เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ขอไม่จ่ายพันธสัญญาจากต่างโลกนี้ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นวันพุธสินะที่ผมเจอในฝันมาในนั้นเองก็เป็นเวลาหนึ่งวันสำหลับผมแต่พวกฮัทสึฮารุกลับบอกว่าโลกหยุดหมุนไปตั้งสามวันจะว่ายังไงดีล่ะดูมันไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าพวกเธอโกหกหรืออะไรหรอกมันเป็นแค่ความรู้สึกประมาณมีคนมาบอกว่า ‘ฟังนะฉันเป็นคนจากอนาคตเดี๋ยวจะบอกเลขรางวัลที่หนึ่งงวดหน้าให้ฟังเอาไหม?’ มันให้ความรู้สึกแบบนี้แหละ
ในที่สุดเรื่องราวเหลือเชื่อก็โผล่หางออกมาให้ผมเห็นแล้วแต่ก็กลัวว่ามันจะเกิดอันตรายผมถึงได้สร้างพันธสัญญาแบบนั้นขึ้นมา จริงอยู่ที่ว่าเวทมนตร์สามารถขจัดปัญหาตั้งแต่เรื่องห่อพัสดุไปจนถึงระเบิดภูเขาเผากระท่อมได้ตรงจุดนี้นี่แหละที่เป็นปัญหา อืม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหรือในหนึ่งช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่งอาจจะไม่เคยยุ่งกับเรื่องสุดแปลกนี้เลยก็มีตัวผมที่ได้รับรู้ถึงสิ่งนั้น แล้วสิ่งที่ต้องทำสิ่งแรกเหนืออื่นใดก็คงหนีไม่พ้นการปกป้องตัวเองจากพวกเขา
“คิริโนะคุง อรุณสวัสดิ์ค่า! หืม คิดเรื่องอะไรเคร่งเครียดแต่เช้าเชียวไม่ได้น้าเครียดแต่เช้าเดี๋ยวก็ไม่เจอเรื่องดีๆ หรอก”
จู่ๆ หลังผมก็ถูกดันพอหันไปยูบาริก็อยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกตกใจที่เป็นคนจากอีกโลกอยู่หรอกแต่ที่ควรตกใจกว่าคือเรื่องที่คุณเธอยังอยู่แถวนี้ อย่างน้อยๆ ก็หวังว่าเธอจะไม่พยายามส่งผมไปเฝ้ายมบาลหรือฮาเดสนะ
“ชอบโผล่มาข้างหลังจริงนะเธอ”
“ถ้างั้นครั้งหน้าฉันโผล่มาจากข้างล่างดีไหมค้า?”
“เกรงใจครับ”
ถึงจะเคยคิดทำร้ายผมแต่ถูกหยุดเอาไว้จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอันถ้าเกิดตอนนั้นไม่หยุดเอาไว้ผมอาจไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ อีกอย่างไม่อยากทำให้ใครเกลียดขี้หน้าซะด้วยโดยเฉพาะตัวตนที่เหนือสามัญสำนึกด้วยแล้วจึงไม่อยากเก็บมาคิดเท่าไหร่ แต่ก็อดลืมสีหน้าหวาดกลัวต่อฮัทสึฮารุตอนนั้นไปได้
“คิริโนะคุงทำอะไรลงไปรู้ตัวไหมคะ การทำแบบนั้นมันส่งผลกระทบต่อสถานที่ของเหล่าคุณมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติมากเลยนะคะหรือพูดอีกอย่างโครงสร้างระบบของสถานที่ของคนเหล่านั้นคิดว่าเกือบล่มทั้งระบบเลยล่ะ”
อย่าหลุดเรื่องระบบชุมชนของโลกอีกฝั่งออกมาง่ายๆ สิแต่เดี๋ยวนะไอ้โลกใบนี้มันมีพวกเวทมนตร์อะไรเทือกนั้นอยู่กันเป็นชุมชนจนเป็นเมืองเลยเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินข่าวหลุดมาสักนิดล่ะบางทีตอนนี้ตัวผมถ้าเป็นเรื่องอะไรก็คงเชื่อไปหมดแล้วล่ะมั้ง เอาเลยมาเลย
“เอาเถอะมันสร้างความบันเทิงให้ฉันได้เพราะฉะนั้นจะไม่ว่าอะไร”
“ช่วยอธิบายหน่อยสิที่ว่าล่มเกือบทั้งระบบด้วยพันธสัญญาที่เด็กมอปลายเขียนน่ะ”
“นั่นสิค้า ถึงตอนนี้จะเพิ่งเกิดพันธสัญญาไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนแต่คิดว่าจะต้องมีคนรู้สึกตัวว่ามีอะไรแปลกไปแน่นอน ถึงตอนนี้น่าจะยังมีไม่มากแต่ถ้าผ่านไปสักวันสองวันจะต้องรู้ขึ้นมาแน่”
“มีความเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะตามหาฉัน?”
“เป็นไปได้ค่ะเพราะว่าตอนที่เกิดพันธะสัญญาโลกกลับมาหมุนแล้วจึงน่าจะตรวจสอบได้ไม่ยากว่ามีการใช้ศาสตร์เวทที่รุนแรงมากถึงอาจจะไม่รู้ถึงตัวตนของพันธสัญญาที่แน่นอนแต่ถ้าเวลาผ่านไปพวกเขาก็จะรู้ตัวเองแหละ”
พวกผมยังคงสับขาเดินต่อไปในขณะที่เริ่มมองเห็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นที่เธอยอมหยุดเรื่องจะสร้างพันธสัญญาอีกครั้งก็เพราะเข้าข่ายรุกรานรึเปล่า?”
“ค่ะตามข้อหนึ่งห้ามมนุษย์หรือผู้มาจากดินแดนอื่นใช้เวทมนตร์หรือปรากฏการที่สร้างขึ้นในการใช้ ฆ่าฟัน รุกราน ทำสงคราม ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในโลกนี้ เมื่อเช้านี้เองฉันเลยลองทดสอบกับตัวเองโดยพยายามแช่แข็งมือตัวเองแล้วผลเป็นยังไงพอจะเดาได้ไหมคะ?”
ยูบาริแบมือแสดงนิ้วทั้งห้าที่พันด้วยผ้าพันแผลขึ้นให้ผมดู
ช่างเป็นการทดลองที่กล้าจนเรียกว่าบ้าได้เลยไม่ใช่เหรอ?
“ไม่ใช่แค่นั้นทั้งเวทไฟ ไฟฟ้า ลม ที่เอามาทดลองกับตัวเองทั้งหมดทำได้แต่เมื่อลองกับมาสเตอร์แล้วเวทมนตร์จู่ๆ ก็หายไปกลางคันไม่เหมือนกับที่โดนเมจิกแจมเมอร์รบกวนแต่นี่จู่ๆ ก็หายไปเลย”
ถึงเมจิกแจมเมอร์ฉันจะไม่รู้เรื่องก็เถอะนะแต่ถ้าเป็นกระบวนการร่ายเวทถ้าใช้อ้างอิงจากพวกสื่อบันเทิงก็พอเข้าใจได้อยู่ถึงจะมีจุดที่ไม่ตรงกันบ้างก็ตามแต่มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวถ้าจะใช้อ้างอิงเรื่องนี้
“เวลามีไม่ค่อยมากจึงยังทดลองอะไรมากไม่ได้อย่างสุดท้ายที่ฉันได้ทำก่อนมาเจอคิริโนะคุงก็แค่รดน้ำต้นไม้กับควบคุมพลาสมาเพื่อย่างปลาที่ยังไม่ตายให้มาสเตอร์เท่านั้นแหละ”
ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าเธอเป็นคนของวิทยาศาสตร์หรือแฟนตาซีกันแน่แต่อย่างน้อยๆ ก็ให้ปลามันตายก่อนสิแม่คุณว่าแต่มิสตีเองก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอนึกว่ากลับไปแล้ว...
...เดี๋ยวก่อนนะ
“เดี๋ยวสิเมื่อกี้เธอพูดว่ายังไงนะ?”
ยูบาริแสยะยิ้มมองผมที่เอ๊ะใจถึงช่องโหว่อันใหญ่ยิ่งของพันธสัญญาออกมา
“รู้สึกตัวเร็วกว่าที่คิดนะค้าก็อย่างที่ฉันพูดไปแหละว่าย่างปลาที่ยังเป็นๆ อยู่น่ะ”
“เดี๋ยวสิๆ ทำไมถึงใช้กับอย่างอื่นได้แต่ใช้กับมนุษย์ไม่ได้เท่านั้นกันล่ะ”
ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูพันธสัญญาข้อหนึ่งที่เขียนเตือนเอาไว้ขึ้นมากวาดสายตาดู
ห้ามมนุษย์หรือผู้มาจากดินแดนอื่นใช้เวทมนตร์หรือปรากฏการที่สร้างขึ้นในการใช้ ฆ่าฟัน รุกราน ทำสงคราม ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในโลกนี้
อา ยังงี้นี่เอง
“คำจำกัดความของคำว่า ‘ผู้อื่น’ ไงค้าแต่ก็ติดอยู่ตรงนี้แหละค่ะคิริโนะคุงที่เป็นคนก่อเรื่องช่วยบอกหน่อยสิว่าตอนที่เขียนพันธสัญญากำหนดคำว่าผู้อื่นแค่ไหนล่ะ”
“…ที่ว่าผู้อื่น มันก็ตามตัวที่หมายถึงใครที่ไม่ใช่ตัวเองนั่นแหละ”
“ไม่ค่อยจะช่วยเท่าไหร่เลยนะค้าเนี่ยผู้อื่นก็คือตัวเองและตัวเองก็เป็นผู้อื่นเหมือนกันนี่คะ จะบอกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือพืชไม่ใช่ผู้อื่นแบบนี้งั้นเหรอ ถ้ายังงั้นแล้วเอลฟ์อย่างฉันที่ไม่น่ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ทำไมถึงถูกนับว่าเป็นผู้อื่นได้กันล่ะ”
ไม่รู้เหมือนกันแหละมันทำงานยังไงเดินระบบยังไงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำแต่เดิมทีมันเป็นของที่เธอคิดจะใช้ไม่ใช่รึไง?
“เธอคิดจะทำอะไรกับพันธสัญญากันถึงหาช่องโหว่เจอไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรนี่นา”
“ก็ไม่แน่ โลกนี้มันซื่อตรงกว่าที่คิดนะค้าคิริโนะคุงแล้วฉันสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของข้อสามมันไม่ใช่ข้อบังคับแต่กลับเป็นการขอร้องถ้าได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคิดว่าคิริโนะคุงทำถูกแล้วนะค้า”
ผมเริ่มมองเห็นรั้วโรงเรียน
“การถูกส่งไปต่างโลกนั่นน่ะมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่พวกคุณมนุษย์จะถูกส่งไปโลกที่ตัวเองเป็นใหญ่เป็นโตในโลกที่มีหลากหลายเผ่าพันธุ์คงมีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ไปในโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ได้น่ะ โลกที่เหมือนกับเกม RPG น่าเสียดายมันไม่มีหรอกนะค้าถ้าจะให้มีก็เห็นจะต้องเกิดจากแรงปรารถนาจนเกิดแก่นแท้เท่านั้น”
ครับ? ขอโทษครับวิชาผมยังไม่ได้แกร่งกล้าพอจะไปฉะวาทะศิลป์กับคุณเธอได้หรอกนะ
“ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้แค่ใช้ชีวิตนักเรียนประจำเหมือนเคยก็พอแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่คิริโนะคุงต้องรับผิดชอบจะมาบอกนะค้าถ้ายังงั้นแล้วขอตัวนะค้า”
และนั่นคือรายงานความรับผิดชอบที่ผมต้องแบกรับจากการสร้างพันธสัญญาจากปากยูบาริจนเธอเร่งฝีเท้านำหน้าไป
“จะว่าไปแล้วอีกเรื่องหนึ่งอากิจังน่ะจะถูกนับเป็นผู้อื่นด้วยรึเปล่าคิดว่ายังไงเหรอคิริโนะคุง?”
หลังคำพูดนั้นเธอก็หันหลังกลับไปและมุ่งหน้าเดินเข้าอาคารหลัก นับหรือไม่นับอันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน
จะว่าก็ว่าเหอะไม่นึกเหมือนกันว่าจะมีสถานที่กลุ่มคนที่ใช้เรื่องเหนือธรรมชาติจนเป็นเรื่องปกติมารวมตัวกันจนมีวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาแล้วมันจะส่งผลกับกลุ่มคนประเภทไหนที่สุดกันล่ะ ผมที่ไม่รู้โครงสร้างของพวกเขาจึงไม่สามารถรับรู้อะไรได้
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คาใจเพราะหลังจากเรื่องนั้นก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าสรุปแล้วคนที่ให้กุญแจผมมาใช่ฮัทสึฮารุหรือเป็นคนหน้าเหมือนหรือว่าคนๆ นั้นเป็นฮัทสึฮารุจริงๆ แล้วคนที่อยู่ตรงนี้เป็นใครล่ะ โลกเร้นลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวจึงสามารถปลอมเป็นใครก็ได้ จากข้อสงสัยที่สรุปออกมาได้จากเรื่องเหล่านี้แล้วจะต้องมีบุคคลที่สามที่สี่อยู่เบื้องหลังแน่
“เขียนเสร็จแล้วเหรอคุณฮัทสึฮารุขอโทษที่รบกวนนะแต่แบบฟอร์มจำเป็นต้องส่งเหมือนกันน่ะ”
“ไม่เป็นไรฉันผิดเอง”
ก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชีวิตประจำวันบ้างแต่ก็รู้สึกว่าถ้ามีโอกาสควรไปทำประกันแพงๆ เผื่อไว้ดีกว่าจะได้ไม่กังวลอะไรมาก
“มีอะไรที่จำเป็นต้องทำอีกไหม?”
ผมวางกระเป๋าและฟุบหน้าลงกับโต๊ะมองไปที่นั่งของฮิเมกิโดยมีฮัทสึฮารุยืนอยู่ใกล้ๆ เธอไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วทำการบ้านไปเลยสิถึงจะใช้วิชาลับอะไรให้ไม่อยู่ในสายตาครูแต่ตอนสิ้นเทอมมาถึงสอบได้คะแนนมากแต่ก็ไม่มีคะแนนเก็บจากชิ้นงานอยู่ดีนา แต่ระดับฮัทสึฮารุคงหลับไปด้วยทำข้อสอบไปด้วยและก็จะต้องได้ร้อยคะแนนชัวร์ๆ ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยนะ
อยากหาเหตุผลคลุมโปงหยุดอยู่บ้านจริงแฮะอย่างน้อยก็วันนี้นี่แหละ
“สาเหตุที่ฝันของเธอดูปกติกว่าที่คิดเหรอ? สำหลับบางคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีความฝันก็จำเป็นต้องอ้างอิงจากความเป็นจริงในการสร้างน่ะ”
เหมือนหลอกด่าเลยแฮะยัยนี่
“จะว่าไปแล้วเธอทำยังไงกับความทรงจำของคนอื่นๆ ในความฝันล่ะ?”
“ลบความทรงจำตรงส่วนนั้นไปแล้ว”
ฮัทสึฮารุพูดเรื่องน่าเหลือเชื่อแบบไม่มีสะดุดตอบกลับมา ทำให้ผมต้องหันไปมองหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่กำลังซ่อมหลังคาเพราะถูกแรงดึงดูดของพระจันทร์เมื่อคืนอยู่
“อย่างสถานที่สำคัญๆ ก็ใส่คำสั่งให้ทุกคนจัดการเก็บกวาดกันเองและค่อยลบตรงส่วนนั้นทิ้งไป”
“...ยังไงก็เถอะแล้วจะทำยังไงต่อจากนี้ล่ะเห็นว่าเกิดพันธสัญญาหลังจากโลกกลับมาเป็นเหมือนเดิมทีนี้พวกที่ต้องการหาต้นตอของเหตุการณ์มีหวังมาบุกบ้านแน่”
“เรื่องนั่นคิดว่าตอนนี้จะยังไม่เป็นอะไรไปสักพักเพราะส่วนใหญ่กำลังวุ่นวายกับปัญหาโดยเฉพาะด้านความมั่นคงของเมือง”
ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับผมมันรู้เท่าไม่ถึงการเองครับขอโทษครับขอโอยพรให้แก้ปัญหาได้โดยเร็วนะครับตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ แล้วเนี่ย
“เป็นปัญหาจริงๆ ด้วยสินะที่ดันเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องน่ะ”
ฮัทสึฮารุพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“แต่แบบนี้ดี เพราะการต่อสู้แข่งขันเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตถ้าเกิดยูบาริเขียนพันธสัญญาจะไม่ทำให้เกิดการพัฒนา ฉันไม่สนอยู่แล้วว่าทุกข์สุขมนุษย์จะเป็นยังไงแต่อย่างน้อยก็อยากให้พวกเขาพัฒนาไปเรื่อยๆ”
“งั้นบอกเหตุผลที่เธอมาที่นี่ได้รึยังฉันไม่เชื่อหรอกว่าผู้ปกครองติดงานเลยส่งลูกตัวเองให้คนอื่นเลี้ยงดูน่ะ”
“...ไม่มีเหตุผลหรอกของแบบนั้นน่ะ ...จุดประสงค์ของคำถาม...ทำไม?”
“ถึงเธอจะอ่านใจฉันไปก็เท่านั้นแหละแค่ถามอยากรู้เฉยๆ จริงสิอีกเรื่องหนึ่งทำไมพวกเราถึงสามารถอยู่ในโลกที่หยุดหมุนนั่นได้กัน? เรื่องนั้นช่วยตอบก็จะดีมากเลย”
“ต้องการความละเอียดของข้อมูลในระดับไหน?”
“ขอแบบไม่ยากไม่ง่ายเกินไป”
ฮัทสึฮารุเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่ขายังสับเดินงกๆ เหมือนผมและเอ่ยขึ้นมา
“ยูบาริทำให้น้ำหนักตัวเองเป็นศูนย์ไม่ว่าจะใช้หน่วยอะไรวัดศูนย์ก็คือศูนย์อยู่ดีแต่ก็ต้องยึดร่างตัวเองไม่ให้ถูกลมพัดได้เหมือนกัน ของรินเพราะเป็นเพียงร่างความคิดเป็นเหมือนกับอนุภาคเท่านั้นแต่ของมิสตีเรื่องนี้ถูกห้ามไม่ให้บอก”
ถึงจะบอกให้พูดให้ไม่ยากไม่ง่ายแต่ก็ขอชื่นชมที่เธอสรุปมาให้ฟังแล้วกันถึงจะมีอันหนึ่งมันทะแม่งๆ ก็ตาม
“แล้วเธอล่ะ เรื่องทั้งหมดเธอรู้ได้ยังไง?”
เสียงฝีเท้าของฮัทสึฮารุยังคงตามหลังมาและตอบคำถามผมไปเรื่อยๆ
“ฉันเป็นพลังงานเป็นชีวิตที่อยู่ด้วยแก่นแท้”
ฝีเท้าของผมหยุดลงและหันกลับไปมองฮัทสึฮารุเงาผมจึงฉายผ่านม่านตาของฮัทสึฮารุ เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ จนนำหน้าขึ้นไปราวกับไม่ใยดีคำตอบ
จริงเหรอ? ทำไมล่ะ? ได้ยังไง?
“ฮัทสึฮารุนี่เธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหรอ?”
“อืม เพราะฉะนั้นพันธสัญญาที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตจึงไม่ได้เกี่ยวกับฉัน”
ผมพยามแง้มปากขึ้นอีกครั้งแต่เสียงกลับไม่ออกมาไม่ใช่เพราะเรื่องอากาศร้อนหรือสุญญากาศอะไรนั่นอีกแล้วมันก็เพียงแค่เรื่องง่ายๆ ที่ทำให้เป็นเท่านั้นเอง
‘หวาดกลัว’ มันก็แค่นั้น
บางทีตัวผมอาจจะแค่ต้องการเพื่อนเล่นด้วยเท่านั้นกระมั้งนะถึงทำให้ฮัทสึฮารุมองกลับมาด้วยความเป็นห่วงผ่านทางสีหน้าโดยผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่
ในที่สุดเรื่องราวเหลือเชื่อก็โผล่หางออกมาให้ผมเห็นแล้วแต่ก็กลัวว่ามันจะเกิดอันตรายผมถึงได้สร้างพันธสัญญาแบบนั้นขึ้นมา จริงอยู่ที่ว่าเวทมนตร์สามารถขจัดปัญหาตั้งแต่เรื่องห่อพัสดุไปจนถึงระเบิดภูเขาเผากระท่อมได้ตรงจุดนี้นี่แหละที่เป็นปัญหา อืม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหรือในหนึ่งช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่งอาจจะไม่เคยยุ่งกับเรื่องสุดแปลกนี้เลยก็มีตัวผมที่ได้รับรู้ถึงสิ่งนั้น แล้วสิ่งที่ต้องทำสิ่งแรกเหนืออื่นใดก็คงหนีไม่พ้นการปกป้องตัวเองจากพวกเขา
“คิริโนะคุง อรุณสวัสดิ์ค่า! หืม คิดเรื่องอะไรเคร่งเครียดแต่เช้าเชียวไม่ได้น้าเครียดแต่เช้าเดี๋ยวก็ไม่เจอเรื่องดีๆ หรอก”
จู่ๆ หลังผมก็ถูกดันพอหันไปยูบาริก็อยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกตกใจที่เป็นคนจากอีกโลกอยู่หรอกแต่ที่ควรตกใจกว่าคือเรื่องที่คุณเธอยังอยู่แถวนี้ อย่างน้อยๆ ก็หวังว่าเธอจะไม่พยายามส่งผมไปเฝ้ายมบาลหรือฮาเดสนะ
“ชอบโผล่มาข้างหลังจริงนะเธอ”
“ถ้างั้นครั้งหน้าฉันโผล่มาจากข้างล่างดีไหมค้า?”
“เกรงใจครับ”
ถึงจะเคยคิดทำร้ายผมแต่ถูกหยุดเอาไว้จึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอันถ้าเกิดตอนนั้นไม่หยุดเอาไว้ผมอาจไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ อีกอย่างไม่อยากทำให้ใครเกลียดขี้หน้าซะด้วยโดยเฉพาะตัวตนที่เหนือสามัญสำนึกด้วยแล้วจึงไม่อยากเก็บมาคิดเท่าไหร่ แต่ก็อดลืมสีหน้าหวาดกลัวต่อฮัทสึฮารุตอนนั้นไปได้
“คิริโนะคุงทำอะไรลงไปรู้ตัวไหมคะ การทำแบบนั้นมันส่งผลกระทบต่อสถานที่ของเหล่าคุณมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติมากเลยนะคะหรือพูดอีกอย่างโครงสร้างระบบของสถานที่ของคนเหล่านั้นคิดว่าเกือบล่มทั้งระบบเลยล่ะ”
อย่าหลุดเรื่องระบบชุมชนของโลกอีกฝั่งออกมาง่ายๆ สิแต่เดี๋ยวนะไอ้โลกใบนี้มันมีพวกเวทมนตร์อะไรเทือกนั้นอยู่กันเป็นชุมชนจนเป็นเมืองเลยเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินข่าวหลุดมาสักนิดล่ะบางทีตอนนี้ตัวผมถ้าเป็นเรื่องอะไรก็คงเชื่อไปหมดแล้วล่ะมั้ง เอาเลยมาเลย
“เอาเถอะมันสร้างความบันเทิงให้ฉันได้เพราะฉะนั้นจะไม่ว่าอะไร”
“ช่วยอธิบายหน่อยสิที่ว่าล่มเกือบทั้งระบบด้วยพันธสัญญาที่เด็กมอปลายเขียนน่ะ”
“นั่นสิค้า ถึงตอนนี้จะเพิ่งเกิดพันธสัญญาไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนแต่คิดว่าจะต้องมีคนรู้สึกตัวว่ามีอะไรแปลกไปแน่นอน ถึงตอนนี้น่าจะยังมีไม่มากแต่ถ้าผ่านไปสักวันสองวันจะต้องรู้ขึ้นมาแน่”
“มีความเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะตามหาฉัน?”
“เป็นไปได้ค่ะเพราะว่าตอนที่เกิดพันธะสัญญาโลกกลับมาหมุนแล้วจึงน่าจะตรวจสอบได้ไม่ยากว่ามีการใช้ศาสตร์เวทที่รุนแรงมากถึงอาจจะไม่รู้ถึงตัวตนของพันธสัญญาที่แน่นอนแต่ถ้าเวลาผ่านไปพวกเขาก็จะรู้ตัวเองแหละ”
พวกผมยังคงสับขาเดินต่อไปในขณะที่เริ่มมองเห็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นที่เธอยอมหยุดเรื่องจะสร้างพันธสัญญาอีกครั้งก็เพราะเข้าข่ายรุกรานรึเปล่า?”
“ค่ะตามข้อหนึ่งห้ามมนุษย์หรือผู้มาจากดินแดนอื่นใช้เวทมนตร์หรือปรากฏการที่สร้างขึ้นในการใช้ ฆ่าฟัน รุกราน ทำสงคราม ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในโลกนี้ เมื่อเช้านี้เองฉันเลยลองทดสอบกับตัวเองโดยพยายามแช่แข็งมือตัวเองแล้วผลเป็นยังไงพอจะเดาได้ไหมคะ?”
ยูบาริแบมือแสดงนิ้วทั้งห้าที่พันด้วยผ้าพันแผลขึ้นให้ผมดู
ช่างเป็นการทดลองที่กล้าจนเรียกว่าบ้าได้เลยไม่ใช่เหรอ?
“ไม่ใช่แค่นั้นทั้งเวทไฟ ไฟฟ้า ลม ที่เอามาทดลองกับตัวเองทั้งหมดทำได้แต่เมื่อลองกับมาสเตอร์แล้วเวทมนตร์จู่ๆ ก็หายไปกลางคันไม่เหมือนกับที่โดนเมจิกแจมเมอร์รบกวนแต่นี่จู่ๆ ก็หายไปเลย”
ถึงเมจิกแจมเมอร์ฉันจะไม่รู้เรื่องก็เถอะนะแต่ถ้าเป็นกระบวนการร่ายเวทถ้าใช้อ้างอิงจากพวกสื่อบันเทิงก็พอเข้าใจได้อยู่ถึงจะมีจุดที่ไม่ตรงกันบ้างก็ตามแต่มันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวถ้าจะใช้อ้างอิงเรื่องนี้
“เวลามีไม่ค่อยมากจึงยังทดลองอะไรมากไม่ได้อย่างสุดท้ายที่ฉันได้ทำก่อนมาเจอคิริโนะคุงก็แค่รดน้ำต้นไม้กับควบคุมพลาสมาเพื่อย่างปลาที่ยังไม่ตายให้มาสเตอร์เท่านั้นแหละ”
ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าเธอเป็นคนของวิทยาศาสตร์หรือแฟนตาซีกันแน่แต่อย่างน้อยๆ ก็ให้ปลามันตายก่อนสิแม่คุณว่าแต่มิสตีเองก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอนึกว่ากลับไปแล้ว...
...เดี๋ยวก่อนนะ
“เดี๋ยวสิเมื่อกี้เธอพูดว่ายังไงนะ?”
ยูบาริแสยะยิ้มมองผมที่เอ๊ะใจถึงช่องโหว่อันใหญ่ยิ่งของพันธสัญญาออกมา
“รู้สึกตัวเร็วกว่าที่คิดนะค้าก็อย่างที่ฉันพูดไปแหละว่าย่างปลาที่ยังเป็นๆ อยู่น่ะ”
“เดี๋ยวสิๆ ทำไมถึงใช้กับอย่างอื่นได้แต่ใช้กับมนุษย์ไม่ได้เท่านั้นกันล่ะ”
ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูพันธสัญญาข้อหนึ่งที่เขียนเตือนเอาไว้ขึ้นมากวาดสายตาดู
ห้ามมนุษย์หรือผู้มาจากดินแดนอื่นใช้เวทมนตร์หรือปรากฏการที่สร้างขึ้นในการใช้ ฆ่าฟัน รุกราน ทำสงคราม ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในโลกนี้
อา ยังงี้นี่เอง
“คำจำกัดความของคำว่า ‘ผู้อื่น’ ไงค้าแต่ก็ติดอยู่ตรงนี้แหละค่ะคิริโนะคุงที่เป็นคนก่อเรื่องช่วยบอกหน่อยสิว่าตอนที่เขียนพันธสัญญากำหนดคำว่าผู้อื่นแค่ไหนล่ะ”
“…ที่ว่าผู้อื่น มันก็ตามตัวที่หมายถึงใครที่ไม่ใช่ตัวเองนั่นแหละ”
“ไม่ค่อยจะช่วยเท่าไหร่เลยนะค้าเนี่ยผู้อื่นก็คือตัวเองและตัวเองก็เป็นผู้อื่นเหมือนกันนี่คะ จะบอกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือพืชไม่ใช่ผู้อื่นแบบนี้งั้นเหรอ ถ้ายังงั้นแล้วเอลฟ์อย่างฉันที่ไม่น่ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ทำไมถึงถูกนับว่าเป็นผู้อื่นได้กันล่ะ”
ไม่รู้เหมือนกันแหละมันทำงานยังไงเดินระบบยังไงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำแต่เดิมทีมันเป็นของที่เธอคิดจะใช้ไม่ใช่รึไง?
“เธอคิดจะทำอะไรกับพันธสัญญากันถึงหาช่องโหว่เจอไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรนี่นา”
“ก็ไม่แน่ โลกนี้มันซื่อตรงกว่าที่คิดนะค้าคิริโนะคุงแล้วฉันสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของข้อสามมันไม่ใช่ข้อบังคับแต่กลับเป็นการขอร้องถ้าได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคิดว่าคิริโนะคุงทำถูกแล้วนะค้า”
ผมเริ่มมองเห็นรั้วโรงเรียน
“การถูกส่งไปต่างโลกนั่นน่ะมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่พวกคุณมนุษย์จะถูกส่งไปโลกที่ตัวเองเป็นใหญ่เป็นโตในโลกที่มีหลากหลายเผ่าพันธุ์คงมีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ไปในโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ได้น่ะ โลกที่เหมือนกับเกม RPG น่าเสียดายมันไม่มีหรอกนะค้าถ้าจะให้มีก็เห็นจะต้องเกิดจากแรงปรารถนาจนเกิดแก่นแท้เท่านั้น”
ครับ? ขอโทษครับวิชาผมยังไม่ได้แกร่งกล้าพอจะไปฉะวาทะศิลป์กับคุณเธอได้หรอกนะ
“ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้แค่ใช้ชีวิตนักเรียนประจำเหมือนเคยก็พอแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่คิริโนะคุงต้องรับผิดชอบจะมาบอกนะค้าถ้ายังงั้นแล้วขอตัวนะค้า”
และนั่นคือรายงานความรับผิดชอบที่ผมต้องแบกรับจากการสร้างพันธสัญญาจากปากยูบาริจนเธอเร่งฝีเท้านำหน้าไป
“จะว่าไปแล้วอีกเรื่องหนึ่งอากิจังน่ะจะถูกนับเป็นผู้อื่นด้วยรึเปล่าคิดว่ายังไงเหรอคิริโนะคุง?”
หลังคำพูดนั้นเธอก็หันหลังกลับไปและมุ่งหน้าเดินเข้าอาคารหลัก นับหรือไม่นับอันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน
จะว่าก็ว่าเหอะไม่นึกเหมือนกันว่าจะมีสถานที่กลุ่มคนที่ใช้เรื่องเหนือธรรมชาติจนเป็นเรื่องปกติมารวมตัวกันจนมีวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาแล้วมันจะส่งผลกับกลุ่มคนประเภทไหนที่สุดกันล่ะ ผมที่ไม่รู้โครงสร้างของพวกเขาจึงไม่สามารถรับรู้อะไรได้
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คาใจเพราะหลังจากเรื่องนั้นก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าสรุปแล้วคนที่ให้กุญแจผมมาใช่ฮัทสึฮารุหรือเป็นคนหน้าเหมือนหรือว่าคนๆ นั้นเป็นฮัทสึฮารุจริงๆ แล้วคนที่อยู่ตรงนี้เป็นใครล่ะ โลกเร้นลับเป็นสิ่งที่น่ากลัวจึงสามารถปลอมเป็นใครก็ได้ จากข้อสงสัยที่สรุปออกมาได้จากเรื่องเหล่านี้แล้วจะต้องมีบุคคลที่สามที่สี่อยู่เบื้องหลังแน่
“เขียนเสร็จแล้วเหรอคุณฮัทสึฮารุขอโทษที่รบกวนนะแต่แบบฟอร์มจำเป็นต้องส่งเหมือนกันน่ะ”
“ไม่เป็นไรฉันผิดเอง”
ก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชีวิตประจำวันบ้างแต่ก็รู้สึกว่าถ้ามีโอกาสควรไปทำประกันแพงๆ เผื่อไว้ดีกว่าจะได้ไม่กังวลอะไรมาก
“มีอะไรที่จำเป็นต้องทำอีกไหม?”
ผมวางกระเป๋าและฟุบหน้าลงกับโต๊ะมองไปที่นั่งของฮิเมกิโดยมีฮัทสึฮารุยืนอยู่ใกล้ๆ เธอไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วทำการบ้านไปเลยสิถึงจะใช้วิชาลับอะไรให้ไม่อยู่ในสายตาครูแต่ตอนสิ้นเทอมมาถึงสอบได้คะแนนมากแต่ก็ไม่มีคะแนนเก็บจากชิ้นงานอยู่ดีนา แต่ระดับฮัทสึฮารุคงหลับไปด้วยทำข้อสอบไปด้วยและก็จะต้องได้ร้อยคะแนนชัวร์ๆ ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยนะ
อยากหาเหตุผลคลุมโปงหยุดอยู่บ้านจริงแฮะอย่างน้อยก็วันนี้นี่แหละ
“สาเหตุที่ฝันของเธอดูปกติกว่าที่คิดเหรอ? สำหลับบางคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีความฝันก็จำเป็นต้องอ้างอิงจากความเป็นจริงในการสร้างน่ะ”
เหมือนหลอกด่าเลยแฮะยัยนี่
“จะว่าไปแล้วเธอทำยังไงกับความทรงจำของคนอื่นๆ ในความฝันล่ะ?”
“ลบความทรงจำตรงส่วนนั้นไปแล้ว”
ฮัทสึฮารุพูดเรื่องน่าเหลือเชื่อแบบไม่มีสะดุดตอบกลับมา ทำให้ผมต้องหันไปมองหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่กำลังซ่อมหลังคาเพราะถูกแรงดึงดูดของพระจันทร์เมื่อคืนอยู่
“อย่างสถานที่สำคัญๆ ก็ใส่คำสั่งให้ทุกคนจัดการเก็บกวาดกันเองและค่อยลบตรงส่วนนั้นทิ้งไป”
“...ยังไงก็เถอะแล้วจะทำยังไงต่อจากนี้ล่ะเห็นว่าเกิดพันธสัญญาหลังจากโลกกลับมาเป็นเหมือนเดิมทีนี้พวกที่ต้องการหาต้นตอของเหตุการณ์มีหวังมาบุกบ้านแน่”
“เรื่องนั่นคิดว่าตอนนี้จะยังไม่เป็นอะไรไปสักพักเพราะส่วนใหญ่กำลังวุ่นวายกับปัญหาโดยเฉพาะด้านความมั่นคงของเมือง”
ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับผมมันรู้เท่าไม่ถึงการเองครับขอโทษครับขอโอยพรให้แก้ปัญหาได้โดยเร็วนะครับตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ แล้วเนี่ย
“เป็นปัญหาจริงๆ ด้วยสินะที่ดันเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องน่ะ”
ฮัทสึฮารุพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“แต่แบบนี้ดี เพราะการต่อสู้แข่งขันเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตถ้าเกิดยูบาริเขียนพันธสัญญาจะไม่ทำให้เกิดการพัฒนา ฉันไม่สนอยู่แล้วว่าทุกข์สุขมนุษย์จะเป็นยังไงแต่อย่างน้อยก็อยากให้พวกเขาพัฒนาไปเรื่อยๆ”
“งั้นบอกเหตุผลที่เธอมาที่นี่ได้รึยังฉันไม่เชื่อหรอกว่าผู้ปกครองติดงานเลยส่งลูกตัวเองให้คนอื่นเลี้ยงดูน่ะ”
“...ไม่มีเหตุผลหรอกของแบบนั้นน่ะ ...จุดประสงค์ของคำถาม...ทำไม?”
“ถึงเธอจะอ่านใจฉันไปก็เท่านั้นแหละแค่ถามอยากรู้เฉยๆ จริงสิอีกเรื่องหนึ่งทำไมพวกเราถึงสามารถอยู่ในโลกที่หยุดหมุนนั่นได้กัน? เรื่องนั้นช่วยตอบก็จะดีมากเลย”
“ต้องการความละเอียดของข้อมูลในระดับไหน?”
“ขอแบบไม่ยากไม่ง่ายเกินไป”
ฮัทสึฮารุเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่ขายังสับเดินงกๆ เหมือนผมและเอ่ยขึ้นมา
“ยูบาริทำให้น้ำหนักตัวเองเป็นศูนย์ไม่ว่าจะใช้หน่วยอะไรวัดศูนย์ก็คือศูนย์อยู่ดีแต่ก็ต้องยึดร่างตัวเองไม่ให้ถูกลมพัดได้เหมือนกัน ของรินเพราะเป็นเพียงร่างความคิดเป็นเหมือนกับอนุภาคเท่านั้นแต่ของมิสตีเรื่องนี้ถูกห้ามไม่ให้บอก”
ถึงจะบอกให้พูดให้ไม่ยากไม่ง่ายแต่ก็ขอชื่นชมที่เธอสรุปมาให้ฟังแล้วกันถึงจะมีอันหนึ่งมันทะแม่งๆ ก็ตาม
“แล้วเธอล่ะ เรื่องทั้งหมดเธอรู้ได้ยังไง?”
เสียงฝีเท้าของฮัทสึฮารุยังคงตามหลังมาและตอบคำถามผมไปเรื่อยๆ
“ฉันเป็นพลังงานเป็นชีวิตที่อยู่ด้วยแก่นแท้”
ฝีเท้าของผมหยุดลงและหันกลับไปมองฮัทสึฮารุเงาผมจึงฉายผ่านม่านตาของฮัทสึฮารุ เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ จนนำหน้าขึ้นไปราวกับไม่ใยดีคำตอบ
จริงเหรอ? ทำไมล่ะ? ได้ยังไง?
“ฮัทสึฮารุนี่เธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหรอ?”
“อืม เพราะฉะนั้นพันธสัญญาที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตจึงไม่ได้เกี่ยวกับฉัน”
ผมพยามแง้มปากขึ้นอีกครั้งแต่เสียงกลับไม่ออกมาไม่ใช่เพราะเรื่องอากาศร้อนหรือสุญญากาศอะไรนั่นอีกแล้วมันก็เพียงแค่เรื่องง่ายๆ ที่ทำให้เป็นเท่านั้นเอง
‘หวาดกลัว’ มันก็แค่นั้น
บางทีตัวผมอาจจะแค่ต้องการเพื่อนเล่นด้วยเท่านั้นกระมั้งนะถึงทำให้ฮัทสึฮารุมองกลับมาด้วยความเป็นห่วงผ่านทางสีหน้าโดยผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ