รักของนายเอกหนังโป๊ [20+]
เขียนโดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.03 น.
แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 20.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4 ซองสีน้ำตาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 4 ซองสีน้ำตาล
“ขนาดพี่ยังไม่หายดีเขายังจะให้พี่มาทำงานอีกเหรอ” เจ้าสองว่าพลางช่วยผมถอดหมวกกันน็อค ภาพเหตุการณ์ตอนนี้มันช่างทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ เมื่อครั้งวันวาน สมัยก่อนสองก็เคยขับมอเตอร์ไซด์ไปรับไปส่งผมแบบนี้อยู่บ่อย ๆ แล้วก็เป็นคนสวมและถอดหมวกกันน็อคให้ผมอย่างนี้เสมอ นานแค่ไหนแล้วนะที่ช่วงเวลาแบบนี้มันหายไปจากชีวิตผม ที่ผ่านมาผมไม่กล้าคิดเลยว่าผมจะโอกาสได้พบกับช่วงเวลานี้อีกครั้ง จนกระทั่งตอนนี้ ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก วันนี้เจ้าสองเป็นคนขับมอเตอร์ไซด์มาส่งผมถึงที่บริษัท ก็ตั้งแต่วันนั้น....
☼☼☼☼☼☼
ในวันนั้น ผมรู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บแปลบบริเวณหน้าท้องจากแผลที่ถูกทำร้าย หันมองรอบตัวก็เห็นสายน้ำเกลือต่ออยู่ที่หลังมือของผม และเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่อยู่ก็ทำให้พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ผมคงนอนอยู่บนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาลไหนสักแห่ง และเมื่อผมหันมองไปที่ปลายเตียงผมก็ได้เจอกับ...
เจ้าสองที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาสีหน้าดูเคร่งเครียดและเหมือนว่าจะกำลังมีน้ำใส ๆ ไหลเอ่อจากสองตา นี่สองกำลังร้องไห้อยู่อย่างนั้นหรือ การตื่นมาแล้วพบเจ้าสองเป็นคนแรกอย่างนี้ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลย
“โอ๊ย” แค่ตั้งท่าจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ผมก็แทบจะหงายเก๋งไปในทันทีเพราะความเจ็บร้าวมันจู่โจมผมอย่างหนักตรงบริเวณแผลที่หน้าท้อง
“อย่าเพิ่งลุก!” เสี้ยววินาทีแรกที่เจ้าสองหันมาเห็นผมตอนที่ผมรู้สึกตัวแล้ว ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองนะ ว่าผมเห็นเจ้าสองมีสีหน้าที่ดูดีใจก่อนจะรีบตีสีหน้าให้ดูนิ่งเฉยพร้อมกับรีบปาดน้ำตา และวิ่งเข้ามาประครองตัวผมที่กำลังจะประครองตัวเองไว้ไม่อยู่เพราะมือข้างหนึ่งพุ่งมากอบกุมแผลที่ความเจ็บทรมานมาเยือนโดยอัตโนมัติ หลังจากล้มเหลวกับการพยายามจะลุกนั่ง เพราะผมไม่สามารถที่จะประครองตัวเองอยู่ได้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวในสภาพร่างกายเช่นนี้
สองค่อย ๆ ประครองวางตัวผมนอนลงบนที่นอน ก่อนจะปรับระดับเตียงให้ตัวผมอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ถึงสีหน้าของสองในตอนนี้จะคาดเดาอารมณ์ได้ยาก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าสองอ่อนโยนกับผม แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่กล้าคาดเดาเลยว่าหลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายวันนี้ความรู้สึกของสองที่มีต่อผมมันจะเป็นอย่างไร ผมจะดูดีขึ้นบ้างไหมในสายตาของน้อง เป็นสิ่งที่ผมยังกังวลและไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง
“เอ่อ พี่หิวน้ำ” ผมเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ผมยอมรับว่าทำตัวไม่ถูกเลยจริง ๆ ในสถานการณ์นี้ ที่มีผมและสองอยู่กันแค่สองคน
แต่ดูเหมือนกับว่าผมจะกังวลมากไปเอง เพราะหลังจากที่ผมเอ่ยปาก เจ้าสองก็เดินไปรินหน้าจากเหยือกที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงใส่แก้ว และจัดแจงใส่หลอดก่อนจะยื่นมาที่ปากผม สองทำตามที่ผมร้องขออย่างว่าง่าย โดยไม่ได้มีปฏิกิริยาขุ่นเคืองหรือไม่พอใจแต่อย่างใด ผมดูดน้ำจากหลอดนั้นพลางแอบเหลือบตามองเจ้าสองพยายามที่จะอ่านความรู้สึกของเจ้าสองในตอนนี้แต่ผมก็เข้าไม่ถึงความรู้สึกของน้องมันเลยจริง ๆ
“ฉันให้แม่กลับไปพักที่บ้าน คืนนี้ฉันจะอยู่เฝ้านายเอง” สองว่าด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ในขณะที่กำลังวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างเตียงผม หลังจากที่ผมดื่มน้ำไปจนเกือบหมดแก้ว
“อะ อืม”
“ทำไมต้องทำขนาดนี้ ไม่กลัวตายหรือไง” ผมแทบจะตั้งตัวไม่ทัน เมื่อเจ้าสองยิงคำถามมาตรง ๆ แบบนั้น แววตาของสองที่จับจ้องมาที่ผมในตอนนั้นมันทั้งดูจริงจังและเคร่งเครียดจนผมกลัวที่จะต้องสบตากับน้อง และต้องพยายามที่จะหลบเลี่ยงสายตาของเจ้าสองในตอนนั้น
“กลัวสิ” ผมตอบไปตามตรง ความตายนะใครล่ะจะไม่กลัว
“แต่พี่กลัวสองเป็นอันตรายมากกว่า” ผมค่อย ๆ หันไปสบตากับเจ้าสองทั้งที่ยังหวั่น ๆ หลังจากที่ได้พูดประโยคนั้นออกไป เพียงแค่นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เจ้าสองกำลังจะถูกทำร้ายผมก็แทบใจจะขาด น้ำตาของผมมันเอ่อจนเกือบจะล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าสองเป็นอะไรไปผมคงใจสลาย ถึงสองจะโกรธจะเกลียดผมมากเพียงใด แต่สำหรับผม สองยังเป็นน้องชายคนดีคนเดิมของผมเสมอ น้องชายที่ผมรักมากกว่าชีวิตของตัวเอง
สองเองในตอนนั้นก็คงดูไม่ต่างจากผม แววตาของสองดูอ่อนลง ดวงตาทั้งสองเริ่มแดงก่ำพร้อมกับน้ำใส ๆ ที่รื้นขึ้นตรงขอบตาและเริ่มไหลรินออกมาเป็นสาย
“พี่หนึ่ง” รู้สึกตัวเองอีกทีผมก็ถูกเจ้าสองดึงตัวเข้าไปกอดไว้แนบอกเสียแล้ว นี่ผมไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม น้องชายของผมกำลังกอดผมและเรียกผมว่าพี่อีกครั้ง มันช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษเหลือเกิน อ้อมกอดที่ผมโหยหามานาน จนผมต้องภาวนาขอให้นี่ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน
“สองขอโทษนะพี่หนึ่ง สองขอโทษ” สองซบหน้าลงบนไหล่ผม น้ำตาที่เปียกปอนบนไหล่ผมกับเสียงสะอื้นที่ปนมากับเสียงพูดของสอง มันเป็นสิ่งที่บอกให้ผมรับรู้ว่าสองกำลังร้องไห้ ผมค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นกอดตอบสองและลูบหลังเขาอย่างปลอบประโลม ถึงตอนนั้นผมก็ห้ามน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน น้ำตาแห่งความปีติ
“พี่ไม่เคยโกรธสองเลยนะ ไม่เคยแม้แต่จะคิด”
สองกระชับกอดผมให้แน่นขึ้น แม้ในตอนนั้นความเจ็บทรมานที่บาดแผลมันจะเล่นงานผมหนักแค่ไหนแต่ผมก็ยินดีที่จะทนรับมัน เพราะการได้เลยอยู่ในอ้อมกอดของน้องชายนั้นมันทำให้ผมสุขใจเสียจนไม่อยากจะรับรู้หรือสนใจสิ่งใดอีกแล้ว
อ้อมกอดและความรักจากน้องชายที่ผมสูญเสียไปเป็นเวลานาน ในที่สุดผมก็ได้มันกลับคืนมาแล้ว
☼☼☼☼☼☼
ตอนนี้ผมย้ายออกจากคอนโดมาอยู่ที่บ้านกับแม่และน้อง ผมยังจำวันที่ผมออกจากโรงพยาบาลได้อยู่เลย เจ้าสองคะยั้นคะยอรบเร้าให้ผมไปอยู่บ้านด้วยกัน พร้อมทั้งสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเป็นเด็กดีของผม การเสี่ยงชีวิตในวันนั้นสำหรับผมแล้วผลตอบแทนที่ผมได้รับนั้นมันคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกนี้ เพราะผมได้ครอบครัวที่อบอุ่นกลับคืนมา ต่อให้ใครจะมองผมยังไง เพียงแค่มีแม่และน้องที่รักผม ผมก็ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดแล้ว
“เขาไม่ได้ให้พี่มาถ่ายหนังหรอก เห็นว่ามีธุระสำคัญที่จะต้องคุยกับพี่ โดยที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องที่คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้” คุณรามอนุญาตให้ผมพักงาน ในช่วงที่แผลยังไม่หายดี แต่อยู่ ๆ เมื่อวานเขาก็โทรศัพท์มาหาผมบอกว่ามีเรื่องด่วนและสำคัญมากอยากจะคุยกับผม และย้ำว่าต้องคุยแบบเจอหน้าเท่านั้น
ในคราวแรกเขาก็คะยั้นคะยออยากจะไปหาผมที่บ้าน แต่เพราะผมไม่อยากจะให้เขารู้ว่าบ้านผมอยู่ไหนเพื่อตัดปัญหาความวุ่นวายที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ผมเลยยอมเป็นฝ่ายแบกสังขารที่ยังไม่แข็งแรงดีออกมาพบเขาเอง
☼☼☼☼☼☼
“คุณราม อนุญาตให้เข้าพบได้เฉพาะคุณหนึ่งครับ” รปภ. ที่คุณรามให้ขึ้นมาดูแลความเรียบร้อยหน้าห้องทำงานยกแขนขึ้นกันเจ้าสองไม่ให้เดินตามผมเข้าไปด้านใน
“แต่ว่าพี่หนึ่ง” เจ้าสองมองหน้ารปภ.คนนั้นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันมามองผมด้วยความห่วงใยในแววตา
“ไม่เป็นไรสอง สองรอพี่อยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่คุยธุระเสร็จแล้วจะรีบออกมา”
ผมรู้ว่าการที่ผมจะเข้าไปพบคุณรามในห้องทำงานของเขาตามลำพังนั้นมันอาจจะไม่เป็นการดีสำหรับผมสักเท่าไหร่ แต่เพราะรปภ.คนนั้นเขาก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขา ถ้าหากเขาปล่อยให้เจ้าสองตามผมเข้าไปได้คนอย่างคุณรามคงต้องทำให้เขาเดือดร้อนแน่ ๆ
☼☼☼☼☼☼
“มาแล้วเหรอครับ นั่งก่อนสิ” คุณรามละความสนใจจากเอกสารที่กำลังอ่านทวนก่อนจะเซ็นอนุมัติ และหันมองมาที่ผมด้วยแววตาที่ดูมีนัยยะแปลก ๆ และรอยยิ้มมุมปากที่ดูยังไงก็ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย
ผมเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคุณรามออกแล้วค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งอย่างระมัดระวัง แม้จะผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วแต่แผลที่หน้าท้องผมก็ยังไม่หายดีเสียทีเดียว หากถูกกระทบกระเทือนก็ยังมีอาการเจ็บแปลบเข้าจู่โจมได้อยู่
“ผมต้องขอโทษด้วยนะ งานผมหนักจริง ๆ เลยไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาลเลย คุณโอเคขึ้นแล้วใช่ไหม ผมเป็นห่วงคุณมากนะหนึ่ง” ผมน่ะอยากจะอาเจียนกับการหยอดคำหวานของเขาเสียเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะพยายามพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่มันก็ไม่ได้ช่วยปิดบังความบ้ากามที่ซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของเขาเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลคุณรามไปเยี่ยมผมอยู่สองถึงสามครั้งได้ ไม่ได้ไปแทบจะทุกวันเหมือนฟรองค์กับ เอ่อ.. คุณโชน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะไม่ว่าเขาไปหรือไม่ไป ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับผม จะเป็นการดีเสียด้วยซ้ำหากว่าเขาจะไม่ไปให้ผมต้องรกหูรกตาเลยในขณะที่ยังนอนเจ็บอยู่
“อย่ามัวนอกเรื่องเลย คุณมีเรื่องอะไรจะพูดกับผมก็พูดมาเถอะ และหวังว่าจะเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ นะครับ”
“เฮ้อ” คุณรามถอนหายใจพร้อมกับเอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ดูราวกับกำลังรู้สึกหน่ายใจ เมื่อผมรีบตัดบทพูดเข้าเรื่องงานเพื่อตัดสัมพันธ์บ้าบออะไรก็ตามแต่ที่เขากำลังพยายามจะสร้าง
“ก็เรื่องที่คุณต้องพักรักษาตัวจนมาถ่ายงานที่รับล่วงหน้าคู่กับนายฟรองค์ไว้ไม่ได้น่ะสิ ทางสปอนเซอร์เขาก็เข้าใจว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะต้องเปลี่ยนตัวนายเอก แต่นายฟรองค์นี่สิ พอคุณไม่ได้แสดงนายนั่นมันก็จะไม่ยอมแสดงกับคนอื่น ทางสปอนเซอร์เขาไม่พอใจกันมาก โดยเฉพาะคุณเอก คุณช่วยไปพูดกับมันให้ยอมกลับมาแสดงหน่อยได้ไหม ถ้าเป็นคุณพูดผมเชื่อว่าต้องยอม ผมไม่อยากให้บริษัทมีเรื่องหมางใจกับคุณเอก ถ้าคุณเอกเขาถอนสปอนเซอร์ไปบริษัทเรามีปัญหาแน่ ๆ”
คุณรามร่ายยาวถึงปัญหาหนักที่เขากำลังเผชิญอยู่ ฟังดูแล้วผมก็รู้สึกเห็นใจนะ คุณเอกคือเจ้าของกิจการใหญ่ผู้เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ให้กับค่ายหนังของคุณรามและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด หากคุณเอกถอนสปอนเซอร์ไปบริษัทของคุณรามคงได้รับผลกระทบไม่น้อย และผมก็คิดว่าฟรองค์เองก็ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้
“ได้ครับเดี๋ยวผมจะพูดกับฟรองค์ให้ เรื่องสำคัญที่คุณพูดถึงมีแค่นี้ใช่ไหมครับ ผมจะได้ขอตัวกลับ” ผมรับปากที่จะช่วย แต่นึก ๆ ดูแล้วถ้ามีแค่เรื่องนี้เขาก็สามารถที่จะบอกกับผมทางโทรศัพท์ได้นี่ ทำไมถึงจะต้องอยากเจอผมมากขนาดนั้น
“เดี๋ยวสิ ผมยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ต้องบอกคุณ” นั่นไงผมว่าแล้วว่าต้องมีอะไรมากกว่าเรื่องฟรองค์
คุณรามเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะเพื่อหยิบเอาของบางสิ่งที่อยู่ในนั้นทั้งที่สายตาเลศนัยน์ของเขายังจ้องมองผมอยู่อย่างไม่ลดละ
“นี่ของขวัญสำหรับคุณ ถือว่าเป็นของรับขวัญจากผม เรื่องที่คุณต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วกันนะ” คุณรามแสยะยิ้มอย่างชวนขนลุก พร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลที่เพิ่งหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักให้กับผม
ปากเขาบอกว่าเป็นของขวัญ แต่ผมกลับรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่อยู่ในซองนี้เอาเสียเลย แม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ขอคาดเดาไปก่อนว่าของที่อยู่ด้านในไม่น่าจะเป็นอะไรที่ดีสำหรับผมแน่ ๆ
ผมครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเปิดซองนั้นออกดู และผมก็ได้พบกับ...
เอกสารสำคัญการหย่า!!!!
“นี่คุณ!” ผมหันมองหน้าคุณรามด้วยความตกใจกับสิ่งที่อยู่ในซองนั้น สิ่งที่ผมท้าทายเชิงเหยียดหยันในทุกครั้งเขามาพยายามมาทำก้อร่อก้อติกกับผมมาโดยตลอด ซึ่งผมไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำมันจริง ๆ
“ผมหย่ากับเขาแล้วนะ คราวนี้คุณก็หมดข้ออ้างที่จะไม่ยอมเป็นของผมแล้วนะหนึ่ง” คุณรามเหยียดยิ้มราวกับว่าตัวเองกำลังเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า ผู้ชายคนนี้มันน่ารังเกียจสิ้นดีจริง ๆ !
“คุณจะหย่าจะแต่งกับใครมันก็เรื่องของคุณแต่อย่ามากับยุ่งกับผม” ผมตะโกนใส่หน้าคุณรามด้วยความโมโหในหัวเขามันมีแต่เรื่องนั้นหรืออย่างไรกัน
“โอ๊ย!” ทำไมร่างกายของผมมันถึงได้ทรยศต่อความคิดอย่างนี้นะ ในตอนที่ผมกระชากตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้หมายจะรีบเดินหนีไปให้ไกล เพราะคนตรงหน้านี้มันช่างน่ารังเกียจเสียยิ่งกว่าขยะทั้งหลายทั้งปวง ขืนผมอยู่ตรงนี้ต่อไปผมคงได้อาเจียนออกมาเป็นแน่ แต่ทว่าทันทีที่ผมลุกขึ้นความเจ็บปวดมันก็พุ่งเข้ามาเล่นงานที่แผลบนหน้าท้องของผมอย่างรุนแรงจนทำเอาผมก้าวเดินไม่ออก
คุณรามฉวยโอกาสนั้นวิ่งตรงเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง และยังพยายามที่จะใช้ปลายจมูกซุกไซร้ตั้งแต่แก้มไล่ลงไปจนถึงต้นคอของผม ผมพยายามที่ขยับตัวหนีการกระทำของเขา แต่ผมก็ทำได้ไม่มากนักเพราะผมติดอยู่ในพันธนาการที่แน่นหนาของเขาแล้วไหนจะยังเจ็บแผลอีก
“คุณจะเอายังไงอีกหนึ่ง ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะพอใจ คุณบอกให้หย่าผมก็หย่าแล้ว แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงอีก คุณรู้ไหมว่าผมต้องการคุณมากแค่ไหน”
“แค่ต้องการเอาชนะผมคุณต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ” ผมพยายามที่จะดิ้นรนด้วยแรงที่พอจะมีเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธการของเขา แต่ทว่าดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย เมื่อผมยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่เขาก็ตอบรับด้วยกอดรัดผมแน่นขึ้นเท่านั้น
“ผมไม่ได้ต้องการเอาชนะคุณนะหนึ่ง ผมรักคุณผมต้องการคุณ” รักอย่างนั้นหรือ เขากล้าบอกว่ารักผมอย่างนั้นหรือ มันช่างเป็นคำรักที่ฟังดูน่าสมเพชที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินเลย
“เก็บคำว่ารักของคุณไปบอกลูกบอกเมียคุณเถอะ เพราะผมฟังแล้วมันขยะแขยงหู”
ขนาดลูกกับเมียของเขา เขายังทรยศได้ลงคอ ถ้าขืนผมหลวมตัวไปกับคำรักพล่อย ๆ ของเขา สักวันเขาก็คงจะต้องทำแบบนี้กับผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมไม่มีวันหลงผิดคิดสั้นเด็ดขาด
ในเวลานั้นความรู้สึกผิดมันถาโถมประดังประเดเข้ามาที่ผมอย่างเต็มเปี่ยมจนผมรู้สึกโกรธตัวเอง ผมทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องถูกสามีทอดทิ้ง และทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ อีกคนต้องครอบครัวมีปัญหา ต้นเหตุมันมาจากผมทั้งนั้น ผมไม่น่าไปท้าทายอะไรบ้า ๆ อย่างนั้นเลย
“ปัดโธ่โว้ย! คุณจะให้ผมรักมันได้ยังไงก็ในเมื่อ ไอ้เด็กนั่นไม่ใช่ลูกผม”
TBC
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ