รักของนายเอกหนังโป๊ [20+]
เขียนโดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.03 น.
แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 20.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ตอนที่ 5 ความเข้าใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 5 ความเข้าใจ
“ปัดโธ่โว้ย! คุณจะให้ผมรักมันได้ยังไงก็ในเมื่อ ไอ้เด็กนั่นไม่ใช่ลูกผม”
ประโยคที่คุณรามลั่นออกมาเมื่อครู่นี้ทำเอาผมต้องชะงัก นี่เขาอยากได้ผมมากถึงขนาดเล่นไม้นี้เลยหรือ
“คุณรู้ไหมหนึ่งว่าผู้หญิงแพศยาคนนั้นทำอะไรกับผมบ้าง วันที่เธอรู้ตัวว่าท้องเธอลอยหน้าลอยตาบอกทุกคนว่าเรากำลังจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุข เธอกำลังจะมีลูกให้ผม จะเป็นครอบครัวที่ผมสมบูรณ์บ้าอะไร ก็ในเมื่อผมเป็นหมัน” ผมอึ้งไปกับประโยคสุดท้ายที่คุณรามลั่นออกมาด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นราวกับว่ากลั่นออกมาจากความเจ็บแค้นในจิตใจ และประโยคนั้นก็ทำเอาผมรู้สึกสับสนไปไม่น้อยเหมือนกัน น้ำเสียงที่สั่นเครือและกรุ่นไปด้วยอารมณ์แบบนั้น ถ้าหากว่านี่เป็นเพียงการแสดงเพื่อตบตาผม ผมก็คงจะต้องขอส่งชื่อเขาเข้าชิงออสการ์
“ที่ผ่านมาผมต้องทนอยู่กับเขาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโดนสวมเขาก็เพราะบุญคุณของพ่อเขาที่ค้ำคอผมอยู่ คุณรู้ไหมหนึ่งว่าที่ผ่านมาผมทรมานแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วเพราะผมต้องการคุณ หนึ่ง” ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมว่าผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่หยดลงเปียกบนบ่าผม ผมไม่อยากจะเชื่อว่านั้นคือน้ำตาของคุณราม คนอย่างเขาจะร้องไห้เป็นด้วยหรือ
“ผมอยากกลับบ้าน” ผมพูดเพื่อตัดบท เพราะผมไม่อยากจะรับรู้อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องที่เขาพูดมันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม เพราะอย่างไรมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่ดี
“แต่ว่า.. หนึ่ง..”
“แค่ตอนนี้ผมเจ็บที่ตัวมันก็หนักพอแล้วนะคุณราม คุณอย่าเพิ่งเอาเรื่องอะไรมาให้ผมหนักสมองอีกเลยนะ ให้ผมกลับเถอะ” ผมยังย้ำชัดในความต้องการ โดยไม่สนว่าคุณรามอยากจะพูดอะไรเพื่อโน้มน้าวใจผมอีก
ครั้งนี้คุณรามยอมลดมือลงและปล่อยผมออกจากอ้อมแขนของเขาแต่โดยดี ผมเลือกที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองเขา และไม่สนใจว่าเขาจะพยายามทำตัวน่าสงสารเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผมสักเพียงใด ส่วนประโยคที่เขาพูดตามหลังผมออกมานั้น ผมก็จะถือว่าผมไม่ได้ยินก็แล้วกัน
“ผมจะรอคำตอบจากคุณนะหนึ่ง”
☼☼☼☼☼☼
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพี่หนึ่ง” เจ้าสองที่ยังคงนั่งรออยู่หน้าห้องทำงานของคุณรามรีบตรงเข้ามาไถ่ถามทันทีเมื่อเห็นผมเปิดประตูออกมาจากด้านใน
“ไม่มีอะไรหรอกกลับบ้านกันเถอะ” ผมเลือกจะตอบคำตอบที่คิดว่าจะทำให้น้องสบายใจและไม่ต้องเป็นห่วงผม แต่ผมคิดว่าเจ้าสองก็คงจะพอดูออกว่าผมกำลังรู้สึกไม่สบายใจ แต่คงจะเพราะไม่อยากทำให้ผมต้องลำบากใจเจ้าสองเลยไม่ได้ซักไซร้อะไรต่อ
เรื่องของคุณราม ถึงผมจะพยายามที่จะไม่ใส่ใจ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ผมก็อดคิดมากไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่ว่าเรื่องที่เขาเล่านั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่นิทานที่เขาแต่งขึ้นมาหลอกผม อย่างไรเสียผมว่าผมก็มีส่วนไม่มากก็น้อยที่ทำให้ครอบครัวเขาต้องพังเช่นนี้
☼☼☼☼☼☼
“หนึ่ง” ผมหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาต้นเสียงที่ร้องเรียกชื่อผมเสียงดัง ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นหนึ่งของอาคาร และผมเพิ่งจะก้าวเท้าออกมา
และเจ้าของเสียงที่เรียกผมนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็คือพี่แองจี้ สาวประเภทสองวัยกลางคน เจ้าของอดีตโมเดลลิ่งที่ผมเคยสังกัดอยู่ และเป็นผู้ที่ชักนำผมเข้าสู่วงการหนังผู้ใหญ่ พี่แองจี้กำลังยิ้มร่าโบกมือทักทายผมด้วยท่าทางดีอกดีใจอยู่ตรงหน้าห้องแคสติ้ง จะว่าไปแล้วผมกับพี่แองจี้ก็ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีแล้วนี่นะ ผมโบกมือและยิ้มให้พี่แองจี้ตอบรับการทักทาย ก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปหาเธอเพื่อพูดคุยกันตามประสาคนรู้จัก โดยที่เจ้าสองก็ยังเดินตามผมไม่ห่าง
“เป็นยังไงบ้าง พี่เห็นข่าวที่หนึ่งโดนแทงแล้วตกใจแทบแย่ พี่ขอโทษจริง ๆ นะ พี่เพิ่งจะกลับจากต่างประเทศไม่ได้ไปเยี่ยมหนึ่งเลย”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ตอนนี้ผมก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ แล้วนี่.....” ผมหยุดพูดไปพลางหันมองเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่แองจี้ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะถามว่าพี่แองจี้มาทำอะไรที่นี่แต่พอหันไปเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ผมก็พอจะนึกปะติดปะต่อได้กับที่ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่ตรงที่หน้าห้องแคสติ้ง ก็เป็นอันว่าผมเข้าใจโดยไม่ต้องซักถามใด ๆ แล้ว
“นี่น้องป้อง พี่พามาออดิชั่นที่นี่น่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พี่อยากให้หนึ่งช่วยฝากฝังน้องมันกับคุณรามหน่อยนะ เห็นค่ายนี้ชอบแต่นายเอกขาว ๆ ใส ๆ พี่กลัวน้องมันไม่ได้งาน น้องมันกำลังเดือดร้อนจริง ๆ ไหว้พี่หนึ่งเขาสิป้อง”
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำงานนี้ เพราะหลังจากนี้ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนะ” ผมหันไปพูดกับน้องที่ชื่อป้องพลางพนมมือรับไหว้น้องมันที่กำลังพนมมือไหว้ผมตามคำที่พี่แองจี้บอก
“เอ่อ น่ะ แน่ใจครับ” เด็กนั่นตอบผมอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ และมีสีหน้าที่ดูเหมือนพร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา
ถึงอาชีพนี้มันจะได้เงินดี แต่ผมก็ไม่ได้อยากแนะนำให้ใครมาทำหรอกนะครับ ไม่ใช่เพราะว่ากลัวใครจะมาแย่งอาชีพ แต่เพราะสิ่งผมได้เจอมากับตัวหลังจากที่ก้าวขาเข้าสู่วงการนี้มันค่อนข้างโหดร้าย ผมต้องถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ทุกวัน และต้องคอยรองรับคำด่าทอและคำดูถูกจากกลุ่มคนที่รับอาชีพนี้ไม่ได้ และที่เลวร้ายที่สุดคือผมเกือบจะต้องสูญเสียครอบครัวไป และกว่าที่ผมจะได้มันกลับคืนมาผมแทบจะต้องแลกมาด้วยชีวิต ผมถึงต้องถามเด็กนั่นให้ชัดเจนว่าเขาแน่ใจแล้วจริง ๆ ใช่ไหมที่จะก้าวเข้าสู่วงการนี้
สำหรับป้องแล้ว ป้องเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารัก ตัวไม่สูงและดูรูปร่างบอบบางดู ๆ แล้วก็คงจะตัวเท่า ๆ กับผมนี่แหละมั้ง แต่ป้องไม่ใช่คนขาวอย่างที่พี่แองจี้ว่า ป้องเป็นคนผิวออกแทนแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นผิวเข้มอะไร แต่รสนิยมของคุณรามดันชอบแต่นายเอกผิวขาว ๆ นี่สิ และรูปร่างแบบป้องก็คงจะให้ไปเล่นเป็นพระเอกไม่ได้ด้วย
ถ้าจะให้พูดถึงขั้นตอนการออดิชั่นน่ะหรือ สำหรับตอนที่ผมมาออดิชั่นนั้นในห้องจะมีทีมงานอยู่สองคน มีตากล้องและทีมงานอีกคนที่คอยเป็นคนกำกับว่าอยากให้เราทำอะไรบ้าง ตอนนั้นผมถูกสั่งให้ถอดเสื้อผ้าจนหมดทุกชิ้น และถูกสั่งให้โพสต์ท่าหลาย ๆ ท่า รวมไปถึงต้องถ่างแข้งถ่างขาเพื่อโชว์ทุกส่วนในร่างกายไม่ว่าจะเป็นจุดที่ซ่อนเร้นสักเพียงใดให้กล้องบันทึกภาพไว้ และที่โหดร้ายที่สุดสำหรับผมคือการที่ผมถูกสั่งให้ช่วยตัวเองโชว์หน้ากล้อง ผมจำได้ดีเลยว่าตอนนั้นทำผมแทบจะต้องทำไปทั้งน้ำตา ผมอายมากและไม่อยากทำเลยสักนิด แต่ก็ต้องจำใจทำเพราะอยากได้งาน อยากได้เงินมาช่วยที่บ้าน
หลังจากที่บันทึกภาพจนทีมงานพอใจ เทปบันทึกภาพของผู้มาออดิชั่นทั้งหมดจะถูกส่งไปให้คุณรามเป็นผู้คัดเลือกว่าใครบ้างที่จะได้เข้ามาทำงานกับค่าย พอลองนึกย้อนกลับไปแล้วผมประมาณไม่ได้เลยว่าตอนนั้นผมต้องใช้ความเข็มแข็งขนาดไหนถึงจะผ่านมันมาได้ มันโหดร้ายมากจริง ๆ สำหรับผม
☼☼☼☼☼☼
ก่อนที่จะแยกตัวออกมาผมตอบพี่แองจี้ไปว่าผมจะช่วยเท่าที่ผมพอจะช่วยได้ แต่ทว่าเจ้าสองนี่สิตั้งแต่ที่ผมไปคุยกับพี่แองจี้มาเจ้าสองก็ดูมีอาการเหม่อ ๆ ลอย ๆ อย่างไรก็ไม่รู้
“พี่หนึ่ง ๆ คนที่ชื่อป้องเขาจะเล่นหนังโป๊เหรอ” เจ้าสองว่าพลางช่วยประครองผมขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซด์คู่ใจของเจ้าตัวอย่างทุลักทุเล แค่ขยับตัวแรงนิดหน่อยแผลเจ้ากรรมนี่ก็เล่นประท้วงด้วยอาการเจ็บแปลบทันที
“อืม ท่าออดิชั่นผ่านก็ได้เล่น” ผมตอบในสิ่งที่เจ้าสองถามไปตามตรง อย่าบอกนะว่าที่ดูเหม่อ ๆ ไปนั้นเป็นเพราะเด็กที่ชื่อป้องคนเมื่อครู่นี้
“ทำไมแกชอบเขาหรือไง” ผมกระเซ้าน้องชาย เมื่อเห็นว่าเจ้าสองหน้าจ๋อยไปทันทีเมื่อผมย้ำในสิ่งที่เด็กที่ชื่อป้องกำลังจะทำ
“เฮ้ย ปะ เปล่านะ ไม่ได้ชอบสักหน่อย” เจ้าสองรีบแก้ตัวอยากพัลวันด้วยท่าทางที่แสนจะเลิ่กลั่ก ผมถึงกับส่ายหัวและขำในท่าทางของน้องชาย โกหกไม่เนียนเอาเสียเลยนะไอ้น้อง
แต่นึก ๆ แล้วผมเองก็เห็นใจป้องอยู่ไม่น้อยนะ ในฐานะคนที่เคยยืนอยู่จุดเดียวกัน ผมรู้ว่ามันทำใจไม่ง่ายเลย ใช่ว่าผมจะไม่อยากช่วยเหลือเด็กนั่นนะ แต่ทุกคนก็ต้องยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ผมเองก็ไม่ได้รวยล้นฟ้า และผมก็ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ แม้จะสามารถเลี้ยงดูแม่และน้องให้อยู่สุขสบายได้ แต่ที่ผ่านมาผมทั้งใช้หนี้ทั้งซื้อบ้าน และยังต้องเผื่อเงินเอาไว้สำหรับยามฉุกเฉินและสำหรับเป็นค่าเล่าเรียนของเจ้าสองอีก ตอนนี้ผมไม่ได้มีเงินเหลือมากมายขนาดนี้ที่จะช่วยเหลือใครก็ได้หรอกนะ
☼☼☼☼☼☼
ผมยังไม่ได้กลับบ้านตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรกหรอกนะ เพราะคิดว่าไหน ๆ ก็ออกจากบ้านมาแล้ว ผมก็เลยอยากจะแวะเข้าคุยกับฟรองค์ให้เข้าใจด้วยเลยในคราวเดียว เพราะสภาพของผมในตอนนี้ก็ไม่ได้อยากจะออกจากบ้านบ่อย ๆ สักเท่าไหร่
ผมแวะมาหาฟรองค์ที่ร้านกาแฟของเขา เวลานี้ฟรองค์ก็น่าจะอยู่ที่ร้านนี่แหละ ผมเดินตรงเข้าไปหาไปฟรองค์ถึงหลังร้านในส่วนที่เป็นห้องครัวตามคำที่พนักงานบอกว่าฟรองค์ที่อยู่นั่น เพราะฟรองค์พาผมมาที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง เลยไม่ได้มีใครหวงห้ามกับการที่ผมจะเดินเข้านอกออกในส่วนที่เป็นพื้นที่เฉพาะคนใน
ผมยืนแอบมองฟรองค์ที่กำลังง่วนอยู่กับการทำเค้กอยู่ครู่ใหญ่ เห็นเขากำลังขะมักเขม้นอยู่ผมก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ แต่เวลาที่ฟรองค์อยู่ในโหมดพ่อครัวนี่เขาก็ดูเท่และมีเสน่ห์ดีเหมือนกันนะ และฟรองค์เองก็ดูมีความสุขเอามาก ๆ กับการทำขนมซึ่งเป็นสิ่งเขารัก จนผมที่ยืนมองอยู่ยังเผลอยิ้มตามไปด้วย จริง ๆ แล้วผมก็แอบรู้สึกอิจฉาฟรองค์เหมือนกันนะที่เขาสามารถค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบได้แล้ว แต่ผมนี่สิวัน ๆ เอาแต่นับวันรอว่าเมื่อไหร่จะหมดสัญญาจากบริษัทคุณราม ทั้งที่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้คิดว่าเลยว่าถ้าถึงวันที่หมดสัญญาจริง ๆ แล้ว ผมจะไปทำอะไรต่อดี
“ฟรองค์” เสียงเรียกจากผมทำเอาคนที่กำลังดูมีความสุขกับการทำขนมอยู่ต้องหยุดชะงักลง
“หนึ่ง” เมื่อหันมาเห็นหน้าผมฟรองค์ฉีกยิ้มกว้าง แววตาที่ฟรองค์มองมาที่ผมตอนนี้มันช่างดูเป็นประกายและดูมีทั้งความประหลาดใจและดีใจแฝงปะปนกันอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ทำอย่างกับว่าผมไม่เคยมาที่นี่อย่างนั้นแหละ
แต่สีหน้าดีใจของฟรองค์ก็อยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฟรองค์รีบละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่และเดินจ้ำอ้าวตรงเข้ามาหาผม และจับตัวผมหันซ้ายขวาและมองสำรวจเสียทั่ว เขาทำราวกับว่ากำลังค้นหาร่องรอยสึกหรอบนตัวผมอย่างนั้นแหละ
“หนึ่ง ออกจากบ้านได้ยังไงแผลยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวมันก็กระเทือนแผลหรอก แค่ฟรองค์ไม่ได้ไปหาไม่กี่วันคิดถึงฟรองค์ขนาดต้องมาหาฟรองค์เองเลยเหรอ คราวหลังวีดีโอคอลเอาก็ได้นะ”
“นี่หลงตัวเองมากไปแล้ว” ผมว่าอย่างติดตลก เมื่อประโยคที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจากฟรองค์เมื่อครู่นั้นดันมีคำหวานที่ดูออกแนวจะหลงตัวเองไปสักหน่อยติดสอยห้อยท้ายมาด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็ยังขำที่ได้ยินผมว่ากลับไปอย่างนั้น
“แล้วแผลเป็นยังไงบ้าง ฟรองค์เป็นห่วงมากนะรู้ไหม” รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ก็ตอนช่วงที่ผมออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ ฟรองค์แทบจะไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านผมทุกวัน จนตอนนี้ฟรองค์สนิทกับทั้งแม่และน้องของผมไปแล้ว ผมเองก็อดเกรงใจเขาไม่ได้ เพิ่งจะมีช่วงหลังมานี้ที่เจ้าตัวบอกว่างานที่ร้านยุ่งจริง ๆ เลยไม่มีเวลาได้เข้าไปเยี่ยมผมที่บ้านบ่อย ๆ แต่ก็ยังโทรหาเพื่อไถ่ถามอาการอยู่ทุกคืน
“เราดีขึ้นมากแล้วล่ะ พอดีเรามีธุระอยากจะคุยกับฟรองค์น่ะ” ดีขึ้นมากอย่างนั้นหรือ ที่ออกมาข้างนอกวันนี้แค่มีอะไรกระทบกระเทือนนิดหน่อยก็เล่นเอาเจ็บแปลบจนผมแทบจะตัวงอ แต่ปากผมมันก็ยังจะเลือกที่จะอวดเก่งอยู่นั่น
“หนึ่งมีเรื่องอะไรเหรอ” ฟรองค์เอียงหน้ามองผมด้วยแววตาช่างสงสัย
“ทำไมฟรองค์ถึงเบี้ยวงาน รู้ไหมสปอร์นเซอร์โกรธมากเลยนะ” เมื่อเริ่มพูดเข้าเรื่องสำคัญผมปรับสีหน้าที่ยิ้มแย้มให้ดูจริงจังขึ้นในทันที แต่เมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้นฟรองค์ก็ถึงกับแสดงสีหน้าและท่าทางที่ดูออกไปทางเซ็ง ๆ หรือไม่ค่อยอยากจะรับรู้ พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาอย่างดูเหนื่อยหน่าย
“คุณรามเขาสั่งให้หนึ่งมาพูดกับฟรองค์เหรอ”
“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเราจะมาพูดเพราะใครสั่งมา แต่ฟรองค์ควรจะมีความรับผิดชอบมากมากกว่านี้นะ รู้ไหมการที่ฟรองค์เบี้ยวงานไปดื้อ ๆ อย่างนี้ มันทำให้ทีมงานหลายคนต้องเดือดร้อนนะ ฟรองค์กลับไปแสดงเถอะนะ”
“หนึ่งไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอกับการที่บอกให้ฟรองค์ไปมีอะไรกับคนอื่น แต่หนึ่งรู้ไหมว่าทุกครั้งที่ฟรองค์รู้ว่าหนึ่งจะต้องแสดงคู่กับคนอื่น ฟรองค์แทบจะเป็นบ้า” ผมถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินฟรองค์พูดออกมาอย่างนั้น
“ฟรองค์....” ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับฟรองค์ไปว่าอย่างไรดี และผมก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องตัวอย่างไรให้ฟรองค์เลิกรู้สึกกับผมไปมากเกินกว่าความเป็นเพื่อนดีคนหนึ่งได้สักที ทั้ง ๆ ที่ผมก็คิดว่าที่ผ่านมาผมก็พยายามที่จะไม่ทำอะไรที่ดูเหมือนเป็นการให้ความหวังฟรองค์แล้วนะ แต่เพราะฟรองค์ดีกับผมมาก ผมเลยไม่กล้าที่จะตัดเหยื่อใยฟรองค์ขั้นเด็ดขาดเหมือนที่ทำกับคุณราม
ฟรองค์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังให้กับผม ดูเหมือนว่าฟรองค์จะกำลังพยายามหลบซ่อนไม่ให้ผมเห็นสีหน้าและแววตาที่เขากำลังเป็นอยู่
“หนึ่งก็รู้ว่าฟรองค์อยากจะรีไทร์จากวงการตั้งนานแล้ว แต่ที่ฟรองค์ยังรับงานอยู่ก็เป็นเพราะหนึ่ง มันอาจจะฟังดูไม่ดีนะ แต่ฟรองค์มีความสุขทุกครั้งที่ฟรองค์มีอะไรกับหนึ่งเพราะมันทำให้ฟรองค์รู้สึกว่าหนึ่งเป็นของฟรองค์ถึงมันจะเป็นแค่เพียงบทบาท เพราะในความเป็นจริงฟรองค์ก็รู้อยู่แก่ใจว่าหนึ่งไม่เคยสนใจฟรองค์เลย แต่ถ้าการจะให้ฟรองค์ไปแสดงคู่กับคนอื่นเป็นความต้องการของหนึ่งฟรองค์ก็จะทำให้”
ฟรองค์พูดไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังตัดพ้อ ผมก็เข้าใจว่าฟรองค์ก็คงจะรู้สึกลำบากใจ ผมก็ไม่ได้อยากจะบังคับจิตใจฟรองค์หรอกนะ แต่มันจำเป็นจริง ๆ นี่ เพราะฟรองค์เป็นคนรับงานไว้เองถึงตอนที่รับงานนั้นจะรับเพราะคิดว่าจะได้แสดงคู่กับผมก็เถอะ แต่เพราะผมมีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ จึงจำเป็นต้องถอนตัวและทางสปอนเซอร์ก็เข้าใจดีแต่สำหรับฟรองค์นั้นไม่ใช่ หากว่าบริษัทของคุณรามมีปัญหากับสปอนเซอร์ขึ้นมาทีมงานอีกหลายชีวิตก็คงจะต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะอย่างนั้นผมจึงจะปล่อยให้ฟรองค์ทำตามใจตัวเองไม่ได้ อย่างไรงานก็ต้องเดินต่อ
“ขอบคุณนะฟรองค์” ผมว่าพลางวางมือบนบ่าของฟรองค์ ผมคิดว่านี่คงจะเป็นการถนอมความรู้สึกของฟรองค์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้ โดยที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ากำลังล้ำเส้นคำว่าเพื่อน
“เพราะผู้ชายคนนั้นใช่ไหมหนึ่ง หนึ่งถึงไม่เหลือที่ว่างในสายตาที่จะหันมามองฟรองค์”
ผู้ชายคนนั้นที่ฟรองค์พูดถึงผมเข้าใจว่าฟรองค์คงจะหมายถึงคุณโชน ฟรองค์และคุณโชนเคยเจอกันอยู่สองถึงสามครั้งตอนที่ไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล ถึงแม้ทั้งสองคนแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยแต่ผมก็พอจะรู้สึกได้ว่าเขาสองคนดูเขม่นกันอย่างไรก็ไม่รู้
“ไม่ใช่นะฟรองค์ ตอนนี้ไม่ว่าจะฟรองค์หรือเขาไม่มีใครเป็นมากกว่าเพื่อนของเราทั้งนั้น ตอนนี้เรายังไม่พร้อมที่จะมีใครทั้งนั้น” ผมยังคงย้ำชัดในคำ ๆ เดิมที่เคยพูดไปแล้วตอนที่แนะนำให้ฟรองค์และคุณโชนรู้จักกันที่โรงพยาบาล ว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนของผม ไม่มีใครเป็นอะไรมากไปกว่านั้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกับผมที่สุดมีแค่แม่กับน้องเท่านั้น และตราบใดที่ผมยังต้องทำอาชีพนี้อยู่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น และบางทีคุณโชนเขาก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรกับผมมากไปกว่าแฟนคลับที่ชื่นชอบในผลงานเลยด้วยซ้ำ
“ฟรองค์ยังรอหนึ่งอยู่เสมอนะ” น้ำเสียงนุ่ม ๆ ของฟรองค์ในตอนนั้นมันช่างฟังดูเศร้าจับใจเหลือเกิน ฟรองค์ว่าพลางเลื่อนมือขึ้นมากุมมือของผมที่ยังวางอยู่บนบ่าของเขา
“ถ้าวันไหนที่หนึ่งพร้อม ขอให้ฟรองค์เป็นคนแรกที่หนึ่งจะพิจารณาได้ไหม”
“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันนะ” คำถามของฟรองค์นั้นช่างทำให้ผมลำบากใจเหลือเกิน ผมให้คำตอบเขาได้ดีที่สุดแค่เพียงบอกปัดไปเท่านั้น ผมทำใจไม่ลงจริง ๆ ที่จะปฏิเสธฟรองค์อย่างเด็ดขาด เพราะเขาคงจะต้องเสียใจมาก
อย่างไรก็ตามฟรองค์ก็ยังคงเป็นเพื่อนคนสำคัญที่ผมรักมากที่สุด แต่รักในฐานะเพื่อนเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรผมเองก็ไม่รู้สึกอะไรกับฟรองค์มากไปกว่าการเป็นเพื่อนรักและเพื่อนที่ดีเท่านั้นจริง ๆ ทุกครั้งที่ผมกับฟรองค์มีอะไรกัน ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรก็ตามแต่ แต่สำหรับผมมันไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการทำงาน จริงอยู่ว่าเขาสามารถทำให้มีอารมณ์ร่วมไปกับบทเพลงสวาทของเขาได้ แต่ผมว่ามันเป็นแค่เรื่องปกติของคนที่มีกำลังเซ็กส์กัน ผมก็แค่การอินกับบทบาทที่กำลังแสดงก็เท่านั้น
ผมได้ยินเสียงฟรองค์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ดูฝืน ๆ หน้าอาจจะพอฝืนยิ้มได้นะ แต่ในแววตาของเขานั้นมันไม่สามารถซ่อนเร้นความเศร้าเอาไว้ได้เลย ยิ่งเห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
“เอ่อ แม่เราเขาบ่นคิดถึงฟรองค์น่ะ ถ้ามีเวลาว่างก็อย่าลืมแวะไปทานข้าวที่บ้านเรานะ”
“อืม ไปอยู่แล้ว จะไปจนกว่าจะได้เป็นลูกเขยแม่นั่นแหละ”
เฮ้อ ผมล่ะยอมรับจริง ๆ ในเรื่องของความดี ความมุ่งมั่น และความเสมอต้นเสมอปลายที่ฟรองค์มีให้ผม ถ้าผมสามารถรู้สึกกับเขาเหมือนที่เขารู้สึกกับผมได้ก็คงจะดี ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากรักคนดี ๆ แบบฟรองค์นะ แต่เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้จริง ๆ นี่นา
สำหรับผมแล้วไม่ว่าอย่างไรเพื่อนก็คือเพื่อน เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอก
☼☼☼☼☼☼
เสียงริงโทนโทรศัพท์ทำให้ผมละความสนใจจากหนังสือนิยายที่กำลังนอนอ่านอยู่เพลิน ๆ ผมเหลือบมองนาฬิกาบนพนังห้องตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่า ๆ คนที่น่าจะโทรมาในเวลานี้ก็คงจะอยู่คนเดียว ผมหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือมากดรับสายโดยแทบจะไม่ต้องมองชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลปลายสาย
“สวัสดีครับคุณโชน” ผมกล่าวทักทายบุคคลปลายสายพร้อมเอ่ยชื่อของคนที่มักจะโทรมาในเวลานี้เป็นประจำทุกวัน
“เฮ้อ พี่ชายสองนี่เสน่ห์แรงจริง ๆ เลย” เจ้าสองที่นอนอยู่ข้าง ๆ หันมาทำแววตากระเซ้าใส่ผม ผมหันไปทำตาดุใส่เจ้าน้องตัวแสบที่พอเห็นผมทำอย่างนั้นแล้วยังจะมาขำอีก
ทุกวันนี้ผมนอนห้องเดียวกับเจ้าสองครับ ถึงแม้บ้านหลังนี้จะใหญ่โต และยังมีห้องว่างเหลืออยู่อีกหลายห้อง แต่เจ้าสองเป็นคนออกปากเองว่าอยากให้ผมมานอนด้วยเพราะอยากจะดูแลผม ซึ่งผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะมันก็ได้ทำให้ผมหวนนึกถึงอดีตในวันคืนดี ๆ ตอนที่เราอยู่บ้านหลังเก่ากัน บ้านหลังเล็ก ๆ ที่อบอุ่นแม้ห้องนอนจะมีจำกัด ผมก็นอนห้องเดียวกันเตียงเดียวกันกับเจ้าสองตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ผมสูญเสียช่วงเวลาดี ๆ กับครอบครัวไปมากแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมก็ขอชดเชยให้ตัวเองอย่างเต็มที่เลยก็แล้วกัน
“เอ่อ คุณหนึ่งอาการเป็นยังไงบ้างครับ” คุณโชนก็ยังเป็นคุณโชน ไม่ว่าจะคุยกับผมมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่เวลาคุยกับผมทุกครั้งเขาก็ยังคงมีอาการเกร็ง ๆ ดูไม่มั่นใจ ที่แสดงชัดผ่านทางน้ำเสียงอยู่ดี
“ดีขึ้นมากแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ฝะ ฝันดี นะครับคุณหนึ่ง”
“ครับ ฝันดีเช่นกันครับ”
สิ้นสุดบทสนทนาสั้น ๆ นั้นคุณโชนก็วางสายไปอย่างง่ายดาย เขาก็มักจะโทรมาหาผมเพื่อไถ่ถามอาการ และจบด้วยการบอกฝันดีอย่างนี้เป็นประจำ คำถามเดิม ๆ ที่ผมก็ตอบกลับด้วยคำตอบเดิม ๆ มันเป็นบทสนทนาสั้น ๆ และฟังดูงง ๆ แต่มันก็ทำให้อมยิ้มได้ทุกครั้งเลยจริง ๆ
ฝันดีนะครับคุณโชน
TBC
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ