สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.06K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) นี่มันเวทมนต์อะไรกัน ?
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผ่านไปเพียงไม่นาน เสียงโหยหวนต่างๆก็เงียบสงบลง
ผมหันไปมองหน้าไอริณพร้อมกับเลิกคิ้ว "นี่พี่เมฆคงได้จัดการกับพวกที่อยู่ข้างนอกนั่นหมดแล้วใช่หรือเปล่าน้องริณ แล้ว... แล้วพี่เมฆเองคงจะปลอดภัยดีใช่ไม๊... ?"
ไอริณยิ้มกริ่ม "อย่าได้ห่วงไปเลยจ้ะพี่กิต พวกภูติผีธรรมดาที่เป็นบริวารของพี่กุสุมานั่น ไม่ครณามือของพี่เมฆหรอกค่ะ"
"แต่ตอนนี้มันเงียบไปสักพักแล้วนะ แล้วเจ้าหุ่นพยนต์ตุ๊กแกนี่ก็ไม่เห็นเคลื่อนไหวอีก ?" ผมพูดพรางมองไปที่ตุ๊กแกยักษ์ที่ยังค้างแข็งอยู่กับที่
"บางทีพี่เมฆคงจะกำลังหาวิธีเปิดประตูห้องใต้ดินนี่อยู่ล่ะมั้งจ๊ะ..."
ไอริณพูดยังไม่ทันขาดคำดี ก็มีเสียงเหมือนประตูหน้าห้องใต้ดินกำลังถูกเปิดเสียงดังครืดๆขึ้นมาทันที
จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ได้เห็นพี่เมฆค่อยๆปรากฏร่างขึ้นมาท่ามกลางความสลัวในห้องใต้ดิน
"พี่เมฆครับ/คะ...!!' ผมกับไอริณส่งเสียงเรียกพร้อมกันอย่างดีใจ ส่วนจันกับสิงห์ในร่างนุชก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจด้วยเช่นกัน
พี่เมฆเดินเข้ามาหาเราอย่างเนิบๆด้วยรอยยิ้ม "ขอโทษที่พี่เข้ามาช้าไปนิด พี่รู้สึกพิศวงกับประตูทางเข้าห้องใต้ดินนี้นิดหน่อย คือมันมีอะไรแปลกๆอยู่น่ะ พี่ก็เลยลองสำรวจมันให้ละเอียด ก่อนจะร่ายอาคมเปิดประตูเข้ามา"
ผมรู้สึกแปลกใจกับการตั้งข้อสังเกตของพี่เมฆ เลยหันไปสบตากับไอริณอย่างงงๆ
"ที่จริง ริณก็รู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกันค่ะพี่เมฆ มันรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เห็นสัญลักษณ์ประหลาดตรงประตูที่อยู่ระหว่างทางเดินใต้ดินแล้วล่ะค่ะ"
พี่เมฆเดินเข้ามาจนถึงหน้าลูกกรง พรางลูบคางไปมาอย่างขบคิด สายตาของเขาก็เหลือบซ้ายแลขวาราวกับกำลังจะมองหาสิ่งผิดปกติในห้องใต้ดินนี้
แล้วผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง... ความผิดปกติที่ผมรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นกับตัวของพี่เมฆเอง
"พี่เมฆ...!" ผมเรียกเสียงดัง พี่เมฆหันขวับมามองหน้าผมทันที พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูง
ผมค่อยๆชี้ไปที่แขนและหน้าของพี่เมฆอย่างตื่นตะลึง "ระ..ร่างกายของพี่เมฆน่ะ ทำไมแทบจะไม่เหลือบาดแผลอะไรเลยล่ะครับ...?!"
แล้วพี่เมฆก็หัวเราะออกมา "ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้วไง ว่าบาดแผลแค่นั้นน่ะมันจิ๊บจ๊อย หนักกว่านี้พี่ก็เคยเจอมาแล้วนะน้องกิตติ ประสาอะไรกับแผลที่เกิดจากเล็บแมวข่วน ฮ่าๆๆ"
แต่ผมก็ยังอดทึ่งอดตะลึงกับร่างกายของพี่เมฆไม่ได้ เพราะในตอนค่ำที่พี่เมฆได้โดนพวกฝูงแมวหลายร้อยตัวเข้ารุมสกรัมนั้น ผมก็ยังจำได้ติดตาว่า ทั้งแขนทั้งหน้าของพี่เมฆเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะมากมายหลายแห่ง มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พี่เมฆจะฟื้นตัวได้เร็วแบบไฮสปีดอย่างนี้ ?
"ก็ริณบอกแล้ว..." ไอริณพูดยิ้มๆ "ว่าไม่แน่ว่าพี่เมฆอาจจะฟื้นตัวรักษาบาดแผลได้ในเวลาไม่เกินข้ามคืน นี่ก็เป็นอย่างที่ริณได้คาดไว้จริงๆ"
ผมมองพี่เมฆขึ้นๆลงๆอย่างอัศจรรย์ใจไม่สร่างซา รวมทั้งจันและสิงห์ในร่างของนุชที่ต่างก็ทำตาโตอย่างอัศจรรย์ใจเช่นกัน
"เอ่อ... ขอถามสักนิดนะครับ แฮะๆ" จันเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะเขินๆ "พี่เมฆใช้ยาอะไรทาแผลเหรอครับ ถ้ามันทาแล้วแผลหายเร็วปุ๊ปปั๊ปอย่างกะในหนังแล้ว ผมก็อยากจะไปหายาแบบนี้บ้าง เผื่อว่าผมเกิดมีแผลเหวอะขึ้นมาก็จะได้เอามาใช้กับตัวเองได้เลย และบางทีผมอาจจะเอากลับไปขายที่ลาวด้วย เพื่อทำกำไรสักนิดสักหน่อยน่ะครับ ? แฮะๆ"
"บร๊ะ...! " ผมอุทานพร้อมมองหน้าจัน "คิดได้ยังไงกันล่ะนี่จัน ?"
จันเกาหัวตัวเองอย่างเขินๆ "ก็... ก็มันน่าจะเป็นเพราะยาวิเศษไม่ใช่เหรอครับ ?"
พวกเราที่เหลือต่างมีสีหน้าขำๆจนเกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
"ยาที่พี่ใช้น่ะมันก็ดีอยู่..." พี่เมฆมองหน้าจันอย่างยิ้มๆ "แต่ยานั่นก็หาซื้อได้ทั่วๆไปตามร้านขายยา ส่วนการที่แผลของพี่หายเร็วขึ้น ก็เป็นเพราะพี่ทายาพร้อมกับใช้อาคมมนต์รักษาแผลที่พี่ได้ฝึกมาหลายปีประกอบด้วยต่างหาก หรือว่าจันอยากจะไปฝึกเรียนมนต์รักษาแผลกับพี่ดูสักสิบปีไม๊ล่ะ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเลิกยุ่งกับเมียก่อนนะ ไม่งั้นฝึกยังไงก็ไม่ได้ผล...?" ประโยคหลังดูเหมือนพี่เมฆจะแกล้งอำจันเล่น
"อั๊ยย่าาา....! " จันอุทาน "ถ้า...ถ้ามันจะยุ่งยากขนาดนั้น ผมก็บ๊ายบายดีกว่าครับ แฮะๆๆ"
แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมๆกัน
การที่ได้เห็นพี่เมฆโผล่มาช่วยพวกเราถึงในห้องใต้ดิน ดูเหมือนจะทำให้ความเครียดความตระหนกของพวกเราลดน้อยลงไปจนเกือบจะเป็นศูนย์
ครู่ต่อมาพี่เมฆก็ได้ใช้อาคมเปิดประตูลูกกรงปลดปล่อยให้พวกเรารอดพ้นจากการถูกจองจำอยู่ในกรงขังอันแข็งแกร่ง
เมื่อร่างของนุชที่มีวิญญาณของสิงห์สถิตอยู่ข้างในปรากฏแก่สายตาของพี่เมฆเต็มสองตาแล้ว พี่เมฆก็มีท่าทางที่ประหลาดใจกับการที่เพิ่งได้มารู้ว่า ร่างกายของนุชและร่างกายของสิงห์ได้ถูกนำมาเก็บไว้ในโลงศิลาน้ำแข็งที่อยู่ในห้องใต้ดินนี้ถึงเกือบสิบปีแล้ว
ถึงตอนนี้ ไอริณก็ได้ขอให้พี่เมฆช่วยคลายมนต์ที่ทำให้วิญญาณของสิงห์พูดอะไรก็ไม่มีเสียงแม้ว่าจะอยู่ในร่างของนุชก็ตาม
แต่ว่าเมื่อพี่เมฆได้ทดลองคลายมนต์ดูแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้สิงห์กลับมาพูดมีเสียงได้
พี่เมฆจึงลองใช้มนต์หลายๆแบบเพื่อหวังจะทำให้สิงห์กลับมามีเสียงพูดให้ได้ แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ มนต์ต่างๆที่พี่เมฆใช้กลับใช้ไม่ได้ผลกับสิงห์เลยทั้งสิ้น
แล้วความพิศวงสงสัยอย่างที่สุดก็ปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าของพี่เมฆอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเขาเห็นแล้วว่าการคลายมนต์ยังไม่มีแววว่าจะประสบความสำเร็จ เขาจึงขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อน
จากนั้นพี่เมฆได้เข้าไปสำรวจโลงศิลาน้ำแข็งที่เคยมีร่างของนุชนอนอยู่ และมีความเห็นว่านี่คือโลงศิลาน้ำแข็งแห่งพิมาลายาไม่ผิดแน่
และอีกครู่ต่อมาพวกเราทั้งหมดก็ได้มายืนอยู่รอบๆแท่นหรือโลงศิลาน้ำแข็งที่ยังมีร่างของสิงห์นอนหลับตาอยู่อย่างปราศจากวิญญาณ
พี่เมฆพิจารณมองร่างของสิงห์ในโลงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองสิงห์ในร่างนุชที่กำลังยืนมองร่างอันสงบนิ่งของตัวเองในโลงแก้ว
แล้วพี่เมฆก็หันมาสบตากับไอริณพร้อมกับมีสีเค้าหน้าแห่งความยุ่งยากลำบากใจ
"พี่เมฆคะ..." ไอริณเอ่ยขึ้น "ดูเหมือนพี่เมฆจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง ริณเดาว่าพี่เมฆกำลังคิดถึงเรื่องการโยกย้ายวิญญาณของสิงห์กลับเข้าร่างเดิมของเขาใช่ไม๊คะพี่เมฆ ?"
"ถูกแล้วน้องไอริณ แต่ว่า..." พี่เมฆส่ายหน้าเล็กน้อย "พี่ไม่คิดว่ามันจะได้ผล คงจะล้มเหลวเหมือนกับการที่จะให้เสียงของเขาคืนมา"
"ดูเหมือน มันจะมีอะไรพิศดารเกินกว่าที่พี่เมฆจะจัดการได้ใช่ไม๊คะ ?"
พี่เมฆถอนใจออกมา "เฮ้อ... พูดแล้วน่าอาย เอาเป็นว่าเวทมนต์อาคมตามตำราวิชาที่พี่ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์นั้น มันคงใช้ไม่ได้ผลกับสิงห์และนุชแน่ๆ และมันก็น่าแปลกใจว่า นังแมวผีนั่นมันได้ใช้วิธีใดที่ทำให้พี่แก้ไม่ได้กันนะ เพราะที่จริงพี่เองนั้น ก็ถือได้ว่ารู้จักนังแมวผีนั่นค่อนข้างดี พี่ไม่คิดว่ามันจะมีเวทมนต์อาคมเหนือพี่ไปได้หรอกนะ..."
ไอริณหันไปมองสิงห์ในร่างนุชที่กำลังยืนมองร่างของตัวเองในโลงอยู่อย่างตาล่ะห้อย ก่อนหันกลับไปพูดกับพี่เมฆ
"ริณว่าเรื่องนี้เราค่อยๆหาทางเอาทีหลังก็ได้มั้งคะพี่เมฆ...?"
พี่เมฆพยักหน้า "เอาล่ะ... ก็คงตามนั้น เอ่อ... แล้วก็อย่างที่พี่บอกตอนแรก ว่าพวกเราจะมามัวโอ้เอ้กันอยู่ในนี้ไม่ได้ด้วย..."
"หมายความว่า เราจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ใช่ไม๊คะ แสดงว่าพี่เมฆได้ข่าวใหม่มาหรือมีใครติดต่อพี่เมฆมาอีกใช่หรือเปล่าคะ ?"
"ถูกแล้วหนูไอริณ พี่เพิ่งจะได้รับการติดต่อทางจิตมาจากผู้ชายคนที่มีแผลเป็นเป็นรูปกากบาทที่แก้มซ้ายมาเมื่อตอนที่พี่กลับไปนั่งสมาธิร่ายมนต์รักษาแผลอยู่ที่ห้อง เขาบอกให้พวกเราถอยออกมาจากห้องใต้ดินให้เร็วที่สุดก่อนที่... ก่อนที่จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับห้องใต้ดิน...!"
ไอริณทำตาโต แล้วกระพริบตาปริบๆอย่างงงๆกับคำพูดของพี่เมฆ
"ริณ... ริณไม่เข้าใจค่ะ แล้วชายคนนั้นเขาพูดอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่าคะ ?"
ถึงตอนนี้พวกเราทั้งหมดต่างตั้งใจฟังสิ่งที่พี่เมฆพูด
"เขายังบอกอีกว่า..." พี่เมฆพูดช้าๆ "เจ้าคนที่มีดวงตาราวกับไฟนรกนั่น ได้กุญแจดอกสำคัญไปอีกหนึ่งดอกแล้ว...!"
กุญแจ....??!!
ผมกับไอริณหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วหันกลับไปมองพี่เมฆ
"กุญแจ... กุญแจอะไรกันคะพี่เมฆ ?" ไอริณเลิกคิ้วถาม
พี่เมฆส่ายหน้าช้าๆ "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเขาพูดถึงกุญแจอะไร ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในภาระกิจที่ทำให้เขาต้องติดตามเจ้าตาไฟไปยังอีกที่หนึ่ง และขณะที่เขากำลังจะอธิบายเรื่องกุญแจให้พี่ฟัง ก็พอดีเหมือนจะมีเหตุฉุกเฉินอะไรเกิดขึ้นกับเขาพอดี การติดต่อจึงขาดหายไปตั้งแต่ตอนนั้น จากนั้นพี่ก็ออกมาหาพวกน้องที่นี่เลย"
แล้วผมก็สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกว่ามีมือเย็นๆของใครมาจับมือข้างขวาของผมขึ้นมา
ผมหันขวับไป... เป็นสิงห์ในร่างนุชนั่นเอง ที่จับมือผมหงายขึ้น แล้วคนอื่นๆก็หันมามองเราสองคน
สิงห์ในร่างนุชมองสบตาไอริณกับพี่เมฆอยู่ชั่ววูบ แล้วก็เริ่มใช้นิ้วมือตัวเองเขียนบางสิ่งลงในมือข้างขวาของผม
ไอริณกระพริบตาปริบๆ "สิงห์... เธอกำลังจะบอกอะไรใช่ไหม ?" แล้วไอริณก็รีบบอกผม "พี่กิต ดูซิว่าสิงห์เขาเขียนอะไรบนมือพี่ ?"
"โธ่เอ๊ย... ดูไม่ทัน สิงห์ลองเขียนใหม่อีกทีซิ...!" ผมบอกสิงห์ เพราะนิ้วที่เขาเขียนบนมือของผมไม่ได้ปรากฏตัวหนังสือใดๆ ผมจึงต้องพยามสังเกตุจำด้วยตาของผมเอง
พอสิงห์ไล่นิ้วเขียนตัวหนังสือบนมือผมอีกรอบเสร็จ ผมก็จำได้ทันทีว่าเขาเขียนอะไร
"เขาเขียนว่า... 13 กุญแจ รวมกัน คนล้มตาย... ?!"
แล้วไอริณกับพี่เมฆก็เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นด้วยดวงตาอันตื่นตะลึง...!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้ครับ)
*'สืบสู้ผี (ภาค ผมอยู่ที่นี่มานานแล้ว)' กำลังใกล้จะจบภาคแล้วนะครับ หลังจากนั้นผมจะเริ่มภาคใหม่ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า 'สืบสู้ผี (ภาค 13 กุญแจเปิดนรก)' ก็อย่างที่ผมได้เคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ผมจะย้ายการผจญภัยของตัวละครในเรื่องนี้ไปยังอีกที่หนึ่ง(หรือหลายๆที่) และภาคใหม่นี้จะมีกุญแจสำคัญของเรื่องอยู่ที่กุญแจ 13 ดอก โปรดติดตามกันต่อไปนะครับ ว่ากุญแจทั้ง 13 ดอก คืออะไร ? และจะเปิดนรกยังไง ? การผจญภัยกับภัยอันตรายอันหลากหลายกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวละครชุดเดิมมากยิ่งขึ้นไปอีกนะครับ*
ปล. ตัวละครที่ชื่อเมฆา เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ผมได้ตัดสินใจ เขียนเรื่องของเขาแยกออกมาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้เขียนลงไว้ในเว็บนี้ไป 1 ตอนแล้ว ใครที่สนใจเรื่องราวของเขา โปรดเสิร์ชชื่อเรื่อง 'เสี่ยวปราบผี' ที่อยู่ในหมวดเดียวกันนี้ได้เลยครับ โดยเรื่องนี้ ผมจะเขียนให้เป็นซีรี่ส์ที่จบเป็นตอน แต่ก็มีความต่อเนื่องของเหตุการณ์เรื่องราวอยู่ในตัวด้วยครับ
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับ ^^
ผมหันไปมองหน้าไอริณพร้อมกับเลิกคิ้ว "นี่พี่เมฆคงได้จัดการกับพวกที่อยู่ข้างนอกนั่นหมดแล้วใช่หรือเปล่าน้องริณ แล้ว... แล้วพี่เมฆเองคงจะปลอดภัยดีใช่ไม๊... ?"
ไอริณยิ้มกริ่ม "อย่าได้ห่วงไปเลยจ้ะพี่กิต พวกภูติผีธรรมดาที่เป็นบริวารของพี่กุสุมานั่น ไม่ครณามือของพี่เมฆหรอกค่ะ"
"แต่ตอนนี้มันเงียบไปสักพักแล้วนะ แล้วเจ้าหุ่นพยนต์ตุ๊กแกนี่ก็ไม่เห็นเคลื่อนไหวอีก ?" ผมพูดพรางมองไปที่ตุ๊กแกยักษ์ที่ยังค้างแข็งอยู่กับที่
"บางทีพี่เมฆคงจะกำลังหาวิธีเปิดประตูห้องใต้ดินนี่อยู่ล่ะมั้งจ๊ะ..."
ไอริณพูดยังไม่ทันขาดคำดี ก็มีเสียงเหมือนประตูหน้าห้องใต้ดินกำลังถูกเปิดเสียงดังครืดๆขึ้นมาทันที
จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ได้เห็นพี่เมฆค่อยๆปรากฏร่างขึ้นมาท่ามกลางความสลัวในห้องใต้ดิน
"พี่เมฆครับ/คะ...!!' ผมกับไอริณส่งเสียงเรียกพร้อมกันอย่างดีใจ ส่วนจันกับสิงห์ในร่างนุชก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจด้วยเช่นกัน
พี่เมฆเดินเข้ามาหาเราอย่างเนิบๆด้วยรอยยิ้ม "ขอโทษที่พี่เข้ามาช้าไปนิด พี่รู้สึกพิศวงกับประตูทางเข้าห้องใต้ดินนี้นิดหน่อย คือมันมีอะไรแปลกๆอยู่น่ะ พี่ก็เลยลองสำรวจมันให้ละเอียด ก่อนจะร่ายอาคมเปิดประตูเข้ามา"
ผมรู้สึกแปลกใจกับการตั้งข้อสังเกตของพี่เมฆ เลยหันไปสบตากับไอริณอย่างงงๆ
"ที่จริง ริณก็รู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกันค่ะพี่เมฆ มันรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เห็นสัญลักษณ์ประหลาดตรงประตูที่อยู่ระหว่างทางเดินใต้ดินแล้วล่ะค่ะ"
พี่เมฆเดินเข้ามาจนถึงหน้าลูกกรง พรางลูบคางไปมาอย่างขบคิด สายตาของเขาก็เหลือบซ้ายแลขวาราวกับกำลังจะมองหาสิ่งผิดปกติในห้องใต้ดินนี้
แล้วผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง... ความผิดปกติที่ผมรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นกับตัวของพี่เมฆเอง
"พี่เมฆ...!" ผมเรียกเสียงดัง พี่เมฆหันขวับมามองหน้าผมทันที พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูง
ผมค่อยๆชี้ไปที่แขนและหน้าของพี่เมฆอย่างตื่นตะลึง "ระ..ร่างกายของพี่เมฆน่ะ ทำไมแทบจะไม่เหลือบาดแผลอะไรเลยล่ะครับ...?!"
แล้วพี่เมฆก็หัวเราะออกมา "ฮ่าๆๆ ก็บอกแล้วไง ว่าบาดแผลแค่นั้นน่ะมันจิ๊บจ๊อย หนักกว่านี้พี่ก็เคยเจอมาแล้วนะน้องกิตติ ประสาอะไรกับแผลที่เกิดจากเล็บแมวข่วน ฮ่าๆๆ"
แต่ผมก็ยังอดทึ่งอดตะลึงกับร่างกายของพี่เมฆไม่ได้ เพราะในตอนค่ำที่พี่เมฆได้โดนพวกฝูงแมวหลายร้อยตัวเข้ารุมสกรัมนั้น ผมก็ยังจำได้ติดตาว่า ทั้งแขนทั้งหน้าของพี่เมฆเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะมากมายหลายแห่ง มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พี่เมฆจะฟื้นตัวได้เร็วแบบไฮสปีดอย่างนี้ ?
"ก็ริณบอกแล้ว..." ไอริณพูดยิ้มๆ "ว่าไม่แน่ว่าพี่เมฆอาจจะฟื้นตัวรักษาบาดแผลได้ในเวลาไม่เกินข้ามคืน นี่ก็เป็นอย่างที่ริณได้คาดไว้จริงๆ"
ผมมองพี่เมฆขึ้นๆลงๆอย่างอัศจรรย์ใจไม่สร่างซา รวมทั้งจันและสิงห์ในร่างของนุชที่ต่างก็ทำตาโตอย่างอัศจรรย์ใจเช่นกัน
"เอ่อ... ขอถามสักนิดนะครับ แฮะๆ" จันเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะเขินๆ "พี่เมฆใช้ยาอะไรทาแผลเหรอครับ ถ้ามันทาแล้วแผลหายเร็วปุ๊ปปั๊ปอย่างกะในหนังแล้ว ผมก็อยากจะไปหายาแบบนี้บ้าง เผื่อว่าผมเกิดมีแผลเหวอะขึ้นมาก็จะได้เอามาใช้กับตัวเองได้เลย และบางทีผมอาจจะเอากลับไปขายที่ลาวด้วย เพื่อทำกำไรสักนิดสักหน่อยน่ะครับ ? แฮะๆ"
"บร๊ะ...! " ผมอุทานพร้อมมองหน้าจัน "คิดได้ยังไงกันล่ะนี่จัน ?"
จันเกาหัวตัวเองอย่างเขินๆ "ก็... ก็มันน่าจะเป็นเพราะยาวิเศษไม่ใช่เหรอครับ ?"
พวกเราที่เหลือต่างมีสีหน้าขำๆจนเกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
"ยาที่พี่ใช้น่ะมันก็ดีอยู่..." พี่เมฆมองหน้าจันอย่างยิ้มๆ "แต่ยานั่นก็หาซื้อได้ทั่วๆไปตามร้านขายยา ส่วนการที่แผลของพี่หายเร็วขึ้น ก็เป็นเพราะพี่ทายาพร้อมกับใช้อาคมมนต์รักษาแผลที่พี่ได้ฝึกมาหลายปีประกอบด้วยต่างหาก หรือว่าจันอยากจะไปฝึกเรียนมนต์รักษาแผลกับพี่ดูสักสิบปีไม๊ล่ะ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเลิกยุ่งกับเมียก่อนนะ ไม่งั้นฝึกยังไงก็ไม่ได้ผล...?" ประโยคหลังดูเหมือนพี่เมฆจะแกล้งอำจันเล่น
"อั๊ยย่าาา....! " จันอุทาน "ถ้า...ถ้ามันจะยุ่งยากขนาดนั้น ผมก็บ๊ายบายดีกว่าครับ แฮะๆๆ"
แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมๆกัน
การที่ได้เห็นพี่เมฆโผล่มาช่วยพวกเราถึงในห้องใต้ดิน ดูเหมือนจะทำให้ความเครียดความตระหนกของพวกเราลดน้อยลงไปจนเกือบจะเป็นศูนย์
ครู่ต่อมาพี่เมฆก็ได้ใช้อาคมเปิดประตูลูกกรงปลดปล่อยให้พวกเรารอดพ้นจากการถูกจองจำอยู่ในกรงขังอันแข็งแกร่ง
เมื่อร่างของนุชที่มีวิญญาณของสิงห์สถิตอยู่ข้างในปรากฏแก่สายตาของพี่เมฆเต็มสองตาแล้ว พี่เมฆก็มีท่าทางที่ประหลาดใจกับการที่เพิ่งได้มารู้ว่า ร่างกายของนุชและร่างกายของสิงห์ได้ถูกนำมาเก็บไว้ในโลงศิลาน้ำแข็งที่อยู่ในห้องใต้ดินนี้ถึงเกือบสิบปีแล้ว
ถึงตอนนี้ ไอริณก็ได้ขอให้พี่เมฆช่วยคลายมนต์ที่ทำให้วิญญาณของสิงห์พูดอะไรก็ไม่มีเสียงแม้ว่าจะอยู่ในร่างของนุชก็ตาม
แต่ว่าเมื่อพี่เมฆได้ทดลองคลายมนต์ดูแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้สิงห์กลับมาพูดมีเสียงได้
พี่เมฆจึงลองใช้มนต์หลายๆแบบเพื่อหวังจะทำให้สิงห์กลับมามีเสียงพูดให้ได้ แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ มนต์ต่างๆที่พี่เมฆใช้กลับใช้ไม่ได้ผลกับสิงห์เลยทั้งสิ้น
แล้วความพิศวงสงสัยอย่างที่สุดก็ปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าของพี่เมฆอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเขาเห็นแล้วว่าการคลายมนต์ยังไม่มีแววว่าจะประสบความสำเร็จ เขาจึงขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อน
จากนั้นพี่เมฆได้เข้าไปสำรวจโลงศิลาน้ำแข็งที่เคยมีร่างของนุชนอนอยู่ และมีความเห็นว่านี่คือโลงศิลาน้ำแข็งแห่งพิมาลายาไม่ผิดแน่
และอีกครู่ต่อมาพวกเราทั้งหมดก็ได้มายืนอยู่รอบๆแท่นหรือโลงศิลาน้ำแข็งที่ยังมีร่างของสิงห์นอนหลับตาอยู่อย่างปราศจากวิญญาณ
พี่เมฆพิจารณมองร่างของสิงห์ในโลงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองสิงห์ในร่างนุชที่กำลังยืนมองร่างอันสงบนิ่งของตัวเองในโลงแก้ว
แล้วพี่เมฆก็หันมาสบตากับไอริณพร้อมกับมีสีเค้าหน้าแห่งความยุ่งยากลำบากใจ
"พี่เมฆคะ..." ไอริณเอ่ยขึ้น "ดูเหมือนพี่เมฆจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง ริณเดาว่าพี่เมฆกำลังคิดถึงเรื่องการโยกย้ายวิญญาณของสิงห์กลับเข้าร่างเดิมของเขาใช่ไม๊คะพี่เมฆ ?"
"ถูกแล้วน้องไอริณ แต่ว่า..." พี่เมฆส่ายหน้าเล็กน้อย "พี่ไม่คิดว่ามันจะได้ผล คงจะล้มเหลวเหมือนกับการที่จะให้เสียงของเขาคืนมา"
"ดูเหมือน มันจะมีอะไรพิศดารเกินกว่าที่พี่เมฆจะจัดการได้ใช่ไม๊คะ ?"
พี่เมฆถอนใจออกมา "เฮ้อ... พูดแล้วน่าอาย เอาเป็นว่าเวทมนต์อาคมตามตำราวิชาที่พี่ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์นั้น มันคงใช้ไม่ได้ผลกับสิงห์และนุชแน่ๆ และมันก็น่าแปลกใจว่า นังแมวผีนั่นมันได้ใช้วิธีใดที่ทำให้พี่แก้ไม่ได้กันนะ เพราะที่จริงพี่เองนั้น ก็ถือได้ว่ารู้จักนังแมวผีนั่นค่อนข้างดี พี่ไม่คิดว่ามันจะมีเวทมนต์อาคมเหนือพี่ไปได้หรอกนะ..."
ไอริณหันไปมองสิงห์ในร่างนุชที่กำลังยืนมองร่างของตัวเองในโลงอยู่อย่างตาล่ะห้อย ก่อนหันกลับไปพูดกับพี่เมฆ
"ริณว่าเรื่องนี้เราค่อยๆหาทางเอาทีหลังก็ได้มั้งคะพี่เมฆ...?"
พี่เมฆพยักหน้า "เอาล่ะ... ก็คงตามนั้น เอ่อ... แล้วก็อย่างที่พี่บอกตอนแรก ว่าพวกเราจะมามัวโอ้เอ้กันอยู่ในนี้ไม่ได้ด้วย..."
"หมายความว่า เราจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ใช่ไม๊คะ แสดงว่าพี่เมฆได้ข่าวใหม่มาหรือมีใครติดต่อพี่เมฆมาอีกใช่หรือเปล่าคะ ?"
"ถูกแล้วหนูไอริณ พี่เพิ่งจะได้รับการติดต่อทางจิตมาจากผู้ชายคนที่มีแผลเป็นเป็นรูปกากบาทที่แก้มซ้ายมาเมื่อตอนที่พี่กลับไปนั่งสมาธิร่ายมนต์รักษาแผลอยู่ที่ห้อง เขาบอกให้พวกเราถอยออกมาจากห้องใต้ดินให้เร็วที่สุดก่อนที่... ก่อนที่จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับห้องใต้ดิน...!"
ไอริณทำตาโต แล้วกระพริบตาปริบๆอย่างงงๆกับคำพูดของพี่เมฆ
"ริณ... ริณไม่เข้าใจค่ะ แล้วชายคนนั้นเขาพูดอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่าคะ ?"
ถึงตอนนี้พวกเราทั้งหมดต่างตั้งใจฟังสิ่งที่พี่เมฆพูด
"เขายังบอกอีกว่า..." พี่เมฆพูดช้าๆ "เจ้าคนที่มีดวงตาราวกับไฟนรกนั่น ได้กุญแจดอกสำคัญไปอีกหนึ่งดอกแล้ว...!"
กุญแจ....??!!
ผมกับไอริณหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วหันกลับไปมองพี่เมฆ
"กุญแจ... กุญแจอะไรกันคะพี่เมฆ ?" ไอริณเลิกคิ้วถาม
พี่เมฆส่ายหน้าช้าๆ "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเขาพูดถึงกุญแจอะไร ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในภาระกิจที่ทำให้เขาต้องติดตามเจ้าตาไฟไปยังอีกที่หนึ่ง และขณะที่เขากำลังจะอธิบายเรื่องกุญแจให้พี่ฟัง ก็พอดีเหมือนจะมีเหตุฉุกเฉินอะไรเกิดขึ้นกับเขาพอดี การติดต่อจึงขาดหายไปตั้งแต่ตอนนั้น จากนั้นพี่ก็ออกมาหาพวกน้องที่นี่เลย"
แล้วผมก็สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกว่ามีมือเย็นๆของใครมาจับมือข้างขวาของผมขึ้นมา
ผมหันขวับไป... เป็นสิงห์ในร่างนุชนั่นเอง ที่จับมือผมหงายขึ้น แล้วคนอื่นๆก็หันมามองเราสองคน
สิงห์ในร่างนุชมองสบตาไอริณกับพี่เมฆอยู่ชั่ววูบ แล้วก็เริ่มใช้นิ้วมือตัวเองเขียนบางสิ่งลงในมือข้างขวาของผม
ไอริณกระพริบตาปริบๆ "สิงห์... เธอกำลังจะบอกอะไรใช่ไหม ?" แล้วไอริณก็รีบบอกผม "พี่กิต ดูซิว่าสิงห์เขาเขียนอะไรบนมือพี่ ?"
"โธ่เอ๊ย... ดูไม่ทัน สิงห์ลองเขียนใหม่อีกทีซิ...!" ผมบอกสิงห์ เพราะนิ้วที่เขาเขียนบนมือของผมไม่ได้ปรากฏตัวหนังสือใดๆ ผมจึงต้องพยามสังเกตุจำด้วยตาของผมเอง
พอสิงห์ไล่นิ้วเขียนตัวหนังสือบนมือผมอีกรอบเสร็จ ผมก็จำได้ทันทีว่าเขาเขียนอะไร
"เขาเขียนว่า... 13 กุญแจ รวมกัน คนล้มตาย... ?!"
แล้วไอริณกับพี่เมฆก็เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นด้วยดวงตาอันตื่นตะลึง...!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้ครับ)
*'สืบสู้ผี (ภาค ผมอยู่ที่นี่มานานแล้ว)' กำลังใกล้จะจบภาคแล้วนะครับ หลังจากนั้นผมจะเริ่มภาคใหม่ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า 'สืบสู้ผี (ภาค 13 กุญแจเปิดนรก)' ก็อย่างที่ผมได้เคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ผมจะย้ายการผจญภัยของตัวละครในเรื่องนี้ไปยังอีกที่หนึ่ง(หรือหลายๆที่) และภาคใหม่นี้จะมีกุญแจสำคัญของเรื่องอยู่ที่กุญแจ 13 ดอก โปรดติดตามกันต่อไปนะครับ ว่ากุญแจทั้ง 13 ดอก คืออะไร ? และจะเปิดนรกยังไง ? การผจญภัยกับภัยอันตรายอันหลากหลายกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวละครชุดเดิมมากยิ่งขึ้นไปอีกนะครับ*
ปล. ตัวละครที่ชื่อเมฆา เป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่ผมได้ตัดสินใจ เขียนเรื่องของเขาแยกออกมาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้เขียนลงไว้ในเว็บนี้ไป 1 ตอนแล้ว ใครที่สนใจเรื่องราวของเขา โปรดเสิร์ชชื่อเรื่อง 'เสี่ยวปราบผี' ที่อยู่ในหมวดเดียวกันนี้ได้เลยครับ โดยเรื่องนี้ ผมจะเขียนให้เป็นซีรี่ส์ที่จบเป็นตอน แต่ก็มีความต่อเนื่องของเหตุการณ์เรื่องราวอยู่ในตัวด้วยครับ
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะครับ ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ