ตลกร้ายใต้สะดือ
9.7
เขียนโดย Jalando
วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.03 น.
45 ตอน
9 วิจารณ์
52.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2562 15.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) คำถามของลุงขี้เมา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 18 คำถามของลุงขี้เมา
“ แฮ่กๆ…..”
เสียงหอบเหนื่อยของสองหนุ่มสาวดังถี่ แต่ทั้งคู่พยายามจะปลดปล่อยเสียงออกมาให้เบาที่สุด เพราะไม่อยากให้นายโมทย์ซึ่งนั่งรออยู่นอกห้องผิดสังเกต
บุญกอบเอนหลังพิงกำแพง คอล่ำสันเงยสูง เพื่อให้ใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อรับลมเย็นซึ่งลอยอยู่เบื้องบน ส่วนสาวขิมได้แต่นั่งพับเพียบ คอตกลงกับพื้น คราบขาวขุ่นไหลออกมาจากปากหนาๆของสาวเจ้าอยู่เป็นระยะ ก่อนจะหยดย้อยลงสู่พื้นในเวลาต่อมา
หลังจากสบายตัวไปหนึ่งยก ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็กลับมาเยือนจิตใจของหนุ่มอีสานร่างล่ำ มันทำให้เขานึกหวาดกลัวเอามากๆ
“ น้องขิมจะเอาผิดเรารึเปล่านะ เพราะไม่ว่ามองมุมไหน เมื่อกี้มันเป็นการข่มขืนกันชัดๆ ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น บุญกอบจึงแอบมองสาวขิมที่นั่งสิ้นท่าอยู่บนพื้นห้อง เพื่อดูปฏิกิริยาของสาวผู้เกือบจะสวย แต่เธอกลับเอาแต่ก้มหน้า สองมือก็ปาดป่ายคราบสกปรกที่เปรอะเปื้อนตรงบริเวณปากและคางของตนเอง
“ เอ่อ….อ่า….”
บุญกอบเกิดความรู้สึกอยากขอโทษอย่างรุนแรง เพราะอุบัติเหตุเมื่อครู่ มันเกิดจากตัณหาหน้ามืดที่จู่ๆก็ทะลักออกมาจากจิตใต้สำนึกที่ซ่อนเร้น กระนั้นเขาก็พูดไม่ออกซักคำ คล้ายมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ เขาจึงทำได้แค่แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินจากไป
ทันทีที่บุญกอบออกมาจากห้องลองเสื้อ เขาก็พบกับนายโมทย์ที่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ไม้ด้านหน้า สีหน้าของเพื่อนซี้ผิวหมึกดูจะฉายแววฉงนสงสัยอยู่ไม่น้อย มันทำให้บุญกอบร้อนตัวจนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ ทำไมมองกูแบบนั้น มีอะไรหรือวะ ”
นายโมทย์เลิกคิ้วสูงขึ้นมานิดหนึ่ง เขาพินิจพิจารณาบุญกอบอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบกลับด้วยเสียงที่ฉายแววฉงน
“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่นึกสงสัยว่าในห้องลองเสื้อมันร้อนมากนักหรือ มึงถึงได้เหงื่อโชกซะขนาดนั้น แถมหน้าตาก็ดูซีดเซียวยังไงชอบกล ”
บุญกอบแอะไม่ออก แม้เขาจะเป็นคนที่มีรูปร่างแข็งแรงตามแบบฉบับชาวต่างจังหวัดที่ถนัดงานใช้กำลัง แต่เขาก็ไม่มีสกิลในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและเจรจาความ เขาจึงได้แต่อึกอักอยู่อย่างนั้น
“ เอ่อ…อ่า…..”
นายโมทย์อึดอัดกับท่าทางที่มีพิรุธของเพื่อนซี้เป็นอันมาก แต่ก่อนที่นายโมทย์จะนึกสงสัยไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงเย็นๆของหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง
“ อากาศในห้องนี้ค่อนข้างร้อน และการเสียเหงื่อมากก็ทำให้หน้าซีดได้ง่าย ”
สองหนุ่มหันมองไปยังเจ้าของเสียงเป็นตาเดียวกัน พวกเขาจึงพบว่าเจ้าของถ้อยวาจานี้ก็คือ….สาวขิม สาวน้อยหน้านิ่ง ผู้เงียบขรึม
คำตอบของสาวขิม ทำให้สองหนุ่มแดนอีสานถึงกลับนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ และเมื่อนายโมทย์เริ่มตั้งหลักได้ เขาจึงพยักหน้ารับคำ
“ ครับ ก็น่าจะเป็นแบบนั้น ”
ทั้งสามนิ่งเงียบไปนาน บรรยากาศโดยรอบมันเหมือนกับการเกิดสูญญากาศที่มองไม่เห็น และเมื่อความอึดอัดกัดกินจิตใจถึงขีดสุด สองหนุ่มก็กล่าวอำลาสาวขิมโดยพลัน
“ เอาล่ะ จบเรื่องแล้ว ขอบใจมากนะ น้องขิม ”
สาวหน้านิ่งไม่ตอบคำใด เธอเพียงแต่พยักหน้ารับคำแบบเงียบๆ จากนั้นก็หมุนกายเข้าไปในเคาน์เตอร์ เพื่อเตรียมทำงานที่คั่งค้างต่อไป
………………….
หลังจากวันนั้น บุญกอบก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคารหรูแห่งนั้นโดยสมบูรณ์ เขาทำหน้าที่เป็น ร.ป.ภ.ที่ปากทางเข้า มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เขาได้พบปะพูดคุยกับสาวเสิร์ฟแสนสวยในชุดกี่เพ้าหลายคน แต่ละนางล้วนเยาว์วัยและทรงสัดส่วนสมบูรณ์ แถมหน้าตาก็สะสวยราวนางฟ้านางสวรรค์ มันทำให้เขาถึงกลับแอบเก็บไปฝันในยามที่เปลี่ยวเหงา แต่ที่สุดของที่สุดของสาวงาม เห็นจะไม่พ้น…..น้องเฟิร์น
น้องเฟิร์นเป็นเด็กสาววัย 18 ปีที่น่าจะสวยที่สุดในร้าน ไม่ว่าจะเป็นทรวดทรงองค์เอวหรือหน้าตา ล้วนเข้าขั้นสุดยอดจนแทบหาตัวจับยาก และจากการสืบโดยละเอียด บุญกอบจึงได้รู้ว่าสาวสวยนางนี้กำลังเรียนมหาลัยปี 1 ของมหาลัยชั้นนำของประเทศ แถมเจ้าหล่อนยังมีมีแฟนเป็นนักร้องหนุ่มที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของวงการเพลงอีกต่างหาก
ด้วยดีกรีที่ห่างกันถึง 13 ชั่วโคตร บุญกอบจึงทำได้เพียง…..เก็บภาพสาวสวยไว้ในสมองและสำเร็จโทษตัวเองในยามที่กลัดมัน
ถึงชีวิตของบุญกอบจะดูรันทด ทว่ามันก็ไม่แย่ซะทีเดียว เพราะผู้จัดการสาวสวยมักจะเรียกบุญกอบไปพบในห้องอยู่บ่อยครั้ง กะคร่าวๆน่าจะประมาณอาทิตย์ละสองครั้ง และแต่ละครั้งก็กินเวลายาวนานถึงชั่วโมงเต็มๆ ไม่ต้องขยายความ ก็น่าจะรู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน
แต่พอนานวันไป บุญกอบก็เริ่มเบื่อไปโดยปริยาย เขาต้องการที่จะเสพในสิ่งใหม่ๆที่สดและใสกว่าสาววัยสะคราญอย่างผู้จัดการคนสวย
มีอยู่บ่อยครั้งที่เขาอยากย้อนกลับไปเสพสวาทกับสาวขิม เพราะเขาคาดหมายว่าสาวขิมน่าจะยังสดอยู่แน่นอน และถึงแม้เจ้าหล่อนจะไม่ใช่คนสะสวยอะไร ทว่าเธอก็มีดีที่ทรวดทรงซึ่งไม่เป็นรองใคร แต่พอเขากำลังจะก้าวเข้าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์เพื่อสานสัมพันธ์ เขาก็กลับเกิดอาการปอดลอยทุกครั้งไป
“ ว้า…..เราไม่กล้าไปหาน้องขิม เรากลัวว่าน้องเขาจะเอาเรื่อง ถ้าเผลอไปรุ่มร่ามกับน้องขิม ”
นี่คือความกลัวที่ทำให้บุญกอบรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาต้องออกมานั่งกลุ้มอยู่บนม้านั่งหินหน้าห้องพักของตัวเองในวันหยุด
เขานั่งเท้าคางอยู่นานเป็นชั่วโมง ในใจนึกทอดอาลัยในวาสนาของตัวเอง
“ เฮ้อๆ……ทำไมเราไม่เกิดมาหล่อ รวยกับเขาบ้างนา….”
เหตุที่บุญกอบฉายเดี่ยวแบบนี้ เพราะนายโมทย์ ผู้เป็นเพื่อนซี้ยังคงทำงานอยู่ แถมในเวลานี้เขายังได้แยกออกมาเช่าห้องอยู่คนเดียวอีกต่างหาก ดังนั้นเขาจึงตกเป็นเหยื่อของความเปลี่ยวเหงาได้โดยง่าย
บุญกอบนั่งหน้าเศร้าอยู่บนโต๊ะหินอ่อนอยู่นาน จนตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้า เขาจึงได้ยินเสียงร้องทักที่แตกพร่า
“ อ้าว….ไอ้น้อง เอ็งมาทำหน้าหงอยแถวนี้ทำไมวะ ”
บุญกอบหันกลับไปมองเจ้าของเสียงระคายหู เขาก็พบกับคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้เป็นชายสูงวัยร่างเล็กที่ไว้ผมสั้นเกรียนติดหนังหัว บนร่างกายผอมเกร็งสวมใส่เสื้อยืดสีน้ำตาลที่ดูสกปรก ท่อนล่างสวมกางเกงยีนส์ขาดเก่า สองเท้าด่างดำห่อหุ้มด้วยรองเท้าแตะราคาถูก
บุญกอบมองแวบเดียวก็รู้เลยว่าชายผู้นี้น่าจะเมาล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะใบหน้าหยาบกร้านและเหี่ยวย่นของเขาเริ่มแดงก่ำ ดวงตาดูปรือลอย แถมกายยังเอนไปเอนมาแบบคนที่กำลังเสียศูนย์สมดุล หลักฐานที่ยืนยันสมมุติฐานซึ่งชัดเจนที่สุดก็คือ……ขวดเหล้าขาวที่อยู่ในมือของชายสูงวัย
“ อ้าว ลุง หวัดดีครับ เมาตั้งแต่ยังไม่มืดเลยนะ ” บุญกอบยกมือไหว้ด้วยมารยาทอันดีตามแบบฉบับของคนต่างจังหวัด
“ เหอ เหอ เหอ สำหรับข้า เมาได้ทุกวันทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องรอให้มืดก่อนหรอกโว้ย เฮือก…. ” ชายสูงวัยพูดจบก็เรอเฮือกใหญ่จนกลิ่นละมุดปลิวว่อน
“ อื้อหือ กลิ่นสุดยอด กินขี้เป็นอาหารรึไงนะ ตาแก่คนนี้ ” บุญกอบทำจมูกย่น ในใจนึกตำหนิ แต่ไม่กล้าปริปากบ่น
บุญกอบนึกรังเกียจชายสูงวัยคนนี้จับจิตจับใจ แต่ชายผู้นี้กลับไม่จากไปตามที่เขาคาดหวัง มิหนำซ้ำยังถลาไปนั่งม้าหินฝั่งตรงข้ามกับเขา ปิดท้ายด้วยการปล่อยกลิ่นละมุดอีกรอบด้วยการเรออีกครั้ง
“ เฮือก…..”
“ ฮึ่ม…ชักไม่ไหวแล้ว มาเรอใส่หน้ากันอยู่ได้ ถ้าทำอีกที มีเตะคนแก่แน่ ” บุญกอบย่นจมูกอีกคำรบ สองมือกำแน่นเป็นเชิงแค้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ตื้บคนแก่สมใจหวัง ชายสูงวัยผู้นั้นก็เริ่มเอ่ยคำ
“ ลุงเห็นเอ็งมานั่งที่นี่นานแล้ว เอ็งมีปัญหาเรื่องสาวๆหรือไงฟะ…..เฮือก ”
วาจาของชายสูงวัยเตะหัวใจของบุญกอบเข้าอย่างจัง มันตรงซะจนทำให้บุญกอบถึงกลับอึ้งกิมกี่ในบัดดล และเมื่อเขาคลายตัวจากอาการงง เขาก็โวยดัง
“ เฮ้ย ลุงรู้ได้ไงวะ ใครบอกลุง ”
ลุงขี้เมายิ้มกริ่ม ชั่วครู่เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆและกล่าวต่อไปด้วยท่วงท่าที่ดูใจเย็น
“ หึ หึ หึ ไม่มีใครบอกกูหรอก ไอ้หนู แค่เห็นท่าทางของมึง กูก็รู้แล้วว่ามึงกำลังเครียดเรื่องผู้หญิง มึงอยากระบายอะไรให้กูฟังมั้ย ”
บุญกอบเหล่มองลุงขี้เมาด้วยหางตา เขาแสดงท่าทางรังเกียจคู่สนทนาออกมาอย่างชัดเจน เพราะจากการที่เขามาอยู่ห้องพักนี้ได้ประมาณสามเดือน เขาไม่เคยเห็นชายสูงวัยผู้นี้ทำอะไร นอกเสียจากเมา เมา และก็เมา ครอบครัวที่บ้านเกิดของเขา มักจะประณามคนแบบนี้ว่าเป็นภาระของสังคมที่ไม่ควรให้ความสนใจ ดังนั้นเขาจึงตอบสนองลุงขี้เมานายนี้ด้วยการบอกปัด
“ ไม่เอาหรอก ลุงมีอะไรจะทำ ก็ทำไป ชั้นอยากอยู่คนเดียว ”
แม้จะโดนไล่ทางอ้อม ลุงขี้เมาก็ยังดื้อแพ่งที่จะนั่งอยู่กับที่ แถมยังเปิดฝาขวดเหล้าขาวในมือขึ้นมาเพื่อกระดกดื่มอึกใหญ่
“ อึกๆ…..เฮือก ”
กลิ่นละมุดที่เหม็นราวหมาเน่าล้านตัวกระจายไปทั่วบริเวณ ด้วยการรุกรานอย่างไม่ตั้งใจ (มั้งนะ) ของชายสูงวัย ส่งผลให้บุญกอบตบะแตกในทันที
“ ลุง….ชั้นบอกว่าอยากอยู่คนเดียวไง ไปให้พ้นซะเดียวนี้ ก่อนที่ชั้นจะเตะลุง เข้าใจมั้ย ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter
“ แฮ่กๆ…..”
เสียงหอบเหนื่อยของสองหนุ่มสาวดังถี่ แต่ทั้งคู่พยายามจะปลดปล่อยเสียงออกมาให้เบาที่สุด เพราะไม่อยากให้นายโมทย์ซึ่งนั่งรออยู่นอกห้องผิดสังเกต
บุญกอบเอนหลังพิงกำแพง คอล่ำสันเงยสูง เพื่อให้ใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อรับลมเย็นซึ่งลอยอยู่เบื้องบน ส่วนสาวขิมได้แต่นั่งพับเพียบ คอตกลงกับพื้น คราบขาวขุ่นไหลออกมาจากปากหนาๆของสาวเจ้าอยู่เป็นระยะ ก่อนจะหยดย้อยลงสู่พื้นในเวลาต่อมา
หลังจากสบายตัวไปหนึ่งยก ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็กลับมาเยือนจิตใจของหนุ่มอีสานร่างล่ำ มันทำให้เขานึกหวาดกลัวเอามากๆ
“ น้องขิมจะเอาผิดเรารึเปล่านะ เพราะไม่ว่ามองมุมไหน เมื่อกี้มันเป็นการข่มขืนกันชัดๆ ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น บุญกอบจึงแอบมองสาวขิมที่นั่งสิ้นท่าอยู่บนพื้นห้อง เพื่อดูปฏิกิริยาของสาวผู้เกือบจะสวย แต่เธอกลับเอาแต่ก้มหน้า สองมือก็ปาดป่ายคราบสกปรกที่เปรอะเปื้อนตรงบริเวณปากและคางของตนเอง
“ เอ่อ….อ่า….”
บุญกอบเกิดความรู้สึกอยากขอโทษอย่างรุนแรง เพราะอุบัติเหตุเมื่อครู่ มันเกิดจากตัณหาหน้ามืดที่จู่ๆก็ทะลักออกมาจากจิตใต้สำนึกที่ซ่อนเร้น กระนั้นเขาก็พูดไม่ออกซักคำ คล้ายมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ เขาจึงทำได้แค่แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินจากไป
ทันทีที่บุญกอบออกมาจากห้องลองเสื้อ เขาก็พบกับนายโมทย์ที่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ไม้ด้านหน้า สีหน้าของเพื่อนซี้ผิวหมึกดูจะฉายแววฉงนสงสัยอยู่ไม่น้อย มันทำให้บุญกอบร้อนตัวจนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ ทำไมมองกูแบบนั้น มีอะไรหรือวะ ”
นายโมทย์เลิกคิ้วสูงขึ้นมานิดหนึ่ง เขาพินิจพิจารณาบุญกอบอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบกลับด้วยเสียงที่ฉายแววฉงน
“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่นึกสงสัยว่าในห้องลองเสื้อมันร้อนมากนักหรือ มึงถึงได้เหงื่อโชกซะขนาดนั้น แถมหน้าตาก็ดูซีดเซียวยังไงชอบกล ”
บุญกอบแอะไม่ออก แม้เขาจะเป็นคนที่มีรูปร่างแข็งแรงตามแบบฉบับชาวต่างจังหวัดที่ถนัดงานใช้กำลัง แต่เขาก็ไม่มีสกิลในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและเจรจาความ เขาจึงได้แต่อึกอักอยู่อย่างนั้น
“ เอ่อ…อ่า…..”
นายโมทย์อึดอัดกับท่าทางที่มีพิรุธของเพื่อนซี้เป็นอันมาก แต่ก่อนที่นายโมทย์จะนึกสงสัยไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงเย็นๆของหญิงสาวดังมาจากด้านหลัง
“ อากาศในห้องนี้ค่อนข้างร้อน และการเสียเหงื่อมากก็ทำให้หน้าซีดได้ง่าย ”
สองหนุ่มหันมองไปยังเจ้าของเสียงเป็นตาเดียวกัน พวกเขาจึงพบว่าเจ้าของถ้อยวาจานี้ก็คือ….สาวขิม สาวน้อยหน้านิ่ง ผู้เงียบขรึม
คำตอบของสาวขิม ทำให้สองหนุ่มแดนอีสานถึงกลับนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ และเมื่อนายโมทย์เริ่มตั้งหลักได้ เขาจึงพยักหน้ารับคำ
“ ครับ ก็น่าจะเป็นแบบนั้น ”
ทั้งสามนิ่งเงียบไปนาน บรรยากาศโดยรอบมันเหมือนกับการเกิดสูญญากาศที่มองไม่เห็น และเมื่อความอึดอัดกัดกินจิตใจถึงขีดสุด สองหนุ่มก็กล่าวอำลาสาวขิมโดยพลัน
“ เอาล่ะ จบเรื่องแล้ว ขอบใจมากนะ น้องขิม ”
สาวหน้านิ่งไม่ตอบคำใด เธอเพียงแต่พยักหน้ารับคำแบบเงียบๆ จากนั้นก็หมุนกายเข้าไปในเคาน์เตอร์ เพื่อเตรียมทำงานที่คั่งค้างต่อไป
………………….
หลังจากวันนั้น บุญกอบก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคารหรูแห่งนั้นโดยสมบูรณ์ เขาทำหน้าที่เป็น ร.ป.ภ.ที่ปากทางเข้า มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เขาได้พบปะพูดคุยกับสาวเสิร์ฟแสนสวยในชุดกี่เพ้าหลายคน แต่ละนางล้วนเยาว์วัยและทรงสัดส่วนสมบูรณ์ แถมหน้าตาก็สะสวยราวนางฟ้านางสวรรค์ มันทำให้เขาถึงกลับแอบเก็บไปฝันในยามที่เปลี่ยวเหงา แต่ที่สุดของที่สุดของสาวงาม เห็นจะไม่พ้น…..น้องเฟิร์น
น้องเฟิร์นเป็นเด็กสาววัย 18 ปีที่น่าจะสวยที่สุดในร้าน ไม่ว่าจะเป็นทรวดทรงองค์เอวหรือหน้าตา ล้วนเข้าขั้นสุดยอดจนแทบหาตัวจับยาก และจากการสืบโดยละเอียด บุญกอบจึงได้รู้ว่าสาวสวยนางนี้กำลังเรียนมหาลัยปี 1 ของมหาลัยชั้นนำของประเทศ แถมเจ้าหล่อนยังมีมีแฟนเป็นนักร้องหนุ่มที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของวงการเพลงอีกต่างหาก
ด้วยดีกรีที่ห่างกันถึง 13 ชั่วโคตร บุญกอบจึงทำได้เพียง…..เก็บภาพสาวสวยไว้ในสมองและสำเร็จโทษตัวเองในยามที่กลัดมัน
ถึงชีวิตของบุญกอบจะดูรันทด ทว่ามันก็ไม่แย่ซะทีเดียว เพราะผู้จัดการสาวสวยมักจะเรียกบุญกอบไปพบในห้องอยู่บ่อยครั้ง กะคร่าวๆน่าจะประมาณอาทิตย์ละสองครั้ง และแต่ละครั้งก็กินเวลายาวนานถึงชั่วโมงเต็มๆ ไม่ต้องขยายความ ก็น่าจะรู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน
แต่พอนานวันไป บุญกอบก็เริ่มเบื่อไปโดยปริยาย เขาต้องการที่จะเสพในสิ่งใหม่ๆที่สดและใสกว่าสาววัยสะคราญอย่างผู้จัดการคนสวย
มีอยู่บ่อยครั้งที่เขาอยากย้อนกลับไปเสพสวาทกับสาวขิม เพราะเขาคาดหมายว่าสาวขิมน่าจะยังสดอยู่แน่นอน และถึงแม้เจ้าหล่อนจะไม่ใช่คนสะสวยอะไร ทว่าเธอก็มีดีที่ทรวดทรงซึ่งไม่เป็นรองใคร แต่พอเขากำลังจะก้าวเข้าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์เพื่อสานสัมพันธ์ เขาก็กลับเกิดอาการปอดลอยทุกครั้งไป
“ ว้า…..เราไม่กล้าไปหาน้องขิม เรากลัวว่าน้องเขาจะเอาเรื่อง ถ้าเผลอไปรุ่มร่ามกับน้องขิม ”
นี่คือความกลัวที่ทำให้บุญกอบรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาต้องออกมานั่งกลุ้มอยู่บนม้านั่งหินหน้าห้องพักของตัวเองในวันหยุด
เขานั่งเท้าคางอยู่นานเป็นชั่วโมง ในใจนึกทอดอาลัยในวาสนาของตัวเอง
“ เฮ้อๆ……ทำไมเราไม่เกิดมาหล่อ รวยกับเขาบ้างนา….”
เหตุที่บุญกอบฉายเดี่ยวแบบนี้ เพราะนายโมทย์ ผู้เป็นเพื่อนซี้ยังคงทำงานอยู่ แถมในเวลานี้เขายังได้แยกออกมาเช่าห้องอยู่คนเดียวอีกต่างหาก ดังนั้นเขาจึงตกเป็นเหยื่อของความเปลี่ยวเหงาได้โดยง่าย
บุญกอบนั่งหน้าเศร้าอยู่บนโต๊ะหินอ่อนอยู่นาน จนตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้า เขาจึงได้ยินเสียงร้องทักที่แตกพร่า
“ อ้าว….ไอ้น้อง เอ็งมาทำหน้าหงอยแถวนี้ทำไมวะ ”
บุญกอบหันกลับไปมองเจ้าของเสียงระคายหู เขาก็พบกับคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้เป็นชายสูงวัยร่างเล็กที่ไว้ผมสั้นเกรียนติดหนังหัว บนร่างกายผอมเกร็งสวมใส่เสื้อยืดสีน้ำตาลที่ดูสกปรก ท่อนล่างสวมกางเกงยีนส์ขาดเก่า สองเท้าด่างดำห่อหุ้มด้วยรองเท้าแตะราคาถูก
บุญกอบมองแวบเดียวก็รู้เลยว่าชายผู้นี้น่าจะเมาล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะใบหน้าหยาบกร้านและเหี่ยวย่นของเขาเริ่มแดงก่ำ ดวงตาดูปรือลอย แถมกายยังเอนไปเอนมาแบบคนที่กำลังเสียศูนย์สมดุล หลักฐานที่ยืนยันสมมุติฐานซึ่งชัดเจนที่สุดก็คือ……ขวดเหล้าขาวที่อยู่ในมือของชายสูงวัย
“ อ้าว ลุง หวัดดีครับ เมาตั้งแต่ยังไม่มืดเลยนะ ” บุญกอบยกมือไหว้ด้วยมารยาทอันดีตามแบบฉบับของคนต่างจังหวัด
“ เหอ เหอ เหอ สำหรับข้า เมาได้ทุกวันทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องรอให้มืดก่อนหรอกโว้ย เฮือก…. ” ชายสูงวัยพูดจบก็เรอเฮือกใหญ่จนกลิ่นละมุดปลิวว่อน
“ อื้อหือ กลิ่นสุดยอด กินขี้เป็นอาหารรึไงนะ ตาแก่คนนี้ ” บุญกอบทำจมูกย่น ในใจนึกตำหนิ แต่ไม่กล้าปริปากบ่น
บุญกอบนึกรังเกียจชายสูงวัยคนนี้จับจิตจับใจ แต่ชายผู้นี้กลับไม่จากไปตามที่เขาคาดหวัง มิหนำซ้ำยังถลาไปนั่งม้าหินฝั่งตรงข้ามกับเขา ปิดท้ายด้วยการปล่อยกลิ่นละมุดอีกรอบด้วยการเรออีกครั้ง
“ เฮือก…..”
“ ฮึ่ม…ชักไม่ไหวแล้ว มาเรอใส่หน้ากันอยู่ได้ ถ้าทำอีกที มีเตะคนแก่แน่ ” บุญกอบย่นจมูกอีกคำรบ สองมือกำแน่นเป็นเชิงแค้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ตื้บคนแก่สมใจหวัง ชายสูงวัยผู้นั้นก็เริ่มเอ่ยคำ
“ ลุงเห็นเอ็งมานั่งที่นี่นานแล้ว เอ็งมีปัญหาเรื่องสาวๆหรือไงฟะ…..เฮือก ”
วาจาของชายสูงวัยเตะหัวใจของบุญกอบเข้าอย่างจัง มันตรงซะจนทำให้บุญกอบถึงกลับอึ้งกิมกี่ในบัดดล และเมื่อเขาคลายตัวจากอาการงง เขาก็โวยดัง
“ เฮ้ย ลุงรู้ได้ไงวะ ใครบอกลุง ”
ลุงขี้เมายิ้มกริ่ม ชั่วครู่เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆและกล่าวต่อไปด้วยท่วงท่าที่ดูใจเย็น
“ หึ หึ หึ ไม่มีใครบอกกูหรอก ไอ้หนู แค่เห็นท่าทางของมึง กูก็รู้แล้วว่ามึงกำลังเครียดเรื่องผู้หญิง มึงอยากระบายอะไรให้กูฟังมั้ย ”
บุญกอบเหล่มองลุงขี้เมาด้วยหางตา เขาแสดงท่าทางรังเกียจคู่สนทนาออกมาอย่างชัดเจน เพราะจากการที่เขามาอยู่ห้องพักนี้ได้ประมาณสามเดือน เขาไม่เคยเห็นชายสูงวัยผู้นี้ทำอะไร นอกเสียจากเมา เมา และก็เมา ครอบครัวที่บ้านเกิดของเขา มักจะประณามคนแบบนี้ว่าเป็นภาระของสังคมที่ไม่ควรให้ความสนใจ ดังนั้นเขาจึงตอบสนองลุงขี้เมานายนี้ด้วยการบอกปัด
“ ไม่เอาหรอก ลุงมีอะไรจะทำ ก็ทำไป ชั้นอยากอยู่คนเดียว ”
แม้จะโดนไล่ทางอ้อม ลุงขี้เมาก็ยังดื้อแพ่งที่จะนั่งอยู่กับที่ แถมยังเปิดฝาขวดเหล้าขาวในมือขึ้นมาเพื่อกระดกดื่มอึกใหญ่
“ อึกๆ…..เฮือก ”
กลิ่นละมุดที่เหม็นราวหมาเน่าล้านตัวกระจายไปทั่วบริเวณ ด้วยการรุกรานอย่างไม่ตั้งใจ (มั้งนะ) ของชายสูงวัย ส่งผลให้บุญกอบตบะแตกในทันที
“ ลุง….ชั้นบอกว่าอยากอยู่คนเดียวไง ไปให้พ้นซะเดียวนี้ ก่อนที่ชั้นจะเตะลุง เข้าใจมั้ย ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ