตัวเองหน่อยๆ และอดคิดต่อไม่ได้ว่า มูติชาห์ผู้ที่ก่อนหน้านี้ดูจะเป็นคนจ้าวอารมณ์และดูหุนหันพลันแล่นในสายตาของพวกเรา แต่ทว่าพอถึงเวลาคับขันในสถานการณ์เป็นตายเขาก็กลับเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีและเล็งเห็นถึงผลได้ผลเสียของการเคลื่อนไหวใดๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
"ท่านจะเชื่อสัญชาตญาณของข้าอย่างหนึ่งได้ไหม? " มูติชาห์พูดอย่างยิ้มๆ ในสีหน้า "สตรีคนที่ท่านแสนจะเป็นห่วงนั้น แม้ตอนแรกข้าจะไม่ค่อยชอบหน้านางนัก แต่ข้าก็สามารถจะรับประกันให้ท่านอย่างหนึ่งได้ว่า นางนั้นจะสามารถเอาตัวรอดไปได้ในสถานการณ์ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน และก็ไม่แน่ว่า ในสถานการณ์ครั้งไหนๆ นางก็อาจจะเอาตัวรอดไปได้ซะทุกครั้งก็เป็นได้นะ..."
คำบรรยายของมูติชาห์ที่มีต่อไอริณในครั้งนี้ถึงกับทำให้ผมตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างปุปปับทันที
อะไรกัน...? ทำไมอยู่ๆ มูติชาห์ก็พูดออกมาอย่างนี้ นี่มันราวกับว่าเขาได้อ่านลักษณะของไอริณได้อย่างลึกซึ้งแม้ว่าจะเพิ่งเจอกันได้เพียงไม่นานอย่างนี้เลยเหรอ? ให้ตายสิ สำหรับผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเข้าใจหรือมั่นใจในความฉลาดและเอาตัวรอดได้เก่งของตัวไอริณเท่ากับที่มูติชาห์ได้มั่นใจเลยนะ...?!
แต่ผมก็พยักหน้าให้กับมูติชาห์อย่างเห็นด้วย "ใช่ล่ะ... เธอคงจะสามารถเอาตัวรอดไปได้แน่ๆ เพราะเธอเป็นคนฉลาด... ฉลาดกว่าผมมากๆ ..."
แล้วดอกธนูอีกชุดหนึ่งก็ปลิวข้ามหัวพวกเราไปอีกครั้ง และเมื่อผมได้มองตามลูกธนูไป ก็ได้เห็นว่าบางดอกนั้นก็พุ่งเลยกลุ่มหมอกควันอันหนาหนักนั้นไปทางที่มีสะพานล่องหนและก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ต่อไปว่ามันจะไปตกลงตรงบริเวณไหนของสะพานกันแน่ แต่ดอกธนูบางดอกหลังจากที่ได้พุ่งผ่านด้านบนของก้อนหินด้านหลังเราไปแล้วบางทีก็ตกโค้งลงที่บริเวณที่เป็นตีนสะพานล่องหนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่เรานั่งหลบอยู่ก็มีอยู่ไม่น้อย
และที่น่าแปลกกับการสังเกตุสีหน้าของมูติชาห์อย่างไม่ตั้งใจ ผมก็กลับสังเกตุได้ว่า ในแต่ละครั้งที่มีลูกธนูลอยปลิวมาตกลงที่บริเวณตีนสะพาน ก็ดูเหมือนว่ามูติชาห์จะยิ่งมีประกายตาของความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด
ให้ตายสิ... ผมนี่ดูไม่ออกจริงๆ เลยว่า มูติชาห์คนนี้ตอนนี้กำลังคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่..?
"ตกลงเราจะไปสบทบกับท่านจ้าวได้อย่างไงกันล่ะ ถ้าหากเราจะต้องมัวมานั่งหลบลูกธนูจนแทบกระดิกกันไม่ได้อยู่อย่างนี้? " ผมเอ่ยออกมาหลังจากเห็นมูติชาห์เหมือนจะสบายอารมณ์กับการนั่งมองลูกธนูปลิวข้ามหัวมาได้พักหนึ่งแล้ว
แล้วมูติชาห์ก็หันไปสบตากับสิงห์อย่างยิ้มๆ และให้ตายเถอะ ผมเองก็สงสัยอยู่อีกอย่างว่า สิงห์เองก็ดูเหมือนจะมีความพึงพอใจกับการนั่งชมลูกธนูปลิวข้ามหัวอยู่เช่นกัน?
"ที่จริง ขณะนี้ข้ากำลังอะไรรออะไรบางอย่าง..." มูติชาห์หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม "และอะไรบางอย่างที่ข้ารอนี่ก็คือ ความพร้อม... และนี่ก็กำลังจะถึงเวลาแห่งความพร้อมของข้า... และก็สิงห์ด้วย อืม... และก็ท่านกับเพื่อนที่ดูจะออกขลาดๆ ของท่านคนนี้ด้วยนะที่จะทำให้ความพร้อมของพวกเราเกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้นอีก..."
คำพูดแบบนี้ของมูติชาห์ ทำให้ผมถึงกับบอกกับตัวเองอย่างหนึ่งในตอนนี้ได้เลยว่า 'ผมตามความคิดและคำพูดของมูติชาห์ไม่ทันแน่ๆ ถ้าไม่ถามตอบกันอย่างตรงไปตรงมากันซะเดี๋ยวนี้'
"เอาชัดๆ เลยได้ไม๊ครับคุณมูติชาห์ ท่านกับสิงห์กำลังรอความพร้อมของอะไรกันแน่ และผมกับจันจะช่วยให้เกิดความพร้อมขึ้นได้เร็วขึ้นยังไงกันรึ? "
มูติชาห์ค่อยๆ ชี้นิ้วไปที่ลูกธนูที่ได้ร่วงตกลงไปยังที่บริเวณตีนสะพาน ซึ่งขณะนี้ก็ได้ตกเกลื่อนอยู่ที่พื้นดินตรงนั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"ความพร้อมที่ว่านี้ก็คือ ความพร้อมที่จะได้มีลูกธนูจำนวนไม่น้อยไว้ยิงตอบโต้กับพวกคนทรยศทางฝั่งโน้น ในขณะที่เราก็จะต้องรีบพาตัวเองไปสมทบกับท่านพ่อของข้าที่ได้หลบอยู่ที่ทางฝั่งด้านขวาให้เร็วที่สุดยังไงล่ะ"
อะไรกัน... ที่แท้มูติชาห์กับสิงห์ก็กำลังรอสะสมพวกลูกธนูนี่เอง นี่หมายความว่าลูกธนูที่ทหารทรยศยิงข้ามก้อนหินด้านหลังเรามาจนมาตกลงที่ทางด้านนี้ก็จะมากลายเป็นคลังอาวุธของพวกเราไปโดยปริยายนี่เอง อา... ใช่ล่ะ เพราะเมื่อผมมองไปที่กระบอกใส่ลูกธนูที่อยู่ด้านหลังของมูติชาห์ผมก็ได้เห็นว่ามันมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมอดจะสงสัยไม่ได้ก็คือ แม้ว่าเราจะไปช่วยกันเก็บรวบรวมลูกธนูจนกลายมาเป็นคลังอาวุธของพวกเราได้แล้ว แต่การที่ทางเรามีแค่มูติชาห์ที่ใช้ธนูแค่คนเดียว แล้วเราจะหาญไปสู้กับกองรบของทหารทรยศนั้นได้อย่างไร คนๆ เดียวอย่างมูติชาห์จะทั้งสู้และพาพวกเราหลบหนีออกไปจากที่ตรงนี้ได้อย่างไรกันล่ะนี่...?
"มูติชาห์ ผมเข้าใจแล้วเรื่องการรวบรวมลูกธนูมาเป็นคลังอาวุธของเรา แต่ปัญหาก็คือท่านคนเดียวจะไปสู้กับกลุ่มทหารทรยศที่ก็ยังไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไรนั้นได้อย่างไรกันล่ะ? " ผมติงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เพราะมองไม่เห็นถึงโอกาสที่จะฝ่าออกไปได้จนสำเร็จ
"ใครว่าข้าจะสู้คนเดียวล่ะท่านคนเถื่อน..." แล้วมูติชาห์ก็บุ้ยปากไปทางสิงห์ "นี่ท่านคงจะยังไม่รู้ถึงเรื่องการเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของการยิงธนูของเขายังงั้นสินะ...? "
"อะไรนะ...! สิงห์เองก็มีฝีมือในการยิงธนูด้วยยังงั้นหรือ?! " ผมหันไปมองสิงห์ที่ยังคงอยู่ในร่างของนุชอย่างตื่นตะลึง แล้วสิงห์ก็พยักหน้าให้ผมด้วยรอยยิ้มบางๆ
แต่แล้วผมก็ยังเห็นอีกปัญหาหนึ่งจนได้
ก็คันธนูนั้นมีอยู่ที่มูติชาห์เพียงคันเดียว แล้วสิงห์จะไปใช้อะไรยิงลูกธนูเหล่านั้นกันล่ะนี่...?
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
"สิ่งเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ เราต้องหาจังหวะที่จะไปสมทบรวมกำลังกับท่านพ่อของข้าให้ได้ก่อน..." มูติชาห์พูดเนิบๆ
"เอาอย่างนั้นเหรอ... จะเป็นไรไหม ถ้าผมจะขอแยกออกไปตามหาตัวไอริณในตอนนี้ เอ่อ... ผมคิดว่าจะไปกับจันน่ะ" ผมตัดสินใจบอกมูติชาห์ไปอย่างนั้นเพราะความร้อนใจของผมในตอนนี้มันก็ได้ทำให้ผมไม่อาจจะนึกถึงเรื่องอื่นๆ ได้อีกเลย
มูติชาห์เลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างอึ้งๆ แล้วเขาก็หันไปสบตากับสิงห์ ซึ่งสิงห์เองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับแค่เพียงยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างเบาบางตามสไตล์ของเขา แต่ทว่าในดวงตาของเขานั้นมันก็หมือนจะมีความเข้าใจหรือมองเห็นว่าในใจของผมรู้สึกอย่างไร
แล้วมูติชาห์ก็หันมาพูดกับผม "ท่านมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสตรีนางนั้นจนถึงกับไม่แม้แต่จะคิดใคร่ครวญถึงเหตุถึงผลของอะไรอย่างอื่นเลยแม้แต่นิดเดียวสินะ..." คำพูดของมูติชาห์กลับเป็นการติติงผมอย่างชัดเจน
"ผม..." แล้วผมก็ตัดสินใจกล้ำกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกมาไว้ทันที เพราะการติติงของมูติชาห์นั้น ก็ถือได้ว่าไม่ได้ผิดไปจากความจริงในตอนนี้เลยแม้เต่น้อย ใช่ล่ะ... ความที่เป็นห่วงไอริณมากเกินไป ทำให้ผมไม่คิดคำนึงถึงเหตุผลใดๆ เหมือนอย่างปกติก่อนหน้านี้
แล้วลูกธนูอีกระลอกหนึ่งก็ถูกยิงออกมาจากหลังเนินหินฝั่งตรงข้ามเราอีกครั้ง สามสี่ดอกได้พุ่งผ่านเลยเหนือก้อนหินใหญ่ตรงที่เราใช้เป็นที่กำบังกายจนเสียงดังเฟี้ยวๆ และอีกสองสามดอกก็ได้พุ่งกระทบกับหลังก้อนหินจนมีเสียงหักให้ได้ยินอยู่เป็นระลอกๆ และแน่นอนว่าถ้าพวกเราจะยังคงหมอบกำบังกายอยู่ที่ตรงนี้โดยไม่ขยับออกไปโดยไร้เหตุผล ลูกธนูเหล่านั้นก็จะไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้แม้แต่นิดเดียว
"เห็นอย่างนี้แล้ว ท่านก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดแล้วสินะ..." มูติชาห์พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งดูยังไงก็คล้ายกับรอยยิ้มของผู้หญิง "และอันที่จริง ข้าเองก็มองออกถึงความห่วงใยที่ท่านมีต่อสตรีนางนั้นอยู่ค่อนข้างมาก แต่ถ้าท่านกับเพื่อนของท่านคนนี้หุนหันออกไปตามนางในตอนนี้ ข้าก็คิดว่าก่อนที่จะถึงยามอัสดงของวันนี้ ท่านทั้งสองคนก็อาจจะต้องไปทอดร่างเป็นศพไร้วิญญาณอยู่ในดินแดนแห่งนี้กันซะก่อนที่จะมีโอกาสได้พบหน้าเพื่อนคนสวยของท่านกันอีกครั้งซะมากกว่านะ..."
สำนวนการพูดของมูติชาห์นั้นอาจจะฟังดูโบร่ำโบราณราวกับลิเกหน่อยๆ แต่ก็ครบถ้วนกระบวนความจนแม้แต่ผมเองก็ไม่คิดจะโต้แย้งอะไรเลย และสิ่งที่ผมสามารถจะทำได้ในตอนนี้ก็คือการถอนใจออกมาสักครั้งหนึ่งแค่นั้นเอง
"เฮ้อ... เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว และก็ต้องขอโทษด้วยที่ได้คิดจะทำอะไรโดยไร้สติ" ผมพูดกับมูติชาห์อย่างละอายในความคิดของตัวเองหน่อยๆ และอดคิดต่อไม่ได้ว่า มูติชาห์ผู้ที่ก่อนหน้านี้ดูจะเป็นคนจ้าวอารมณ์และดูหุนหันพลันแล่นในสายตาของพวกเรา แต่ทว่าพอถึงเวลาคับขันในสถานการณ์เป็นตายเขาก็กลับเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีและเล็งเห็นถึงผลได้ผลเสียของการเคลื่อนไหวใดๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
"ท่านจะเชื่อสัญชาตญาณของข้าอย่างหนึ่งได้ไหม? " มูติชาห์พูดอย่างยิ้มๆ ในสีหน้า "สตรีคนที่ท่านแสนจะเป็นห่วงนั้น แม้ตอนแรกข้าจะไม่ค่อยชอบหน้านางนัก แต่ข้าก็สามารถจะรับประกันให้ท่านอย่างหนึ่งได้ว่า นางนั้นจะสามารถเอาตัวรอดไปได้ในสถานการณ์ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน และก็ไม่แน่ว่า ในสถานการณ์ครั้งไหนๆ นางก็อาจจะเอาตัวรอดไปได้ซะทุกครั้งก็เป็นได้นะ..."
คำบรรยายของมูติชาห์ที่มีต่อไอริณในครั้งนี้ถึงกับทำให้ผมตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างปุปปับทันที
อะไรกัน...? ทำไมอยู่ๆ มูติชาห์ก็พูดออกมาอย่างนี้ นี่มันราวกับว่าเขาได้อ่านลักษณะของไอริณได้อย่างลึกซึ้งแม้ว่าจะเพิ่งเจอกันได้เพียงไม่นานอย่างนี้เลยเหรอ? ให้ตายสิ สำหรับผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเข้าใจหรือมั่นใจในความฉลาดและเอาตัวรอดได้เก่งของตัวไอริณเท่ากับที่มูติชาห์ได้มั่นใจเลยนะ...?!
แต่ผมก็พยักหน้าให้กับมูติชาห์อย่างเห็นด้วย "ใช่ล่ะ... เธอคงจะสามารถเอาตัวรอดไปได้แน่ๆ เพราะเธอเป็นคนฉลาด... ฉลาดกว่าผมมากๆ ..."
แล้วดอกธนูอีกชุดหนึ่งก็ปลิวข้ามหัวพวกเราไปอีกครั้ง และเมื่อผมได้มองตามลูกธนูไป ก็ได้เห็นว่าบางดอกนั้นก็พุ่งเลยกลุ่มหมอกควันอันหนาหนักนั้นไปทางที่มีสะพานล่องหนและก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ต่อไปว่ามันจะไปตกลงตรงบริเวณไหนของสะพานกันแน่ แต่ดอกธนูบางดอกหลังจากที่ได้พุ่งผ่านด้านบนของก้อนหินด้านหลังเราไปแล้วบางทีก็ตกโค้งลงที่บริเวณที่เป็นตีนสะพานล่องหนซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่เรานั่งหลบอยู่ก็มีอยู่ไม่น้อย
และที่น่าแปลกกับการสังเกตุสีหน้าของมูติชาห์อย่างไม่ตั้งใจ ผมก็กลับสังเกตุได้ว่า ในแต่ละครั้งที่มีลูกธนูลอยปลิวมาตกลงที่บริเวณตีนสะพาน ก็ดูเหมือนว่ามูติชาห์จะยิ่งมีประกายตาของความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด
ให้ตายสิ... ผมนี่ดูไม่ออกจริงๆ เลยว่า มูติชาห์คนนี้ตอนนี้กำลังคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่..?
"ตกลงเราจะไปสบทบกับท่านจ้าวได้อย่างไงกันล่ะ ถ้าหากเราจะต้องมัวมานั่งหลบลูกธนูจนแทบกระดิกกันไม่ได้อยู่อย่างนี้? " ผมเอ่ยออกมาหลังจากเห็นมูติชาห์เหมือนจะสบายอารมณ์กับการนั่งมองลูกธนูปลิวข้ามหัวมาได้พักหนึ่งแล้ว
แล้วมูติชาห์ก็หันไปสบตากับสิงห์อย่างยิ้มๆ และให้ตายเถอะ ผมเองก็สงสัยอยู่อีกอย่างว่า สิงห์เองก็ดูเหมือนจะมีความพึงพอใจกับการนั่งชมลูกธนูปลิวข้ามหัวอยู่เช่นกัน?
"ที่จริง ขณะนี้ข้ากำลังอะไรรออะไรบางอย่าง..." มูติชาห์หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม "และอะไรบางอย่างที่ข้ารอนี่ก็คือ ความพร้อม... และนี่ก็กำลังจะถึงเวลาแห่งความพร้อมของข้า... และก็สิงห์ด้วย อืม... และก็ท่านกับเพื่อนที่ดูจะออกขลาดๆ ของท่านคนนี้ด้วยนะที่จะทำให้ความพร้อมของพวกเราเกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้นอีก..."
คำพูดแบบนี้ของมูติชาห์ ทำให้ผมถึงกับบอกกับตัวเองอย่างหนึ่งในตอนนี้ได้เลยว่า 'ผมตามความคิดและคำพูดของมูติชาห์ไม่ทันแน่ๆ ถ้าไม่ถามตอบกันอย่างตรงไปตรงมากันซะเดี๋ยวนี้'
"เอาชัดๆ เลยได้ไม๊ครับคุณมูติชาห์ ท่านกับสิงห์กำลังรอความพร้อมของอะไรกันแน่ และผมกับจันจะช่วยให้เกิดความพร้อมขึ้นได้เร็วขึ้นยังไงกันรึ? "
มูติชาห์ค่อยๆ ชี้นิ้วไปที่ลูกธนูที่ได้ร่วงตกลงไปยังที่บริเวณตีนสะพาน ซึ่งขณะนี้ก็ได้ตกเกลื่อนอยู่ที่พื้นดินตรงนั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"ความพร้อมที่ว่านี้ก็คือ ความพร้อมที่จะได้มีลูกธนูจำนวนไม่น้อยไว้ยิงตอบโต้กับพวกคนทรยศทางฝั่งโน้น ในขณะที่เราก็จะต้องรีบพาตัวเองไปสมทบกับท่านพ่อของข้าที่ได้หลบอยู่ที่ทางฝั่งด้านขวาให้เร็วที่สุดยังไงล่ะ"
อะไรกัน... ที่แท้มูติชาห์กับสิงห์ก็กำลังรอสะสมพวกลูกธนูนี่เอง นี่หมายความว่าลูกธนูที่ทหารทรยศยิงข้ามก้อนหินด้านหลังเรามาจนมาตกลงที่ทางด้านนี้ก็จะมากลายเป็นคลังอาวุธของพวกเราไปโดยปริยายนี่เอง อา... ใช่ล่ะ เพราะเมื่อผมมองไปที่กระบอกใส่ลูกธนูที่อยู่ด้านหลังของมูติชาห์ผมก็ได้เห็นว่ามันมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผมอดจะสงสัยไม่ได้ก็คือ แม้ว่าเราจะไปช่วยกันเก็บรวบรวมลูกธนูจนกลายมาเป็นคลังอาวุธของพวกเราได้แล้ว แต่การที่ทางเรามีแค่มูติชาห์ที่ใช้ธนูแค่คนเดียว แล้วเราจะหาญไปสู้กับกองรบของทหารทรยศนั้นได้อย่างไร คนๆ เดียวอย่างมูติชาห์จะทั้งสู้และพาพวกเราหลบหนีออกไปจากที่ตรงนี้ได้อย่างไรกันล่ะนี่...?
"มูติชาห์ ผมเข้าใจแล้วเรื่องการรวบรวมลูกธนูมาเป็นคลังอาวุธของเรา แต่ปัญหาก็คือท่านคนเดียวจะไปสู้กับกลุ่มทหารทรยศที่ก็ยังไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไรนั้นได้อย่างไรกันล่ะ? " ผมติงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เพราะมองไม่เห็นถึงโอกาสที่จะฝ่าออกไปได้จนสำเร็จ
"ใครว่าข้าจะสู้คนเดียวล่ะท่านคนเถื่อน..." แล้วมูติชาห์ก็บุ้ยปากไปทางสิงห์ "นี่ท่านคงจะยังไม่รู้ถึงเรื่องการเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของการยิงธนูของเขายังงั้นสินะ...? "
"อะไรนะ...! สิงห์เองก็มีฝีมือในการยิงธนูด้วยยังงั้นหรือ?! " ผมหันไปมองสิงห์ที่ยังคงอยู่ในร่างของนุชอย่างตื่นตะลึง แล้วสิงห์ก็พยักหน้าให้ผมด้วยรอยยิ้มบางๆ
แต่แล้วผมก็ยังเห็นอีกปัญหาหนึ่งจนได้
ก็คันธนูนั้นมีอยู่ที่มูติชาห์เพียงคันเดียว แล้วสิงห์จะไปใช้อะไรยิงลูกธนูเหล่านั้นกันล่ะนี่...?
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ