เพียงขอรักให้สุดหัวใจ

-

เขียนโดย สุทรรศนีย์

วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 05.43 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  3,112 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 05.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) อะไรนะ! นี่เธอคือ..

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
อาการมีความสุขของปรียาดาทำให้วันวิสาและนิตยาถึงกับไม่เข้าใจ เธอยังทำตัวเหมือนเดิม ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่เหมือนคนที่โดนปฏิเสธความรักเสียเลย
                “อ้าวทำไมไม่กินละ”  ปรียาดาถามเพื่อนทั้งสองที่ไม่ยอมกินไส้กรอกทอดที่ซื้อมานั่งกินที่นั่งม้าหิน
                “ไม่กิน ฉันกินหมดนะ” ไม่รีรอสาวเจ้าก็จิ้มไส้กรอกไก่ขึ้นมากินคำโต
                “ดา แกเพิ่งโดนปฏิเสธความรักมานะ แกไม่เสียใจเลยเหรอ”  นิตยาถามขึ้น
                “ก็เสียใจนะ แต่ฉันไม่อยากฟูมฟาย ฉันเพิ่งค้นพบว่าความรัก แค่ได้รักก็พอ ไม่ต้องครอบครองก็ได้”
                “แน่เหรอว่าคิดแบบนั้นจริง ๆ”
                “ใช่ ฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ ต้องขอบคุณพ่อฉันนะที่เปิดทางสว่างให้กับฉัน” 
                “เห็นเธอมีความสุขอย่างนี้ได้ พวกเราก็ดีใจแล้ว”  วันพูดขึ้นพร้อมกับจิ้มลูกชิ้นขึ้นมากิน
                “ลูกชิ้นอร่อยมากเลย” 
                “ชั่วโมงต่อไปเรียนอะไรวะ”  นิดถามพร้อมกับเอาไส้กรอกไก่เข้าปาก  วันเปิดดูตารางเรียนในโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายเอาไว้
                “ภาษาอังกฤษนะ” 
                “ภาษาอังกฤษเหรอ อยากจะบอกเลยว่าวิชานี้ฉันไม่เคยเรียนรู้เรื่องเลย”
                “แหม อย่างกับฉันรู้เรื่องอย่างนั้นละใยนิด”  วันเสริม
                “ฉันก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”  ปรียาดาทิ้งท้าย
                “งั้นเราโดดเรียนกันดีปะ”  นิตยาออกความคิดเห็น
                “บ้าเหรอใยนิด เรียนตั้งสามชั่วโมงนะ ไม่เข้าเรียนแค่ครั้งเดียวก็ไม่มีสิทธิ์สอบแล้ว”
                “ใช่ ฉันไม่อยากจะเสี่ยงหรอก” 
                “งั้นเราก็รีบเข้าห้องเรียนกันดีกว่า ใกล้เข้าเวลาเรียนแล้ว”
 
                ทั้งสามเดินมาถึงห้องเรียนซึ่งรู้สึกว่านักเรียนจะเยอะผิดปกติ
                “นี่เราเข้าห้องเรียนผิดรึเปล่าวะ”  นิตยาถามจนปรียาดาและวันวิสาต้องเอาตารางเรียนขึ้นมาดู
                “ก็ถูกนี่”
                “เหรอ ทำไมคนมันเยอะจังละ”
                “ช่างเถอะ เราไปหาที่นั่งกันดีกว่า”  ปรียาดาเดินนำหน้าเพื่อนเข้าไปในห้องเรียนแต่ก็ต้องหยุดชะงักจนเพื่อน ๆ ที่เดินตามมาหยุดแทบไม่ทัน
                “อะไรใยดา!”  ปรียาดาชี้ไปข้างในห้อง จนเพื่อน ๆ ต้องมองตาม
                “เอ๊ะ! นั่นภคินนี่”  ภคินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเรียนแถวที่สองเหลือบสายตามองไปที่พวกเธอ สีหน้าที่ดูนิ่งเฉยก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียทันที ปรียาดาก้มหน้าลงแล้วเดินผ่านเขาไปนั่งหลังห้อง
                “ทำไมภคินถึงมาอยู่ห้องเดียวกับเราละ”  ร่างอ้วนเปิดปากถามอีกครั้ง
                “แล้วฉันจะรู้ไหม”
                “ฉันแค่พึมพรำยะ”
                “พึมพรำอะไรดังเชียว”   วันวิสากับนิตยาเถียงกันโดยที่ไม่ได้สังเกตถึงเพื่อนอีกคนที่นั่งจ้องมองเขา
                ไม่นากนักอาจารย์ก็เดินเข้ามา นักเรียนจึงนั่งที่นั่งประจำของตัวเอง
                “เอาละ วิชาภาษาอังกฤษ เราจะเรียนรวมกันสองห้องนะ เดี๋ยวห้องหนึ่งลุกขึ้นถือกระเป๋ามายืนหน้าห้อง ส่วนห้องเจ็ดไปยืนหลังห้องนะ”  นักเรียนทุกคนทำตามที่อาจารย์สั่งอย่างพร้อมเพรียง
                “ครูจะให้นักเรียนทั้งสองห้องนั่งคู่กันตามรายชื่อที่ครูเรียก ใครนั่งกับใครก็ต้องนั่งด้วยกันจนจบการศึกษาหรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง มันเป็นไอเดียที่เราจะต้องช่วยเหลือเพื่อน ห้องหนึ่งพวกเธอเป็นห้องที่เก่งมากเธอจะต้องสอนคู่ของเธอด้วย เข้าใจไหม”
                “เข้าใจครับ / คะ”  นักเรียนห้องหนึ่งพร้อมใจกันประสานเสียงตอบแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ
                “ส่วนห้องเจ็ด พวกเธอก็ต้องตั้งใจเรียนนะ ผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษของพวกเธอต่ำกว่าเกณฑ์มาก เธอจะต้องทำให้ได้เพราะมันจะมีผลต่อการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เข้าใจไหม”
                “เข้าใจครับ / คะ” 
                “เอาละนักเรียนทุกคนต้องนั่งตามรายชื่อที่ครูจับให้นะ ครูใช้วิธีในการจับฉลากเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย”  อาจารย์ร่างบางเริ่มเรียกชื่อห้องหนึ่งและตามด้วยชื่อห้องเจ็ดทีละคู่ จนมาถึง
                “ภคิน”
                “ครับ”   เขาเดินถือกระเป๋ามานั่งที่โต๊ะเรียนแถวที่สามกลางห้อง
                “ปรียาดา”  เจ้าตัวดูจะตกใจมากที่ได้ยินชื่อตัวเองต่อท้ายชื่อของเขา ไม่แพ้เพื่อนทั้งสองของเธอที่ตกใจปนดีใจที่เพื่อนรักได้นั่งคู่กับคนที่เธอรัก
                “คะ”  พร้อมหยิบกระเป๋าเรียนไปนั่งข้าง ๆ กับภคิน ปรียาดาหันไปยิ้มทักทายแต่เขากลับนิ่งเฉยเหมือนไม่เห็นเธออยู่ในสายตา
                “ภคิน ฉันปรียาดานะ “  เขาไม่ตอบแต่กลับหยิบกล่องดินสอขึ้นมาและหยิบปากกาออกมาวางไว้ตรงมุมโต๊ะอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
                “เอ่อ ยังไงช่วยสอนฉันด้วยนะ ฉันไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษนะ”
                “หยุดพูดสักทีได้ไหม! จำไว้เลยนะเวลาที่ฉันเรียน ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดด้วย”  เขาตะคอกใส่เธอจนเธอต้องผละหนี
                “อ๋อ เข้าใจแล้ว”  ปรียาดาเม้มปากเหมือนบอกกับตัวเองว่าห้ามพูดกับเขาช่วงระหว่างที่กำลังเรียนก่อนจะหยิบปากกาและหนังสืออกมาจากกระเป๋า
                ดูเหมือนตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงทั้งสองก็ไม่ได้ปริปากพูดคุยเหมือนกับคู่อื่น ๆ ภายในห้องเลย มีแต่ปรียาดาที่เหลือบมองเขาอยู่ตลอดเวลาและเหมือนเขาจะรู้ตัวจึงพยายามนั่งเอียงข้างให้เธอ เธอจึงคิดหาวิธีที่ทำให้เขาสนใจเธอ
                “เอ่อ ภคิน ฉันไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้นะ  เธอช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม”  เขาเหลือบมองหนังสือภาษาอังกฤษที่เธอยื่นมาให้เขาดู
                “แล้วตอนที่อาจารย์สอนเธอเหม่อลอยอะไรอยู่ละ ไม่เข้าใจก็เป็นเพราะตัวเธอเอง ก็รับผลมันไปเถอะ”  พูดจบเขาก็หันมาสนใจแบบฝึกหัดที่อาจารย์สั่งต่อ
                “แต่อาจารย์บอกว่าต้องให้สอนเพื่อนนี่”  เขาถอนหายในก่อนจะตอบไปว่า
                “ฉันจะสอนเพื่อน แต่เธอไม่ใช่เพื่อนของฉัน”  คำพูดรุนแรงที่ออกมาจากปากเรียวเล็กทำให้หัวใจอันบอบบางของเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะจนต้องพยายามหายใจเข้า ออกลึก ๆ เพื่อสูบฉีดพลังให้หัวใจกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม ภคินลุกเดินถือหนังสือไปวางไว้ที่โต๊ะอาจารย์เมื่อทำเสร็จก่อนจะขออนุญาตออกจากห้องไป  ปรียาดาปัดผมหน้ามาที่ปิดตาแล้วลงมือทำการบ้านให้เสร็จแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม เขากลับมาอีกทีก็เกือบหมดชั่วโมง หยิบของสัมภาระใส่ในกระเป๋าก่อนจะเดินสะพายกระเป๋าไปหาเพื่อนเขาที่นั่งหลังห้อง
                ‘เธอคงจะรังเกียจฉันมากสินะ ไม่เป็นไรปรียาดา แค่ได้รัก เห็นเขามีความสุขก็พอแล้วนี่’
 
                เสียงกริ่งดังหมดเวลา ปรียาดาหันไปมองภคินที่หิ้วกระเป๋าเดินไปกับเพื่อนอย่างร่าเริง  เพื่อนรักทั้งสองของเธอรียปรี่ตรงเข้าไปหาปรียาดาที่นั่งหน้าเศร้า ถอนหายใจแล้ว ถอนหายใจอีก
                “นี่ดา เธอคุยอะไรกับภคินนะ”
                “ก็ฉันแค่ให้เขาสอนตรงที่ฉันไม่เข้าใจก็เท่านั้นละนิด”
                “แล้วเขาว่ายังไงละ”  ปรียาดามองเพื่อนของเธอที่ดูอยากรู้อยากเห็นก่อนจะกระแอมแล้วพูดเลียนแบบเสียงทุ้มของภคิน
                “ฉันจะสอนเพื่อน แต่เธอไม่ใช่เพื่อนของฉัน”  พูดจบก็เหมือนนึกอะไรได้จึงรีบลุกวิ่งออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจเสียงเรียกของเพื่อนเลย เธอวิ่งตามภคินที่ตอนนี้เขากำลังเดินขึ้นบันได เธอจึงรีบวิ่งตามเขาไป
                “ภคิน”  ทั้งเขาและเพื่อนของเขาต่างก็หันไปตามเสียงเรียกนั้น ตาหยีมองเธออย่างเสียอารมณ์
                “เธอมีอะไรกับภคิน”  นักเรียนชายใส่แว่นหนาเตอะถามขึ้น
                “คือ คือว่า ฉันได้ยินมาว่าเธอจะย้ายโรงเรียน”  ร่างสูงหันมองเพื่อนอย่างฉงนกับสิ่งที่ได้ยิน
                “ยังไงแล้ว ฉันก็ขอให้เธอโชคดีนะ”  ปรียาดายิ้มหวานใส่ ผิดกับเขาที่ยังคงสงสัยเดินลงบันไดมายืนข้างหน้าเธอ
                “ฉันจะย้ายโรงเรียนเหรอ”  ท่าทางเหมือนเขาก็เพิ่งจะรู้
                “ใช่ ฉันได้ยินเพื่อนนักเรียนบอกคุยกันแบบนั้นว่าจะเธอจะย้าย” 
                “ฉันจะย้าย มันคือตัวฉัน ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องเลยละ”  ปรียาดาปัดผมหน้ามาที่ปกหน้าเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ
                “เธอไม่ได้ย้ายโรงเรียนเหรอ”  เธอถามเขาจนเขาถอนหายใจเซ็งกับอาการที่ยังไม่เข้าใจของเธอ เขาส่ายหน้ารับไม่ได้กับคนประเภทนี้ก่อนจะหันหลังกลับเดินขึ้นบันไดไป
                “ตกลงเธอไม่ได้ย้ายโรงเรียนเหรอ”  เธอตะโกนถามเขาอีกครั้ง เขาเพียงแค่หันมามองเธอที่ยังคงทำหน้าฉงน ร่างบางพยายามคิดทบทวนกับคำพูดของเขา อยู่ดี ๆ อาการดีใจอย่างสุดขีดก็เข้ามาแทนที่ความสงสัยนั้น
 
                อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ปรียาดาลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้า ทำกิจวัตรประจำวันเรียบร้อยภายในห้องน้ำส่วนตัว เธอใส่เสื้อยืดสีสดในคู่กับกางเกงยีนขาสี่ส่วน ลงมาข้างล่างที่ได้กลิ่นหอมโชยฟุ้งทั่วบ้านของเป็ดตุ๋นที่พ่อเธอมักตื่นแต่เช้ามาทำทุกอาทิตย์เพราะมันคือเมนูโปรดของมารดาที่จากไปแล้ว
                บางทีมันไม่ใช่เพียงแค่อยากฝึกฝนทำให้ชำนาญแต่มันคงเป็นเมนูที่มีความทรงจำต่าง ๆ มากมาย พ่อเธอคงคิดถึงแม่เธอมาก ในอดีตของพวกเขาคงมีความสุขมาก ปรียาดายืนพิงประตูห้องครัวมองดูพ่อของเธอทำอาหารอย่างพิถีพิถัน ปากฉีกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
                ปรียาดาไม่อยากขัดความสุขของพ่อที่ลงมือทำอาหารเมนูพิเศษนี้ เธอจึงเดินไปยืนรับลมหน้าบ้าน ต้นไม้และแปลงดอกไม้ที่พ่อเธอปลูกโยกเอนตามสายลม เธอเดินไปหยิบสายยางมารดน้ำต้นไม้และดอกไม้เหล่านั้น เธอรดไปพร้อมพูดคุยกับพวกมันไปเพราะเธอจำได้ว่าพ่อเธอมักจะทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำ ต้นไม้ก็ออกดอกออกผลสวยงาม ดอกไม้นับวันก็ยิ่งดูสดชื่นตา
                เสียงเอะอะโวยวายจากข้างบ้านทำให้เธอหยุดพูดคุยกับดอกดาวเรืองไปชั่วขณะเพื่อฟังเสียงให้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้หูฟาดไป เธอวิ่งไปเกาะกำแพงรั้วที่สูงเพียงระดับศีรษะของเธอ มองรอดประตูหน้าต่างเข้าไปข้างในบ้านหลังใหญ่ คนที่เดินไปมาทำให้เธอต้องเดินไปปิดน้ำและวิ่งเข้าไปหาพ่อในครัว
                “พ่อคะ พ่อคะ”
                “ว่าไงลูก ตะโกนเสียงดังเชียว”  วัฒนะตักน้ำแกงขึ้นมาชิมรสชาด
                “บ้านข้าง ๆ เขาย้ายมาแล้วคะ”  น้ำแกงแทบพุ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น วัฒนะเช็ดปากด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่เขามักพาดไว้ที่คอประจำ
                “เมื่อกี้ลูกว่ายังไงนะ”
                “บ้านหลังใหญ่ข้าง ๆ เขาย้ายกันมาอยู่แล้วคะ”
                “อ้าวเหรอ ดีเลย วันนี้พ่อทำเป็ดตุ๋นพอดี พ่อว่าเดี๋ยวเอาไปแบ่งพวกเขาหน่อยดีกว่า ดาหยิบหม้อเล็กมาให้พ่อสิลูก”  เขาคนน้ำแกงให้ได้ที่ ส่วนลูกสาวก็วิ่งไปอีกด้านเพื่อหยิบหม้อที่เก็บไว้ในตู้ไม้ใหญ่สีน้ำตาล
                “นี่คะพ่อ”  เธอยื่นให้พ่อซึ่งเขาก็รับมาวางไว้บนโต๊ะ
                “ดาลองชิมให้พ่อสิลูก ว่าได้หรือยัง”  เขายื่นทัพพีใหญ่ป้อนให้เธอชิม
                “โอ้โห พ่อคะ หนูว่าพ่อเปิดร้านขายได้เลยคะ อร่อยมาก ๆ”  เขายิ้มปลื้ม รีบตักเป็ดตุ๋นใส่ในหม้อเล็ก ตรวจความเรียบร้อยภายในครัวก่อนจะเดินถือหม้อไปที่ข้างบ้านหวังเป็นมิตรที่ดี
                ระหว่างรอคนในบ้านมาเปิด ปรียาดาก็นำผ้าที่พ่อเธอพาดคอมาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าของพ่อเธอ และเมื่อประตูเปิดออก กิริยาของทั้งพ่อและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ้มหัวเราะร่าจนเธอสงสัย
                “พ่อคะ นี่ใครเหรอคะ”
                “อ้าวดา หนูจำไม่ได้เหรอ แม่พูห์พูห์ไง”
                “แม่พูห์พูห์?”  เธอพยายามนึก
                “อ๋อ น้ามล”
                “ใช่แล้วจ้ะ นี่หนูดาเหรอ น้าจำหนูแทบไม่ได้แหนะ หนูสวยมากเลยนะจ้ะ”  เสียงแหลมใสดังขึ้น
                “ดีจังเลยที่ได้เจอพี่วัฒน์อีก แล้วพี่วัฒน์มาทำอะไรเหรอ”
                “อ๋อ พี่อยู่บ้านหลังนี่”  เขาชี้ไปที่บ้านข้าง ๆ
                “ฮะ!! จริงเหรอเนี๊ยะ”  ปรียาดาแทบเอามืออุดหูกับน้ำเสียงที่ดังจนแสบแก้วหู
                “นี่เราอยู่ข้างบ้านกันอีกแล้วเหรอ ฉันว่าไม่ใช่แค่บังเอิญแล้วละ เอาะ ลืมไป เข้ามาข้างในก่อนดีกว่า”  สาวร่างสูงที่ใส่ผ้าคลุมกันเปื้อนสีฟ้านำพวกเขาเข้ามาในบ้าน  เมื่อเปิดประตูมาก็ต้องเจอกับตู้วางรองเท้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าสามชั้นและที่นั่งอีกด้านหนึ่ง มองตรงไปก็เป็นทางเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาสีทึบรอบทิศที่เห็นวิวสระว่ายน้ำและสวนสวยหลังบ้าน ปรียาดาแทบอึ้งไปเมื่อเห็นสวนสวยเหมือนดั่งในเทพนิยายในการ์ตูนที่เธอเคยดู
                “พ่อจ้ะ ดูสิว่าใครมา”  ปรียาดาหันไปตามเสียงและเดินไปยืนอยู่ข้างหลังของพ่อเธอ
                “อ้าว วัฒน์ ไม่ได้เจอกันนานเลย” เสียงทุ้มพูดขึ้น เขาเป็นผู้ชายที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ แต่ผอมกว่าและเตี้ยกว่าพ่อของเธอเกือบคืบ ทั้งสองเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
                “ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกนะปราโมทย์”
                “นั่นนะสิ แล้วไปยังไงมายังไงละ”  ร่างเล็กว่าถาม
                “พอดีเราซื้อบ้านหลังข้าง ๆ ไว้นะ เห็นดาบอกว่ามีคนมาอยู่แล้ว ฉันทำเป็ดตุ๋นพอดีก็เลยนำมาให้ ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่”
                “โลกนี่มันช่างกลมจริง ๆ”
                “ใช่จ้ะพ่อ” ภรรยาของเจ้าของบ้านยิ้มแย้มดีใจ
                “นี่เป็ดตุ๋นนะ ฉันทำมาให้”  เขายื่นหม้อเป็ดตุ๋นให้กับวิมลรัตน์ ภรรยาสุดที่รักที่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปใบหน้าของเธอก็ยังคงดูหน้าเด็กเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง
                “นั่งก่อน นั่งก่อน หนูดามานั่งก่อนลูก”  น้าสาวพาเธอมานั่งที่โซฟาใหญ่ก่อนถือหม้อเข้าไปในครัว
                “นี่หนูดาเหรอ”  เจ้าของบ้านที่นั่งพิงหลังสบายถามขึ้น
                “ใช่ นี่ปรียาดา ลูกฉันกับนิ่มนะ”
                “โตเป็นสาวแล้วนะ สวยเหมือนแม่นะ ตาสวยเหมือนแม่”  เจ้าตัวยิ้มเขินอาย
                “มาแล้วจ้ะ” วิมลรัตน์ถือถาดน้ำสมุนไพรมาเสิร์ฟให้ทุกคน
                “น้ำใบเตยหอมหวาน ฉันเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เลยนะ อร่อยไหมจ๊ะหนูดา”
                “อร่อยคะ เอ่อคุณน้าคะ แล้วพูห์พูห์ของหนูอยู่ไหนเหรอคะ ตอนนี้คงตัวกลมดิ๊กเลยมั้งคะ”  ทุกคนหัวเราะเมื่อปรียาดาเอ่ยถึงบุคคลที่สามอย่างคุ้นเคย
                “อ๋อเขาอ่านหนังสืออยู่ข้างบนนะจ้ะ เดี๋ยวน้าไปเรียกให้นะ”  พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันได
                ปรียาดานั่งฟังพวกเขาทั้งสองคุยกันโดยไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพิ่มอีก
                “อ้าวมาแล้วเหรอ”  ปรียาดาหันไปตามสายตาของลุงปราโมทย์ เหมือนร่างกายหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติ ใจเต้นราวกับเสียงกลองรัว ไม่คิดว่าเพื่อนในวัยเด็กที่อ้วนกลมนั้นจะหุ่นดีมากในตอนโตแถมยังเป็นหนุ่มที่เธอเพิ่งสารภาพรักไปเมื่อตอนเปิดภาคเรียนวันแรกอีกด้วย เธอแทบอยากจะมุดหนีไปให้ไกลเสียเหลือเกิน เธอนั่งนิ่งพยายามข่มใจไม่ให้ทำตัวผิดปกติ
                “หนูดา นี่ไงจ้ะ พูห์พูห์ที่หนูถามหานะ”  ปรียาดาก้มหน้าหลบไม่ให้เขาเห็นหน้าแต่ก็โบกไม้โบกมือทักทาย
                “แม่ ทำไมเรียกผมชื่อนั้นอีกละครับ”  ร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอปกสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนหันควับแสดงอาการไม่พอใจกับแม่ของเขาที่ยืนโอบไหล่ลูกชายที่สูงมาก
                “แม่ว่าน่ารักดีออก อ้าวหนูลี่มานี่สิลูก แม่จะแนะนำให้ลูกรู้จัก”  เจ้าหล่อนกวักมือเรียกลูกสาวที่ยืนอยู่ตรงบันไดที่ดูจะละม้ายคล้ายกับแม่
                “นี่ลุงวัฒน์เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของคุณพ่อ ลูกแม่จำได้ไหม” เธอหันไปถามลูกชาย
                “ลุงวัฒน์เคยเป็นเพื่อนบ้านของเราตอนเรายังเด็ก ๆ นะ”
                “อ๋อลุงวัฒน์ สวัสดีครับ ผมชื่อภคินครับ” เขาทักทายอย่างมีมารยาท
                “สวัสดีคะ ส่วนหนูชื่อภริตาหรือจะเรียกว่าหนูลี่ก็ได้นะคะ เอ๊ะ! แล้วนั่นใครเหรอคะ”  สาวร่างเล็กชี้ไปที่หญิงสาวที่นั่งหันหลังให้
                คุณวิมลรัตน์รีบเดินตรงเข้าไปหาปรียาดาแล้วดึงร่างบางให้ยืนขึ้นหันหน้าไปหาลูกของเธอทั้งสอง
                “นี่หนูดาจ้ะ พูห์พูห์จำได้ไหมเพื่อนในวัยเด็กของลูกไง”  เขาก้มหน้ามองผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ใบหน้าจะมีปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยแต่เธอก็ดูออกว่าเขาไม่ชอบใจเท่าไหร่เพราะสายตาที่มองข้ามผ่านเธอไปไกล
                “ผมจำไม่ได้หรอกครับ”  คำพูดประโยคนี้ทำให้ผู้ฟังถึงกับก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ
                “เอ๊ะ! ผู้หญิงคนนี้ที่พี่ชายบอกว่ามาสารภาพรักกับพี่ชายนี่คะ” สาวหมวยกอดอกพูด
                “ฮะ! สารภาพรักเหรอ!” ทุกคนหันไปมองปรียาดาเป็นสายตาเดียวจนเจ้าตัวเขินอาย
                “จริงเหรอหนูดา หนูสารภาพรักกับภคินเหรอ น้าจำได้ว่าตอนเด็กหนูก็เคยสารภาพรักกับพูห์พูห์เหมือนกัน น้าว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วละ”  เจ้าของประโยคคิดไปไกลถึงคำว่า ‘เนื้อคู่’ เป็นแน่แท้
                “แล้วให้หนูทายเลยนะคะ พี่ชายก็คงปฏิเสธเธอใช่ไหมคะ”  เธอเงยหันมองพี่ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ  เขาพยักหน้าตอบจนปรียาดาก้มหน้าลงอย่างเขินอายแต่อยู่ดี ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเดินปรี่เข้าไปหาสาวน้อยใบหน้าหมวยเพื่อมองเธอใกล้ ๆ
                “อะไรของเธอเนี๊ยะ” 
                “ฉันจำได้แล้ว เธอคือผู้หญิงที่อยู่กับภคินในวันนั้น เธอเป็นน้องของภคินเหรอ”
                “ถ้าใช่แล้วจะทำไม”  ผู้พูดกอดอกหันหน้าเชิด
                “เธอเป็นน้องของภคิน! ฉันดีใจจังเลย” เธอไม่พูดอย่างเดียวแต่กลับโผเข้ากอดสาวหมวยอย่างดีใจจนภคินต้องกระเทิบหนี
                “โอ๊ย!! นี่ฉันเจ็บนะ”  ปรียาดาปล่อยมือ
                “ขอโทษ ขอโทษ”  เธอดีใจมาที่เธอแค่เข้าใจผิดคิดว่าเธอคือคนรักของภคิน
                “แล้วนี่ทำไมถึงย้ายบ้านละ” วัฒนะถามขึ้น
                “ก็คิดที่จะขยับขยายนั่นแหละ บ้านหลังเก่าก็ขายไปเลยมาซื้อที่นี่ จริง ๆ ฉันก็เลือกที่อื่นไว้แต่คุณมลเขาชอบบรรยากาศที่นี่ มันเงียบสงบดี”
                “ย้าย ย้าย”  ปรียาดาพยายามนึก
                “ที่ใคร ๆ ในโรงเรียนหมายถึง ‘การย้าย’ คือเธอย้ายบ้านเหรอ”  เธอหันไปมองภคินที่เบือนหน้าหนี
                “พวกเธอคิดกันไปเองทั้งนั้น ไร้สาระจริง ๆ”   ความดีใจของปรียาดาเพิ่มขึ้นทวีคูณไหนเขาจะไม่ได้ย้ายโรงเรียน ไหนเธอกับเขาจะอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน นั่นก็แสดงว่าเธอก็จะได้เห็นหน้าเขา ได้อยู่ใกล้ชิดเขาตลอดเวลา
                “ผมขอขึ้นไปอ่านหนังสือต่อนะครับ”
                “อ๋อได้เลยจ้า ตามสบายนะ”  แม่เขาพูด
                ปรียาดาก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตาที่หันมาจ้องเธอ เธอไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไงแต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
                “หนูไปด้วยคะ” ก่อนสาวหมวยจะเดินตามพี่ชายขึ้นไปก็แลบลิ้นทักทายปรียาดาจนเธออึ้งไป สายตาที่ไม่เป็นมิตรคู่นั้นบอกกับเธอได้เลยว่าความรักของเธอจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอย่างแน่นอน
                “อย่าไปถือสาหนูลี่เลยนะจ้ะ เธอเป็นเด็กติดพี่นะ”  รอยยิ้มหวานเป็นคำตอบว่าไม่เป็นไร
                “เอาะ เดี๋ยวเย็นนี้เรามากินข้าวด้วยกันดีกว่านะ”  คุณวิมลรัตน์เสนอ
                “ดี ๆๆ เอ่อโย่งเดี๋ยวฉันจะพาเอ็งไปดูอะไรหน่อย ไปเถอะ”  หนุ่มใหญ่ทั้งสองเดินกอดคอกันเดินไปอีกทางหนึ่งเหลือไว้เพียงสาวใหญ่หน้าหมวยกับสาวน้อยหน้าหวาน
                “หนูดาจ้ะ หนูไปสารภาพรักกับภคินจริง ๆ เหรอจ้ะ”  เธอดูเขินอายไม่คิดว่าคุณน้าจะถามเธออีก
                “อ๋อ คะ”
                “แล้วเขาก็ปฏิเสธหนูใช่ไหม”  เธอพยักหน้า
                “เฮอออ” สาวใหญ่ดูกลุ้มใจ
                “ทำไมเหรอคะ”
                “ก็ตั้งแต่เกิดมาน้าไม่เคยเห็นภคินคบหาดูใจกับใครเลย เอาแต่เรียนหนังสือ เก็บตัวเงียบ ยังคิดอยู่ว่าชาตินี้ลูกของน้าจะได้แต่งงานไหมน้า เอ๊ะ! แต่ก็ไม่แน่หรอกจ้ะ”  เหมือนเธอจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
                “น้าว่าอีกไม่นาน เขาคงต้องมีแฟนแน่ ๆ เลย”  น้ำใบเตยที่สาวน้อยกำลังยกขึ้นดื่มก็เกือบจะพุ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอไม่อยากได้ยิน
                “แฟนเหรอคะ” เธอหยิบกระดาษทิชชู่จากกล่องขึ้นมาซับริมฝีปาก
                “ใช่จ้ะ น้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนูไปสารภาพรักกับเขาตั้งแต่ยังเด็กและตอนโตหรอกจ้ะ น้าว่าพวกเธอต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ ๆ”
                “เอ่อ หนู” 
                “ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ้ะ น้าจะเอาใจช่วยหนูเอง น้าอยากให้ภคินมีแฟน แต่งงาน มีลูกเร็ว ๆ คือน้าอยากอุ้มหลานนะ อายุก็มากขึ้นทุกวัน ถ้าน้ามีหลานให้เล่นด้วยไวไว น้าคงมีความสุขมาก น้าเชียร์หนูเต็มที่เลยนะจ้ะ ภารกิจพิชิตรักของหนูจะเป็นเรื่องง่ายแน่นอน ไว้ใจน้านะ”
                “เอ่อ ภารกิจพิชิตรักเหรอคะ”
                “ใช่จ้ะ จะพิชิตใจลูกชายน้าเนี๊ยะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะจ้ะ แต่น้าจะคอยช่วยสนับสนุนหนูเอง ไม่ต้องห่วงนะ” ปรียาดายิ้มร่าเมื่อได้ยินอย่างนั้น เหมือนมีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย
 
                อาหารมื้อเย็นผ่านไปได้ด้วยดี ภคินจัดได้ว่าเป็นคนที่มีมารยาททางสังคมสูงมาก เขาไม่มีปฏิกิริยารังเกียจสาวน้อยหน้าหวานที่นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหารภายในบ้านหลังใหญ่ เขามองเธอเป็นระยะ ๆ แต่ก็ดูนิ่งเฉย มีเปิดปากพูดในวงข้าวบ้างเมื่อคุณวัฒนะถามเขาและเขาก็ตอบได้อย่างดีเยี่ยมจนใคร ๆ ก็ชม ผิดกับลูกสาวคนเล็กที่เผยตัวจะเป็นศัตรูกับปรียาดาจนออกนอกหน้า ปากร้าย จะชอบขัดปรียาดาอยู่เรื่อยจนแม่เธอต้องคอยห้ามปราม
                ปรียาดาเปิดประตูเข้ามาข้างในห้องนอน เธอเดินมานั่งลงบนเตียง แสงไฟที่เปิดจ้าทำให้เธอต้องหันไปมอง ห้องที่อยู่ตรงข้ามเธอนั้นคือห้องของชายหนุ่มที่เธอแอบรัก เธอรีบหลบเพราะกลัวว่าเขาจะเห็น ชายในชุดนอนเข้าชุดสีขาวลายทางทำให้เธอต้องแอบอมยิ้ม
                ‘ฉันดีใจจัง ฉันได้อยู่ใกล้กับเธอ ได้เห็นเธอทุกวัน ไม่ต้องชะเง้อมองหาเธอในท่ามกลางฝูงชนอีกต่อไปแล้ว’
                เหมือนเขาจะเข้านอนแล้วเพราะเขาก็เดินไปปิดไฟจนห้องมืดสนิท เธอหายใจลึก ๆ และผ่อนออกช้า ๆ ตัดสินใจเปิดกระจกหน้าต่างบานเลื่อนและตะโกนไปว่า
                “ฝันดีนะ”  แล้วเธอก็หันหลบกลัวเขาจะเห็น ห้องก็ยังคงมืดสนิท แม้ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ  แต่เธอก็ดีใจที่ได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้
 
                เสียงกริ่งดังในช่วงสายของวันอาทิตย์ ทำให้ปรียาดาต้องเดินออกไปเปิดและผู้ที่มาเยี่ยมบ้านก็คือเพื่อนรักของเธอทั้งสองคน
                “วัน นิดมาได้ยังไงเนี๊ยะ” 
                “ก็พอเธอส่งข้อความว่าเพื่อนบ้านของเธอคือภคิน เราก็รีบมาเลย”  นิดพูดขึ้น
                “แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”
                “จำไม่ได้อีกละ ขี้ลืมแท้ใยดา ก็เธอเคยส่งแผนที่มาให้เราไง”  เจ้าของบ้านพยายามนึก
                “อ๋อ พวกเธอนี่เก่งจริง ๆ เลย ถ้าเป็นฉัน ฉันคงงงหลงทางแน่ ๆ เลย อ้าว”  เธอพบว่าเพื่อนของเธอทั้งสองคนไม่ได้อยู่ตรงหน้าเธอแต่กำลังย่องไปที่กำแพงรั้วเพื่อดูบ้านข้าง ๆ
                “เร็วจริง ๆ เลย”  บ่นพึมพำเสร็จก็เดินมายืนอยู่ด้านหลังระหว่างเพื่อนทั้งสองคนและชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน
                “โอ้โห บ้านหลังใหญ่มาก ๆ เลย คฤหาสน์รึเปล่าเนี๊ยะ”  ร่างอ้วนในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนพูดขึ้น
                “นั้นสิ ท่าจะรวยมาก”  วันในชุดกระโปรงพูดต่อ
                เสียงกระแอมที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้ทั้งสามเอะใจแต่อย่างใด ยังคงจ้องมองเข้าไปในบ้านอย่างสนอกสนใจ
                “แล้วภคินอยู่ไหนละ”  เสียงกระแอมดังขึ้นอีก
                “ไอ้ดาแกไปอมลูกอมแก้เจ็บคอปะ กระแอมอยู่นั่นแหละ เสียสมาธิหมด”
                “ฉันเปล่านะ”  
                เสียงกระแอมดังขึ้นอีก
                “งั้นไอ้วัน”
                “บ้าเหรอ ฉันสบายดี”
                “แล้วใครละ”  เสียงกระแอมดังอีกครั้งจนพวกเธอต้องหันไปตามเสียง
                “อยากเจอฉันเหรอ”  ชายหนุ่มในชุดลำลองที่ถือสายยางฉีดน้ำอยู่ตรงรั้วบ้านทำให้ทั้งสามถึงกับต้องรีบเผ่นหนี จนทำให้หนุ่มหน้าขรึมถึงกับกั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เลยทีเดียว
                “แก จับหัวใจฉันสิ”  นิตยาไม่พูดอย่างเดียวแต่เอามือของเพื่อนมาจับตรงหัวใจที่เต้นแรงและเร็ว
                “ฉันก็เหมือนกัน”  อาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด  “งั้นที่แกพูดก็เป็นความจริงนะสิ”
                “ก็ใช่นะสิ” 
                “และเขาก็ยังเป็นเพื่อนในวัยเด็กที่แกเคยไปสารภาพรักอีกด้วย”  ปรียาดาพยักหน้าตอบ
                “ไอ้วัน แกคิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่าวะ”  ผู้ตอบส่ายหน้า
                “ฉันว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ”
                “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรเหรอจ้ะสาว ๆ”  ทุกคนตะโกนร้องกรี๊ดลั่นก่อนจะหันไปดูต้นเสียง
                “คุณพ่อ / คุณลุง”
                “คุณลุงทำหนูตกใจหมดเลยคะ”
                “หนูวันกับหนูนิดทานอะไรมาหรือยัง นี่ลุงทำอาหารให้ทาน”  วัฒนะ ยกจานกับข้าวสองสามอย่างมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร มีทั้งผัดคะน้าน้ำมันหอย หมูผัดพริกและต้มยำกุ้งของโปรดของนิตยา ปรียาดาเสิร์ฟข้าวให้ทุกคนและกำลังจะลงมือทานก็ต้องหยุดเมื่อเสียงแหลมใสของคุณวิมลรัตน์ดังเข้ามายังห้องรับประทานอาหารของบ้านเพื่อไปทานข้าวด้วยกันแต่ก็ต้องปฏิเสธเพราะอาหารเต็มโต๊ะ แต่ดูเหมือนทั้งสี่จะปฏิเสธความตั้งใจของหญิงวัยกลางคนที่มีนิสัยเหมือนเด็กก็ไม่ปานจึงต้องจำใจเก็บกับข้าวเข้าตู้แล้วเดินไปยังม้าหินหน้าบ้านบ้านหลังใหญ่ ปรียาดา วันวิสาและนิตยาโบกมือทักทายภคินที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้เขาจะไม่ชอบใจแต่เขาก็ทานสุกี้ที่แม่ของเขาทำอย่างเงียบ ๆ เขาเงยหน้ามองเธอทั้งสามที่ยังคงจ้องมองเขา เขาจึงตัดสินใจตักสุกี้ในหม้อไฟฟ้าใส่ถ้วยใหญ่แล้วลุกเดินเข้าไปกินในบ้าน
                “ลูกแม่ ไม่กินด้วยกันเหรอ”  ไร้เสียงตอบ
                “พี่ชายหนูไปด้วย”  หนูลี่ตักสุกี้ใส่ถ้วย แลบลิ้นใส่ทั้งสามก่อนจะยกเดินตามพี่ชายไป
                “เอ๊ะ! เด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ นะ” นิตยากระซิบใส่ปรียาดา
                “ก็คนที่เราเห็นที่โรงเรียนที่ดูสนิทสนมกับภคินนะ”
                “เออใช่ แล้วเธอคือ”
                “น้องสาวภคิน”  ปรียาดากระซิบ
                “อะไรนะ! น้องสาวภคินเหรอ”  นิตยาตะโกนดังลั่นจนทุกคนหันไปมองเธอเป็นสายตาเดียว
                “ดูร้ายมาก ๆ”  นิตยากระซิบกับปรียาดา
                ภคินเดินถือด้วยสุกี้มานั่งกินที่โต๊ะอาหารภายในบ้าน ตามมาด้วยน้องสาวสุดที่รักที่นั่งฝั่งตรงข้าม
                “หนูลี่ไม่ชอบเลย ทำไมคุณแม่ต้องเอาใจใยนั่นด้วยก็ไม่รู้” 
                “แม่เขาคงชอบนะ”
                “แต่หนูไม่ชอบนี่ พี่ชายเธอคนนี้เคยสารภาพรักกับพี่ตั้งแต่ยังเด็กเลยเหรอ”
                “พี่จำไม่ได้แล้วละ”  เหมือนอดีตมันกำลังหวนย้อนไปวันที่เขายังเป็นเด็กตัวอ้วนกลม นั่งอยู่ในห้องที่มีแต่เสียงร้องไห้กันระงมของเพื่อนวัยเด็ก มีเสียงคุณครูและครูพี่เลี้ยงที่คอยปลอบใจพวกเขาให้เงียบเสียงร้อง เด็กหญิงผมเปียผูกโบสีชมพูอ่อนสองข้างเดินเข้ามาหาเขาแล้วหอมไปที่แก้มอูมของเขา พร้อมกับพูดว่า
                “พูห์พูห์ ฉันชอบเธอ เราเป็นแฟนกันนะ”  แต่เขาดันผลักเด็กหญิงคนนั้นจนล้มลงไป
                “ฉันไม่ชอบเธอ”  จากที่เสียงร้องภายในห้องเริ่มเงียบสงบกลับดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพราะเธอ
                นึกถึงภาพอดีตในคราวนั้นที่เธอร้องแหกปากดังลั่นก็ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
                “พี่ชาย ยิ้มอะไรคะ”
                “อ๋อ เปล่า พี่คิดอะไรเพลิน ๆ นะ”
                อดีตมันหวนย้อนมาให้นึกถึง แต่ความรู้สึกในวันนั้นมันก็ยังคงเป็นเหมือนในวันนี้
               
‘ฉันไม่มีวันชอบเธอหรอก ปรียาดา’
 
 
 
อาการมีความสุขของปรียาดาทำให้วันวิสาและนิตยาถึงกับไม่เข้าใจ เธอยังทำตัวเหมือนเดิม ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่เหมือนคนที่โดนปฏิเสธความรักเสียเลย
                “อ้าวทำไมไม่กินละ”  ปรียาดาถามเพื่อนทั้งสองที่ไม่ยอมกินไส้กรอกทอดที่ซื้อมานั่งกินที่นั่งม้าหิน
                “ไม่กิน ฉันกินหมดนะ” ไม่รีรอสาวเจ้าก็จิ้มไส้กรอกไก่ขึ้นมากินคำโต
                “ดา แกเพิ่งโดนปฏิเสธความรักมานะ แกไม่เสียใจเลยเหรอ”  นิตยาถามขึ้น
                “ก็เสียใจนะ แต่ฉันไม่อยากฟูมฟาย ฉันเพิ่งค้นพบว่าความรัก แค่ได้รักก็พอ ไม่ต้องครอบครองก็ได้”
                “แน่เหรอว่าคิดแบบนั้นจริง ๆ”
                “ใช่ ฉันคิดแบบนั้นจริง ๆ ต้องขอบคุณพ่อฉันนะที่เปิดทางสว่างให้กับฉัน” 
                “เห็นเธอมีความสุขอย่างนี้ได้ พวกเราก็ดีใจแล้ว”  วันพูดขึ้นพร้อมกับจิ้มลูกชิ้นขึ้นมากิน
                “ลูกชิ้นอร่อยมากเลย” 
                “ชั่วโมงต่อไปเรียนอะไรวะ”  นิดถามพร้อมกับเอาไส้กรอกไก่เข้าปาก  วันเปิดดูตารางเรียนในโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายเอาไว้
                “ภาษาอังกฤษนะ” 
                “ภาษาอังกฤษเหรอ อยากจะบอกเลยว่าวิชานี้ฉันไม่เคยเรียนรู้เรื่องเลย”
                “แหม อย่างกับฉันรู้เรื่องอย่างนั้นละใยนิด”  วันเสริม
                “ฉันก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”  ปรียาดาทิ้งท้าย
                “งั้นเราโดดเรียนกันดีปะ”  นิตยาออกความคิดเห็น
                “บ้าเหรอใยนิด เรียนตั้งสามชั่วโมงนะ ไม่เข้าเรียนแค่ครั้งเดียวก็ไม่มีสิทธิ์สอบแล้ว”
                “ใช่ ฉันไม่อยากจะเสี่ยงหรอก” 
                “งั้นเราก็รีบเข้าห้องเรียนกันดีกว่า ใกล้เข้าเวลาเรียนแล้ว”
                ทั้งสามเดินมาถึงห้องเรียนซึ่งรู้สึกว่านักเรียนจะเยอะผิดปกติ
                “นี่เราเข้าห้องเรียนผิดรึเปล่าวะ”  นิตยาถามจนปรียาดาและวันวิสาต้องเอาตารางเรียนขึ้นมาดู
                “ก็ถูกนี่”
                “เหรอ ทำไมคนมันเยอะจังละ”
                “ช่างเถอะ เราไปหาที่นั่งกันดีกว่า”  ปรียาดาเดินนำหน้าเพื่อนเข้าไปในห้องเรียนแต่ก็ต้องหยุดชะงักจนเพื่อน ๆ ที่เดินตามมาหยุดแทบไม่ทัน
                “อะไรใยดา!”  ปรียาดาชี้ไปข้างในห้อง จนเพื่อน ๆ ต้องมองตาม
                “เอ๊ะ! นั่นภคินนี่”  ภคินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเรียนแถวที่สองเหลือบสายตามองไปที่พวกเธอ สีหน้าที่ดูนิ่งเฉยก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียทันที ปรียาดาก้มหน้าลงแล้วเดินผ่านเขาไปนั่งหลังห้อง
                “ทำไมภคินถึงมาอยู่ห้องเดียวกับเราละ”  ร่างอ้วนเปิดปากถามอีกครั้ง
                “แล้วฉันจะรู้ไหม”
                “ฉันแค่พึมพรำยะ”
                “พึมพรำอะไรดังเชียว”   วันวิสากับนิตยาเถียงกันโดยที่ไม่ได้สังเกตถึงเพื่อนอีกคนที่นั่งจ้องมองเขา
                ไม่นากนักอาจารย์ก็เดินเข้ามา นักเรียนจึงนั่งที่นั่งประจำของตัวเอง
                “เอาละ วิชาภาษาอังกฤษ เราจะเรียนรวมกันสองห้องนะ เดี๋ยวห้องหนึ่งลุกขึ้นถือกระเป๋ามายืนหน้าห้อง ส่วนห้องเจ็ดไปยืนหลังห้องนะ”  นักเรียนทุกคนทำตามที่อาจารย์สั่งอย่างพร้อมเพรียง
                “ครูจะให้นักเรียนทั้งสองห้องนั่งคู่กันตามรายชื่อที่ครูเรียก ใครนั่งกับใครก็ต้องนั่งด้วยกันจนจบการศึกษาหรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง มันเป็นไอเดียที่เราจะต้องช่วยเหลือเพื่อน ห้องหนึ่งพวกเธอเป็นห้องที่เก่งมากเธอจะต้องสอนคู่ของเธอด้วย เข้าใจไหม”
                “เข้าใจครับ / คะ”  นักเรียนห้องหนึ่งพร้อมใจกันประสานเสียงตอบแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ
                “ส่วนห้องเจ็ด พวกเธอก็ต้องตั้งใจเรียนนะ ผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษของพวกเธอต่ำกว่าเกณฑ์มาก เธอจะต้องทำให้ได้เพราะมันจะมีผลต่อการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เข้าใจไหม”
                “เข้าใจครับ / คะ” 
                “เอาละนักเรียนทุกคนต้องนั่งตามรายชื่อที่ครูจับให้นะ ครูใช้วิธีในการจับฉลากเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย”  อาจารย์ร่างบางเริ่มเรียกชื่อห้องหนึ่งและตามด้วยชื่อห้องเจ็ดทีละคู่ จนมาถึง
                “ภคิน”
                “ครับ”   เขาเดินถือกระเป๋ามานั่งที่โต๊ะเรียนแถวที่สามกลางห้อง
                “ปรียาดา”  เจ้าตัวดูจะตกใจมากที่ได้ยินชื่อตัวเองต่อท้ายชื่อของเขา ไม่แพ้เพื่อนทั้งสองของเธอที่ตกใจปนดีใจที่เพื่อนรักได้นั่งคู่กับคนที่เธอรัก
                “คะ”  พร้อมหยิบกระเป๋าเรียนไปนั่งข้าง ๆ กับภคิน ปรียาดาหันไปยิ้มทักทายแต่เขากลับนิ่งเฉยเหมือนไม่เห็นเธออยู่ในสายตา
                “ภคิน ฉันปรียาดานะ “  เขาไม่ตอบแต่กลับหยิบกล่องดินสอขึ้นมาและหยิบปากกาออกมาวางไว้ตรงมุมโต๊ะอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
                “เอ่อ ยังไงช่วยสอนฉันด้วยนะ ฉันไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษนะ”
                “หยุดพูดสักทีได้ไหม! จำไว้เลยนะเวลาที่ฉันเรียน ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดด้วย”  เขาตะคอกใส่เธอจนเธอต้องผละหนี
                “อ๋อ เข้าใจแล้ว”  ปรียาดาเม้มปากเหมือนบอกกับตัวเองว่าห้ามพูดกับเขาช่วงระหว่างที่กำลังเรียนก่อนจะหยิบปากกาและหนังสืออกมาจากกระเป๋า
                ดูเหมือนตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงทั้งสองก็ไม่ได้ปริปากพูดคุยเหมือนกับคู่อื่น ๆ ภายในห้องเลย มีแต่ปรียาดาที่เหลือบมองเขาอยู่ตลอดเวลาและเหมือนเขาจะรู้ตัวจึงพยายามนั่งเอียงข้างให้เธอ เธอจึงคิดหาวิธีที่ทำให้เขาสนใจเธอ
                “เอ่อ ภคิน ฉันไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้นะ  เธอช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม”  เขาเหลือบมองหนังสือภาษาอังกฤษที่เธอยื่นมาให้เขาดู
                “แล้วตอนที่อาจารย์สอนเธอเหม่อลอยอะไรอยู่ละ ไม่เข้าใจก็เป็นเพราะตัวเธอเอง ก็รับผลมันไปเถอะ”  พูดจบเขาก็หันมาสนใจแบบฝึกหัดที่อาจารย์สั่งต่อ
                “แต่อาจารย์บอกว่าต้องให้สอนเพื่อนนี่”  เขาถอนหายในก่อนจะตอบไปว่า
                “ฉันจะสอนเพื่อน แต่เธอไม่ใช่เพื่อนของฉัน”  คำพูดรุนแรงที่ออกมาจากปากเรียวเล็กทำให้หัวใจอันบอบบางของเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะจนต้องพยายามหายใจเข้า ออกลึก ๆ เพื่อสูบฉีดพลังให้หัวใจกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม ภคินลุกเดินถือหนังสือไปวางไว้ที่โต๊ะอาจารย์เมื่อทำเสร็จก่อนจะขออนุญาตออกจากห้องไป  ปรียาดาปัดผมหน้ามาที่ปิดตาแล้วลงมือทำการบ้านให้เสร็จแม้จะไม่รู้เรื่องก็ตาม เขากลับมาอีกทีก็เกือบหมดชั่วโมง หยิบของสัมภาระใส่ในกระเป๋าก่อนจะเดินสะพายกระเป๋าไปหาเพื่อนเขาที่นั่งหลังห้อง
                ‘เธอคงจะรังเกียจฉันมากสินะ ไม่เป็นไรปรียาดา แค่ได้รัก เห็นเขามีความสุขก็พอแล้วนี่’
 
                เสียงกริ่งดังหมดเวลา ปรียาดาหันไปมองภคินที่หิ้วกระเป๋าเดินไปกับเพื่อนอย่างร่าเริง  เพื่อนรักทั้งสองของเธอรียปรี่ตรงเข้าไปหาปรียาดาที่นั่งหน้าเศร้า ถอนหายใจแล้ว ถอนหายใจอีก
                “นี่ดา เธอคุยอะไรกับภคินนะ”
                “ก็ฉันแค่ให้เขาสอนตรงที่ฉันไม่เข้าใจก็เท่านั้นละนิด”
                “แล้วเขาว่ายังไงละ”  ปรียาดามองเพื่อนของเธอที่ดูอยากรู้อยากเห็นก่อนจะกระแอมแล้วพูดเลียนแบบเสียงทุ้มของภคิน
                “ฉันจะสอนเพื่อน แต่เธอไม่ใช่เพื่อนของฉัน”  พูดจบก็เหมือนนึกอะไรได้จึงรีบลุกวิ่งออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจเสียงเรียกของเพื่อนเลย เธอวิ่งตามภคินที่ตอนนี้เขากำลังเดินขึ้นบันได เธอจึงรีบวิ่งตามเขาไป
                “ภคิน”  ทั้งเขาและเพื่อนของเขาต่างก็หันไปตามเสียงเรียกนั้น ตาหยีมองเธออย่างเสียอารมณ์
                “เธอมีอะไรกับภคิน”  นักเรียนชายใส่แว่นหนาเตอะถามขึ้น
                “คือ คือว่า ฉันได้ยินมาว่าเธอจะย้ายโรงเรียน”  ร่างสูงหันมองเพื่อนอย่างฉงนกับสิ่งที่ได้ยิน
                “ยังไงแล้ว ฉันก็ขอให้เธอโชคดีนะ”  ปรียาดายิ้มหวานใส่ ผิดกับเขาที่ยังคงสงสัยเดินลงบันไดมายืนข้างหน้าเธอ
                “ฉันจะย้ายโรงเรียนเหรอ”  ท่าทางเหมือนเขาก็เพิ่งจะรู้
                “ใช่ ฉันได้ยินเพื่อนนักเรียนบอกคุยกันแบบนั้นว่าจะเธอจะย้าย” 
                “ฉันจะย้าย มันคือตัวฉัน ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องเลยละ”  ปรียาดาปัดผมหน้ามาที่ปกหน้าเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ
                “เธอไม่ได้ย้ายโรงเรียนเหรอ”  เธอถามเขาจนเขาถอนหายใจเซ็งกับอาการที่ยังไม่เข้าใจของเธอ เขาส่ายหน้ารับไม่ได้กับคนประเภทนี้ก่อนจะหันหลังกลับเดินขึ้นบันไดไป
                “ตกลงเธอไม่ได้ย้ายโรงเรียนเหรอ”  เธอตะโกนถามเขาอีกครั้ง เขาเพียงแค่หันมามองเธอที่ยังคงทำหน้าฉงน ร่างบางพยายามคิดทบทวนกับคำพูดของเขา อยู่ดี ๆ อาการดีใจอย่างสุดขีดก็เข้ามาแทนที่ความสงสัยนั้น
 
                อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ปรียาดาลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้า ทำกิจวัตรประจำวันเรียบร้อยภายในห้องน้ำส่วนตัว เธอใส่เสื้อยืดสีสดในคู่กับกางเกงยีนขาสี่ส่วน ลงมาข้างล่างที่ได้กลิ่นหอมโชยฟุ้งทั่วบ้านของเป็ดตุ๋นที่พ่อเธอมักตื่นแต่เช้ามาทำทุกอาทิตย์เพราะมันคือเมนูโปรดของมารดาที่จากไปแล้ว
                บางทีมันไม่ใช่เพียงแค่อยากฝึกฝนทำให้ชำนาญแต่มันคงเป็นเมนูที่มีความทรงจำต่าง ๆ มากมาย พ่อเธอคงคิดถึงแม่เธอมาก ในอดีตของพวกเขาคงมีความสุขมาก ปรียาดายืนพิงประตูห้องครัวมองดูพ่อของเธอทำอาหารอย่างพิถีพิถัน ปากฉีกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
                ปรียาดาไม่อยากขัดความสุขของพ่อที่ลงมือทำอาหารเมนูพิเศษนี้ เธอจึงเดินไปยืนรับลมหน้าบ้าน ต้นไม้และแปลงดอกไม้ที่พ่อเธอปลูกโยกเอนตามสายลม เธอเดินไปหยิบสายยางมารดน้ำต้นไม้และดอกไม้เหล่านั้น เธอรดไปพร้อมพูดคุยกับพวกมันไปเพราะเธอจำได้ว่าพ่อเธอมักจะทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำ ต้นไม้ก็ออกดอกออกผลสวยงาม ดอกไม้นับวันก็ยิ่งดูสดชื่นตา
                เสียงเอะอะโวยวายจากข้างบ้านทำให้เธอหยุดพูดคุยกับดอกดาวเรืองไปชั่วขณะเพื่อฟังเสียงให้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้หูฟาดไป เธอวิ่งไปเกาะกำแพงรั้วที่สูงเพียงระดับศีรษะของเธอ มองรอดประตูหน้าต่างเข้าไปข้างในบ้านหลังใหญ่ คนที่เดินไปมาทำให้เธอต้องเดินไปปิดน้ำและวิ่งเข้าไปหาพ่อในครัว
                “พ่อคะ พ่อคะ”
                “ว่าไงลูก ตะโกนเสียงดังเชียว”  วัฒนะตักน้ำแกงขึ้นมาชิมรสชาด
                “บ้านข้าง ๆ เขาย้ายมาแล้วคะ”  น้ำแกงแทบพุ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น วัฒนะเช็ดปากด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่เขามักพาดไว้ที่คอประจำ
                “เมื่อกี้ลูกว่ายังไงนะ”
                “บ้านหลังใหญ่ข้าง ๆ เขาย้ายกันมาอยู่แล้วคะ”
                “อ้าวเหรอ ดีเลย วันนี้พ่อทำเป็ดตุ๋นพอดี พ่อว่าเดี๋ยวเอาไปแบ่งพวกเขาหน่อยดีกว่า ดาหยิบหม้อเล็กมาให้พ่อสิลูก”  เขาคนน้ำแกงให้ได้ที่ ส่วนลูกสาวก็วิ่งไปอีกด้านเพื่อหยิบหม้อที่เก็บไว้ในตู้ไม้ใหญ่สีน้ำตาล
                “นี่คะพ่อ”  เธอยื่นให้พ่อซึ่งเขาก็รับมาวางไว้บนโต๊ะ
                “ดาลองชิมให้พ่อสิลูก ว่าได้หรือยัง”  เขายื่นทัพพีใหญ่ป้อนให้เธอชิม
                “โอ้โห พ่อคะ หนูว่าพ่อเปิดร้านขายได้เลยคะ อร่อยมาก ๆ”  เขายิ้มปลื้ม รีบตักเป็ดตุ๋นใส่ในหม้อเล็ก ตรวจความเรียบร้อยภายในครัวก่อนจะเดินถือหม้อไปที่ข้างบ้านหวังเป็นมิตรที่ดี
                ระหว่างรอคนในบ้านมาเปิด ปรียาดาก็นำผ้าที่พ่อเธอพาดคอมาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าของพ่อเธอ และเมื่อประตูเปิดออก กิริยาของทั้งพ่อและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ้มหัวเราะร่าจนเธอสงสัย
                “พ่อคะ นี่ใครเหรอคะ”
                “อ้าวดา หนูจำไม่ได้เหรอ แม่พูห์พูห์ไง”
                “แม่พูห์พูห์?”  เธอพยายามนึก
                “อ๋อ น้ามล”
                “ใช่แล้วจ้ะ นี่หนูดาเหรอ น้าจำหนูแทบไม่ได้แหนะ หนูสวยมากเลยนะจ้ะ”  เสียงแหลมใสดังขึ้น
                “ดีจังเลยที่ได้เจอพี่วัฒน์อีก แล้วพี่วัฒน์มาทำอะไรเหรอ”
                “อ๋อ พี่อยู่บ้านหลังนี่”  เขาชี้ไปที่บ้านข้าง ๆ
                “ฮะ!! จริงเหรอเนี๊ยะ”  ปรียาดาแทบเอามืออุดหูกับน้ำเสียงที่ดังจนแสบแก้วหู
                “นี่เราอยู่ข้างบ้านกันอีกแล้วเหรอ ฉันว่าไม่ใช่แค่บังเอิญแล้วละ เอาะ ลืมไป เข้ามาข้างในก่อนดีกว่า”  สาวร่างสูงที่ใส่ผ้าคลุมกันเปื้อนสีฟ้านำพวกเขาเข้ามาในบ้าน  เมื่อเปิดประตูมาก็ต้องเจอกับตู้วางรองเท้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าสามชั้นและที่นั่งอีกด้านหนึ่ง มองตรงไปก็เป็นทางเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาสีทึบรอบทิศที่เห็นวิวสระว่ายน้ำและสวนสวยหลังบ้าน ปรียาดาแทบอึ้งไปเมื่อเห็นสวนสวยเหมือนดั่งในเทพนิยายในการ์ตูนที่เธอเคยดู
                “พ่อจ้ะ ดูสิว่าใครมา”  ปรียาดาหันไปตามเสียงและเดินไปยืนอยู่ข้างหลังของพ่อเธอ
                “อ้าว วัฒน์ ไม่ได้เจอกันนานเลย” เสียงทุ้มพูดขึ้น เขาเป็นผู้ชายที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ แต่ผอมกว่าและเตี้ยกว่าพ่อของเธอเกือบคืบ ทั้งสองเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
                “ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกนะปราโมทย์”
                “นั่นนะสิ แล้วไปยังไงมายังไงละ”  ร่างเล็กว่าถาม
                “พอดีเราซื้อบ้านหลังข้าง ๆ ไว้นะ เห็นดาบอกว่ามีคนมาอยู่แล้ว ฉันทำเป็ดตุ๋นพอดีก็เลยนำมาให้ ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่”
                “โลกนี่มันช่างกลมจริง ๆ”
                “ใช่จ้ะพ่อ” ภรรยาของเจ้าของบ้านยิ้มแย้มดีใจ
                “นี่เป็ดตุ๋นนะ ฉันทำมาให้”  เขายื่นหม้อเป็ดตุ๋นให้กับวิมลรัตน์ ภรรยาสุดที่รักที่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปใบหน้าของเธอก็ยังคงดูหน้าเด็กเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง
                “นั่งก่อน นั่งก่อน หนูดามานั่งก่อนลูก”  น้าสาวพาเธอมานั่งที่โซฟาใหญ่ก่อนถือหม้อเข้าไปในครัว
                “นี่หนูดาเหรอ”  เจ้าของบ้านที่นั่งพิงหลังสบายถามขึ้น
                “ใช่ นี่ปรียาดา ลูกฉันกับนิ่มนะ”
                “โตเป็นสาวแล้วนะ สวยเหมือนแม่นะ ตาสวยเหมือนแม่”  เจ้าตัวยิ้มเขินอาย
                “มาแล้วจ้ะ” วิมลรัตน์ถือถาดน้ำสมุนไพรมาเสิร์ฟให้ทุกคน
                “น้ำใบเตยหอมหวาน ฉันเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เลยนะ อร่อยไหมจ๊ะหนูดา”
                “อร่อยคะ เอ่อคุณน้าคะ แล้วพูห์พูห์ของหนูอยู่ไหนเหรอคะ ตอนนี้คงตัวกลมดิ๊กเลยมั้งคะ”  ทุกคนหัวเราะเมื่อปรียาดาเอ่ยถึงบุคคลที่สามอย่างคุ้นเคย
                “อ๋อเขาอ่านหนังสืออยู่ข้างบนนะจ้ะ เดี๋ยวน้าไปเรียกให้นะ”  พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันได
                ปรียาดานั่งฟังพวกเขาทั้งสองคุยกันโดยไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพิ่มอีก
                “อ้าวมาแล้วเหรอ”  ปรียาดาหันไปตามสายตาของลุงปราโมทย์ เหมือนร่างกายหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติ ใจเต้นราวกับเสียงกลองรัว ไม่คิดว่าเพื่อนในวัยเด็กที่อ้วนกลมนั้นจะหุ่นดีมากในตอนโตแถมยังเป็นหนุ่มที่เธอเพิ่งสารภาพรักไปเมื่อตอนเปิดภาคเรียนวันแรกอีกด้วย เธอแทบอยากจะมุดหนีไปให้ไกลเสียเหลือเกิน เธอนั่งนิ่งพยายามข่มใจไม่ให้ทำตัวผิดปกติ
                “หนูดา นี่ไงจ้ะ พูห์พูห์ที่หนูถามหานะ”  ปรียาดาก้มหน้าหลบไม่ให้เขาเห็นหน้าแต่ก็โบกไม้โบกมือทักทาย
                “แม่ ทำไมเรียกผมชื่อนั้นอีกละครับ”  ร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอปกสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนหันควับแสดงอาการไม่พอใจกับแม่ของเขาที่ยืนโอบไหล่ลูกชายที่สูงมาก
                “แม่ว่าน่ารักดีออก อ้าวหนูลี่มานี่สิลูก แม่จะแนะนำให้ลูกรู้จัก”  เจ้าหล่อนกวักมือเรียกลูกสาวที่ยืนอยู่ตรงบันไดที่ดูจะละม้ายคล้ายกับแม่
                “นี่ลุงวัฒน์เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของคุณพ่อ ลูกแม่จำได้ไหม” เธอหันไปถามลูกชาย
                “ลุงวัฒน์เคยเป็นเพื่อนบ้านของเราตอนเรายังเด็ก ๆ นะ”
                “อ๋อลุงวัฒน์ สวัสดีครับ ผมชื่อภคินครับ” เขาทักทายอย่างมีมารยาท
                “สวัสดีคะ ส่วนหนูชื่อภริตาหรือจะเรียกว่าหนูลี่ก็ได้นะคะ เอ๊ะ! แล้วนั่นใครเหรอคะ”  สาวร่างเล็กชี้ไปที่หญิงสาวที่นั่งหันหลังให้
                คุณวิมลรัตน์รีบเดินตรงเข้าไปหาปรียาดาแล้วดึงร่างบางให้ยืนขึ้นหันหน้าไปหาลูกของเธอทั้งสอง
                “นี่หนูดาจ้ะ พูห์พูห์จำได้ไหมเพื่อนในวัยเด็กของลูกไง”  เขาก้มหน้ามองผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้ใบหน้าจะมีปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยแต่เธอก็ดูออกว่าเขาไม่ชอบใจเท่าไหร่เพราะสายตาที่มองข้ามผ่านเธอไปไกล
                “ผมจำไม่ได้หรอกครับ”  คำพูดประโยคนี้ทำให้ผู้ฟังถึงกับก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ
                “เอ๊ะ! ผู้หญิงคนนี้ที่พี่ชายบอกว่ามาสารภาพรักกับพี่ชายนี่คะ” สาวหมวยกอดอกพูด
                “ฮะ! สารภาพรักเหรอ!” ทุกคนหันไปมองปรียาดาเป็นสายตาเดียวจนเจ้าตัวเขินอาย
                “จริงเหรอหนูดา หนูสารภาพรักกับภคินเหรอ น้าจำได้ว่าตอนเด็กหนูก็เคยสารภาพรักกับพูห์พูห์เหมือนกัน น้าว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วละ”  เจ้าของประโยคคิดไปไกลถึงคำว่า ‘เนื้อคู่’ เป็นแน่แท้
                “แล้วให้หนูทายเลยนะคะ พี่ชายก็คงปฏิเสธเธอใช่ไหมคะ”  เธอเงยหันมองพี่ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ  เขาพยักหน้าตอบจนปรียาดาก้มหน้าลงอย่างเขินอายแต่อยู่ดี ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเดินปรี่เข้าไปหาสาวน้อยใบหน้าหมวยเพื่อมองเธอใกล้ ๆ
                “อะไรของเธอเนี๊ยะ” 
                “ฉันจำได้แล้ว เธอคือผู้หญิงที่อยู่กับภคินในวันนั้น เธอเป็นน้องของภคินเหรอ”
                “ถ้าใช่แล้วจะทำไม”  ผู้พูดกอดอกหันหน้าเชิด
                “เธอเป็นน้องของภคิน! ฉันดีใจจังเลย” เธอไม่พูดอย่างเดียวแต่กลับโผเข้ากอดสาวหมวยอย่างดีใจจนภคินต้องกระเทิบหนี
                “โอ๊ย!! นี่ฉันเจ็บนะ”  ปรียาดาปล่อยมือ
                “ขอโทษ ขอโทษ”  เธอดีใจมาที่เธอแค่เข้าใจผิดคิดว่าเธอคือคนรักของภคิน
                “แล้วนี่ทำไมถึงย้ายบ้านละ” วัฒนะถามขึ้น
                “ก็คิดที่จะขยับขยายนั่นแหละ บ้านหลังเก่าก็ขายไปเลยมาซื้อที่นี่ จริง ๆ ฉันก็เลือกที่อื่นไว้แต่คุณมลเขาชอบบรรยากาศที่นี่ มันเงียบสงบดี”
                “ย้าย ย้าย”  ปรียาดาพยายามนึก
                “ที่ใคร ๆ ในโรงเรียนหมายถึง ‘การย้าย’ คือเธอย้ายบ้านเหรอ”  เธอหันไปมองภคินที่เบือนหน้าหนี
                “พวกเธอคิดกันไปเองทั้งนั้น ไร้สาระจริง ๆ”   ความดีใจของปรียาดาเพิ่มขึ้นทวีคูณไหนเขาจะไม่ได้ย้ายโรงเรียน ไหนเธอกับเขาจะอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน นั่นก็แสดงว่าเธอก็จะได้เห็นหน้าเขา ได้อยู่ใกล้ชิดเขาตลอดเวลา
                “ผมขอขึ้นไปอ่านหนังสือต่อนะครับ”
                “อ๋อได้เลยจ้า ตามสบายนะ”  แม่เขาพูด
                ปรียาดาก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตาที่หันมาจ้องเธอ เธอไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไงแต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
                “หนูไปด้วยคะ” ก่อนสาวหมวยจะเดินตามพี่ชายขึ้นไปก็แลบลิ้นทักทายปรียาดาจนเธออึ้งไป สายตาที่ไม่เป็นมิตรคู่นั้นบอกกับเธอได้เลยว่าความรักของเธอจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอย่างแน่นอน
                “อย่าไปถือสาหนูลี่เลยนะจ้ะ เธอเป็นเด็กติดพี่นะ”  รอยยิ้มหวานเป็นคำตอบว่าไม่เป็นไร
                “เอาะ เดี๋ยวเย็นนี้เรามากินข้าวด้วยกันดีกว่านะ”  คุณวิมลรัตน์เสนอ
                “ดี ๆๆ เอ่อโย่งเดี๋ยวฉันจะพาเอ็งไปดูอะไรหน่อย ไปเถอะ”  หนุ่มใหญ่ทั้งสองเดินกอดคอกันเดินไปอีกทางหนึ่งเหลือไว้เพียงสาวใหญ่หน้าหมวยกับสาวน้อยหน้าหวาน
                “หนูดาจ้ะ หนูไปสารภาพรักกับภคินจริง ๆ เหรอจ้ะ”  เธอดูเขินอายไม่คิดว่าคุณน้าจะถามเธออีก
                “อ๋อ คะ”
                “แล้วเขาก็ปฏิเสธหนูใช่ไหม”  เธอพยักหน้า
                “เฮอออ” สาวใหญ่ดูกลุ้มใจ
                “ทำไมเหรอคะ”
                “ก็ตั้งแต่เกิดมาน้าไม่เคยเห็นภคินคบหาดูใจกับใครเลย เอาแต่เรียนหนังสือ เก็บตัวเงียบ ยังคิดอยู่ว่าชาตินี้ลูกของน้าจะได้แต่งงานไหมน้า เอ๊ะ! แต่ก็ไม่แน่หรอกจ้ะ”  เหมือนเธอจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
                “น้าว่าอีกไม่นาน เขาคงต้องมีแฟนแน่ ๆ เลย”  น้ำใบเตยที่สาวน้อยกำลังยกขึ้นดื่มก็เกือบจะพุ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอไม่อยากได้ยิน
                “แฟนเหรอคะ” เธอหยิบกระดาษทิชชู่จากกล่องขึ้นมาซับริมฝีปาก
                “ใช่จ้ะ น้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนูไปสารภาพรักกับเขาตั้งแต่ยังเด็กและตอนโตหรอกจ้ะ น้าว่าพวกเธอต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ ๆ”
                “เอ่อ หนู” 
                “ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ้ะ น้าจะเอาใจช่วยหนูเอง น้าอยากให้ภคินมีแฟน แต่งงาน มีลูกเร็ว ๆ คือน้าอยากอุ้มหลานนะ อายุก็มากขึ้นทุกวัน ถ้าน้ามีหลานให้เล่นด้วยไวไว น้าคงมีความสุขมาก น้าเชียร์หนูเต็มที่เลยนะจ้ะ ภารกิจพิชิตรักของหนูจะเป็นเรื่องง่ายแน่นอน ไว้ใจน้านะ”
                “เอ่อ ภารกิจพิชิตรักเหรอคะ”
                “ใช่จ้ะ จะพิชิตใจลูกชายน้าเนี๊ยะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะจ้ะ แต่น้าจะคอยช่วยสนับสนุนหนูเอง ไม่ต้องห่วงนะ” ปรียาดายิ้มร่าเมื่อได้ยินอย่างนั้น เหมือนมีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย
 
                อาหารมื้อเย็นผ่านไปได้ด้วยดี ภคินจัดได้ว่าเป็นคนที่มีมารยาททางสังคมสูงมาก เขาไม่มีปฏิกิริยารังเกียจสาวน้อยหน้าหวานที่นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหารภายในบ้านหลังใหญ่ เขามองเธอเป็นระยะ ๆ แต่ก็ดูนิ่งเฉย มีเปิดปากพูดในวงข้าวบ้างเมื่อคุณวัฒนะถามเขาและเขาก็ตอบได้อย่างดีเยี่ยมจนใคร ๆ ก็ชม ผิดกับลูกสาวคนเล็กที่เผยตัวจะเป็นศัตรูกับปรียาดาจนออกนอกหน้า ปากร้าย จะชอบขัดปรียาดาอยู่เรื่อยจนแม่เธอต้องคอยห้ามปราม
                ปรียาดาเปิดประตูเข้ามาข้างในห้องนอน เธอเดินมานั่งลงบนเตียง แสงไฟที่เปิดจ้าทำให้เธอต้องหันไปมอง ห้องที่อยู่ตรงข้ามเธอนั้นคือห้องของชายหนุ่มที่เธอแอบรัก เธอรีบหลบเพราะกลัวว่าเขาจะเห็น ชายในชุดนอนเข้าชุดสีขาวลายทางทำให้เธอต้องแอบอมยิ้ม
                ‘ฉันดีใจจัง ฉันได้อยู่ใกล้กับเธอ ได้เห็นเธอทุกวัน ไม่ต้องชะเง้อมองหาเธอในท่ามกลางฝูงชนอีกต่อไปแล้ว’
                เหมือนเขาจะเข้านอนแล้วเพราะเขาก็เดินไปปิดไฟจนห้องมืดสนิท เธอหายใจลึก ๆ และผ่อนออกช้า ๆ ตัดสินใจเปิดกระจกหน้าต่างบานเลื่อนและตะโกนไปว่า
                “ฝันดีนะ”  แล้วเธอก็หันหลบกลัวเขาจะเห็น ห้องก็ยังคงมืดสนิท แม้ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ  แต่เธอก็ดีใจที่ได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้
 
                เสียงกริ่งดังในช่วงสายของวันอาทิตย์ ทำให้ปรียาดาต้องเดินออกไปเปิดและผู้ที่มาเยี่ยมบ้านก็คือเพื่อนรักของเธอทั้งสองคน
                “วัน นิดมาได้ยังไงเนี๊ยะ” 
                “ก็พอเธอส่งข้อความว่าเพื่อนบ้านของเธอคือภคิน เราก็รีบมาเลย”  นิดพูดขึ้น
                “แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”
                “จำไม่ได้อีกละ ขี้ลืมแท้ใยดา ก็เธอเคยส่งแผนที่มาให้เราไง”  เจ้าของบ้านพยายามนึก
                “อ๋อ พวกเธอนี่เก่งจริง ๆ เลย ถ้าเป็นฉัน ฉันคงงงหลงทางแน่ ๆ เลย อ้าว”  เธอพบว่าเพื่อนของเธอทั้งสองคนไม่ได้อยู่ตรงหน้าเธอแต่กำลังย่องไปที่กำแพงรั้วเพื่อดูบ้านข้าง ๆ
                “เร็วจริง ๆ เลย”  บ่นพึมพำเสร็จก็เดินมายืนอยู่ด้านหลังระหว่างเพื่อนทั้งสองคนและชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน
                “โอ้โห บ้านหลังใหญ่มาก ๆ เลย คฤหาสน์รึเปล่าเนี๊ยะ”  ร่างอ้วนในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนพูดขึ้น
                “นั้นสิ ท่าจะรวยมาก”  วันในชุดกระโปรงพูดต่อ
                เสียงกระแอมที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้ทั้งสามเอะใจแต่อย่างใด ยังคงจ้องมองเข้าไปในบ้านอย่างสนอกสนใจ
                “แล้วภคินอยู่ไหนละ”  เสียงกระแอมดังขึ้นอีก
                “ไอ้ดาแกไปอมลูกอมแก้เจ็บคอปะ กระแอมอยู่นั่นแหละ เสียสมาธิหมด”
                “ฉันเปล่านะ”  
                เสียงกระแอมดังขึ้นอีก
                “งั้นไอ้วัน”
                “บ้าเหรอ ฉันสบายดี”
                “แล้วใครละ”  เสียงกระแอมดังอีกครั้งจนพวกเธอต้องหันไปตามเสียง
                “อยากเจอฉันเหรอ”  ชายหนุ่มในชุดลำลองที่ถือสายยางฉีดน้ำอยู่ตรงรั้วบ้านทำให้ทั้งสามถึงกับต้องรีบเผ่นหนี จนทำให้หนุ่มหน้าขรึมถึงกับกั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เลยทีเดียว
                “แก จับหัวใจฉันสิ”  นิตยาไม่พูดอย่างเดียวแต่เอามือของเพื่อนมาจับตรงหัวใจที่เต้นแรงและเร็ว
                “ฉันก็เหมือนกัน”  อาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด  “งั้นที่แกพูดก็เป็นความจริงนะสิ”
                “ก็ใช่นะสิ” 
                “และเขาก็ยังเป็นเพื่อนในวัยเด็กที่แกเคยไปสารภาพรักอีกด้วย”  ปรียาดาพยักหน้าตอบ
                “ไอ้วัน แกคิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่าวะ”  ผู้ตอบส่ายหน้า
                “ฉันว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ”
                “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรเหรอจ้ะสาว ๆ”  ทุกคนตะโกนร้องกรี๊ดลั่นก่อนจะหันไปดูต้นเสียง
                “คุณพ่อ / คุณลุง”
                “คุณลุงทำหนูตกใจหมดเลยคะ”
                “หนูวันกับหนูนิดทานอะไรมาหรือยัง นี่ลุงทำอาหารให้ทาน”  วัฒนะ ยกจานกับข้าวสองสามอย่างมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร มีทั้งผัดคะน้าน้ำมันหอย หมูผัดพริกและต้มยำกุ้งของโปรดของนิตยา ปรียาดาเสิร์ฟข้าวให้ทุกคนและกำลังจะลงมือทานก็ต้องหยุดเมื่อเสียงแหลมใสของคุณวิมลรัตน์ดังเข้ามายังห้องรับประทานอาหารของบ้านเพื่อไปทานข้าวด้วยกันแต่ก็ต้องปฏิเสธเพราะอาหารเต็มโต๊ะ แต่ดูเหมือนทั้งสี่จะปฏิเสธความตั้งใจของหญิงวัยกลางคนที่มีนิสัยเหมือนเด็กก็ไม่ปานจึงต้องจำใจเก็บกับข้าวเข้าตู้แล้วเดินไปยังม้าหินหน้าบ้านบ้านหลังใหญ่ ปรียาดา วันวิสาและนิตยาโบกมือทักทายภคินที่นั่งฝั่งตรงข้าม แม้เขาจะไม่ชอบใจแต่เขาก็ทานสุกี้ที่แม่ของเขาทำอย่างเงียบ ๆ เขาเงยหน้ามองเธอทั้งสามที่ยังคงจ้องมองเขา เขาจึงตัดสินใจตักสุกี้ในหม้อไฟฟ้าใส่ถ้วยใหญ่แล้วลุกเดินเข้าไปกินในบ้าน
                “ลูกแม่ ไม่กินด้วยกันเหรอ”  ไร้เสียงตอบ
                “พี่ชายหนูไปด้วย”  หนูลี่ตักสุกี้ใส่ถ้วย แลบลิ้นใส่ทั้งสามก่อนจะยกเดินตามพี่ชายไป
                “เอ๊ะ! เด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ นะ” นิตยากระซิบใส่ปรียาดา
                “ก็คนที่เราเห็นที่โรงเรียนที่ดูสนิทสนมกับภคินนะ”
                “เออใช่ แล้วเธอคือ”
                “น้องสาวภคิน”  ปรียาดากระซิบ
                “อะไรนะ! น้องสาวภคินเหรอ”  นิตยาตะโกนดังลั่นจนทุกคนหันไปมองเธอเป็นสายตาเดียว
                “ดูร้ายมาก ๆ”  นิตยากระซิบกับปรียาดา
                ภคินเดินถือด้วยสุกี้มานั่งกินที่โต๊ะอาหารภายในบ้าน ตามมาด้วยน้องสาวสุดที่รักที่นั่งฝั่งตรงข้าม
                “หนูลี่ไม่ชอบเลย ทำไมคุณแม่ต้องเอาใจใยนั่นด้วยก็ไม่รู้” 
                “แม่เขาคงชอบนะ”
                “แต่หนูไม่ชอบนี่ พี่ชายเธอคนนี้เคยสารภาพรักกับพี่ตั้งแต่ยังเด็กเลยเหรอ”
                “พี่จำไม่ได้แล้วละ”  เหมือนอดีตมันกำลังหวนย้อนไปวันที่เขายังเป็นเด็กตัวอ้วนกลม นั่งอยู่ในห้องที่มีแต่เสียงร้องไห้กันระงมของเพื่อนวัยเด็ก มีเสียงคุณครูและครูพี่เลี้ยงที่คอยปลอบใจพวกเขาให้เงียบเสียงร้อง เด็กหญิงผมเปียผูกโบสีชมพูอ่อนสองข้างเดินเข้ามาหาเขาแล้วหอมไปที่แก้มอูมของเขา พร้อมกับพูดว่า
                “พูห์พูห์ ฉันชอบเธอ เราเป็นแฟนกันนะ”  แต่เขาดันผลักเด็กหญิงคนนั้นจนล้มลงไป
                “ฉันไม่ชอบเธอ”  จากที่เสียงร้องภายในห้องเริ่มเงียบสงบกลับดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพราะเธอ
                นึกถึงภาพอดีตในคราวนั้นที่เธอร้องแหกปากดังลั่นก็ทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
                “พี่ชาย ยิ้มอะไรคะ”
                “อ๋อ เปล่า พี่คิดอะไรเพลิน ๆ นะ”
                อดีตมันหวนย้อนมาให้นึกถึง แต่ความรู้สึกในวันนั้นมันก็ยังคงเป็นเหมือนในวันนี้
               
                                               ‘ฉันไม่มีวันชอบเธอหรอก ปรียาดา’
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา