สืบสู้ผี ภาค 1-2

8.7

เขียนโดย Jintanakorn

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.

  73 ตอน
  3 วิจารณ์
  63.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

54) มิตรหรือศัตรู ?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ในสถานการณ์ที่ผมไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทำอย่างไรดี เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นแต่หมอกควันที่ยังหนาแน่นอยู่ มองไปข้างล่างผ่านพื้นสะพานล่องหนไปผมก็เห็นแต่พื้นก้นเหวที่เต็มไปด้วยหนามหินแหลมๆ ที่ยังคอยแต่จะทำให้ใจหวิวๆ อยู่ในทุกครั้งที่มอง อยู่ๆ เสียงๆ หนึ่งที่ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของมูติชาห์ก็ดังขึ้นมา
"ท่านสองคน รีบวิ่งมาทางด้านนี้โดยเร็ว เราจะคอยระวังอันตรายให้พวกท่าน อย่าได้ชักช้า...รีบวิ่งมา! "
เสียงของมูติชาห์นั้นดังออกมาจากลุ่มหมอกควันที่ไม่สามารถจะมองเห็นตัวเขาได้ในขณะนี้ แต่คำพูดของเขานั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจหรือวางใจอะไรเลยสักนิด และนั่นก็เป็นเพราะหลังจากที่มีลูกธนูของพวกมิตทราห์พุ่งเฉียดผมและจันไปเมื่อสักครู่นี้ มันก็ทำให้ผมไม่ไว้วางใจพวกชาวมิตทราห์ขึ้นมาในขณะนี้ทันทีว่า พวกเขานั้นกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นพวกเขาได้วางแผนล่อลวงพวกเราเอาไว้ล่วงหน้า แล้วก็ทำให้พวกเราต้องมาติดกับดัก ที่เป็นกับดักแห่งความตายในที่ตรงนี้หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ และนี่ก็เป็นผลมาจากความรู้สึกที่เฉียดความตายจากลูกธนูเมื่อกี้นี้ มันจึงทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปในตอนนี้เลยทีเดียว
"เอ่อ... คนอื่นๆ ล่ะ คนอื่นๆ น่ะตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันหมดล่ะมูติชาห์...?! " ผมตัดสินใจตะโกนถามเขาไปแบบนั้น และคิดว่านี่เป็นคำถามที่ฉลาดที่สุดแล้ว ยังไงมันก็ดีกว่าวิ่งไปเจอกับลูกธนูของชาวมิตราห์ซะก่อนแล้วค่อยมารู้ตัวว่าถูกหลอกหรือเสียรู้ไปหรอกน่า
"ท่านไม่ไว้ใจข้านี่เอง..." ดูเหมือนว่ามูติชาห์จะเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไร "เอาล่ะ ข้าขอบอกสถานการณ์แบบเร่งด่วนให้ท่านสองคนรู้สักนิด ตอนนี้ทางฝั่งนี้ได้เกิดเรื่องพลิกผันแบบที่ข้าและท่านพ่อของข้าก็ไม่ได้คาดฝันมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น เมื่อก่อนหน้านี้ที่พวกเราได้ข้ามมาทางฝั่งนี้กันเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับถูกโจมตีจากกลุ่มทหารอีกกลุ่มหนึ่ง และนั่นก็ไม่ใช่ทหารของที่ไหน แต่เป็นทหารของชาวมิตทราห์ด้วยกันนี่เอง แล้วก็เป็นพวกทหารที่ได้อยู่คุ้มกันหมู่บ้านของชาวมิตทราห์เราที่อยู่ไม่ไกลนักจากตรงนี้นั่นล่ะ และข้ากับท่านพ่อเองนั้นก็คาดว่าในหมู่บ้านของพวกเราน่าจะมีผู้บงการที่เป็นหนอนบ่อนใส้หรือเป็นคนทรยศที่หักหลังโดยขายวิญญาณให้กับพวกศัตรูอยู่อย่างแน่นอน และเมื่อกี้นี้ ท่านพ่อของข้าเองก็หวุดหวิดเกือบจะโดนลูกธนูจากพวกที่หักหลังเข้าอยู่เหมือนกันนะ..."
อะไรกัน....? นี่มันเกิดเรื่องขึ้นตามที่มูติชาห์เล่ามาอย่างนั้นหรือ...?
มิน่าล่ะเมื่อกี้นี้ถึงได้มีลูกธนูแบบของพวกชาวมิตทราห์ปลิวมาทางด้านนี้ แสดงว่าพวกที่หักหลังเหล่านั้นมีความต้องการที่จะสังหารทุกคนที่ได้ข้ามสะพานจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งด้านนั้นโดยเรียบร้อยแล้วนี่เอง เพียงแต่ว่าผมกับจันกลับเดินข้ามกันมาได้ชักช้าไปในตอนแรก ก็เลยทำให้ติดอยู่ตรงสะพานจนกระทั่งการโจมตีได้เริ่มต้นขึ้น อา... เรื่องนี้ช่างฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาอย่างน่าคิดทันที
แต่... แต่ว่า ผมจะเชื่อมูติชาห์ได้อย่างไรว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องโกหกที่มูติชาห์ได้ปั้นขึ้นมา เพราะว่าตอนนี้ความหวาดระแวงที่ไม่อาจจะไว้ใจพวกชาวมิตทราห์ที่พวกผมได้เดินทางมาด้วย มันก็ได้เกาะกินใจผมไปเสียแล้ว
ผมหันไปเลิกคิ้วมองหน้าจันอย่างจะขอความเห็นจากคนที่ไม่น่าจะให้ความเห็นอะไรได้ แล้วจันก็ทำได้ก็แค่เพียงเลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างมึนๆ แค่นั้นเอง
"ท่านช่างหวาดระแวงซะยิ่งนัก... และนั่นก็จะทำให้ชีวิตของตัวท่านเองกับเพื่อนขี้ขลาดของท่านอาจจะต้องหดสั้นกว่าที่คิดก็เป็นได้นะ..." เสียงมูติชาห์พูดมาอย่างหยันๆ "ที่จริงแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ห่วงใยอะไรกับชีวิตของพวกท่านหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่ามีคนคนหนึ่ง ที่ต้องการจะให้ข้าช่วยพวกท่านให้ได้ ข้าเองนั้นก็คงจะไม่ได้เหลียวแลพวกท่านเลยแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน..."
คำพูดแบบนั้นของมูติชาห์ทำให้ผมรู้สึกจี๊ดขึ้นมานิดหน่อย จนแทบจะลุกวิ่งเข้าไปวัดดวงในตอนนี้ทันที แต่แล้วมูติชาห์ก็กล่าวอีกว่า
"เอาล่ะ... ท่านมองมาทางนี้ดีๆ แล้วท่านก็จะเห็นว่า คนบางคนที่ท่านน่าจะไว้วางใจได้ ตอนนี้ก็ได้อยู่กับข้าตรงนี้นั่นเอง"
อะไรนะ...? จากเสียงของมูติชาห์ที่ดังมาจากหลังม่านหมอกอันหนาหนัก เขากลับบอกว่ามีคนบางคนที่เราน่าจะไว้วางใจได้อยู่กับเขาด้วย หรือว่า คนที่มูติชาห์กำลังพูดถึงนี้จะเป็น..."
เหมือนมีปาฏิหารย์หรือว่าเวทมนต์อะไรบางอย่าง เพียงชั่วครู่นั้น กลุ่มหมอกอันหนาหนักนั้นก็ค่อยเลือนหายไปจากตรงที่เป็นต้นเสียงของมูติชาห์จนผมเองนั้นก็พอจะมองเห็นได้ว่า คนที่เขาได้พูดถึงนั้นมันก็คือ สิงห์ อย่างที่ผมคาดไว้นี่เอง
กลุ่มหมอกอันหนาหนักนั้นได้เลือนหายไปเพียงชั่ววูบ แต่นั่นมันก็เพียงพอแล้วที่ได้ทำให้ผมได้มองเห็นว่าสิงห์กับมูติชาห์กำลังก้มหมอบมองมาทางผมโดยที่มีก้อนหินขนาดย่อมๆ ก้อนหนึ่งได้เป็นที่กำบังกายให้กับด้านหลังของพวกเขา
เมื่อได้เห็นสิงห์เพียงชั่ววูบ ความรู้สึกหวาดระแวงของผมก็พลันสูญสลายไปทันที สิงห์แม้จะอยู่ในร่างของนุชแต่นี่ก็คือสิงห์คนที่ผมสามารถไว้วางใจได้อย่างแน่นอนที่สุดในยามนี้
"จัน เห็นแล้วใช่ไหม ว่าสิงห์อยู่ตรงนั้นด้วย? " ผมหันไปถามจัน แล้วจันก็พยักหน้าหงึกๆ
"ไปกัน ถ้าเรายังอยู่ตรงนี้ก็เห็นว่าจะมีอันตรายมากกว่านี้แน่ เราจะต้องรีบไปหลบที่ก้อนหินทางฝั่งโน้นที่สิงห์กำลังรอเราอยู่ มา...! ออกวิ่งไปพร้อมๆ กันเลยนะจัน พยามทำใจให้กล้าหาญหน่อย เพราะอีกแค่นิดเดียวก็จะถึงฝั่งโน้นอยู่แล้วล่ะ ตกลงตามนี้นะจัน? " ผมนัดแนะจันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะให้สัญญาณหนึ่งสองสามขณะที่มีลูกธนูหวีดหวิวผ่านเฉียดหัวผมไปอีกสองสามดอก
พอคำว่าสามออกจากปากผม เราสองคนก็ทะยานตัวปลิวราวกับนักวิ่งมืออาชีพและตรงดิ่งเข้าไปที่ตรงจุดที่เห็นเมื่อครู่นี้ว่าเป็นก้อนหินที่สิงห์กับมูติชาห์กำลังหลบกำบังกายอยู่ทันที
เพียงแค่อึดใจเดียว ผมกับจันก็ทะยานเข้ามาถึงที่หลังก้อนหินนั้นโดยปลอดภัย สิงห์รีบเข้ามาประคองตัวผมกับจันไว้โดยเร็ว สีหน้าของเขายามนี้ดูจะมีความปิติอย่างเหลือเกินที่ได้เห็นความปลอดภัยของเราสองคน ส่วนมูติชาห์ก็ยิ้มอยู่ที่มุมปากนิดหน่อยอย่างพึงพอใจ และในวินาทีนั้น ผมกลับรู้สึกถึงอะไรที่ประหลาดๆ อย่างที่เพิ่งจะรู้สึกในขณะนี้ว่า ทำไมมูติชาห์เวลายิ้มถึงมีลักษณะที่ช่างคล้ายกับ'ผู้หญิง'ซะเหลือเกิน
แล้วผมก็รีบสลัดความรู้สึกอันแปลกประหลาดของผมนี้ออกไปทันที เพราะตอนนี้นี่เองที่ผมก็ได้ฉุกคิดถึงไอริณกับพี่เมฆว่าตอนนี้ได้ไปหลบอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ เพราะหลังจากที่ผมได้ยินเสียงของไอริณที่ได้ส่งเสียงเตือนผมให้ระวังตัวเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ยินเสียงของเธออีกเลยแม้แต่นิดเดียว
"มูติชาห์ ช่วยบอกกับผมหน่อยซิ ว่าตอนนี้พวกคนที่มาพร้อมๆ กับผมน่ะ ไปหลบอยู่ตรงไหนกัน แล้วพวกเขาน่ะ คงจะยังปลอดภัยกันดีอยู่ใช่ไหม? " ผมรีบถามมูติชาห์ทันที
มูติชาห์สลายรอยยิ้มไปจากมุมปากก่อนจะตีหน้าขรึมแล้วตอบว่า
"ตอนที่พวกเราที่ข้ามมาทางฝั่งนี้ แล้วก็ถูกโจมตีโดยลูกธนูลึกลับอย่างที่ไม่ทันตั้งตัวนั้น พวกเราก็ได้แตกกระจายกันไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง แต่ข้าเองนั้นก็ได้เห็นว่าท่านพ่อของข้าได้ถูกเพื่อนของท่านคนที่มีบ่วงนาคบาศก์ได้ฉุดมือของท่านวิ่งเข้าไปที่หลังก้อนหินใหญ่ทางด้านขวามือนั่นพร้อมๆ กับพวกทหารของฝั่งเราที่เหลือทั้งหมด และตรงบริเวณนั้นก็อยู่ใกล้ๆ กับที่ตั้งของ'ศิลาฤดูกาล'ลูกหนึ่งพอดี ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่มากับท่านนั้น ข้าก็ได้เห็นอยู่ชั่ววูบว่านางได้วิ่งแยกออกไปคนเดียวเพราะตอนแรกนางกลับวิ่งวนอยู่ข้างหน้านี้และเรียกตะโกนบอกให้ท่านระวังตัว ก่อนที่พวกทหารทรยศสองสามคนจะทะยานออกมาจากที่ซ่อนและได้พยายามไล่ตะครุบตัวนาง และจากนั้นนางก็กลับวิ่งหายลับไปทางซ้ายมือที่เต็มไปด้วยกลุ่มต้นไม้อันหนาทึบนั่น โดยขณะนั้นข้าก็ยังได้เห็นอีกว่า นางก็ยังถูกกวดไล่ไปโดยพวกทหารกลุ่มนั้นจนวิ่งหายลับกันไปทั้งหมดที่ตรงจุดนั้น เเละในขณะนั้นพวกกลุ่มทหารที่ทรยศอีกจำนวนหนึ่งที่ได้หลบซ่อนอยู่หลังลูกหินน้อยใหญ่ข้างหน้านี้ก็ได้ยิงลูกธนูกันออกมาอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ข้ากับสิงห์จึงรีบถอยมาหลบกำบังอยู่ที่หลังก้อนหินนี้และข้าก็ได้คอยยิงสวนกลับไปจนสังหารพวกทรยศเหล่านั้นไปได้หลายคนเลยทีเดียว แต่พวกทหารฝั่งของเราเองก็ต้องพลีชีพกันไปอยู่หลายคนเพราะการโจมตีในคราแรกที่พวกเราไม่ทันจะระวังตัวกันนั่นเอง.."
มูติชาห์ได้ตอบผมและได้บรรยายสถานการณ์โดยคร่าวๆ ให้ผมได้เข้าใจอย่างชัดเจน แต่อารมณ์ของผมนั้นก็กลับมาสะดุดอยู่ในช่วงที่ว่า 'ไอริณได้วิ่งหายลับไปทางป่าซ้ายมือคนเดียวโดยมีทหารทรยศอีกสามคนกวดไล่ตามไป'
อีกแล้วรึ....? ไอริณของผมกลับตกอยู่ในอันตรายอีกแล้วรึนี่..?!
และนั่นก็เป็นเพราะเธอพยายามจะส่งเสียงเตือนผม จนทำให้เธอต้องวิ่งวนไปวนมาจนสุดท้ายต้องวิ่งหนีไปคนละทิศคนล่ะทางกับพี่เมฆและพวกของท่านจ้าว
'โธ่... ไอริณของผม ตอนนี้เธอเองจะหนีเตลิดไปถึงตรงไหนกันล่ะนี่ และพวกทหารทรยศสามคนนั้นจะยังติดตามเธอไปจนเจอะเจอตัวเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้...?! '
 
 
 
 
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา