สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
62.97K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
41) กุญแจเปิดนรก ดอกที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "เจ้าตัวนี้ มันคือตัวอะไรเหรอคะพี่เมฆ ?" ไอริณถามพี่เมฆด้วยสีหน้าออกสยอง
แต่พี่เมฆกลับหันขึ้นไปหาสิงห์ที่ยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าพวกเราขึ้นไปเล็กน้อย "ว่าไงน้องสิงห์ บอกน้องไอริณเขาหน่อย เพราะเจ้าตัวนี้พี่เองก็ไม่รู้จักเหมือนกันนะ ?"
สิงห์ในร่างนุชขยับปากตอบพี่เมฆออกมาหลายคำโดยไร้สุ้มเสียงเหมือนเดิม แล้วพี่เมฆก็หันกลับมา "เขาบอกว่ามันเป็นสุนัขสัตว์เลี้ยง เป็นสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงไว้ให้ล่าสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่ได้พลัดหลงมาทางเทือกเขาแถวนี้น่ะ "
"สัตว์เลี้ยง ? ล่าสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ?" ผมทวนคำเหล่านี้ "หมายความว่า เจ้าหมายักษ์ที่อยู่ข้างล่างนี้มันก็มีเจ้าของหรือเจ้านายของมันด้วยอย่างนั้นเหรอครับพี่เมฆ ?"
"ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหล่ะครับน้องกิตติ"
"พี่เมฆคะ ดูตามรูปร่างอันใหญ่โตของมันนี่ แค่มันกระโจนขึ้นมาตรงนี้ครั้งเดียวก็น่าจะเข้ามาถึงตัวพวกเราแล้วนะคะ" ไอริณตั้งข้อสังเกตุเหมือนกับที่ผมคิดไว้ "แต่นี่มันยังคงจดๆจ้องๆพวกเราอยูุ่เหมือนเดิมทั้งๆที่บางทีก็ดูเหมือนว่ามันก็อยากจะกระโดดขึ้นมาขย้ำพวกเราบนนี้หมือนกันนะคะ ดูสิ"
"ใช่ล่ะ พี่เห็นแล้ว แต่..."
จู่ๆก็มีเสียงประหลาดที่ฟังดูคล้ายๆกับเสียงของขลุ่ยญี่ปุ่นดังกังวานขึ้นมาในอากาศช่วงสั้นๆโดยที่ก็ไม่รู้ว่าดังมาจากทางไหนกันแน่ ?
แล้วเจ้าสัตว์ยักษ์สี่ขาที่หน้าตาคล้ายกับสุนัขพันธ์กระหายเลือดก็กระดิกหูทั้งสองข้างจนตั้งชูชันขึ้นมาทันที จากนั้นมันก็ค่อยๆก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าวิ่งกลับไปในทิศทางเดิมกับที่มันโผล่ออกมาในตอนแรกอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดแรงลมพัดฝุ่นดินฝุ่นหินแถวนั้นจนฟุ้งกระจัดกระจายขึ้นมาเต็มไปหมด
แล้วพวกเราทั้งหมดต่างก็โล่งอก ที่ไอ้หมายักษ์นั่นได้ถอยไปเสียได้ในตอนนี้
"เสียงนั่นคงเป็นสัญญาณเรียกที่ดังมาจากผู้เป็นนายของมันอีกทีงั้นสินะ ?" ผมเปรยขึ้น "แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าหมายักษ์นั่นมันจะไม่มาลอบโจมตีเราในณ.ที่ใดที่หนึ่งในระหว่างที่เรากำลังปีนขึ้นไปกันล่ะ ?
"อืม พี่ว่ามันคงไม่ตามเราขึ้นไปข้างบนหรอก " พี่เมฆพูดพลางมองขึ้นไปข้างบนที่มองเห็นกลุ่มเมฆอันหนาแน่นลอยปกคลุมที่ช่วงบนของภูเขากันอย่างอ้อยอิ่ง "เพราะว่าเมื่อกี้สิงห์ก็ยังบอกพี่อีกว่า ยิ่งถ้าเราขึ้นไปที่สูงกว่านี้มันก็ยิ่งไม่กล้าตามเราขึ้นไป เพราะที่ส่วนด้านบนของภูเขาแห่งนี้ไม่ใช่อณาเขตของพวกมันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ว่าพวกเราเองนั้นก็จำเป็นที่จะต้องรีบขึ้นไปหาผลไม้ป่าบนนั้นกินกันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เพราะถ้าความมืดได้เข้าปกคลุมไปทั่วขุนเขานี้เมื่อไรแล้ว ก็อาจจะมีอันตรายจากสิ่งที่น่ากลัวที่ไม่แพ้กับเจ้าหมายักษ์ตัวนี้ปรากฏขึ้นมาแทนก็เป็นได้ !"
"อั๊ยหยา...!" จันอุทานขึ้นมาอย่างตัวสั่น
"พี่เมฆครับ" ผมเกิดสงสัยอะไรขึ้นมาอีก "ถ้าเจ้าหมายักษ์และเจ้านายของมันขึ้นไปบนเขานี้ไม่ได้ ก็หมายความว่าอันตรายอย่างอื่นที่อาจจะมีขึ้นก็ไม่ใช่มาจากทางฝ่ายพวกมันงั้นสิครับ"
พี่เมฆหันหน้าขึ้นไปมองสิงห์ แล้วสิงห์ก็พยักหน้าก่อนพูดอะไรอีกหลายคำก่อนที่พี่เมฆจะถ่ายทอดคำพูดที่ไร้เสียงพวกนั้นออกมาอีก
"สิงห์บอกว่า ใช่แล้ว เป็นอย่างที่น้องกิตติว่านั่นล่ะ ในดินแดนที่ถือได้ว่าเป็นชายขอบของนรกนี้ มีนักล่าและผู้ถูกล่าไม่ต่ำกว่าสี่กลุ่ม และพวกเหล่านี้ต่างทำสงครามเข่นฆ่ากันอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาเนิ่นนานแสนนานแล้ว สิงห์นั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยกับดินแดนแห่งนี้อยู่ในระดับหนุึ่ง เพราะในดินแดนแห่งนี้น่ะ สิงห์ได้เคยพลัดหลงเข้ามาเมื่อในครั้งอดีตด้วยกุญแจประหลาดอีกดอกหนึ่งน่ะ... "
"ด้วยกุญแจประหลาดอีกดอกหนึ่ง ?!!" ผมกับไอริณอุทานขึ้นมาพร้อมกัน !
นี่สิงห์กลับมีกุญแจประหลาดอยู่อีกดอกหนึ่งด้วยอย่างนั้นเหรอ ? งั้นผู้ชายที่แต่เดิมป็นเผ่าพันธ์ของมนุษย์ผู้มีขนดกราวกับวานรผู้นี้ ก็อาจมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องราวของ '13 กุญแจที่สามารถเปิดนรก' มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ด้วยอย่างนั้นสิ ?
"คือสิงห์เขาว่าในดินแดนหรืออณาจักรของเขานั้นมีประตูพิเศษแบบที่เหมือนกับในห้องใต้ดินที่อยู่ใต้บ้านแฝดนั้นเปี๊ยบเลยล่ะ !"
"อะไรนะครับ ประตูพิเศษที่เหมือนกันงั้นหรือครับ ?" ผมยิ่งตะลึงไปอีก
"ถูกแล้ว สิงห์เขาว่าอย่างนั้นล่ะ" แล้วพี่เมฆก็เล่าต่อไป "และในอณาจักรของเขาก็ดันมีดอกกุญแจที่คล้ายคลึงกับดอกกุญแจที่กุสุมาเพิ่งจะได้มาจากเจ้านายของเธอ แต่มันก็ไม่ใช่ดอกเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะดอกกุญแจที่สิงห์ได้เอามาเปิดประตูพิเศษที่อยู่ภายในอณาจักรของเขานั้น สิงห์ได้แอบลักลอบเอามาเก็บไว้กับตัวอยู่เนิ่นนานตั้งเเต่ตอนที่เขายังอายุน้อยๆจนทำให้เขาสามารถจดจำรูปร่างและรายละเอียดของมันได้ดี"
"แล้วตอนแรกกุญแจดอกที่สิงห์ได้มานั้นอยู่ที่ไหนกันคะ ?" ไอริณถาม
สิงห์ขยับปากพูดอะไรอีกหลายคำ โดยไม่ต้องรอให้พี่เมฆถาม พี่เมฆก็พยักหน้าและถามสิงห์เพิ่มเติมอยู่อีกครู่ใหญ่ก่อนหันมาถ่ายทอดให้ฟัง
"กุญแจดอกที่สิงห์ได้มาเก็บไว้นั้น ตอนแรกอยู่ในห้องลับหรือในห้องต้องห้ามของบิดา เอ่อ.. พระราชบิดาของเขาน่ะน้อง ตอนนั้นสิงห์อายุประมาณ 9 ขวบและเป็นเด็กที่ซุกซนเป็นอย่างมาก เขาได้แอบเข้าไปเล่นในห้องต้องห้ามและได้พบกับดอกกุญแจประหลาดถูกซุกซ่อนอยู่ในเทวรูปองค์หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกอำนาจประหลาดบางอย่างที่คงมาจากดอกกุญแจดอกนั้น ดึงดูดเขาให้ลักลอบนำมันออกมาเก็บไว้กับตัวของเขาเองโดยที่ไม่บอกให้ใครคนใดล่วงรู้แม้แต่พระราชบิดาของเขาและหลังจากนั้นเขาก็มักจะฝันถึงเสียงประหลาดที่คอยเรียกเขาให้ไปที่ประตูประหลาดที่อยู่ในสวนรกร้างแห่งหนึ่งอยู่หลายครั้ง จนเขาคิดว่าต่อไปเขาจะต้องค้นหาประตูประหลาดที่ปรากฏเป็นภาพให้เขาเห็นในความฝันนั้นให้จงได้"
"หลังจากนั้นอีกราว 7 ปี ซึ่งตอนนั้นเขาได้มีอายุราว 16 ปีแล้ว เขาก็ได้ไปพบกับประตูประหลาดที่เหมือนกับประตูที่อยู่ในความฝันของเขาตั้งอยู่ในสวนรกร้างของพระราชวังเก่าที่เคยเป็นวังอยู่อาศัยของพระราชบิดาของบิดาเขาอีกทีก่อนที่จะย้ายพระราชวังไปที่แห่งใหม่"
"ด้วยอำนาจอันเร้นลับบางอย่างจากดอกกุญแจนั่น ทำให้เขาใช้มันไขที่ช่องของรูกุญแจที่อยู่ข้างประตูที่เหมือนไม่เคยถูกเปิดมาเป็นเวลาหลายสิบปีนั้นทันที และหลังจากนั้นล่ะ ที่เขาได้พบกับแสงสว่างอันเจิดจ้าที่อยู่หลังประตู เขาจึงก้าวข้ามผ่านประตูนั้นไปอย่างแทบไม่รู้สึกตัว จากนั้นประตูก็ปิดตัวเองตามหลังเขาทันที และพอเขาตั้งสติได้แล้วเขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าปากถ้ำที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของภูเขาลูกนี้ และภาพที่อยู่ไกลลิบๆออกไปที่เบื้องหน้าของเขานั้นมันกลับเป็นภาพของทะเลทรายอันแห้งแล้งร้อนแรงอย่างที่เราได้เจอกัน แต่ทว่าในส่วนของยอดเขาและแนวเขาเบื้องบนกลับมีกลุ่มเมฆอันหนาแน่นปกคลุมจนแทบมองอะไรไม่เห็นที่ด้านบนเลยแม้แต่น้อย"
"ในตอนนั้นสิงห์ก็รู้สึกตกอกตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ที่อยู่ๆก็มาโผล่อยู่ในสถานที่อันแปลกประหลาดเช่นนี้ เขาจึงหันหลังกลับเดินเข้าไปในถ้ำที่เป็นถ้ำตื้นๆนั้นเพื่อมองหาประตูบานที่เขาได้เปิดเข้ามา แต่ไม่ว่าเขาจะมองหาไปตามผนังห้องของถ้ำตื้นๆนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าไร เขาก็ไม่พบว่ามันจะมีประตูใดๆซุกซ่อนอยู่ในผนังศิลานั้นเลยทั้งสิ้น เขาจึงตัดสินใจออกจากถ้ำและลองไต่ขึ้นสู่ที่สูงของภูเขาอันถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆอันหนาแน่นนี้ทันที เมื่อเขาไต่ขึ้นไปเรื่อยๆก็พบว่าภูเขาข้างบนเลยกลุ่มเมฆอันหนาแน่นไปเล็กน้อยมีช่วงที่เป็นพื้นราบอันกว้างใหญ่ราวกับว่าที่ด้านบนนั้นจะไม่มียอดเขาเหมือนเช่นภูเขาทั่วๆไป และต่อมาเขาก็พบว่ามีต้นผลไม้ที่มีผลกลมๆสีเหลืองเหมือนกับที่มีในอณาจักรของเขายังกับแกะ เขาจึงทดลองเด็ดมากินดูและเห็นว่ามันกินได้และมีรสชาติคล้ายคลึงกันมากๆ จึงได้กินไปซะหลายลูกทีเดียว..."
จ๊อกกกก....! แล้วเสียงที่ฟังเหมือนเสียงท้องร้องของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
พวกเราจึงเหลียวหน้ามองกันไปมาด้วยสีหน้ายิ้มๆเหนื่อยๆ
"ขอเดานะว่า เสียงเมื่อกี้นี้มันดังมาจากจันแน่นอน ใช่ไม๊ ?" พี่เมฆหยุดเล่าเรื่องของสิงห์ และเปลี่ยนมาถามจัน
"แฮะๆๆ พี่เมฆเก่งจัง เสียงท้องผมร้องล่ะคร้าบ ก็พี่เมฆเล่นเล่าไปถึงต้นผลไม้ที่อยู่ข้างบนนี้ ท้องใส้อันว่างเปล่าของผมมันก็ทนทานต่อไปไม่ไหวซะแล้วสิคร้าบ แฮะๆ" จันตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
"พี่เมฆคะ" ไอริณเอ่ยขึ้น "เราสรุปลงตรงนี้ไว้ก่อนว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เดียวกับที่สิงห์ได้เคยพลัดหลงเข้ามาเมื่อในครั้งอดีตจริงๆ เพราะฉะนั้นที่ข้างบนของภูเขาลูกนี้ก็คงจะมีต้นผลไม้อยู่จริงๆ เรารีบปีนขึ้นไปเด็ดมันมากินรองท้องกันก่อนที่จะเป็นลมในขณะที่ฟังเรื่องของสิงห์กันยังไม่ทันจบดีกว่านะคะ ?"
"จริงของน้องริณ กองทัพพวกเราแม้จะเป็นกองทัพมดเล็กๆแต่ก็เป็นกองทัพที่ต้องเดินด้วยท้องเหมือนกัน งั้น พวกเรารีบไปหาผลไม้กินกันก่อนดีกว่านะ" พี่เมฆว่าแล้วก็พยักหน้าให้สิงห์นำพวกเราปีนขึ้นไปอีกทันที
ผ่านมาไม่ต่ำกว่าสี่สิบนาที พวกเราก็ปีนจนทะลุเข้าไปยังชั้นเมฆอันหนาแน่นและได้สัมผัสกับความเย็นวูบวาบของบรรยากาศช่วงนั้น และจากการที่ร่างกายของพวกเราได้ปะทะกับกลุ่มไอน้ำหนาแน่นจึงทำให้พวกเรารู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาเหมือนกับได้เกิดใหม่ในทันทีแม้ว่าจะยังไม่มีผลไม้ลูกใดตกถึงท้องเราเลยก็ตาม
และพอพ้นกลุ่มเมฆที่ทำหน้าที่ดุจเป็นม่านกั้นบรรยากาศที่อาจกล่าวได้ว่าข้างล่างเป็นนรกข้างบนเป็นสวรรค์แล้ว ต่อมาเราก็พบกับพื้นราบของผิวดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเขียวชะอุ่มของต้นหญ้าต้นเล็กๆที่ขึ้นปกคลุมไปจนเกือบทั่วบริเวณนั้น
เลยไปทางขวามือของพวกเรากลับปรากฏกลุ่มของต้นไม้ที่มีขึ้นให้เห็นอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบต้น และลำต้นของมันนั้นก็ดูคล้ายๆกับต้นแอปเปิ้ลอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
ยังไม่ทันที่สิงห์จะชี้มือไปที่กลุ่มต้นไม้นั้น พวกเราทั้งหมดที่เหลือต่างก็มีสีหน้าเบิกบานตื่นเต้นราวกับพบขุมทรัพย์ที่จะทำให้เรามั่งมีร่ำรวยกันไปตลอดชาติ แล้วพวกเราทั้งหมดก็ดูเหมือนจะลืมความเหนื่อยอ่อนกันเสียสิ้น ต่างก็วิ่งเข้าไปที่กลุ่มต้นผลไม้นั้นกันอย่างเร็วจี๋
แต่... แต่ให้ตายเถอะ ! ในขณะที่พวกเราวิ่งเข้าไปจนใกล้จะถึงต้นผลไม้ในระยะไม่เกินห้าเมตรแล้ว พวกเราทั้งหมดต่างก็ต้องหยุดชงักกันตัวแทบโก่งทันที
เพราะเรื่องที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นข้างหน้าของพวกเราในขณะนี้นั้น มันกลับทำให้พวกเราแทบจะหมดแรงและอยากจะทรุดร่างตายดับไปตรงนั้นเสียให้ได้
โอ... ไม่ๆ... นี่พวกเราทั้งหมดคงจะถึงคราวถึงฆาตกันซะแล้วอย่างนั้นหรือ ?!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ