ทำไมมันยากจังกับการคุยกับคนอื่น
-
เขียนโดย Fade
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 14.30 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
3,363 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561 14.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทสนทนาที่2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“มนุษย์เราต้องมีความกล้าระดับไหนกัน ที่จะกล้าชวนคนอื่นไปในที่ไม่มีคน”
ผมพิมพ์ถามเคียวสุเกะในแชทบ็อกซ์
“ก็คงอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวจริงๆ ว่าแต่ใครชวนนายหรอ?”
“หัวหน้าห้องน่ะ”
“ผู้ชายผู้หญิงล่ะ”
“หญิง”
“เอ๋!!”
เคียวสุเกะตอบมาด้วยความแปลกใจ มันสมควรจะเป็นยังงั้นขนาดผมยังไม่อยากเชื่อเลย
“ไม่เบานะเรา ฉันไปละเพราะฉันมาสายตอนเช้า เลยโดนลากให้ไปช่วยซะงั้น ขอให้สนุกนะ ปล.อย่าไปลวนลามเขาล่ะ ปล.สอง เล่าให้ฟังด้วยตอนเย็นนี้ ปล.สาม ไม่มีอะไร”
ไอ้เคียว... ผมปิดล็อคหน้าจอ หลังจากนั้นคาบพัก เธอมองมาที่ผมหลายครั้งมากๆ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนเธอจะยังไม่เชื่อที่ผมพูดล่ะมั้ง แต่เรื่องที่เธอปฏิเสธพ่อหนุ่มคนนั้น ล่าสุดก็ไม่มีข่าวลืออะไรนะ หลังจากนั้นคาบพักก็หมดไป ในขณะคาบเรียนเธอก็พยายามมองมาที่ผมตลอดเวลา แต่จะว่าไปตอนเธอมาชวนผมตอนนั้น คนทั้งห้องมองเต็มไปหมดเลย นี่สินะความป๊อบมากๆในหมู่ผู้คน ชักสงสัยจริงๆ ว่าจะอยู่ยังไงถ้ามีสายตาคนพวกนี้จ้องอยู่ตลอดเวลา
เวลาล่วงเลยจนไปถึงพักเที่ยง เธอเดินมาที่โต๊ะผม
“ฉันขึ้นไปก่อนนะ”
พอพูดจบเธอก็หยิบกล่องอาหารขึ้นไปพร้อม ทุกคนจับจ้องมาที่ผม
“แฮะๆ”
ผมยิ้งแห้งๆตอบกลับทุกคนไป เดียวแล้วทำไมผมต้องทำยังงั้นด้วยนะ หรือนี่จะเป็นแรงกดดันตามธรรมชาติที่ผู้ถูกล่าต้องเคารพผู้ล่ากันนะ ในขณะที่ผมนั่งสักพักผมก็ลุกออกไป เพราะแค่ไม่อยากเป็นจุดเด่นตอนที่เดินไปกับเธอก็แค่นั้น ก็เลยออกไปช้ากว่าหน่อย ตอนที่กำลังจะเดินอยู่ทางเดิน ผมหยุดเดินซักพักเพราะดันเหม่อลอยขึ้นมา แต่บังเอิญว่า....
ปัก!
มีคนดันเดินเอาหัวมาโขกข้างหลังของผม เดียวนะหัวโขกข้างหลัง นี่เด็กหรืออะไรเนี่ย
ผมหันไป เจอกับ แม่สาวหัวชมพูนั่งอยู่กับพื้น สงสัยคงจะเดินมาชนผมจนล้ม
“เดินอะไรของนายเนี่ย หัดดูทางมั่งสิ”
เอ~ เดียวนะผมยืนอยู่ทางเดินแต่เธอดันเดินมาชนผม แล้วบอกว่าผมชนเธอ อะไรของเธอกันนะ
“ขอโทษครับ”
ผมตอบแบบขอไปที เธอชักสีหน้าใส่ผมทันทีพร้อมกับลุกขึ้น
“หึ! ตอบแบบไม่รู้จักสำนึก นิสัยเสียชะมัด”
เอ่อ วอทเดอะฟั* ผมไปทำอะไรให้หล่อนไม่พอใจกัน นี่ฉันคุยกับคนบ้าอยู่รึยังไง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นผู้ชายที่นิสัยแย่ขนาดนี้ ดูเป็นคนนิ่งๆ นึกว่าจะเป็นคนนิสัยดี ที่ไหนได้ ก็พวกมืดมนต์แท้ๆ”
เอ~ เหมือนเธอจะอยากไฟท์กับผมเพราะเรื่องอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่เรื่องนี้ เหมือนเธอพยายามโยงเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ในขณะที่เธอบ่น ผมก็หันหน้าหนี และเดินตรงมาที่ดาดฟ้า ในขณะที่เธอกำลังพูด ‘จะไปไหนไอ้บ้ากลับมาเดียวนี้นะ บลาๆ’ ตอนนี้สมองผมเลิกรับฟังเธอไปแล้ว เหมือนกับข้างหน้าเป็นถนนสายรุ้ง และเธอเป็นเพียงเสียงเด็กที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางเท่านั้นเอง หลังจากนั้นผมเดินขึ้นไปดาดฟ้า ผมเปิดประตูออกเบาๆ เห็นเธอกำลังนั่งมองท้องฟ้า แววตาที่ดูเศร้านั่น แววตาที่ว่างเปล่านั่น กับผมสั้นปะบ่าที่กำลังปิวไปมา ผิวที่เนียนนั่น บุคลิกอันสง่า ทั้งหมดนี้สินะที่ทำให้ทุกคนหลงไหลในตัวเธอ และเดินเข้ามาบอกรักเธอเสมอ ผมว่า... ผมอาจ หลง..... ไม่ ไม่มีทางนี่มันเหมือนในอีเวนท์เกมจีบสาวที่ผมเคยเล่นแท้ๆ แหมถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาคงหลงรักไปแล้วในสภาพนี้ ดาดฟ้ามีเพียงเราสอง นั่งคุยสารทุกข์สุขดิบด้วยกัน แอวะ ฟังดูทำให้ไม่อยากอาหารกลางวันซะงั้น และอีกอย่าง แค่การคุยกับคนคนหนึ่งยังยากสำหรับผมแล้ว อย่าหวังเลยที่จะมาชอบใคร คิดดูแล้วขนลุกชะมัด โดยผู้หญิงป๊อบๆอย่างงี้ ผมเดินเข้าไปหาเธอด้วยท่าทีปกติ ผมไปยืนอยู่ใกล้ๆที่เธอนั่ง
“เชิญ”
เธอเชิญผมนั่ง ผมเดินถัดไปนั่งที่ม้านั่งอีกตัว และนั่งลง
“ฉันต้องขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วยนะ ถึงแม้ฉันจะคิดว่านายเป็นขยะคนหนึ่ง ที่ชอบตามติดและทำตัวขยะ แต่จริงๆฉันก็ไม่ได้สำนึกผิดจริงๆหรอก เพราะขยะอย่างนาย ก็ไม่สมควรมาสนใจฉันอยู่แล้ว”
เดียวๆ แม่คุณนี่พึ่งคุยกันจริงๆจังๆครั้งแรกนี่จัดหนักผมเลยหรอ เห็นผมบังเอิญเอาขยะไปทิ้งแค่นี้ ถึงกับเอาขยะมาเป็นตัวเรียกแทนผมเลยหรอ โหดร้ายชะมัด สงสัยคงจะเป็นระบบป้องกันตัวเองแบบอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ผมเข้าไปเหยียบเส้นความสัมพันธ์ของเธอ แต่ว่าดูเป็นระบบที่ค่อนข้างโหดร้ายทางภาษาอยู่นะ หรือว่าเธอก็เป็นแบบผม ที่ไม่สามารถเข้ากับคนอื่นได้ หรือว่าเราจะเหมือนกัน
“ทุกๆครั้งที่ฉันบอกปฏิเสธพวกนั้นไป มักจะมีเรื่องออกไปทุกๆครั้ง บางเรื่องที่ไม่คิดว่าจะไปถึงหูคนอื่นก็ดันมี”
“เธอมั่นใจได้ยังไงว่ามีคนตามเธอจริงๆ เธออาจเผลอหลงตัวเองและคิดไปเองก็ได้ บางทีอาจเป็นเจ้าตัวด้วยซ้ำที่เป็นคนบอก”
“มันก็อาจจะจริง ฉันจะยกตัวอย่างให้นายฟังละกัน สมมตุว่านายมาบอกรักฉัน และฉันตอบกลับไปว่า นายเป็นแค่ขยะแท้ๆ ทำไมถึงกล้ามาขอคบกับฉัน กลับไปอยู่ที่ที่ขยะอย่างนายควรอยู่ซะ ถ้าเป็นแบบนี้นายยังกล้าเอาไปเปล่าประกาศอีกหรอ ถ้าเปล่าประกาศฉันอาจโดนลูกหลงได้ แต่ว่าแล้วแล้วนายล่ะจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ผมขมวดคิ้ว
“อาจได้รับความสงสารไหมนะ แบบ..”
ผมพูดยังไม่ทันจบ
“ฉันว่านายก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าจริงๆแล้วสังคมเขาไม่ได้มองอย่างนั้น”
เธอแสยะยิ้ม ก็จริงของเธอ ถึงเราจะได้รับคำพูดที่ให้กำลังใจก็จริง แต่จริงๆแล้วถ้าคนนั้นไม่เหมาะสมกับคนคนนึงจริงๆ แล้วโดนหักอกมาหลายคนคงจะมีความคิดอยู่ในหัวว่า ‘สะเออะไปบอกรักเองรู้ทั้งรู้ยังไงเขาก็ไม่สน น่าสมเพชซะจริงๆ’ อะไรทำนองนี้ โดยเฉพาะคนที่ป็อบๆอยู่แล้วคนยิ่งสมน้ำหน้ามากกว่าที่จะมาสงสาร
“แล้วที่เรียกมามีอะไร”
เธอก้มหน้าก้มตาเปิดกล่องอาหารกลางวัน
“กินก่อนสิ”
เธอยื่นกล่องอาหารที่เตรียมไว้ให้ผมมา ข้างในไม่มีผักอยู่เลย เรียกว่าอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนล้วนๆ ผมเริ่มกินจากมีทบอล และต่อด้วยไส้กรอก ในระหว่างผมกำลังทานอาหารอยู่นั้น
“ฉันขอให้นายช่วยจับตาดูให้ฉันหน่อย”
ผมมองไปที่เธอในขณะที่กำลังเคี้ยวเจ้า
มีทบอลอยู่ เดียวนะ ทำไมผมต้องช่วยเธอด้วยนั่นมันปัญหาของเธอแท้ๆ แต่ลองถามดูหน่อยก็ได้ว่าจะช่วยดีไหม แต่ยังไงซะผมคงปฏิเสธแน่ๆ
“ช่วยมองหาคนที่แอบดูฉันหน่อย ถ้าเกิดเหตุเหมือนเมื่อวาน....”
“ขอปฏิเสธ”
ผมพูดตัดบทสนทนาของเธอ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
“นายนี่มันพวกไม่สำนึกบุญคุณสินะ”
“บุญคุณ”
“ฉันอุส่าเลี้ยงดูให้อาหารนายเป็นอย่างดี ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะเป็นขยะที่เลี้ยงไม่เชื่องขนาดนี้”
เดียวขยะเลี้ยงได้ด้วยหรอ
“นายควรจะตอบตกลงซะ จะมีโอกาสซักเท่าไหร่เชียวที่นายจะได้ใกล้ชิดผู้หญิงสวยๆอย่างฉัน”
หลงตัวเอง
“ก็แค่รับปากก็แค่นั้นเองมันจะไปยากอะไร...”
ผมไม่สามารถหลุดโฟกัสจากคำด่าของเธอได้ ไม่ไม่ไม่ เริ่มรำคาญแล้วนะเว้ยยยย!
“ไม่ไหวจริงๆ แมวที่บ้านฉันยังเชื่องกว่านี้อีก นี่เป็นขยะแท้ๆ สมแล้วที่เป็น...”
“โอเครับก็ได้”
โคตรน่ารำคาญสุดๆ ทั้งสายตาที่เยือกเย็นนั่น ทั้งวิธีการพูดแบบนั้น โคตรน่ารำคาญสุดๆ
“ขอบคุณนะ~”
เธอทำเสียงตอแหลใส่ เกลียดชะมัดใยผู้หญิงคนนี้ หลังจากนั้นก็ถึงตอนเลิกเรียน เสียงสวรรค์ดังขึ้น ผมเดินกลับบ้านตามปกติ แต่เรื่องไม่ปกติกลับเกิดขึ้น มีผู้หญิงหัวชมพูคนนั้นตามอีกแล้ว เธอเดินตามผมมาวันนี้วันที่สองแล้ว ผมว่าผมควรเข้าไปถามเธอตรงๆดีไหม แต่ถ้าให้เดาๆ เรื่องมันน่าจะเกิดหลังจากที่ผมไปเจอเหตุการณ์ งั้นลองแอบสังเกตพฤติกรรมเธอกันหน่อย เธอพลาดแล้วที่มาตามผม คนที่อยู่คนเดียวมานานๆจะมีพลังพิเศษที่เรียกว่า ดีเทคเดอะไซจท์ หรือแปลเป็นภาษาปกติคือ การตรวจจับสายตา เพราะคนประเภทนี้จะไม่ค่อยตกเป็นเป้าสายตาคนเท่าไหร่ เลยทำให้รู้ตัวได้ว่ามีใครมองอยู่ และอีกอย่างคนประเภทนี้มักจะมีเวลาเช็คตัวเองอยู้เสมอเลยทำให้รู้ว่ากำลังมีอะไรผิดปกติในสิ่งรอบๆตัว ซึ่งแน่นอนผมเป็นหนึ่งในนั้น ด้วยการที่แทบจะไม่ได้คุยกับใครเลย ผมจึงได้สิ่งนี้มาทดแทน ผมเดินไปที่ที่ค่อนข้างลับตาคน และหลังจากนั้นผมก็เดินวนไปวนมาจนกระทั่งเข้าไปซอยซอยหนึ่ง และไม่อยากเชื่อ เธอยังกล้าตามเข้ามาที่ซอยนั้น ผมสงสัยว่าเธอยังคิดว่าผมไม่รู้ตัวอีกหรอ ผมเดินไปที่ทางแยกเข้าซอย และยืนหลบมุม รอจังวะเธอมาแล้วก็พุ่งเข้าไปถามตรงๆเลย เสียงฝีเท้าค่อยๆเข้ามา
ต๊อก ต๊อก ต๊อก
กดดันชะมัดเลย เธอเดินมาถึง เธอตกใจที่ผมมองยืนดักเธออยู่ เธอหยุดนิ่งเหมือนโดน
สตาฟไว้ยังไงยังงั้น
“ยะ ยะ โย่ว...”
เธอทักด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน เดียวนะแอบตามคนอื่นแล้วก็มาทักเนี่ยนะ
มันใช่ไหมล่ะเนี่ย ผมเขม่นตาใส่
“สะ สวัสดีครับ”
แล้วทำไมเราต้องประหม่าด้วยเนี่ย ก็แค่ผู้หญิงหัวชมพูคนเดียวเอง หรือว่า โรคกลัวคนจะกำเริบอีกแล้ว จะว่าไประแวกรอยๆนี่ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา ซวยละ
“ทะ ทานอะไรมารึยัง”
เดียวนี่พูดบ้าอะไรออกไป นี่เราประหม่าระดับไหนเนี่ย เธอส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผมก็เดินหันหลังให้เธอ ในซอยนั้นมีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง แต่มันร้านสำหรับผู้ใหญ่หน่อยๆ ตามกฎหมายแล้วพวกผมคงเข้าไม่ได้ แต่จากสภาพตอนนี้แล้วไม่มีทางเลือก ผมเดินเข้าไปในร้าน ภายในร้านเห็นคนมากมาย พวกเราเดินไปที่โต๊ะโต๊ะหนึ่ง ผมมองไปรอบๆร้าน ก็มีพวกเด็กๆเท่าผมอยู่นะ แต่พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนมาเฉยๆ อย่างผู้หญิงผม
บลอนด์คนที่แย่งโต๊ะอาหารผมวันนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย หลังจากนั้นคนรับเมนูก็มา
“รับอะไรดีคะ ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กนะคะ”
คนรับเมนูเอาหน้ามาใกล้ๆและกระซิบ
“จริงๆแล้วสั่งได้ ร้านไม่ได้ห้ามชี้บอกก็พอ”
ผมยิ้มแห้งๆตอบไป
“เชิญเลือกได้เลยค่ะ”
ผมมองไปที่เมนูอาหาร หู! แพงชะมัด จากเงินตอนนี้ผมคงกินได้จานเดียว ไม่งั้นเงินเดือนนี้มีไม่พอแหงะแซะ
“อันนี้ครับ”
ผมชี้ไปที่สปาเกตตี้โง่ๆจานหนึ่ง ถ้ากินมากกว่านี้ไม่มีเงินจ่ายแน่ๆ
“ของฉันเอาอันนี้ อันนี้...”
เดียวนะไม่ได้ดูราคารึเปล่า แต่ละอันนี้แพงๆทั้งนั้นเลยนะ ผมถอดหายใจและมองไปรอบๆร้าน ผมเจอคนคนหนึ่งหน้าตาเหมือนจะรู้จัก นั่นคือ ครูประจำชั้น! ซวยแล้ว เธอนั่งอยู่ตรงบาร์หวังว่าจะไม่สังเกตเห็นผมนะ ถ้าเห็นนี่มีโดนลงโทษแน่เลย หลังจากนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารยุโรป เธอกินด้วยท่าทีปกติ ผมก็กินไปตามประสาผม
“นาย...คุยอะไรกับเอริกาวะวันนี้”
เธอถามผม ผมควรจะบอกดีไหมนะแต่ตามสถานการณ์นี้ควรจะ....
“เรื่องส่วนตัว”
เธอชักสีหน้าใส่ทันที แล้วพวกเราก็กินต่อ
“เธอสนิทกับเอริกาวะหรอ”
เธอกำหมัดแน่น
“ฉัน....แอบชอบเอริกาวะ”
เธอตอบมาด้วยความประหม่า เอ๋! ผิดคาดแฮะ คิดว่าจะเกลียดละก็คอยตามและทำลายชื่อเสียง ที่ไหนได้เดียวก่อน นี่ไม่ใช่นิยายยูริซักหน่อย
“แสดงว่าเธอสินะที่เป็นสโต๊เกอร์”
เธอทำท่าทีที่ตกใจ
“ปะ เปล่า ฉะ ฉันไม่ได้ ฉะ ฉันน่ะ...”
“ตอนวันนั้นที่ฉันไปทิ้งขยะ บังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ที่เอริกาวะกำลังปฏิเสธหนุ่มฮอตอยู่”
เธอทำหน้ายิ้มเล็กๆ
“ปฏิเสธจริงๆด้วยสินะ”
“หลังจากนั้นเอริกะก็เห็นฉันเข้า แล้วก็คิดว่าฉันเป็นคนตามติดชีวิตเธอคนนั้น และคอย
ปล่าวประกาศวีรกรรมของคนใจบาปอย่างเธอทำ”
นี่แหละ ใช้จังวะนี้ด่าแก้แค้นไปด้วยเลย ไหนๆเธอก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว
“และหลังจากนั้น เธอก็เริ่มตามติดชีวิตฉัน แม้จะแค่สองวัน แต่เรื่องมันก็เริ่มตอนนั้น แล้วเธอจะอธิบายว่ายังไง”
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย
“เธอรู้ไหมว่าเอริกาวะบอกฉันว่าเขาขยะแขยงคนประเภทนี้ขนาดไหน อย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกอะไรฉันหน่อยดีกว่า ก่อนฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้าตัวให้เจ้าตัวสงสัยในตัวเธอ”
เธอชักสีหน้ากลัวขึ้นมาทันที ตาลอกแลกไปมา เธอสูดลมหายใจ
“คืออย่างที่บอกฉันแอบชอบเอริกาวะมานานแล้ว เธอไม่เคยรู้เลยว่าฉันอยู่ตรงนี้ ฉันพยายามจะเข้าหาเธอก็ไม่กล้า พอมีคนมาสารภาพรักกับเธอเข้า ฉันก็กลัวว่าจะโดนคนอื่นแย่งเธอไป เลยพยายามทำเรื่องแบบนี้ ถึงจะรู้ทั้งรู้ก็เถอะว่าฉันไม่ใช่เจ้าของๆเธอ แต่ถึงยังงั้นฉันก็ไม่อยากยกเธอให้ใคร ตอนช่วงเกรด1-3เราอยู่ด้วบกันมาตลอด หลังจากขึ้นเกรด4มาเราก็กลายเป็นเหมือนไม่รู้จักกัน ฉันเศร้ามาก เศร้าเหลือเกิน”
เธอพูดพร้อมน้ำตาไหลออกมาทีละนิด มนุษย์เรานี่อ่อนไหวจังเลยนะ มนุษย์เมื่อมีพรรคพวกจะเก่งขึ้นงั้นหรอ นี่คือสิ่งที่เราวิวัฒนาการมาอย่างผิดพลาด เราไม่ได้เก่งขึ้นแม้แต่น้อย เรากลับอ่อนแอลงด้วยคำว่าความสัมพันธ์ การที่เราพึ่งพาอาศัยกัน อยู่ในความสัมพันธ์ ก็ยิ่งทำให้เราอ่อนแอลง เพราะเราเชื่อว่าต่อให้เราล้ม เราก็มีอีกคนมาช่วยเรา นั่นแหละคือการวิวัฒนาการทางความคิดที่ผิด จริงๆแล้วมันเป็นอย่างนั้นหรอ มันอาจเป็นแค่สิ่งที่หลอกให้เราตายใจและพบกับหายนะในบางวัน ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความขัดแย้งมากเท่านั้น มันอาจฟังดูย้อนแย้งกับคำว่า การทำงานร่วมกันย่อมประสบผลที่ดีกว่า แต่การทำงานเต็มที่ด้วยตัวเองตั้งหากล่ะคือสิ่งที่จะประสบผลสำเร็จมากกว่า สุดท้ายแล้ว ความสัมพันธ์ต่างๆก็ไม่ไม่ได้ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเลย เพียงแต่ทำให้เราเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นผมจึงมีวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบของผม
“โอเคเดี๋ยวฉันลองทำอะไรซักอย่างดู”
เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่มีความหวัง ไม่ต้องมาหวังอะไรกับฉันเลยนะ น่าขยะแขยง
“เห้ย! เอามาอีกสินังหนู พี่ยังไม่เมาเล๊ย~”
คุณครูมิโอะเมาอีกแล้วสินะ ปกตินางมักจะเมากลับไปบ้านเสมอ ทำไมผมถึงรู้หรอ เพราะบ้านของเธออยู่ติดกับผมไง ที่โรงเรียนเราจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ จริงๆผมสนิทกับน้องสาวเธอน่ะ น้องสาวเธอเป็นรุ่นน้องผมปี1 และก็พลอยสนิทกับพี่สาวของเธอไปด้วย เมื่อปิดเทอมฤดูร้อนผมกับน้องสาวเธอและเธอก็ไปเที่ยวกัน นั่นแหละคือความสนิทของพวกเรา พวกเธอมักจะรุมแกล้งผมบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้แรงมาก แต่จริงๆเธอก็ดูแลผมอย่างดีนะ
“พ่อหนุ่มช่วยพาเธอกลับไปได้ไหม เหมือนเธอจะเป็นคุณครูของโรงเรียนเธอไม่ใช่หรอ”
คุณยายเจ้าของร้านมาขอให้ผมพาเธอกลับ ผมทำหน้าหนักใจนิดหน่อย
“งั้นเอางี้ไหม ค่าอาหารของหนูยายลดให้ครึ่งหนึ่งนะ จะได้เป็นการตอบแทนไปด้วยเลย”
เจ๋งโคตรนี่แหละสิ่งที่ผมต้องการ ผมมักจะรู้ว่าผมจะทำยังไงให้ได้สิ่งที่ผมต้องการอยู่เสมอ อีกหนึ่งความสามารถพิเศษไงเล่า
หลังจากนั้นผมก็พยุงเธอออกมาจากร้าน
“ฉันไปละ...ขอบคุณนะ”
เธอตอบขอบคุณด้วยเสียงที่แผ่วเบา เอ้ เดียวนะเธอชื่ออะไรหว่าลืมถามซะสนิท ผมเดินพยุงครูมิโอะไปถึงที่บ้าน ผมไขกุญแจเข้าบ้านของเธอไป ผมเอาเธอไปนอนไว้ที่โซฟา และว่าจะรีบออกมา
“สึคุง~เอาน้ำมาให้หน่อย~”
ไอ้ท่าที18+นั่นมันอะไรกัน เธอมีผมยาวสีดำ ตาสีน้ำตาล สูงประมาณ178 ใส่ส้นสูงไปอีกน่าจะ180 ซึ่งสูงเท่ากับผม หมายถึง178 น่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่หุ่นดี เห็นว่าเคยถ่ายแบบด้วย แต่ก็นั่นแหละปัจจุบันก็มาเป็นครูอยู่โรงเรียนเกรด4-6 ผมเดินไปหยิบน้ำที่ตู้เย็นมาให้เธอ
“ขอบใจมาก”
แล้วจากนั้นผมก็เดินออกมาจากบ้านเธอและล็อคประตูให้ พวกเรามีกุญแจบ้านซึ่งกันและกันเพราะแม่ผมฝากเธอไว้ให้เธอดูแลผม แต่รู้สึกจะตรงกันข้ามนะ
พรุ่งนี้ก็มาเริ่มทำสิ่งที่น่ารำคาญที่ได้รับมาให้เสร็จกันดีกว่า
บทสนทนาจบ....
ผมพิมพ์ถามเคียวสุเกะในแชทบ็อกซ์
“ก็คงอยากจะคุยเป็นการส่วนตัวจริงๆ ว่าแต่ใครชวนนายหรอ?”
“หัวหน้าห้องน่ะ”
“ผู้ชายผู้หญิงล่ะ”
“หญิง”
“เอ๋!!”
เคียวสุเกะตอบมาด้วยความแปลกใจ มันสมควรจะเป็นยังงั้นขนาดผมยังไม่อยากเชื่อเลย
“ไม่เบานะเรา ฉันไปละเพราะฉันมาสายตอนเช้า เลยโดนลากให้ไปช่วยซะงั้น ขอให้สนุกนะ ปล.อย่าไปลวนลามเขาล่ะ ปล.สอง เล่าให้ฟังด้วยตอนเย็นนี้ ปล.สาม ไม่มีอะไร”
ไอ้เคียว... ผมปิดล็อคหน้าจอ หลังจากนั้นคาบพัก เธอมองมาที่ผมหลายครั้งมากๆ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนเธอจะยังไม่เชื่อที่ผมพูดล่ะมั้ง แต่เรื่องที่เธอปฏิเสธพ่อหนุ่มคนนั้น ล่าสุดก็ไม่มีข่าวลืออะไรนะ หลังจากนั้นคาบพักก็หมดไป ในขณะคาบเรียนเธอก็พยายามมองมาที่ผมตลอดเวลา แต่จะว่าไปตอนเธอมาชวนผมตอนนั้น คนทั้งห้องมองเต็มไปหมดเลย นี่สินะความป๊อบมากๆในหมู่ผู้คน ชักสงสัยจริงๆ ว่าจะอยู่ยังไงถ้ามีสายตาคนพวกนี้จ้องอยู่ตลอดเวลา
เวลาล่วงเลยจนไปถึงพักเที่ยง เธอเดินมาที่โต๊ะผม
“ฉันขึ้นไปก่อนนะ”
พอพูดจบเธอก็หยิบกล่องอาหารขึ้นไปพร้อม ทุกคนจับจ้องมาที่ผม
“แฮะๆ”
ผมยิ้งแห้งๆตอบกลับทุกคนไป เดียวแล้วทำไมผมต้องทำยังงั้นด้วยนะ หรือนี่จะเป็นแรงกดดันตามธรรมชาติที่ผู้ถูกล่าต้องเคารพผู้ล่ากันนะ ในขณะที่ผมนั่งสักพักผมก็ลุกออกไป เพราะแค่ไม่อยากเป็นจุดเด่นตอนที่เดินไปกับเธอก็แค่นั้น ก็เลยออกไปช้ากว่าหน่อย ตอนที่กำลังจะเดินอยู่ทางเดิน ผมหยุดเดินซักพักเพราะดันเหม่อลอยขึ้นมา แต่บังเอิญว่า....
ปัก!
มีคนดันเดินเอาหัวมาโขกข้างหลังของผม เดียวนะหัวโขกข้างหลัง นี่เด็กหรืออะไรเนี่ย
ผมหันไป เจอกับ แม่สาวหัวชมพูนั่งอยู่กับพื้น สงสัยคงจะเดินมาชนผมจนล้ม
“เดินอะไรของนายเนี่ย หัดดูทางมั่งสิ”
เอ~ เดียวนะผมยืนอยู่ทางเดินแต่เธอดันเดินมาชนผม แล้วบอกว่าผมชนเธอ อะไรของเธอกันนะ
“ขอโทษครับ”
ผมตอบแบบขอไปที เธอชักสีหน้าใส่ผมทันทีพร้อมกับลุกขึ้น
“หึ! ตอบแบบไม่รู้จักสำนึก นิสัยเสียชะมัด”
เอ่อ วอทเดอะฟั* ผมไปทำอะไรให้หล่อนไม่พอใจกัน นี่ฉันคุยกับคนบ้าอยู่รึยังไง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นผู้ชายที่นิสัยแย่ขนาดนี้ ดูเป็นคนนิ่งๆ นึกว่าจะเป็นคนนิสัยดี ที่ไหนได้ ก็พวกมืดมนต์แท้ๆ”
เอ~ เหมือนเธอจะอยากไฟท์กับผมเพราะเรื่องอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่เรื่องนี้ เหมือนเธอพยายามโยงเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ในขณะที่เธอบ่น ผมก็หันหน้าหนี และเดินตรงมาที่ดาดฟ้า ในขณะที่เธอกำลังพูด ‘จะไปไหนไอ้บ้ากลับมาเดียวนี้นะ บลาๆ’ ตอนนี้สมองผมเลิกรับฟังเธอไปแล้ว เหมือนกับข้างหน้าเป็นถนนสายรุ้ง และเธอเป็นเพียงเสียงเด็กที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางเท่านั้นเอง หลังจากนั้นผมเดินขึ้นไปดาดฟ้า ผมเปิดประตูออกเบาๆ เห็นเธอกำลังนั่งมองท้องฟ้า แววตาที่ดูเศร้านั่น แววตาที่ว่างเปล่านั่น กับผมสั้นปะบ่าที่กำลังปิวไปมา ผิวที่เนียนนั่น บุคลิกอันสง่า ทั้งหมดนี้สินะที่ทำให้ทุกคนหลงไหลในตัวเธอ และเดินเข้ามาบอกรักเธอเสมอ ผมว่า... ผมอาจ หลง..... ไม่ ไม่มีทางนี่มันเหมือนในอีเวนท์เกมจีบสาวที่ผมเคยเล่นแท้ๆ แหมถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาคงหลงรักไปแล้วในสภาพนี้ ดาดฟ้ามีเพียงเราสอง นั่งคุยสารทุกข์สุขดิบด้วยกัน แอวะ ฟังดูทำให้ไม่อยากอาหารกลางวันซะงั้น และอีกอย่าง แค่การคุยกับคนคนหนึ่งยังยากสำหรับผมแล้ว อย่าหวังเลยที่จะมาชอบใคร คิดดูแล้วขนลุกชะมัด โดยผู้หญิงป๊อบๆอย่างงี้ ผมเดินเข้าไปหาเธอด้วยท่าทีปกติ ผมไปยืนอยู่ใกล้ๆที่เธอนั่ง
“เชิญ”
เธอเชิญผมนั่ง ผมเดินถัดไปนั่งที่ม้านั่งอีกตัว และนั่งลง
“ฉันต้องขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วยนะ ถึงแม้ฉันจะคิดว่านายเป็นขยะคนหนึ่ง ที่ชอบตามติดและทำตัวขยะ แต่จริงๆฉันก็ไม่ได้สำนึกผิดจริงๆหรอก เพราะขยะอย่างนาย ก็ไม่สมควรมาสนใจฉันอยู่แล้ว”
เดียวๆ แม่คุณนี่พึ่งคุยกันจริงๆจังๆครั้งแรกนี่จัดหนักผมเลยหรอ เห็นผมบังเอิญเอาขยะไปทิ้งแค่นี้ ถึงกับเอาขยะมาเป็นตัวเรียกแทนผมเลยหรอ โหดร้ายชะมัด สงสัยคงจะเป็นระบบป้องกันตัวเองแบบอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ผมเข้าไปเหยียบเส้นความสัมพันธ์ของเธอ แต่ว่าดูเป็นระบบที่ค่อนข้างโหดร้ายทางภาษาอยู่นะ หรือว่าเธอก็เป็นแบบผม ที่ไม่สามารถเข้ากับคนอื่นได้ หรือว่าเราจะเหมือนกัน
“ทุกๆครั้งที่ฉันบอกปฏิเสธพวกนั้นไป มักจะมีเรื่องออกไปทุกๆครั้ง บางเรื่องที่ไม่คิดว่าจะไปถึงหูคนอื่นก็ดันมี”
“เธอมั่นใจได้ยังไงว่ามีคนตามเธอจริงๆ เธออาจเผลอหลงตัวเองและคิดไปเองก็ได้ บางทีอาจเป็นเจ้าตัวด้วยซ้ำที่เป็นคนบอก”
“มันก็อาจจะจริง ฉันจะยกตัวอย่างให้นายฟังละกัน สมมตุว่านายมาบอกรักฉัน และฉันตอบกลับไปว่า นายเป็นแค่ขยะแท้ๆ ทำไมถึงกล้ามาขอคบกับฉัน กลับไปอยู่ที่ที่ขยะอย่างนายควรอยู่ซะ ถ้าเป็นแบบนี้นายยังกล้าเอาไปเปล่าประกาศอีกหรอ ถ้าเปล่าประกาศฉันอาจโดนลูกหลงได้ แต่ว่าแล้วแล้วนายล่ะจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ผมขมวดคิ้ว
“อาจได้รับความสงสารไหมนะ แบบ..”
ผมพูดยังไม่ทันจบ
“ฉันว่านายก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าจริงๆแล้วสังคมเขาไม่ได้มองอย่างนั้น”
เธอแสยะยิ้ม ก็จริงของเธอ ถึงเราจะได้รับคำพูดที่ให้กำลังใจก็จริง แต่จริงๆแล้วถ้าคนนั้นไม่เหมาะสมกับคนคนนึงจริงๆ แล้วโดนหักอกมาหลายคนคงจะมีความคิดอยู่ในหัวว่า ‘สะเออะไปบอกรักเองรู้ทั้งรู้ยังไงเขาก็ไม่สน น่าสมเพชซะจริงๆ’ อะไรทำนองนี้ โดยเฉพาะคนที่ป็อบๆอยู่แล้วคนยิ่งสมน้ำหน้ามากกว่าที่จะมาสงสาร
“แล้วที่เรียกมามีอะไร”
เธอก้มหน้าก้มตาเปิดกล่องอาหารกลางวัน
“กินก่อนสิ”
เธอยื่นกล่องอาหารที่เตรียมไว้ให้ผมมา ข้างในไม่มีผักอยู่เลย เรียกว่าอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนล้วนๆ ผมเริ่มกินจากมีทบอล และต่อด้วยไส้กรอก ในระหว่างผมกำลังทานอาหารอยู่นั้น
“ฉันขอให้นายช่วยจับตาดูให้ฉันหน่อย”
ผมมองไปที่เธอในขณะที่กำลังเคี้ยวเจ้า
มีทบอลอยู่ เดียวนะ ทำไมผมต้องช่วยเธอด้วยนั่นมันปัญหาของเธอแท้ๆ แต่ลองถามดูหน่อยก็ได้ว่าจะช่วยดีไหม แต่ยังไงซะผมคงปฏิเสธแน่ๆ
“ช่วยมองหาคนที่แอบดูฉันหน่อย ถ้าเกิดเหตุเหมือนเมื่อวาน....”
“ขอปฏิเสธ”
ผมพูดตัดบทสนทนาของเธอ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
“นายนี่มันพวกไม่สำนึกบุญคุณสินะ”
“บุญคุณ”
“ฉันอุส่าเลี้ยงดูให้อาหารนายเป็นอย่างดี ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะเป็นขยะที่เลี้ยงไม่เชื่องขนาดนี้”
เดียวขยะเลี้ยงได้ด้วยหรอ
“นายควรจะตอบตกลงซะ จะมีโอกาสซักเท่าไหร่เชียวที่นายจะได้ใกล้ชิดผู้หญิงสวยๆอย่างฉัน”
หลงตัวเอง
“ก็แค่รับปากก็แค่นั้นเองมันจะไปยากอะไร...”
ผมไม่สามารถหลุดโฟกัสจากคำด่าของเธอได้ ไม่ไม่ไม่ เริ่มรำคาญแล้วนะเว้ยยยย!
“ไม่ไหวจริงๆ แมวที่บ้านฉันยังเชื่องกว่านี้อีก นี่เป็นขยะแท้ๆ สมแล้วที่เป็น...”
“โอเครับก็ได้”
โคตรน่ารำคาญสุดๆ ทั้งสายตาที่เยือกเย็นนั่น ทั้งวิธีการพูดแบบนั้น โคตรน่ารำคาญสุดๆ
“ขอบคุณนะ~”
เธอทำเสียงตอแหลใส่ เกลียดชะมัดใยผู้หญิงคนนี้ หลังจากนั้นก็ถึงตอนเลิกเรียน เสียงสวรรค์ดังขึ้น ผมเดินกลับบ้านตามปกติ แต่เรื่องไม่ปกติกลับเกิดขึ้น มีผู้หญิงหัวชมพูคนนั้นตามอีกแล้ว เธอเดินตามผมมาวันนี้วันที่สองแล้ว ผมว่าผมควรเข้าไปถามเธอตรงๆดีไหม แต่ถ้าให้เดาๆ เรื่องมันน่าจะเกิดหลังจากที่ผมไปเจอเหตุการณ์ งั้นลองแอบสังเกตพฤติกรรมเธอกันหน่อย เธอพลาดแล้วที่มาตามผม คนที่อยู่คนเดียวมานานๆจะมีพลังพิเศษที่เรียกว่า ดีเทคเดอะไซจท์ หรือแปลเป็นภาษาปกติคือ การตรวจจับสายตา เพราะคนประเภทนี้จะไม่ค่อยตกเป็นเป้าสายตาคนเท่าไหร่ เลยทำให้รู้ตัวได้ว่ามีใครมองอยู่ และอีกอย่างคนประเภทนี้มักจะมีเวลาเช็คตัวเองอยู้เสมอเลยทำให้รู้ว่ากำลังมีอะไรผิดปกติในสิ่งรอบๆตัว ซึ่งแน่นอนผมเป็นหนึ่งในนั้น ด้วยการที่แทบจะไม่ได้คุยกับใครเลย ผมจึงได้สิ่งนี้มาทดแทน ผมเดินไปที่ที่ค่อนข้างลับตาคน และหลังจากนั้นผมก็เดินวนไปวนมาจนกระทั่งเข้าไปซอยซอยหนึ่ง และไม่อยากเชื่อ เธอยังกล้าตามเข้ามาที่ซอยนั้น ผมสงสัยว่าเธอยังคิดว่าผมไม่รู้ตัวอีกหรอ ผมเดินไปที่ทางแยกเข้าซอย และยืนหลบมุม รอจังวะเธอมาแล้วก็พุ่งเข้าไปถามตรงๆเลย เสียงฝีเท้าค่อยๆเข้ามา
ต๊อก ต๊อก ต๊อก
กดดันชะมัดเลย เธอเดินมาถึง เธอตกใจที่ผมมองยืนดักเธออยู่ เธอหยุดนิ่งเหมือนโดน
สตาฟไว้ยังไงยังงั้น
“ยะ ยะ โย่ว...”
เธอทักด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน เดียวนะแอบตามคนอื่นแล้วก็มาทักเนี่ยนะ
มันใช่ไหมล่ะเนี่ย ผมเขม่นตาใส่
“สะ สวัสดีครับ”
แล้วทำไมเราต้องประหม่าด้วยเนี่ย ก็แค่ผู้หญิงหัวชมพูคนเดียวเอง หรือว่า โรคกลัวคนจะกำเริบอีกแล้ว จะว่าไประแวกรอยๆนี่ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเรา ซวยละ
“ทะ ทานอะไรมารึยัง”
เดียวนี่พูดบ้าอะไรออกไป นี่เราประหม่าระดับไหนเนี่ย เธอส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นผมก็เดินหันหลังให้เธอ ในซอยนั้นมีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง แต่มันร้านสำหรับผู้ใหญ่หน่อยๆ ตามกฎหมายแล้วพวกผมคงเข้าไม่ได้ แต่จากสภาพตอนนี้แล้วไม่มีทางเลือก ผมเดินเข้าไปในร้าน ภายในร้านเห็นคนมากมาย พวกเราเดินไปที่โต๊ะโต๊ะหนึ่ง ผมมองไปรอบๆร้าน ก็มีพวกเด็กๆเท่าผมอยู่นะ แต่พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนมาเฉยๆ อย่างผู้หญิงผม
บลอนด์คนที่แย่งโต๊ะอาหารผมวันนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย หลังจากนั้นคนรับเมนูก็มา
“รับอะไรดีคะ ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กนะคะ”
คนรับเมนูเอาหน้ามาใกล้ๆและกระซิบ
“จริงๆแล้วสั่งได้ ร้านไม่ได้ห้ามชี้บอกก็พอ”
ผมยิ้มแห้งๆตอบไป
“เชิญเลือกได้เลยค่ะ”
ผมมองไปที่เมนูอาหาร หู! แพงชะมัด จากเงินตอนนี้ผมคงกินได้จานเดียว ไม่งั้นเงินเดือนนี้มีไม่พอแหงะแซะ
“อันนี้ครับ”
ผมชี้ไปที่สปาเกตตี้โง่ๆจานหนึ่ง ถ้ากินมากกว่านี้ไม่มีเงินจ่ายแน่ๆ
“ของฉันเอาอันนี้ อันนี้...”
เดียวนะไม่ได้ดูราคารึเปล่า แต่ละอันนี้แพงๆทั้งนั้นเลยนะ ผมถอดหายใจและมองไปรอบๆร้าน ผมเจอคนคนหนึ่งหน้าตาเหมือนจะรู้จัก นั่นคือ ครูประจำชั้น! ซวยแล้ว เธอนั่งอยู่ตรงบาร์หวังว่าจะไม่สังเกตเห็นผมนะ ถ้าเห็นนี่มีโดนลงโทษแน่เลย หลังจากนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารยุโรป เธอกินด้วยท่าทีปกติ ผมก็กินไปตามประสาผม
“นาย...คุยอะไรกับเอริกาวะวันนี้”
เธอถามผม ผมควรจะบอกดีไหมนะแต่ตามสถานการณ์นี้ควรจะ....
“เรื่องส่วนตัว”
เธอชักสีหน้าใส่ทันที แล้วพวกเราก็กินต่อ
“เธอสนิทกับเอริกาวะหรอ”
เธอกำหมัดแน่น
“ฉัน....แอบชอบเอริกาวะ”
เธอตอบมาด้วยความประหม่า เอ๋! ผิดคาดแฮะ คิดว่าจะเกลียดละก็คอยตามและทำลายชื่อเสียง ที่ไหนได้เดียวก่อน นี่ไม่ใช่นิยายยูริซักหน่อย
“แสดงว่าเธอสินะที่เป็นสโต๊เกอร์”
เธอทำท่าทีที่ตกใจ
“ปะ เปล่า ฉะ ฉันไม่ได้ ฉะ ฉันน่ะ...”
“ตอนวันนั้นที่ฉันไปทิ้งขยะ บังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ที่เอริกาวะกำลังปฏิเสธหนุ่มฮอตอยู่”
เธอทำหน้ายิ้มเล็กๆ
“ปฏิเสธจริงๆด้วยสินะ”
“หลังจากนั้นเอริกะก็เห็นฉันเข้า แล้วก็คิดว่าฉันเป็นคนตามติดชีวิตเธอคนนั้น และคอย
ปล่าวประกาศวีรกรรมของคนใจบาปอย่างเธอทำ”
นี่แหละ ใช้จังวะนี้ด่าแก้แค้นไปด้วยเลย ไหนๆเธอก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว
“และหลังจากนั้น เธอก็เริ่มตามติดชีวิตฉัน แม้จะแค่สองวัน แต่เรื่องมันก็เริ่มตอนนั้น แล้วเธอจะอธิบายว่ายังไง”
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย
“เธอรู้ไหมว่าเอริกาวะบอกฉันว่าเขาขยะแขยงคนประเภทนี้ขนาดไหน อย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกอะไรฉันหน่อยดีกว่า ก่อนฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้าตัวให้เจ้าตัวสงสัยในตัวเธอ”
เธอชักสีหน้ากลัวขึ้นมาทันที ตาลอกแลกไปมา เธอสูดลมหายใจ
“คืออย่างที่บอกฉันแอบชอบเอริกาวะมานานแล้ว เธอไม่เคยรู้เลยว่าฉันอยู่ตรงนี้ ฉันพยายามจะเข้าหาเธอก็ไม่กล้า พอมีคนมาสารภาพรักกับเธอเข้า ฉันก็กลัวว่าจะโดนคนอื่นแย่งเธอไป เลยพยายามทำเรื่องแบบนี้ ถึงจะรู้ทั้งรู้ก็เถอะว่าฉันไม่ใช่เจ้าของๆเธอ แต่ถึงยังงั้นฉันก็ไม่อยากยกเธอให้ใคร ตอนช่วงเกรด1-3เราอยู่ด้วบกันมาตลอด หลังจากขึ้นเกรด4มาเราก็กลายเป็นเหมือนไม่รู้จักกัน ฉันเศร้ามาก เศร้าเหลือเกิน”
เธอพูดพร้อมน้ำตาไหลออกมาทีละนิด มนุษย์เรานี่อ่อนไหวจังเลยนะ มนุษย์เมื่อมีพรรคพวกจะเก่งขึ้นงั้นหรอ นี่คือสิ่งที่เราวิวัฒนาการมาอย่างผิดพลาด เราไม่ได้เก่งขึ้นแม้แต่น้อย เรากลับอ่อนแอลงด้วยคำว่าความสัมพันธ์ การที่เราพึ่งพาอาศัยกัน อยู่ในความสัมพันธ์ ก็ยิ่งทำให้เราอ่อนแอลง เพราะเราเชื่อว่าต่อให้เราล้ม เราก็มีอีกคนมาช่วยเรา นั่นแหละคือการวิวัฒนาการทางความคิดที่ผิด จริงๆแล้วมันเป็นอย่างนั้นหรอ มันอาจเป็นแค่สิ่งที่หลอกให้เราตายใจและพบกับหายนะในบางวัน ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความขัดแย้งมากเท่านั้น มันอาจฟังดูย้อนแย้งกับคำว่า การทำงานร่วมกันย่อมประสบผลที่ดีกว่า แต่การทำงานเต็มที่ด้วยตัวเองตั้งหากล่ะคือสิ่งที่จะประสบผลสำเร็จมากกว่า สุดท้ายแล้ว ความสัมพันธ์ต่างๆก็ไม่ไม่ได้ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเลย เพียงแต่ทำให้เราเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นผมจึงมีวิธีการแก้ปัญหาในรูปแบบของผม
“โอเคเดี๋ยวฉันลองทำอะไรซักอย่างดู”
เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่มีความหวัง ไม่ต้องมาหวังอะไรกับฉันเลยนะ น่าขยะแขยง
“เห้ย! เอามาอีกสินังหนู พี่ยังไม่เมาเล๊ย~”
คุณครูมิโอะเมาอีกแล้วสินะ ปกตินางมักจะเมากลับไปบ้านเสมอ ทำไมผมถึงรู้หรอ เพราะบ้านของเธออยู่ติดกับผมไง ที่โรงเรียนเราจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ จริงๆผมสนิทกับน้องสาวเธอน่ะ น้องสาวเธอเป็นรุ่นน้องผมปี1 และก็พลอยสนิทกับพี่สาวของเธอไปด้วย เมื่อปิดเทอมฤดูร้อนผมกับน้องสาวเธอและเธอก็ไปเที่ยวกัน นั่นแหละคือความสนิทของพวกเรา พวกเธอมักจะรุมแกล้งผมบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้แรงมาก แต่จริงๆเธอก็ดูแลผมอย่างดีนะ
“พ่อหนุ่มช่วยพาเธอกลับไปได้ไหม เหมือนเธอจะเป็นคุณครูของโรงเรียนเธอไม่ใช่หรอ”
คุณยายเจ้าของร้านมาขอให้ผมพาเธอกลับ ผมทำหน้าหนักใจนิดหน่อย
“งั้นเอางี้ไหม ค่าอาหารของหนูยายลดให้ครึ่งหนึ่งนะ จะได้เป็นการตอบแทนไปด้วยเลย”
เจ๋งโคตรนี่แหละสิ่งที่ผมต้องการ ผมมักจะรู้ว่าผมจะทำยังไงให้ได้สิ่งที่ผมต้องการอยู่เสมอ อีกหนึ่งความสามารถพิเศษไงเล่า
หลังจากนั้นผมก็พยุงเธอออกมาจากร้าน
“ฉันไปละ...ขอบคุณนะ”
เธอตอบขอบคุณด้วยเสียงที่แผ่วเบา เอ้ เดียวนะเธอชื่ออะไรหว่าลืมถามซะสนิท ผมเดินพยุงครูมิโอะไปถึงที่บ้าน ผมไขกุญแจเข้าบ้านของเธอไป ผมเอาเธอไปนอนไว้ที่โซฟา และว่าจะรีบออกมา
“สึคุง~เอาน้ำมาให้หน่อย~”
ไอ้ท่าที18+นั่นมันอะไรกัน เธอมีผมยาวสีดำ ตาสีน้ำตาล สูงประมาณ178 ใส่ส้นสูงไปอีกน่าจะ180 ซึ่งสูงเท่ากับผม หมายถึง178 น่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่หุ่นดี เห็นว่าเคยถ่ายแบบด้วย แต่ก็นั่นแหละปัจจุบันก็มาเป็นครูอยู่โรงเรียนเกรด4-6 ผมเดินไปหยิบน้ำที่ตู้เย็นมาให้เธอ
“ขอบใจมาก”
แล้วจากนั้นผมก็เดินออกมาจากบ้านเธอและล็อคประตูให้ พวกเรามีกุญแจบ้านซึ่งกันและกันเพราะแม่ผมฝากเธอไว้ให้เธอดูแลผม แต่รู้สึกจะตรงกันข้ามนะ
พรุ่งนี้ก็มาเริ่มทำสิ่งที่น่ารำคาญที่ได้รับมาให้เสร็จกันดีกว่า
บทสนทนาจบ....
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ