เพียงขอรักให้สุดหัวใจ

-

เขียนโดย สุทรรศนีย์

วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 05.43 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  3,178 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 05.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) สารภาพรัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     

ในวันที่ฟ้าสดใสก่อนปิดภาคเรียน กลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบในช่วงบ่ายอยู่ที่ม้าหินภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง บ้างก็นั่งอ่านหนังสืออย่างเอาจริงเอาจัง บ้างก็เปิดหนังสือไปมา บ้างก็กินขนม เล่นโทรศัพท์มือถือ ส่องกระจก แต่มีสาวน้อยผมสั้นคนหนึ่งที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยไม่สนใจแม้แต่เพื่อนนักเรียนที่กำลังวิ่งหน้าตาตื่นตรงมาที่พวกเธอนั่ง

                “นี่ ไปเร็ว มีคนจะสารภาพรักกับภคินอีกแล้ว” 

                “อะไรนะ มีคนจะสารภาพรักกับภคินอีกแล้ว!” เสียงที่ประสานกันก็ไม่ได้ทำให้สาวน้อยหน้าเรียวที่กำลังเหม่อลอยตื่นจากภวังค์เลยสักนิด

                “ดา ไปเร็ว รีบไปดูกันเถอะ”  เพื่อนนักเรียนตัวอ้วนพูดขึ้น

                “ได้เวลาเข้าสอบแล้วเหรอ” 

                “ไม่ใช่ ดา แกตั้งใจฟังฉันให้ดีนะ” เขาจับแขนเธอให้มาอยู่ตรงหน้า

                “ตอนนี้มีคนจะสารภาพรักกับภคินของเธออีกแล้ว”  สาวตาโตได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งตาโตเข้าไปใหญ่ด้วยความตกใจ รีบวิ่งไปดูทันที

                นักเรียนที่ยืนมุงดูกันต่างก็ให้ความสนอกสนใจในเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก ปรียาดาหรือดา แหวกทางนักเรียนด้วยการเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าโดยมีเพื่อนรักอีกสองคนตามมาติด ๆ พร้อมกับพยายามมองหาคนที่จะสารภาพรักกับหนุ่มหล่อที่นักเรียนหญิงหลาย ๆ คน ต่างก็หมายปองกันทั้งนั้น  เธอสังเกตเห็นนักเรียนหญิงที่ถือจดหมายสีชมพูลายการ์ตูนน่ารักกับกล่องขนมเล็ก ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าเธอคือคนที่จะสารภาพรัก อาการตกใจก็เปลี่ยนเป็นเศร้าแทน

                “เฮ้ย ! คนนั้นไง ผู้หญิงคนนี้ดูสวยกว่าคนก่อน ๆ ที่ไปสารภาพรักกับภคินเสียอีก”  การพูดไม่คิดของเพื่อนนั้นทำให้ปรียาดาออกอาการห่อเหี่ยวใจจนเพื่อนสังเกตได้

                “เอ่อ ไม่สวย ไม่สวยเลย แกว่าไหมใยวัน” สาวอ้วนหันไปสะกิดเพื่อนอีกคนทันที

                “ใช่ๆๆ ไม่สวยเลย ภคินไม่ชอบหรอก ดาอย่าคิดมากไปเลยนะ”  เพื่อนสาวร่างบางโอบไหล่เธอเพื่อเป็นกำลังใจเพราะรู้ดีว่าปรียาดาแอบหลงรักภคินมาตั้งแต่มอ.หนึ่งแล้ว

                “ภคินเดินมาแล้ว” เสียงเด็กนักเรียนคนหนึ่งตะโกนขึ้นจนปรียาดารีบหันไปดูทันที 

                นักเรียนชายนามภคินเดินสะพายกระเป๋านักเรียนข้างเดียวเพื่อเข้าสอบปลายภาคในช่วงบ่าย ใบหน้าที่นิ่งเฉยของเขาไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเขาเดินไปทางไหนก็จะมีเสียงสาว ๆ ที่ส่งเสียงร้องกรี๊ด ตาตี่มองตรงไม่สนใจนักเรียนที่จับกลุ่มอยู่บริเวณทางเข้าอาคารเรียน ร่างสูงหยุดทันทีเมื่อเห็นนักเรียนหญิงขวางทางเขาไว้ ใบหน้านิ่งไม่มีแม้แต่รอยยิ้มทักทายกลับไปสักนิด

                “ภคิน ช่วยรับจดหมายกับขนมไปด้วยนะคะ ความรู้สึกของฉัน คุณจะรู้ได้ถ้าเปิดอ่านข้อความในจดหมาย ได้โปรดรับไปด้วยคะ”   หนุ่มหน้าขาวมองจดหมายกับกล่องขนมที่เธอยื่นมาให้ด้วยอาการนิ่งเงียบไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น คงจะเป็นเพราะความเคยชินก็เป็นได้เพราะตั้งแต่ที่เขาเข้าเรียนในระดับมัธยมก็มีนักเรียนหญิงมาสารภาพรักกับเขานับไม่ถ้วน

                “ช่วงนี้เป็นช่วงสอบ”  เขาเปิดปากพูดบ้างแล้ว

                “เธอน่าจะตั้งใจอ่านหนังสือมากกว่านะ”  จากอาการนิ่งเฉยก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียทันทีแล้วเดินผ่านเธอไป  ปรียาดารู้สึกโล่งอกที่เขายังคงปฏิเสธเพราะนั่นก็แสดงว่าเธอก็ยังคงมีหวังอยู่แม้จะน้อยนิดก็ตาม

                “นี่นายภคิน! เพื่อนฉันอุตส่าห์สารภาพรักกับนายนะ นายควรที่จะเห็นใจเธอบ้าง รับ ๆ ไป จะเป็นอะไร” เพื่อนนักเรียนหญิงพูดขึ้นจนเขาต้องหยุดเดิน

                “ทำไมนายใจร้ายแบบนี้” เขายังคงยืนนิ่ง

                “ทำไมไม่พูดละ!!”  เสียงเริ่มดังขึ้น

                ภคินถอนหายใจเพราะรู้สึกเหนื่อยใจกับเรื่องไร้สาระที่เขาต้องเจอแทบทุกวัน  ภคินหันกลับไป

                “แล้วจะให้ผมพูดอะไรละ” น้ำเสียงดูไม่พอใจ คิ้วเริ่มขมวดจนเกือบจะเป็นปม

                “ทำไมนายถึงใจร้ายนัก ใครสารภาพรัก นายก็ไม่เคยรับ บอกมานะว่านายชอบคนแบบไหน”

                “ผมไม่ชอบผู้หญิงไร้สาระ แม้จะสวยแต่ถ้าทำตัวไร้สาระ ผมก็ไม่ชอบ ขอโทษนะผมคงรับรักเธอไม่ได้เพราะผมมันเป็นคนใจร้ายนี่”  พูดจบก็หันกลับเดินจากไปทันที

                ปรียาดาหันไปมองหญิงสาวเจ้าของจดหมาย ใบหน้าขาวที่เปื้อนด้วยคราบน้ำตาก็ทำให้เธอรู้สึกเห็นใจ

 

                หลังสอบเสร็จ กลุ่มของปรียาดาก็เดินออกมาจากอาคารเรียนเพื่อไปเลี้ยงฉลองวันสอบเสร็จกัน

                “เฮอออ สอบเสร็จสักที” 

                “ปีหน้าก็ขึ้นมอ.สี่แล้ว เราจะยังได้อยู่ห้องเดียวกันอีกหรือเปล่านะ”  เพื่อนตัวอ้วนพูดขึ้น

                “เราก็ต้องได้อยู่ห้องเดียวกันสิจ๊ะคุณนิตยา” 

                “แหม เรียกซะเต็มยศเลยนะคะคุณวันวิสา”   

                “เราอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่มอ.หนึ่งนะ แล้วเราก็จะต้องได้อยู่ห้องเดียวกันจนจบปริญญาตรีเลย”

                “พูดโอเว้อเกินไปละใยวัน”  ตาหยีเหลือบหันไปเห็นเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มีอาการเหม่อลอยจึงใช้ข้อศอกไปสะกิดเพื่อนร่างบางให้หันไปมอง

                “ใยดา เป็นอะไร”

                “อ๋อ เปล่าหรอก แค่รู้สึกว่าจะไม่ได้เจอภคินตั้งเกือบสามเดือนแนะ”  ใบหน้าเรียวดูเศร้าขึ้นมาทันที

                “เอาอีกแล้วเพื่อนเรา รักข้างเดียวก็อย่างนี้ละนะ ก็ต้องทำใจ ฉันให้เธอไปสารภาพกับเขาตั้งแต่มอ.หนึ่งแล้ว เธอก็ไม่กล้าสักที”

                “โถนิด บ้าเหรอ ไม่เห็นหรือยังไงว่ากี่คน  ๆ ที่สารภาพกับเขา เขาก็ปฏิเสธหมด”  ปรียาดาตอบ

                “นั่นสิ เอ หรือว่าภคินจะชอบผู้ชายวะ”  พูดจบก็หัวเราะชอบใจ

                “บ้าน่า อย่าทำให้เพื่อนต้องขวัญหนีดีฝ่อสิใยนิด”  วันปรามเพราะเห็นใจเพื่อนรัก

                “ดา เธอไม่คิดมากใช่ไหม”

                “ไม่หรอกจ๊ะ” หน้าขาวหันมายิ้มให้เพื่อน

                “ฉันก็แค่คิดถึงเขามากกว่าเดิมเท่านั้นเอง” สายตาปรียาดาเหลือบไปเห็นภคินที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ บริเวณสนามบาสเกตบอล เธอจึงหยุดยืนมองเขาเพื่อเก็บเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน

                ‘ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะหลงรักเขามากขนาดนี้ ความรักของฉันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันเปิดเทอมวันแรก ฉันเดินผ่านห้องเรียนของเขาซึ่งเขากำลังยืนแนะนำตัวเองอยู่หน้าห้อง ใบหน้าคมของเขาทำให้ฉันก้าวขาไม่ออกต้องหยุดชะงักยืนมอง ปากเรียวเล็กที่ขยับพูดเหมือนกำลังร่ายมนต์สะกดทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เหมือนรอบ ๆ ตัวเขามีแสงออร่าพุ่งสะท้านมาที่ฉัน ทำให้สายตาของฉันมองแค่เขาเพียงผู้เดียว’

               

ร้านไอศกรีมเห็นจะเป็นที่ประจำของสามสาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใกล้กับโรงเรียน พวกเธอมาที่นี่บ่อยมากจนเจ้าของร้านจำได้เลยว่าแต่ละคนชอบสั่งอะไร

“อืม ดา แล้วบ้านใหม่ของเธอเป็นยังไงบ้างละ”  สาวอ้วนพูดจบก็ตักไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่คำใหญ่เข้าปาก

“อ๋อ ตอนนี้ก็ทยอยเอาของเข้าบ้านนะ คาดว่าเดือนหน้าก็คงย้ายเข้าได้แล้วละ” 

“ย้ายเสร็จเมื่อไหร่ก็บอกพวกเราบ้างนะ หรือจะให้พวกเราไปช่วยขนก็ได้นะ” 

“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ เหนื่อยเปล่า ๆ นะ ย้ายเสร็จแล้วฉันจะบอกนะ” ยิ้มหวานให้วันวิสาที่นั่งข้าง ๆ

“เอ๊ะ! นั่นมันผู้หญิงคนที่ไปสารภาพรักกับภคินนี่”  นิตยาชะเง้อมองออกไปนอกร้านจนเพื่อนทั้งสองก็มองตามออกไป

“น่าเห็นใจเธอเหมือนกันนะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยละ” ปรียาดาพูดพร้อมกับก้มลงเขี่ยไอศกรีมรสวานิลลาในชามแก้ว

“แล้วดาจะไปสารภาพรักกับภคินหรือเปล่า” 

“นั่นนะสิ จะรักข้างเดียวอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนละ”

“ถึงสารภาพไป เขาก็ปฏิเสธฉัน ฉันก็ยังคงรักเขาข้างเดียวอยู่ดีนั่นแหละ”

“แต่ไม่แน่นะดา เขาอาจจะชอบคนอย่างเธอก็ได้นะ” นิดหันไปหัวเราะชอบใจกับวันที่กำลังคาบช้อนไอศกรีมอยู่

“หัวเราะไปเถอะ แม่คนสวย”  ปรียาดาชักสีหน้าไม่พอใจ ก้มหน้ากินไอศกรีมตรงหน้าไม่สนใจเพื่อน

“โถ ดา ถึงเธอจะไม่ใช่คนสวย แต่ก็จัดว่าน่ารักนะ”  วันวิสาพูดถูกเพราะเธอจัดอยู่ในประเภทคนที่ต้องพิจารณาถึงจะสังเกตเห็นถึงความน่ารัก

“ฉันว่าคนน่ารักดีกว่าคนสวยตั้งเยอะ ดูแล้วไม่เบื่อ” 

“ใช่ ๆๆ ฉันเห็นด้วย เอาเป็นว่าเราน่ารักกันทั้งสามคนเลยแล้วกันนะ”  ทั้งสามหัวเราะชอบใจ

 

‘การรอคอยเป็นสิ่งที่ทรมานสำหรับฉัน แต่ฉันก็จะรอจนกว่าจะพบเธออีกครั้งในวันเปิดเทอมนะ ภคิน’

               

                เวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบสองเดือน ปรียาดากับพ่อของเขาก็ช่วยกันย้ายของเข้าบ้านใหม่ บ้านเกือบห้าสิบตารางวานี้ พ่อของเธอทำงานหนัก เก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อบ้านใหม่หลังนี้ ไม่ต้องไปอยู่บ้านเช่าที่โทรม ๆ ร่วมแรมปีอีกต่อไปแล้ว เธอจำได้ว่าตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้อยู่บ้านของตัวเองจริง ๆ สักที

                คุณวัฒนะ เรืองจันทร์หรือโย่ง ที่ได้ชื่อโย่งเพราะตอนหนุ่ม ๆ นั้น เขาเป็นคนตัวสูง ผอม ดูโย่ง ๆ ผิดกับตอนนี้ที่ดูจะอ้วนลงพุง ทำงานเป็นข้าร้าชการมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ จนวัยกลางคนแล้วถึงซื้อบ้านใหม่เพื่ออยู่ใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิตกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน

                การขนย้ายของเกือบเสร็จสมบูรณ์ ปรียาดายกถาดน้ำชาไปตั้งที่ม้าหินบริเวณหน้าบ้านในช่วงเย็น

                “พ่อคะ น้ำชาคะ”  เธอรินชาใบเตยใส่ถ้วยน้ำชาเซ็ตโปรดของพ่อที่พ่อเธอเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเซ็ตน้ำชาที่เคยใช้ด้วยกันกับภรรยาสุดที่รัก สีขาวลายดอกโบตั๋นสีน้ำเงินซึ่งถูกถนอมไว้เป็นอย่างดี

                “ขอบใจมากลูก” เขายกน้ำชาขึ้นดื่มก่อนพูดต่อว่า

                “พ่อว่า เดี๋ยวพ่อจะซื้อชิงช้ามาอีกสักตัว เอาไว้ให้ลูกนั่งเล่นอ่านหนังสือ”

                “ดาว่าไม่ต้องหรอกคะ แค่ม้าหินก็พอแล้ว”

                “ไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อสั่งของเอาไว้แล้ว ในที่สุดเราก็มีบ้านเป็นของตัวเองสักที”  พูดไปก็หันมองบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังสีขาวไป

                “พ่อต้องเหนื่อยมากจริง ๆ” 

                “เพื่อลูก เพื่อเรา พ่อทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ เฮอออ”  เขาถอนหายใจดังก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอีก

                “แม่เราน่าจะอายุยืนอีกสักหน่อย ไม่น่าจากพวกเราไปเร็วเลย”

                “พ่อคะ” มือเรียวเอื้อมไปจับมือหนา น้ำตาเริ่มเอ่อล้นเมื่อพ่อเขาพูดถึงผู้เป็นมารดาที่จากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก

                “แม้หนูจะมีความทรงจำร่วมกับแม่น้อยมาก แต่หนูก็รักและคิดถึงท่านมากเหมือนกัน”  มือใหญ่จับมือเล็กอย่างทะนุถนอม

                “พ่อว่า แม่ต้องรับรู้ได้แน่ ๆ” 

                “พ่อคะ บ้านข้าง ๆ เรานี่ใหญ่มากเลยนะคะ” เขาหันไปมองตามเธอ

                “ก็เขาซื้อตั้งสามหลังนี่ลูก ใหญ่สุดในหมู่บ้านเลยละพ่อว่า กว่าพวกเขาจะเข้าย้ายก็คงเดือนหน้านั่นละ หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน”

                “เอ่อ พ่อคะ”  ใบหน้าดูมีลับลมคมใน

                “ดา ขอถามพ่อเรื่องนึงได้ไหมคะ”  พร้อมรินน้ำชาใส่ถ้วยของพ่อ

                “อะไรละลูก”

                “คือว่า”  ยังมีความกังวลว่าไม่รู้จะพูดดีหรือไม่แต่ก็ตัดสินใจพูดออกไป

                “เอ่อ พ่อคิดยังไงกับเรื่องที่ผู้หญิงสารภาพรักกับผู้ชายก่อนเหรอคะ”  คิ้วขมวด ครุ่นคิดพร้อมกับดื่มชาไปด้วย

                “ถ้าเป็นสมัยรุ่นพ่อ การที่ผู้หญิงจะไปสารภาพรักกับผู้ชายก่อน มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว พ่อเคยเห็นผู้หญิงบอกรักผู้ชายก็เยอะไป เอ๊ะ!! ลูกถามแบบนี้ทำไมเหรอ” ดวงตาโตจ้องลูกสาวเขม็ง

                “อ๋อ หนูแค่ถามเฉย ๆ คะพ่อ”

                “ลูกแอบไปชอบใครรึเปล่า” 

                “คือว่า” สาวน้อยก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตาของเขา  เห็นทีชายอ้วนในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลจะสังเกตได้ว่าลูกสาวของเขานั้นกำลังมีความรัก

                “เฮออ พ่อคงแก่เกินไปแล้วที่จะเข้าใจวัยรุ่นสมัยนี้ พ่อว่าการรักใครสักคนมันเป็นเรื่องที่สวยงาม ในสมัยนี้ผู้หญิงบอกรักผู้ชายก่อนก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่พ่ออยากให้ลูกคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วย ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าไม่ดีมาหลอกลูก แบบนี้มันคงไม่ดี แล้วถ้าเกิดว่าเขาปฏิเสธที่จะรับรักของลูก ลูกจะรับมันได้ไหม ลูกจะเข้มแข็งพอหรือเปล่า พ่ออยากให้ลูกคิดให้ดี ๆ ก่อนจะทำอะไรนะลูก” 

                “คะพ่อ”

                “เอาละ หิวหรือยัง พ่อจะทำกับข้าวให้กิน รีบเข้าบ้านนะลูกเดี๋ยวยุงกัด”  เธอยิ้มให้พ่อที่กำลังลุกพร้อมยกถาดน้ำชาเข้าบ้าน ปล่อยให้ลูกสาวใช้ความคิดไตร่ตรองว่าควรทำสิ่งใด

 

                วันแรกของการเข้าอยู่บ้านก็เกือบจะเปิดเทอมใหม่พอดี บ้านเกือบทุกหลังก็เข้ามาอยู่กันหมดแล้ว ยกเว้นข้างบ้านของเธอที่ยังมืดสนิท ปรียาดานั่งหวีผมหลังจากอาบน้ำเสร็จที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวเกือบถึงกลางหลังแล้ว ผมหน้ามาที่เธอไปตัดยิ่งทำให้ใบหน้าเธอดูเด็กลงเหมือนยังคงเป็นเด็กมัธยมต้นยังไงยังงั้น

                ‘พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ฉันจะได้เจอกับเธอ ภคิน’

                เธอแทบจะรอถึงวันพรุ่งนี้ไม่ไหวจริง ๆ เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนหรือเขาจะยังคงเป็นหนุ่มที่เงียบขรึมเหมือนเดิม

 

                ตอนเช้าอากาศช่างสดชื่นเสียเหลือเกินจนปรียาดาต้องยิ้มหน้าบานรับอากาศที่กระทบใบหน้าอันขาวนวล เธอเดินเข้ามาในโรงเรียนอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะแน่นอนมันเป็นวันที่เธอรอคอยที่จะได้เจอเขาเป็นวันแรกหลังปิดภาคเรียนไปเกือบสามเดือน เปิดเทอมวันแรกของเด็กมอ.ปลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือเสื้อผ้าให้เข้ากับวัย เสื้อเชิ้ตสีขาวชายเสื้อใส่ในกระโปรงจีบหน้าสีกรมท่า ดีที่ระดับมัธยมปลายทางโรงเรียนไม่ได้เข้มงวดเรื่องทรงผมมากนักจะไว้สั้นไว้ยาวได้ตามใจชอบแต่ต้องทำผมให้เหมาะสมกับสถานศึกษาเหมือนกับเธอที่ทำผมก้าวรวบสูงผูกโบสีน้ำเงิน

                ปรียาดาเดินไปยังบอร์ดตารางเรียนที่ติดไว้บริเวณชั้นหนึ่งของอาคารเรียน เธอขอทางเพื่อน ๆ เข้าไปดูบอร์ด แทนที่เธอจะดูห้องเรียนของตัวเอง เธอกลับไปดูห้องของภคินแทน

                “เรียนหนักจัง ห้องวิทย์ คณิตก็อย่างนี้ละ”  เธอหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนจะเดินไปถ่ายรูปตารางเรียนของห้องเธอ เสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้ปรียาดาที่กำลังขอทางนักเรียนออกมาจากตรงนั้นหันไปตามเสียง รอยยิ้มปรากฏขึ้นเมื่อเป็นเพื่อนรักของเธอ วันวิสาเธอไว้ผมสั้นบ๊อบเทรย์ดูน่ารักตามแบบฉบับสาวมั่นและรับกับใบหน้าเรียวยิ่งดูน่ารักมาก เธอได้ข่าวว่าเมื่อเพื่อนเธอไว้ผมทรงนี้หนุ่ม ๆ ก็เข้ามารุมจีบกันยกใหญ่ ส่วนนิตยาที่ดูเปลี่ยนแปลงไปเห็นทีจะแค่ทรงผมที่ยาวขึ้น รูปร่างอ้วนก็ยังเป็นเหมือนเดิมยิ่งรวบผมขึ้นยิ่งทำให้ดูหน้ากลมใหญ่ขึ้นไปอีก ปรียาดาเดินไปหาเพื่อนด้วยความดีใจ

                “คิดถึงพวกเธอจังเลย”  ทั้งสามเข้ากอดกันด้วยความคิดถึงเพราะพวกเธอแทบจะไม่ได้เจอกันเลยตลอดสามเดือนมีแต่โทรศัพท์คุยกันเท่านั้น

                “แกดูสวยขึ้นจริง ๆ นะวัน”

                “ขอบใจจ้าดา เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ ไว้ผมม้าดูน่ารักดี น่าจะไว้ตั้งนานแล้ว”

                “ใช่ ไม่แน่ว่าภคินอาจจะชอบก็ได้”  นิตยาเสริม 

                “แล้วพวกเธอเห็นภคินบ้างรึเปล่า ฉันยังไม่เห็นเลย”  ปรียาดาถามพร้อมหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาหนุ่มในฝัน

                “ยังไม่เห็นเลย ฉันว่าขึ้นห้องเรียนกันดีกว่า ฉันมีเรื่องเม้าท์เยอะแยะเลย”  นิตยาเสนอจนเพื่อนทั้งสองก็ตัดสินใจเดินไปยังห้องเรียน

                วันแรกของการมาเรียนส่วนมากก็จะตั้งใจพูดคุย เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองได้เจอในช่วงปิดเทอม เห็นทีนิตยาจะเป็นคนที่สร้างความสีสันให้กับเพื่อน ๆ ในห้องเป็นอย่างดี เพื่อน ๆ หัวเราะชอบใจกับสิ่งที่เธอเล่าพร้อมออกท่าทาง ผิดกับปรียาดาที่นั่งเท้าคางเหม่อลอยออกไปนอกห้อง

                “ดา เป็นอะไรรึเปล่า”  สาวผมบ๊อบเดินมานั่งข้าง ๆ

                “ฉันรอคอยวันนี้เพื่อจะได้พบเขา แต่นี้ก็จะเที่ยงแล้วยังไม่เห็นเลย”

                “งั้น ไปหาเขากันดีมั๊ย เธอก็รู้ห้องเรียนเขานี่” 

                “บ้าเหรอ ไม่เอาหรอก”

                “แล้วก็มานั่งเศร้าซึมอย่างนี้นะ ไม่เห็นเหมือนใยนิดเลย พูดตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดปากเลย”  พร้อมหันไปมองเพื่อนตัวอ้วนที่ดูจะไม่เครียดไม่สนใจอะไรนอกจากจะทำให้เพื่อนหัวเราะอย่างมีความสุข

                “ฉันอยากเป็นอย่างใยนิดจัง ไม่ต้องคิดอะไร”

                “แกก็เป็นได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจต่างหาก ปะ ไปหาเขากัน”

                “แล้วจะไปพูดอะไรกับเขาละ”

                “แค่ไปแอบดูก็ได้ เราก็ทำกันบ่อยไป”

                “แล้วใยนิดละ”

                “นิด หยุดพูดได้แล้ว มานี่สิ!”  วันวิสาตะโกนเรียนจนเพื่อนเสียอารมณ์ที่มาขัดจังหวะ

                “มีอะไร ฉันกำลังมันเลย”  สีหน้าไม่พอใจจนเห็นได้ชัด

                “เราจะไปหาภคินกัน แกจะไปมะ”  นิตยาทำท่าคิดเมื่อได้ยินอย่างนั้น

                “ไปสิ มัวรออะไรอยู่ละ” 

                ทั้งสามตัดสินใจเดินไปยังห้องเรียนของภคินในช่วงพักเที่ยง ลองแกล้งเดินผ่านแล้วมองเข้าไปก็ต้องเห็นภคินกำลังทบทวนตำราเรียนกับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่งอยู่  เขาดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย คงเป็นทรงผมที่ยาวขึ้นและจัดเป็นทรงที่ทำให้เขาดูหล่อขึ้นกว่าเก่ามาก แค่นี้ก็ทำให้ปรียาดายิ้มได้แล้ว

                ในขณะที่ทั้งสามกำลังเดินกลับไปที่ห้อง ก็ต้องได้ยินนักเรียนกลุ่มหนึ่งพูดขึ้น พวกเธอจะไม่สนใจเลยถ้าในบทสนทนานั้นจะไม่มีชื่อ ‘ภคิน’ อยู่ในนั้น จับใจความได้ว่าภคินจะย้าย เมื่อกี้นี้ปรียาดาเธอยังมีความสุขอยู่เลยทำไมอารมณ์ถึงเปลี่ยนไปรุนแรงเช่นนี้

                ‘ไม่จริงใช่ไหม เธอจะย้ายไปไหน เธอก็อยู่ไกลจากฉันอยู่แล้ว เธอยิ่งหนีฉันไปไกลอีก ฉันควรทำยังไงดี’

                เหมือนร่างกายของปรียาดาจะอ่อนแรงจนเพื่อน ๆ ของเธอต้องคอยประคองไว้

                “ใยดา ไม่เป็นอะไรนะ”  วันวิสาถามขึ้น

                “ใยดา!!!”  เห็นทีร่างกายของเธอไร้การตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น นั่งลงล้มทับร่างบางจนเกือบจุก

                “ใยดา ใจเย็น ๆ ก่อนนะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ โอ๊ย!!”  แม้ร่างกายจะรู้สึกจุกแต่ก็ปลอบใจเพื่อน

                “เขาจะย้ายไปเหรอ ทำไมละ ทำไมเขาจะต้องย้ายไปด้วย”  อาการร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กทำให้นักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นถึงกับมองกันเป็นสายตาเดียว

                “นี่!! ไม่อายคนเขาบ้างเหรอ แกไม่อายแต่พวกเราอายนะ”  นิตยาพูดขึ้น

                “ฉันไม่อายใครทั้งนั้นแหละ ฮือ ฮือ ทำไมเขาต้องย้ายไปด้วยละนิ”

                “เฮอออ ฉันจะรู้ไหมฮะ!” นิตยาอารมณ์เสียเมื่อเพื่อนถามอย่างไม่คิด

“ เพื่อนชั้นเป็นเอามากจริง ๆ งั้นเอางี้ ไปสารภาพรักกับเขาสิ” นิตยาออกความคิดเห็นจนปรียาดาเงยหน้ามองเพื่อนที่ยืนอยู่และดูอาการของเธอจะเงียบลงไปด้วย 

“แต่ฉันไม่กล้านะสิ”  ปรียาดาก้มหน้าเสียใจที่ต่อแต่นี้ไปเธอจะไม่ได้พบเจอกับภคินอีก

“แต่นี่เป็นความคิดที่ดีนะ สารภาพรักกับเขา ถ้าไม่ทำตอนนี้แกจะไม่มีโอกาสบอกกับเขาอีกเลยนะ”

“ใช่ แต่ตอนนี้ชั้นว่าเธอลุกก่อนดีกว่านะ ขาชั้นชาไปหมดแล้ว”   เหมือนปรียาดาจะได้สติเลยรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปคว้าตัวเพื่อนให้ลุกขึ้น

“ฉันขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก”

“แล้วตกลงแกจะเอายังไงใยดา”  นิตยาถามขึ้นอีกครั้ง ปรียาดาเดินไปนั่งที่ม้าหินยาวอย่างอ่อนแรงพร้อมกับไตร่ตรองว่าควรจะทำอย่างไร  คำพูดของพ่อเธอก็ผุดลอยขึ้นมา

‘ลูกจะต้องรับผลที่จะตามมาให้ได้’ 

“ฉันจะขอเก็บเอาไว้ และฉันจะพยายามลืมเขาให้ได้”  น้ำตาร่วงมาพร้อมกับประโยคสุดท้าย

“ไปเถอะ เข้าเรียนกันเถอะ เสียงกริ่งดังแล้ว”  ปรียาดาพูดพร้อมกับลุกเดินไป 

                ปรียาดาเดินเหม่อลอยค่อย ๆ ขึ้นบันไดโดยมีเพื่อนทั้งสองคอยกันด้านหลังไว้  เดินขึ้นมาจนถึงชั้นเรียนแต่อาการที่ไม่อยู่กับล่องกับลอยก็ทำให้เธอเดินไปผิดทางบ้าง เข้าห้องผิดบ้าง และทันใดนั้นเอง

                “ดา ดูสิว่าใครกำลังเดินมา”  วันวิสาเรียกสติ  เหมือนเธอจะเงยหน้ามองไปที่ทางเดิน เทพบุตรที่เธอฝันหากำลังเดินตรงมา

                “นี่เป็นโอกาสที่ดีแล้วนะดา ถ้าเธอจะสารภาพกับเขา” นิตยากระซิบข้างหู

                เขากำลังจะเดินผ่านเธอไปแล้วแต่เธอก็ยังคงยืนนิ่งไม่แม้แต่จะมองใบหน้าเขาเลย

                “ดา ทำอะไรสักอย่างสิ ดา”  เสียงที่ดังของนิตยาทำให้ปรียาดาเหมือนหลุดจากอาการเหม่อลอย

                “ภคินจะเดินไปแล้วนะ รีบไปสารภาพรักกับเขาสิ”

                “ใช่ ดาไปบอกให้เขารับรู้ก่อนที่เขาจะย้ายไป”  วันวิสาเสริม 

                ‘ฉันต้องรับผลที่ฉันได้ทำเอาไว้ ดีกว่าไม่บอกให้เธอได้รู้’  ปรียาดาหายใจเข้า - ออกเพื่อเพิ่มพลัง เธอกับหลังหันแล้วไปดักหน้าร่างสูงจนเขาตกใจและมองไปที่เธอ หญิงสาวที่เขาไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จักอย่างสงสัย

                “ภคิน ฉันชื่อปรียาดานะ ยังไงแล้ว ฉันก็จะต้องบอกกับเธอให้เธอได้รู้ คือว่า ฉัน ฉันชอบเธอนะ ชอบเธอมาตั้งแต่มอ.หนึ่งแล้ว”

                “แล้วไง”  น้ำเสียงของเขาช่างเฉยชา

                “เอ่อ คือ” ปรียาดากำมือแน่นก้มหน้าตัวสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม เขากอดอกมองหน้าเธอ

                “ไม่เข้าใจจริง ๆ นะว่า ผู้หญิงสมัยนี้มีเรื่องอะไรเก็บไว้ในหัวสมองบ้าง ท่าว่าจะมีแต่เรื่องไร้สาระ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มันมีประโยชน์ดีกว่านะ ฉันไม่ชอบคนไร้สาระอย่างเธอหรอก”  พูดแทงหัวใจอันบอบบางของเธอเสร็จก็เดินผ่านเธอไป ปรียาดาหอบแหกเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาไม่มีผิด หัวใจเต้นเร็วและแรง เพื่อนทั้งสองรีบไปหาเธอทันทีอย่างนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าสารภาพรักกับภคินได้

                “ดา เป็นยังไงบ้าง”  นิตยาถามอย่างเป็นห่วง เธอมองเพื่อนทั้งสองก่อนจะสลบไป

 

                “หมดแล้วชีวิตของฉัน ฉันจะมองหน้าเขาติดไหม”  ปรียาดานั่งกลุ้มใจที่ม้าหินที่เธอกับเพื่อน ๆ จะมานั่งคุย นั่งเล่นกันประจำ

                “ดา ไม่เป็นไรหรอกนะ อย่างน้อยเธอก็ได้บอกให้เขารับรู้”  วันปลอบใจเพื่อน

                “ใช่ วันพูดถูก”

                “ฉันทำถูกแล้วใช่ไหม”

                “เธอทำถูกแล้วดา”  แต่เหมือนเธอจะไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ นั่งหันหน้าไปทางอื่นและนั่นก็ทำให้เธอไปเห็นสิ่งที่ทำให้เธอบาดตาบาดใจเธอที่สุด สีหน้าที่ดูตกใจของปรียาดาทำให้เพื่อน ๆ ต้องหันไปมองตาม รอยยิ้มของเขาช่างดูมีความสุขกับนักเรียนหญิงผูกคอซอง

                “นั่นใครนะ ทำไมถึงดูสนิทสนมกับภคินนัก” วันพูดขึ้นอย่างสงสัย

                “หรือว่า คนที่ภคินชอบจะเป็นเธอคนนั้น ภคินชอบรุ่นน้องเหรอ”

                “ไม่นะ ชีวิตฉันพังป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแล้ว เขามีคนที่เขารักอยู่แล้ว”  เสียงสะอื้นเริ่มต้นอีกครั้ง

                “แถมน้องคนนั้นยังดูน่ารักมากด้วย นี่ฉันอกหักแล้วเหรอเนี๊ยะ”  ปรียาดายิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนัก

                “โถดา อย่าร้องนะ อย่าร้อง”  วันกระเทิบมานั่งใกล้เพื่อนรักพร้อมกับโอบกอดเธอไว้

                “ฉันรักเขามาตั้งนาน แทนที่เขาจะเห็นค่าความรักของฉันหน่อยก็ไม่ได้ ฉันไม่เคยปันใจไปรักชายอื่นเลยนะ เขาเป็นรักครั้งแรกของฉัน ฮือ ฮือ ความรักของฉันพังหมดแล้ว”  เธอยิ่งร้องไห้หนักพร้อมกับซบลงบนไหล่ของเพื่อน

                “ฉันจะตัดใจจากเขาได้ยังไงกัน ฉันรักเขามากเลยนะ ฉันต้องทำยังไงดี ฉันต้องทำยังไง”

 

                ในคืนนั้นปรียาดานั่งทำการบ้านที่โต๊ะหนังสือภายในห้องนอน แต่ไม่มีสมาธิเท่าไหร่นักเพราะใบหน้าของภคินที่ลอยวนเวียนอยู่ในสมองของเธอ แถมมีภาพที่ภคินกับผู้หญิงหมวยที่มาตามหลอกหลอนเธออย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ยิ่งประโยคที่เขาตัดรอนเธออย่างง่ายดายยิ่งทำให้ร่างกายที่บอบบางของเธออ่อนแรง ฟุบหน้าลงจมกองหนังสือ

                ‘ก๊อก ก๊อก’ เสียงเคาะประตูดังขึ้น

                “ดาลูก ทานข้าวได้แล้วลูก”

                “หนูยังไม่หิวคะพ่อ” น้ำเสียงสั่นเครือ  เสียงเปิดประตูไม่ได้ทำให้ปรียาดาผงกศีรษะขึ้นมาดูแม้แต่นิด

                “ดา เป็นอะไรลูก” ปรียาดาเงยหน้ามาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นจนเขาต้องเข้ากอดลูกสาวด้วยความห่วงใย

                “ดา เป็นอะไรบอกพ่อสิลูก”

                “พ่อคะ หนูขอโทษ หนูทำให้พ่อผิดหวัง”

                “เล่าให้พ่อฟังได้ไหม”  เธอผละออกจากอ้อมกอดของพ่อแล้วเดินไปนั่งที่เตียงเดี่ยวผ้าห่มลายการ์ตูนสีชมพูน่ารัก

                “คือหนู หนูไปสารภาพรักกับผู้ชายคนหนึ่งมาคะ หนูรักเขามาก รักมานานมากด้วยคะ” ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินมานั่งข้าง ๆ ลูกสาวอย่างเห็นใจ

                “ถ้าอย่างนั้นเขาคงปฏิเสธใช่ไหม”  เธอพยักหน้าพร้อมกับเบะปากเตรียมพร้อมที่จะเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

                “บางทีที่เขาปฏิเสธลูกคงเป็นเพราะเขายังไม่รู้จักลูกของพ่อดีพอ ถ้าเขารู้ว่าลูกของพ่อเป็นเด็กจิตใจดี เป็นเด็กน่ารัก เขาคงไม่ปฏิเสธลูกหรอก”

                “หนูควรทำยังไงดีคะพ่อ”

                “ตอนที่พ่อจีบแม่ ตอนแรก ๆ แม่ก็ไม่ค่อยชอบพ่อหรอก กว่าพ่อจะจีบแม่ติดก็เกือบปีนะลูก”

                “เกือบปีเลยเหรอคะ!!”

                “ใช่ ไม่รู้ว่าแม่เขาเห็นอะไรในตัวพ่อ อาจจะเห็นความพยายามของพ่อก็เป็นได้ แม่เลยใจอ่อนยอมคบกับพ่อ”  ปรียาดาเผยยิ้มในความสุขเล็ก ๆ ของความทรงจำระหว่างพวกเขา

                “ความรัก มันไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นได้นะลูก” พ่อเธอเสริมต่อ  “มันต้องออกมาจากความรู้สึก อาจจะมีเหตุผลมาประกอบร่วมด้วย ไอ้ประโยคที่ว่ารักแบบไม่มีเหตุผลนะ พ่อไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ลูกก็ต้องมีเหตุผลที่ไปรักเขา พ่อพูดถูกไหม”

                “พูดก็พูดเถอะคะ หนูคงเริ่มรักเขาก็เพราะใบหน้าที่หล่อของเขา เขาดูดีมาก ดีกว่าใครที่หนูเคยเห็นมา และเมื่อเจอเขาในโรงเรียนบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้หนูรักเขามากขึ้น เขาเป็นคนเรียนเก่ง สอบอะไรก็ได้ที่หนึ่ง เขาชอบช่วยเหลือกิจกรรมของโรงเรียน ไปแข่งบาสเกตบอลก็ไม่เคยแพ้ เขาจะชอบอาสาไปช่วยเหลือคนในชุมชนต่าง ๆ คงแบบนี้ละมั้งคะ เขาถึงว่าหนูเป็นคนไร้สาระ”

                “ถ้าอย่างนั้นหนูก็มองเขาเป็นแรงผลักดันสิลูก” หญิงสาวทำหน้าฉงน

                “อย่ารักเขาเพราะต้องการแค่ครอบครอง ให้มองเป็นแรงผลักดันให้หนูทำอะไรได้สำเร็จสักครึ่งหนึ่งของเขาก็ได้ บางทีมันอาจจะช่วยหนูไม่ให้เสียใจมากและทำใจได้เร็วยิ่งขึ้น และไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้าเขาอาจจะหันมามองหนูบ้างก็ได้”  ปรียาดายิ้มเพราะมันช่วยให้เธอสบายใจขึ้นมาก

                “ขอบคุณคะพ่อ”

                “พ่อจะทำให้ดีที่สุดเพื่อลูกรักของพ่อ ไปลูก ไปทานข้าวกันดีกว่า พ่อหิวแล้ว”

                “หนูก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกันคะ”

                “แสดงว่าสบายใจแล้วใช่ไหมลูก”

                “คะ หนูสบายใจขึ้นเยอะเลยคะ หนูจะมองเขาเป็นแรงผลักดัน หนูจะรักเขาแบบที่ไม่ต้องการครอบครอง”

                “ดีแล้วลูก ไปกินข้าวกันดีกว่า กับข้าวเย็นหมดละ”  เธอเดินกอดพ่อเธอลงไปทานข้าวอย่างมีความสุข

 

‘ไม่เป็นไรถ้าเธอไม่รักฉัน ฉันขอแค่ให้ฉันได้รักเธอก็พอ ภคิน’

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา