รักของนายเอกหนังโป๊ [20+]
เขียนโดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.03 น.
แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 20.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 3 เค้กวานิลลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 3 เค้กวานิลลา
“หนึ่งลองชิมดูสิ นี่เป็นเค้กสูตรใหม่ของร้านฟรองค์ ให้หนึ่งชิมเป็นคนแรกเลยนะ” ฟรองค์ว่าพลางวางจานเค้กหน้าตาน่าอร่อยลงตรงหน้าผม
ผมยังไม่ได้กลับคอนโดแต่แวะมานั่งเล่นที่ร้านของฟรองค์ตามคำชักชวนของเขาก่อน นอกจากการเป็นพระเอกจีวีแล้วอีกอาชีพหนึ่งของฟรองค์ก็คือเป็นหุ้นส่วนร้านกาแฟที่ร่วมกันเปิดเพื่อนสนิทของเขา
“ครีมนี่หวานละมุนลิ้นมากเลยนะ หนึ่งต้องชอบแน่ ๆ” ว่าแล้วฟรองค์ก็ใช้นิ้วก้อยขวาปาดครีมจากหน้าเค้กขึ้นมาแล้วยื่นมาจ่อตรงปากผม พร้อมทั้งส่งสายตาออกแนวเชิญชวนแกมคะยั้นคะยอให้ผมลองชิมครีมสูตรพิเศษของเขา
ผมตอบรับฟรองค์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะใช้ช้อนตักเค้กในจานเข้าปากเพื่อลิ้มรสชาติตามคำเชิญชวนของเจ้าของเค้ก ช้อนก็มีไม่รู้ว่าจะทำให้มันเลอะมือไปทำไม อื้ม แต่มันก็อร่อยมากอย่างที่เจ้าตัวเขาภูมิใจนำเสนอจริง ๆ
“อื้ม อร่อย เราชอบ”
“โห หนึ่งอะ ไม่รับมุกกันบ้างเลย” ฟรองค์ว่าพลางดูดนิ้วเปื้อนครีมของตัวเองด้วยท่าทางที่ดูเซ็ง ๆ จนผมเกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่กับท่าทางเง้างอนเหมือนเด็กน้อยของฟรองค์ที่ดูไม่ได้สมตัวเอาเสียเลย
จริง ๆ แล้วฟรองค์อายุมากกว่าผมถึงสามปีเลยนะ แต่เขาบอกว่าเขาไม่อยากแก่แล้วก็เป็นเพื่อนกันน่าจะสนิทกันได้ไวกว่า เขาเลยไม่ยอมให้ผมเรียกว่าพี่
“ทำร้านกาแฟนี่มันเหนื่อยมากเลยนะ ถ้าเกิดว่ามีแฟนน่ารัก ๆ สักคนมาคอยเป็นกำลังใจให้ ฟรองค์คงจะหายเหนื่อยเนอะ หนึ่งว่าไหม” ผมหรี่ตามองอย่างรู้เท่าทันในน้ำเสียงออดอ้อนนั้น
“เมื่อไหร่คนแถวนี้เขาจะใจอ่อนสักทีนะ” นั่นไงคิดไว้ไม่ผิดว่าต้องเข้าอีหรอบนี้ ฟรองค์วางแขนบนโต๊ะก่อนจะฟุบหน้าลงหนุนบนแขนตัวเองและหันมองผมด้วยแววตาที่สุดแสนจะหยาดเยิ้มและเว้าวอน
“ทำไม ในฉากวันนี้ยังไม่ถึงใจอีกเหรอ” ผมพูดเย้าฟรองค์อย่างทีเล่นทีจริง
“โห หนึ่งอะ มีอะไรกันแค่ในงานมันจะไปสำคัญอะไร ไม่เมื่อหนึ่งไม่ได้ชอบฟรองค์จริง ๆ สักหน่อย ฟรองค์อยากกอดหนึ่งหอมหนึ่งได้โดยที่ไม่ต้องรอเวลางานบ้างนี่นา นี่ฟรองค์ก็อ่อยมาตั้งเป็นปีแล้วนะหนึ่งไม่คิดจะหวั่นไหวบ้างเลยเหรอ”
ที่จริงผมก็รู้มาตลอดนั่นแหละว่าฟรองค์เขาคิดอย่างไรกับผม และเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรซ้ำยังตั้งใจแสดงออกให้ผมรับรู้อย่างเปิดเผยมาโดยตลอด ผมยอมรับฟรองค์เขาก็เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง ถ้าผมคบกับเขาผมเชื่อว่าเขาจะสามารถทำให้ผมมีความสุขได้ แต่มันติดตรงที่หัวใจของผมมันไม่เคยคิดอะไรกับฟรองค์มากไปเกินกว่าคำว่าเพื่อนน่ะสิ และตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะมีใครด้วย
จริง ๆ แล้วตอนนี้ฟรองค์หมดสัญญากับค่ายของคุณรามสักพักหนึ่งแล้ว เพราะอยากจะหันมาดูแลกิจการร้านกาแฟอย่างเต็มตัว แต่ยังรับงานแสดงในฐานะนักแสดงอิสระอยู่บ้างประปราย แต่ฟรองค์ก็เลือกรับงานเฉพาะงานจากค่ายคุณรามเท่านั้นไม่ได้รับงานจากค่ายอื่นเลย แม้จะมีค่ายอื่น ๆ เสนอผลตอบแทนที่สูงมาก ๆ เพื่อให้ฟรองค์ไปร่วมงานแต่ฟรองค์ก็เลือกที่จะปฏิเสธทั้งหมด หลาย ๆ คนเลยยังเข้าใจว่าฟรองค์ยังเป็นนักแสดงในสังกัดของคุณรามอยู่ แต่ทว่าผลงานในช่วงหลังจากหมดสัญญาของฟรองค์นั้นก็มีแต่ผลงานที่ผมเป็นคู่นักแสดงทั้งสิ้น จนแฟน ๆ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นแฟนกันจริง ๆ ไปแล้ว
โดยปกติแล้วคุณรามมักจะไม่ค่อยเรียกใช้งานนักแสดงที่ไม่ได้มีสัญญากับบริษัท แต่กับฟรองค์นั้นคุณรามไม่สามารถที่จะต้านกระแสความนิยมจากแฟนคลับของเขาและความต้องการของสปอนเซอร์ได้ ก็อย่างที่ผมบอกว่าฟรองค์จัดได้ว่าเป็นพระเอกลำดับต้น ๆ ของค่าย แม้ว่าจะไม่มีสัญญาแล้วแต่ผลงานของฟรองค์ก็ยังสร้างผลกำไรให้กับทางค่ายได้เป็นกอบเป็นกำอยู่เสมอ
ในเรื่องของสัญญานั้นนักแสดงที่อยู่ในสัญญาจะได้รับเงินเดือนเป็นที่แน่นอนในทุก ๆ เดือน และทุกครั้งที่มีผลงานไม่ว่าจะเป็นการถ่ายหนังหรือถ่ายโฟโต้บุ๊คก็จะมีเงินค่าตัวจ่ายให้อีกต่างหาก สำหรับนักแสดงที่เป็นตัวท็อป ๆ ของค่ายนั้นจะได้ค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูงทั้งเงินเดือนและค่าตัวจากการถ่ายงาน ตัวผมก็คงจะจัดอยู่ในหมวดนั้น เพราะตอนนี้ก็ถือได้ว่าผมเป็นนายเอกที่ค่าตัวสูงที่สุดในค่าย
โดยปกติแล้วผมจะรับงานแสดงไม่เกินสองเรื่องต่อเดือน ถึงไม่ค่อยอยากจะรับสักเท่าไหร่แต่เพราะผมยังอยู่ในสัญญาจึงปฏิเสธอะไรไม่ค่อยจะได้มาก เพราะตามข้อตกลงในสัญญาแล้วผมจะต้องรับงานแสดงขั้นต่ำคือเดือนละสองเรื่องหากว่าทางค่ายป้อนงานให้ ซึ่งผมก็เลือกรับเพียงเท่านั้นแม้ว่าในแต่ละเดือนคุณรามและสปอนเซอร์จะเสนองานแสดงให้ผมมาไม่น้อยเลย แต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ผมไม่ได้มีความเดือดร้อนในเรื่องการเงินแบบเมื่อก่อนแล้ว เฉพาะเงินเดือนอย่างเดียวผมก็เลี้ยงแม้เลี้ยงน้องได้สบาย ๆ แล้ว
การที่ผมเลือกไม่รับงานหลาย ๆ งานนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการช่วยกระจายงานและรายได้ให้กับนักแสดงคนอื่น ๆ ที่เต็มใจและพร้อมที่จะรับงาน เพราะกับหลาย ๆ คนนั้นทางค่ายแทบจะไม่มีงานป้อนให้เลย และสำหรับคนที่ค่ายไม่ค่อยป้อนงานให้นั้นเงินเดือนก็จะได้น้อยตามไปด้วย เพราะว่านักแสดงในค่ายมีมาก แต่คนที่เป็นที่ต้องการของตลาดจริง ๆ กลับมีเพียงแค่ไม่กี่คน
☼☼☼☼☼☼
ในช่วงบ่ายของวันพักผ่อน วันนี้ผมออกมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ คอนโดตั้งใจว่าจะมาหาซื้อหนังสือนิยายไปอ่านแก้เบื่อที่ห้อง ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในร้านหนังสือสิ่งแรกที่ผมพบก็คือ โฟโต้บุ๊คแนวเซ็กซี่ชนิดที่เปลือยหมดเปลือกที่ผมถ่ายไว้ ซึ่งจริง ๆ แล้วโฟโต้บุ๊คชุดนี้แล้วมันถูกวางขายตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน แต่เพิ่งจะถูกตีพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่สองและกลับมาวางขายอีกครั้งได้ไม่นานเพราะที่ตีพิมพ์ออกมาครั้งแรกนั้นมันเกิดขายดีจนขาดตลาด จนตอนนี้โฟโต้บุ๊คชุดนั้นยังคงขึ้นแท่นหนังสือแนะนำที่ยอดขายสูงเป็นอันดับหนึ่งของร้าน เรียกได้ว่าชนะแบบทิ้งห่างหนังสือในแนวเดียวกันที่ถ่ายโดยคุณผู้หญิงคนสวยที่ยอดขายตามมาเป็นอันดับที่สอง เอ่อ ว่าแต่นี่ผมควรจะต้องภูมิใจใช่ไหม
ผมเดินเลือกหาหนังสือที่ชอบโดยไม่ได้สนใจสายตาจากคนในร้านที่มองผม อาจจะมีหันไปยิ้มให้กับบางคนบ้างเล็กน้อย แต่ เอ ทำไมร้านนี้ถึงได้จัดวางหนังสือนิยายจากสำนักพิมพ์ที่ผมชอบอ่านไว้บนชั้นที่สูงขนาดนั้นนะ บันไดสำหรับปีนหยิบหนังสือก็ไม่มีอยู่แถวนี้เสียด้วยสิ ผมก็เลยจำเป็นต้องเขย่ง และเอื้อมมือออกไปให้ไกลที่สุด
แม้ว่าพยายามถึงที่สุดแล้ว แต่ผมก็ทำได้แค่แตะ ๆ ที่ขอบชั้นหนังสือเท่านั้นเอง ทำไมพ่อแม่ถึงไม่ประดิษฐ์ผมออกมาให้ตัวสูง ๆ แบบเจ้าสองนะ ไม่ว่าจะเขย่งและพยายามยืดตัวอย่างไรผมก็หยิบหนังสือที่อยากได้ลงไม่ได้สักที โอย เหนื่อยแล้วนะ
ในนาทีที่ผมได้แต่ยืนมองหนังสือที่อยากได้ตาปริบ ๆ ราวกับสุนัขที่กำลังมองปลากระป๋อง เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ แต่เอามาไม่ได้ ในตอนนั้นอยู่ ๆ ก็มีมือของใครคนหนึ่งเอื้อมขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มที่ผมกำลังต้องการลงมาได้อย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาผม ทำให้ที่คนเอื้อมไม่ถึงอย่างผมต้องอิจฉาเล่น ๆ แต่เอ ถ้าจะขอให้เขาช่วยหยิบให้ผมด้วยสักเล่มเขาคงจะไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง
ในตอนที่ผมกำลังหันไปเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากคน ๆ นั้น กลับกลายเป็นว่าเขาก็กำลังยื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้กับผมเช่นกัน
อ้าว นี่มัน...
“คุณโชน” คุณโชนคนที่ให้ความช่วยเหลือผมจากการถูกมอมยาในผับเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่ผมให้เบอร์ติดต่อเขาไว้ด้วยเผื่อว่ามีอะไรที่เขาอยากจะให้ผมช่วยเพื่อเป็นการตอบแทนเขาบ้าง แต่เขาก็หายเงียบไปเลย
คุณโชนยิ้มให้ผมเกร็ง ๆ คล้ายกับว่ากำลังแทนคำทักทายพร้อมทั้งยื่นหนังสือที่เขาเพิ่งจะหยิบมันลงมาจากชั้นหนังสือที่ผมเอื้อมไม่ถึงส่งให้กับผม
“นี่ครับหนังสือของคุณ ว่าแต่คุณชอบอ่านนิยายสยองขวัญแบบนี้ด้วยเหรอครับ”
“ใช่ครับผมเป็นแฟนนิยายของสำนักพิมพ์นี้เลย มันน่ากลัวแต่ก็สนุกและตื่นเต้นมาก ว่าแต่คุณโชนก็.... เอ่อ....” ผมว่าพลางแอบชำเลืองมองหนังสืออีกเล่มที่ยังอยู่ในมือของคุณโชน เอ่อ นั่นมัน โฟโต้บุ๊คของผมนี่นา
ดูเหมือนว่าคุณโชนจะรู้ตัวแล้วว่าผมมองเห็นหนังสืออีกเล่มในมือของเขาที่เขาอาจจะไม่ค่อยอยากให้ผมเห็นสักเท่าไหร่เข้าให้แล้ว เขาหน้าตาเลิ่กลั่กและรีบเอามันซ่อนไว้ข้างหลัง แต่ว่าซ่อนตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะมั้ง คุณโชนหัวเราะแห้ง ๆ เหมือนว่าจะกำลังกลบเกลื่อน และยกมือข้างขึ้นเกาหัวด้วยท่าทีขัดเขิน และผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ผมหรือเขากันแน่ที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายเขิน
☼☼☼☼☼☼
“มานั่งทานข้าวกับผม คุณไม่อายเหรอ”
“อาย อายเรื่องอะไรเหรอครับ” คุณโชนถามผมกลับอย่างพาซื่อ นี่เขาไม่รู้จริง ๆ หรือว่าผมหมายถึงอะไร
“คุณไม่สังเกตเหรอ ว่าโต๊ะอื่นเขาแอบมองพวกเราด้วยสายตาแปลก ๆ มานั่งทานข้าวกับดาราหนังโป๊คุณไม่กลัวถูกมองไม่ดีเหรอ”
“ทำไมเราต้องใส่ใจคนอื่นด้วยล่ะครับ เราแค่มาทานข้าวกันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย หรือแม้แต่งานที่คุณทำ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะทำให้ใครเดือดร้อนและก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปแคร์สายตาใครเลย” ผมยิ้มและพยักหน้ารับในคำตอบของเขา มันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ สายตาของคนอื่นที่ไม่เข้าใจเรา ไม่ได้ประโชน์อะไรที่เราจะต้องสนใจผมเองก็ไม่เคยสนใจหรอก ที่จะสนใจและอยากให้เข้าใจก็มีแต่เจ้าสองคนเดียวนั่นแหละ
“ผมเซ็นให้ไหม” ผมว่าพลางหันมองไปทางถุงพลาสติกที่มีโลโก้ของร้านหนังสือที่ผมเพิ่งไปมา ซึ่งด้านในบรรจุหนังสือที่คุณโชนเพิ่งจะซื้อมันมา ก็เล่มที่ผมเห็นนั่นแหละ
“จะดีเหรอครับ”
ผมพยักยืนยันในคำพูดของตัวเอง ก่อนที่เขายื่นหนังสือเล่มนั้นและปากกาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อของเขาให้ผมด้วยท่าทีขัดเขิน ซื้อมาต่อหน้าต่อตากันขนาดนี้แล้วยังจะมีอะไรให้เขินกันอีกหรือ
ผมจรดปากกาเซ็นชื่อลงบนหน้าปกหนังสือพลางพินิจมองรูปหน้าปกที่เป็นรูปตัวผมเองในสภาพที่กำลังนั่งทำหน้าตาบ้องแบ๊วและสวมใส่เพียงแค่กางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นเต่อ ช่องใส่ขาก็แสนจะกว้างขวาง ซ้ำยังนั่งแหกแข้งแหกขาชนิดที่ไม่กลัวอะไร ๆ มันจะโผล่ออกมา แต่จะกลัวไปทำไมเพราะหลาย ๆ รูปในเล่มนั้นผมไม่ได้ใส่อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่พอมามองรูปตัวเองแบบนี้ก็แอบรู้สึกเขินอยู่เหมือนกันนะ งานถ่ายโฟโต้บุ๊คนี่ก็ใช่ว่าผมจะรับบ่อย ๆ หรอกนะ จะรับก็ต่อเมื่อเป็นงานที่ถ่ายโดยช่างภาพที่สนิทกันเท่านั้น
“แต่เอ ผมว่าเล่มนี้ที่ห้องคุณมีอยู่แล้วนี่นา ทำไมต้องซื้อเล่มใหม่ล่ะ” ผมก็ว่าผมพอจะจำได้นะ คลับคล้ายว่าเคยเห็นโฟโต้บุ๊คเล่มนี้รวมอยู่กับผลงานอื่น ๆ ของผมที่คุณโชนเขาสะสมอยู่ในตู้นั้นด้วย
“ตีพิมพ์ใหม่เห็นว่าเปลี่ยนรูปปกหลังด้วยผมก็อยากจะเก็บสะสมไว้น่ะครับ” คุณโชนว่าพลางยิ้มแห้ง ๆ และทำก้มหน้าก้มตา นิ้วชี้ทั้งสองของเขาถูกยกขึ้นมาถูกันไปมาราวกับว่าเขากำลังหาอะไรทำเพื่อบรรเทาเขินอาย รูปปกหลังที่เปลี่ยนใหม่ที่เขาว่านั้น มันก็เป็นรูปที่มีในเล่มอยู่แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าเดิม ผมล่ะยอมในความเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขาเลยจริง ๆ
“นี่ผมถามจริง ๆ เวลาคุณดูงานผมนี่ คุณช่วยตัวเองไปด้วยไหม” ผมทำหน้าเจ้าเล่ห์และถามเขาอย่างติดตลก ตั้งใจว่าอยากจะให้เขาขำและอยากจะละลายพฤติกรรมของเขา เขาจะได้เลิกเกร็งและเลิกทำท่าทางขัดเขินแบบนั้นเวลาอยู่ต่อหน้าผมสักที
แต่ดูท่าคำถามของผมมันคงจะผิดประเด็นหน่อยไปสักหน่อย ทั้งที่ตั้งใจจะละลายพฤติกรรมของเขาแท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าดันทำเอาคุณโชนที่กำลังกระดกแก้วน้ำดื่มเข้าปากถึงกับต้องสำลักมันออกมาในทันใด เขาหันมามองหน้าผมเพียงครู่เดียว แต่ก็ทันที่พอจะให้ผมได้เห็นว่าตอนนี้แก้มของเขาแดงอย่างกับผลแอปเปิ้ล ก่อนที่เขาจะก้มหน้าก้มตารัวตักอาหารเข้าปากอย่างไม่กลัวติดคอ เอ่อ ผมคงจะแซวพลาดไปสินะ
☼☼☼☼☼☼
ผมติดรถคุณโชนมาเพื่อกลับคอนโดด้วย เพราะเขาอาสาว่าอยากมาส่งผมเพราะคอนโดผมเป็นทางผ่านของเขาอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วคอนโดที่ผมเช่าอยู่กับบ้านที่ผมซื้อให้แม่กับน้องไม่ได้อยู่ไกลกันสักเท่าไหร่เลยนะ แต่ผมกลับไม่ได้แวะเวียนไปที่บ้านหลังนั้นบ่อย ๆ ทั้งที่อยากจะเจออยากจะกอดแม่กับน้องใจจะขาด แต่ผมกลัว กลัวว่าถ้าเจ้าสองมันรู้ว่าผมไปที่นั่นบ่อย ๆ มันจะไม่พอใจเอาน่ะสิ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีโอกาสจะทำให้เจ้าสองมันเกลียดผมมากกว่าเดิมผมก็กลัวไปหมดนั่นแหละ จะเรียกว่าวิตกจริตก็คงได้ แต่หลาย ๆ ครั้งมันก็อดไม่ได้จริง ๆ จนเป็นเหตุให้มีเรื่องกันแบบคราวก่อน ผมเลยได้แต่ส่งความคิดถึงไปหาแม่ผ่านสายโทรศัพท์พร้อมทั้งฝากความห่วงใยผ่านไปแม่ไปหาน้อง
แม้แต่ตลาดที่แม่มักจะมาจับจ่ายซื้อของอยู่เป็นประจำยังเป็นทางผ่านในการไปคอนโดผมเลย ใช่ตลาดนี้มันเป็นทางผ่าน และตอนนี้รถของคุณโชนก็กำลังจอดติดไฟแดงอยู่ตรงหน้าตลาดนี้พอดี แล้วก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเหตุบังเอิญหรือโชคละตาลิขิตเมื่อผมหันมองเข้าไปในตลาดสองตาของผมมันก็ไปสะดุดเข้ากับหลังไว ๆ ของแม่กับเจ้าสองที่กำลังเดินเข้าไปตลาดอยู่พอดิบพอดีนี่สิ
“เอ่อ คุณโชนครับผมขอลงตรงนี้นะ” ก็ในเมื่อมันได้เจอแล้วมันก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ ที่จะผ่านไปเฉย ๆ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีผมมีธุระด่วนน่ะครับ แว่นตากับหมวกของคุณผมขอยืมก่อนนะ เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้ที่ห้องคุณ” ว่าแล้วผมก็คว้าแว่นตาดำกับหมวกแก๊ปของคุณโชนที่วางอยู่บนคอนโซนหน้ารถอย่างถือวิสาสะ แล้วรีบกระโดดลงจากรถกลางถนนที่รถกำลังจอดติดไฟแดงโดยไม่ได้สนใจเสียงทักท้วงว่าให้ระวังอันตรายจากคุณโชนเลยสักนิด
☼☼☼☼☼☼
หวังว่าแว่นตากับหมวกนี่คงจะช่วยให้ผมอำพรางตัวได้บ้างนะ ผมไม่อยากให้มีคนจำผมได้ในตอนนี้ ไม่อยากให้แม่กับเจ้าสองรู้ว่าผมแอบตามมาเพราะเกรงว่าพวกเขาจะอาย ผมได้แต่แอบตามดูเขาทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ แค่ได้เห็นหน้าจากมุมไกล ๆ เพียงเท่านี้ก็สุขใจแล้ว แม้ว่าอยากจะกระโดดเข้าไปกอดแต่ก็รู้ตัวดีว่าเจ้าสองมันคงไม่ยอมให้ผมทำอย่างนั้นแน่นอน
ผมมองภาพเจ้าสองในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนช่างกลที่เจ้าตัวศึกษาอยู่ในปัจจุบัน เจ้าสองกำลังช่วยแม่ถือของทุกอย่างโดยไม่มีบ่นอิดออด เวลาอยู่กับแม่สองก็ยังคงเป็นเด็กดีคนเดิม ไม่ได้ดูมีพฤติกรรมก้าวร้าวดั่งเช่นตอนที่อยู่กับผมเลยแม้แต่น้อย ผมคงจะเป็นตัวปัญหาในชีวิตของน้องมันจริง ๆ สินะ
“กรี๊ด! ช่วยด้วยค่า โจรกระชากกระเป๋า” เสียงกรีดร้องโวยวายของแม่ดังลั่นทำเอาผมสะดุ้งเฮือก เมื่อหันไปอีกทีก็พบว่ากระเป๋าเงินที่แม่เคยถือมันอยู่ในมือบัดนี้มันไม่ได้อยู่ในมือของแม่อีกแล้ว แต่กลับไปอยู่ในมือของชายฉกรรจ์แปลกหน้าที่กำลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเจ้าสองวิ่งไล่กวดตามหลังไปติด ๆ
ได้เห็นภาพดังนั้นผมไม่มีเวลาแม้แต่ที่จะฉุกคิด ผมรีบวิ่งตามเจ้าสองไปทันที ก็ผมเป็นห่วงเจ้าเด็กนั่นมันนี่ วิ่งตามโจรไปคนเดียวแบบนั้นมันอันตรายมากนะรู้ไหม ถ้าเกิดเจ้าสองถูกโจรนั่นทำร้ายจนเป็นอะไรขึ้นมาผมจะอยู่ยังไง ถึงน้องมันจะเกลียดผมแต่ผมรักมันมาก มากเสียยิ่งกว่าชีวิตของผมเอง ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายน้องผมเด็ดขาด
เจ้าสองวิ่งไล่กวดไอ้โจรนั่นไปจนถึงทางตัน เมื่อหมดหนทางจะหนีโจรนั่นหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าสอง และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดมันก็กำลังจะเกิดขึ้นจริง เมื่อไอ้โจรมันชักมีดที่ซุกซ่อนไว้ออกมาและเงื้อมือไปจนสุดวงแขนหมายจะจ้วงแทงเจ้าสองที่กำลังพุ่งเข้าไปเพื่อยื้อแย่งกระเป๋าคืนให้แม่
ไม่ ผมจะยอมให้เจ้าสองเป็นอันตรายไม่ได้เด็ดขาด
ฉึก
“พี่หนึ่ง!!!”
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ยินเจ้าสองมันเรียกผมว่าพี่อีกเลย แต่วันนี้น้องมันยอมเรียกผมว่าพี่แล้ว เจ้าสองตะโกนเรียกชื่อผมอย่างสุดเสียง หลังจากที่ผมเพิ่งจะปกป้องเจ้าเด็กนั่นได้สำเร็จ มันน่าชื่นใจที่สุดก็ตรงที่มีคำว่าพี่นำหน้านี่แหละ
ผมก้มมองหน้าท้องตัวเองที่เพิ่งจะเกิดรอยแผลสดและเลือดกำลังไหลอาบเพราะเพิ่งถูกเสียบแทงด้วยของมีคม แต่ผมถือว่าเป็นโชคดีที่ผมกระโดดเข้ามาขวางและรับคมแหลมของมีดเล่มนั้นได้ทันก่อนที่มันจะไปถึงตัวเจ้าสอง เพราะถ้าหากผมจะต้องเห็นเจ้าสองถูกแทงต่อหน้าต่อตาผมคงทนไม่ได้
“พี่หนึ่ง! พี่หนึ่งอย่าเป็นอะไรนะ” เจ้าสองมันกอดผมด้วยล่ะ น้ำตาผมแทบจะไหลเมื่อได้เห็นว่าเจ้าสองมันมีท่าทีเป็นห่วงผมมากขนาดนั้น จนผมเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าน้องมันไม่ได้เกลียดผมแล้วใช่ไหม
TBC
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ