เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ขอไม่จ่ายพันธสัญญาจากต่างโลกนี้ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “พี่อากิคะคือว่า อะ เอ่อ…”

     น้องสาวที่มีท่าทางอึกอักพยายามพูดอะไรบางอย่างกับฮัทสึฮารุที่กำลังล้างจานจากมื้อเย็นของตัวเองอย่างกล้าๆ กลัวๆ พอมองดูแล้วก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     “วันอาทิตย์นี้ช่วยไปเป็นผู้ปกครองหน่อยได้ไหมคะหนูกับเพื่อนๆ อีกสองคนอยากลองไปเที่ยวดูแต่พวกพ่อแม่คนอื่นเขาบอกว่าต้องมีผู้ปกครองไปด้วยเพราะงั้นจะสะดวกไหมคะ?”

     สมัยนี้นี่มันอันตรายจริงๆ ด้วยสินะ เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วฮัทสึฮารุก็หันมองเข้ามาในห้องสบตากับผมสลับกับคิโยครั้งหนึ่งและเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา

     “ได้สิ รายละเอียดเอาไว้คุยหลังอาบน้ำนะ”

     “ค่ะ”

     รู้สึกในโลกความฝันก็มีอะไรคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกันนี่นะ

หลังการสนทนานั้นฮัทสึฮารุก็หันกลับไปล้างจานต่อส่วนคุณน้องสาวจึงหันมาทางผมแทน

     “ขอบอกไว้ก่อนนะฉันไม่ไป”

     ผมมันพวกติดบ้านมากกว่าขอแค่บ้านมีอินเตอร์เน็ทกับโน๊ตบุ๊ค pc สักเครื่องก็สุขกว่าที่ใดแล้วใช่เมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้วผมใช้ค่าคลองชีพต่ำกว่าพวกนั้นอีกไม่ได้ไปมั่วสุมที่ไหนไม่เที่ยวกลางคืนเลิกเรียนปับก็ตรงดิ่งมาบ้านเลยผู้ปกครองไม่ต้องเป็นห่วงด้วยช่วงเวลาที่ผมจะออกไปก็แค่ต้องไปทำธุระที่สำคัญเท่านั้นเช่นมีหนังเข้าโรงมาใหม่อะไรประมาณนี้

     แต่ไม่รู้เพราะอะไรคุณน้องสาวจึงมีสีหน้าหมองลงไป อยากให้ฉันไปด้วยขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ว่าถ้าน้องสาวที่ชอบทำตัวมีความรับผิดชอบมาอ้อนหน่อยบางทีทิฐิของผมอาจไหลลงตามเสียงน้ำไปด้วยก็ได้

     “น่าเสียดายนะคะ แต่เข้าใจแล้ว จริงๆ ผู้ปกครองแค่คนเดียวก็พอแล้ว”

     สาวมัธยมปลายคนเดียวมันจะไปพอได้ยังไงเล่า…ไม่สิเหลือเฟือด้วยซ้ำ

     ช่วงเวลานั้นเองพอเงยหน้าขึ้นมาจากการครุ่นคิดคิโยก็หายไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว ฮัทสึฮารุที่ล้างจานเสร็จพอดีก็เดินมาวางมือบนโซฟาข้างไหล่ผม

     “เหนื่อยหน่อยนะ”

     จนกระทั่งแผ่นหลังของฮัทสึฮารุเริ่มห่างออกไปและหายไปหลังปิดประตูด้วยความเงียบสงบไร้คำพูดใดๆ ผมจึงค่อยหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาสุ่มกาชาปองเพราะไม่อยากยอมรับตัวเองว่าเข้าใจในสิ่งที่ฮัทสึฮารุ

     “เกลือ”

     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาทีหนึ่งและเวลาเดียวกันนั้นก็มีสายที่ไม่รู้จักเข้ามาบังหน้าจอจึงลังเลอยู่สักพักว่าจะรับรึเปล่าแต่ก็รอหลายนานแล้วสายนั้นก็ยังปรากฏออกมาไม่ยอมแพ้ขัดขวางการทำนาเกลือของผมจึงต้องกดรับอย่างช่วยไม่ได้

     “จัสเมนโบล!!”

     แต่เมื่อผมยังไม่ทันเอาแนบหูได้สนิทก็ต้องเอามันให้ห่างหูทันที ไม่มีการกล่าวคำทักทายตามมารยาทสักนิดและพอแน่ใจว่าปลอดภัยต่อแก้วหูแล้วก็เอาแนบอีกครั้งอย่างระมัดระวัง

     “ไม่ทราบว่าใครครับ?”

     “ฉันเองค่ายูบาริ คิริโนะคุงวันหยุดว่างไหมค้า?”

     แทนที่ในหัวจะมีคำถามตามมาว่ายูบาริไหนแต่กลับนึกหน้าของฟุตาบะ ยูบาริขึ้นมาแทนที่โดยทันทีราวกับว่าคนทั้งโลกมีคนชื่อยูบาริอยู่คนเดียว

     “ไม่ว่างครับ”

     แล้วทำไมเธอถึงมีเบอร์ฉันได้ล่ะ ไหงรู้สึกพักนี้ข้อมูลส่วนตัวจะรั่วไหลง่ายชะมัด

     “ไม่คิดสักหน่อยเหรอ? เขาไม่ว่างค่ะมาสเตอร์แย่หน่อยน้า”

     วินาทีต่อมาจึงเกิดบทสนทนาที่ชวนเข้าใจผิดผ่านเข้าหูมาเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเป็นมิสตีก็ดูน่าเชื่อถือและปลอดภัยจากเรื่องวุ่นวายมากกว่ายูบาริเป็นไหนๆ ผมจึงตั้งใจฟังเงียบๆ ไปสักพักและปลายสายก็เปลี่ยนไป

     “คิริโนะถ้านายไม่ว่างก็ไม่เป็นไรไหนๆ ฉันก็ต้องกลับไปร้านอยู่แล้วจะไม่มาด้วยกันหน่อยเหรอ? กะเลี้ยงสักมื้อหน่อยน่ะสนไหม?”

     “ไม่ต้องห่วงครับพอดีจู่ๆ ก็ว่างขึ้นมาแล้วล่ะครับ ‘ถ้ากินฟรีล่ะก็’ ”

     “อืม งั้นเหรอแต่ยูบาริบอกว่าต้องทำให้แน่ใจเรื่องพันธสัญญามากกว่านี้ถึงจะพากลับไปได้ก็เลยบอกว่าไหนๆ ก็ไปซะตอนวันหยุดแล้วกัน จริงสิแล้วฮัทสึฮารุเป็นยังไงบ้างล่ะมาได้รึเปล่า?”

     “ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อนแต่ดูเหมือนเธอจะมีธุระอื่นแล้วล่ะครับ”

     “ค่าๆ เพราะฉะนั้นคิริโนะคุงที่จู่ๆ ก็ว่างขึ้นมาวันนั้นอยู่บ้านอย่าไปไหนนะค้า”

     ปลายสายเปลี่ยนกลับมาเป็นยูบาริอีกครั้ง

     “ว่าแต่ไอ้จัสเมนโบลตอนแรกนั่นมันอะไรท่าไม้ตายเหรอ?”

     “ก็เรียกได้ว่าท่าไม้ตายนั่นแหละถ้าได้เห็นคิริโนะคุงเองก็คงติดใจแน่ๆ จะอธิบายก็เกรงว่าเดี๋ยวเวลาได้เห็นจะไม่ประทับใจเพราะฉะนั้นแย่หน่อยนะค้า”

     “ไม่อยากรู้แล้วก็อย่ามาร่ายเวทโจมตีใส่ชาวบ้านง่ายๆ ได้ไหมครับ”

     “ไม่ต้องห่วงค่ะเพิ่งตั้งชื่อท่าเมื่อกี้เองไม่เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่จะออกมาหรอกค่ะ เมื่อกี้ก็เล่นหลายอย่างกับมาสเตอร์ดูแล้วดูเหมือนว่าการจะใช้พลังที่มีผลลัพธ์ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าตัว(เป้าหมาย)ค่ะ”

     ผมนึกภาพระหว่างสองคนนั้นทดลองเงื่อนไขของพันธสัญญาแต่รู้สึกเมื่อกี้จะพูดว่าเล่นออกมาเต็มปากเต็มคำเลย คงจะวุ่นวายน่าดู

     “เรื่องของสิทธิงั้นเหรอ? รวมไปถึงการสร้างความเสียหายทางอ้อมหรือในกรณีที่เป็นอุบัติเหตุด้วยรึเปล่า?”

     “ไม่ได้ค่ะแต่ถ้าได้รับอนุญาตคนๆ นั้นก็จะไม่ได้อยู่ในขอบเขตของพันธสัญญากับคนที่ตกลงค่ะก็ดูเหมือนจะเป็นช่องโหว่มั้งนะแทนที่จะฆ่ากันตรงๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าจะทำแบบนั้นได้ต้องให้อีกฝ่ายอนุญาต ต้องขอให้ฆ่าเท่านั้นถึงจะทำได้”

     เสียงของยูบาริเริ่มฟังดูเหมือนกับคนที่เจอปัญหาจนตรอกที่หมดหนทางแก้ไข

     “ไม่ว่าจะโลกไหนก็มีแต่พวกแบบนี้นี่น่าสงสารจริงๆ นะคะ จริงสิคิริโนะคุงไม่คิดว่ามีข้อมูลตรงนี้แล้วจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสนุกๆ อย่างการประลองเทือกนั้นบ้างไหมน้า”

     น้ำเสียงอีกฝั่งของปลายสายเกิดเสียงหัวเราะสนุกสนานภาพรอยยิ้มจึงลอยผ่านสัญญาณโทรศัพท์มา ไม่เข้าใจยัยนี่เลยจริงๆ

     “เป็นความบันเทิงใช่ไหมล่ะคะ”

     และสายก็ตัดไปก่อนที่ผมจะทันได้โต้ตอบอะไรกลับไป

     การทำร้ายที่ต้องได้รับการอนุญาตเหรอ? จะควบคุมจิตใจให้อีกฝ่ายอนุญาตก็คงไม่ได้ด้วยเพราะติดเรื่องสิทธิอีก ถ้างั้นแล้วมันก็เป็นเหมือนกีฬาต่อสู้พวกนั้นไม่ใช่เหรอ แต่ก็ดีแล้วนี่นาถ้าหากพวกเธอใช้เพื่อฆ่าฟันกันในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่อยากให้โลกสงบสุขไปวันๆ ก็อยากให้อยู่อย่างสันติเข้าไว้แต่ถ้าหากพวกเขาพุ่งเป้ามาที่นี่ผมก็จะ อืม จะทำอะไรได้กันนะ นั่นสิเอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยพยายามหาทางดิ้นรนต่อไปละกัน

     เหลือเวลาอีกตั้งสามสี่วันแต่ไม่กี่วันนี้เองก็สามารถเกิดปัญหาได้อยู่แล้ว เคยคิดว่าอยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติมาตลอดแต่ว่าตัวเองกลับทำอะไรไม่ได้เลยเนี่ยสิ อยากปล่อยไฟจากมือ อยากปล่อยน้ำจากมือ อยากทำนู่นนั่นนี่แต่ความเป็นจริงเมื่อสิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าผมก็ไม่ต่างจากเดิมกลับกันยิ่งรู้สึกกังวลกับมันแทน

 

     สักวันก่อนถึงวันที่นัดหมาย

     “เอ๋! ไม่มีจริงเหรอคะ อะไรกันไม่จริงน่า”

     ผมหันไปมองตามเสียงนั้นก็เห็นคุณซาซาฮาระกำลังร้อนรนเป็นทุกข์ร้อนอะไรบางอย่างกับอาจารย์คนหนึ่งอยู่ท่าทางของอาจารย์คนนั้นก็เหมือนกำลังลำบากใจอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ใส่ใจเพราะต้องกลับบ้านถึงจะบอกให้ฮัทสึฮารุไม่ต้องรอก็เถอะ

     ผมค่อยๆ ปิดประตูห้องพักครูลงอย่างสงบแล้วค่อยออกตัวเดินแต่ในขณะนั้นเองประตูอีกบ้านก็เปิดออกและปิดลงในวินาทีไล่เลี่ยกันอย่างรวดเร็วหลังผมจึงถูกบางอย่างกระแทกพอหันกลับไปจึงเห็นแต่หนังศีรษะของคุณซาซาฮาระเท่านั้น

     ดูเหมือนเธอจะก้มหน้าเดินเพราะความโกรธจึงได้กุมมือแน่นและขอโทษอย่างขอไปทีท่าทางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนที่ชนจะเป็นผมและก้มหน้าเดินต่อไป

     ผมจ้องมองแผ่นหลังเล็กๆ นั่นด้วยความสงสัยเพียงห้าวินาทีก็สลัดมันออกจากหัวไปได้และก่อนที่การก้าวเท้าครั้งต่อไปของผมจะเกิดขึ้นก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งบนพื้น

     ทำไมรู้สึกว่าเหมือนเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมากันนะอยากจะเดินผ่านมันไปจริงแต่ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ได้เพราะผมดันรู้ด้วยว่าเป็นของคุณซาซาฮาระด้วย

     “เฮ้อ พักนี้มีแต่เรื่องแปลกๆ จริงนะ ปล่อยผ่านดีไหมเนี่ย?”

     ผมหยิบขึ้นมาแล้วเปิดดูเพื่อให้แน่ใจก็พบทั้งบัตรประชาชน บัตรนักเรียน บัตรเครดิต แม้กระทั่งของที่เหมือนกับบัตรแนะนำตัวจากชมรมถ่ายภาพของโรงเรียน ท่าทางจะหัวร้อนใช่เล่นถึงทำให้กระเป๋าสตางค์ที่เอาจริงๆ ก็ไม่น่าจะตกได้จากการชนตกลงมา

     เอาเถอะทำให้มันจบๆ ไปดีกว่าห้องชมรมถ่ายภาพอยู่ใกล้นี่ก็จริงแต่จะให้เอาไปคืนโต้งๆ แบบนั้นคงไม่ไหวแต่ห้องประชาสัมพันธ์อยู่ไกลด้วยสิเอาไปให้พวกอาจารย์เดี๋ยวก็โดนใช้ให้ไปห้องประชาสัมพันธ์อยู่ดี เฮ้อ ในเวลาแบบนี้ทำไมถึงมาทำตกกันนะ

     เอาก็เอายอมเป็นเป้าสายตาสักหน่อยแล้วกัน ให้ตายสิ

 

     “ขอโทษทีนะแต่ว่าตอนนี้เธอไม่อยู่น่ะ แล้วมีธุระอะไรงั้นเหรอ”

     อุตส่าห์ยอมมาส่งของให้ทั้งทีแต่กลับไม่อยู่แบบนี้ก็แย่สิ

     “ผมเก็บกระเป๋าเธอได้ก็เลยว่าจะเอามาคืนน่ะครับแล้วเจ้าตัวจะมาเมื่อไหร่เหรอครับรุ่นพี่”

     รุ่นพี่ปีสามทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยแน่ใจลังเลบางอย่าง

     “ไม่รู้เหมือนกัน”

     ผมมองเข้าไปในห้องชมรมที่ส่งบรรยากาศมืดมนออกมา รู้สึกถึงเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งแล้วสิ

     “ถ้างั้นเดี๋ยวผมเอาไปส่งที่ห้องประชาสัมพันธ์นะครับ”

     “อ่ะ อืมรบกวนหน่อยนะ”

     สุดท้ายแล้วก็เสียเวลางั้นสินะ เฮ้อ คงต้องเดินไกลหน่อยล่ะขาฉัน

     “คิริโนะคุงนี่นามาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

     จู่ๆ เสียงฮิเมกิก็ลอยลงมาจากหัวมุมบันไดเธอค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมอย่างสนิทสนมพร้อมกับสมุดบางอย่างในมือ

     “หรือว่ามาหาชมรมเข้าแล้วงั้นเหรอน่าดีใจจริงๆ”

     “เปล่า มีคนทำกระเป๋าสตางค์ตกกะว่าจะเอามาคืนแต่เจ้าตัวไม่อยู่”

ผมยกขึ้นมาให้ฮิเมกิดูเป็นหลักฐาน

     “อะไรกันเรื่องนั้นเอง แย่เลยนะแล้วพอรู้รึเปล่าว่าเป็นของใคร?”

     ไม่รู้ก็คงไม่มานี่หรอก ฉันไม่ได้ว่างทั้งวันนะพอจะเอามาคืนก็ดันหายหัวไปอยู่ไหนก็ไม่รู้อีก จงขอโทษฉันที่ยอมเสียเวลาและพลังกายมาซะ ถ้าเกิดความในใจนี้หลุดไปมีหวังโดนมองด้วยสีหน้าแปลกๆ แหงแต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วให้ฮิเมกิเอาไปส่งห้องประชาสัมพันธ์แล้วโกยกลับบ้านดีกว่า

     ทว่า

     ซาซาฮาระที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากมุมบันไดทางลงที่มาได้จังหวะพอดีจนรู้สึกขอบคุณอยากซื้อของไปสักการะเจ้าที่เจ้าทางจึงมองพวกผมกลับด้วยความสงสัย ท่าทางตอนนี้หัวเธอคงเย็นลงจากที่เจอเมื่อกี้แล้วบ้าง

     “ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”

     ซาซาฮาระเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกผมพอสังเกตดูดีๆ แล้วตรงคอเสื้อมีรอยเปียกใหม่ๆ อยู่คุณเธอจึงน่าจะไปล้างหน้าดับหัวร้อนมาขณะนั้นเองฮิเมกิแอบบ่นพึมพำคนเดียวแต่เพราะอยู่ใกล้ผมหรือว่าพูดเสียงดังรึเปล่าทำให้ผมได้ยินประโยคที่เหมือนแก๊งลักพาตัวกำลังเลือกเหยื่อออกมาว่า “อยากเอากลับบ้านจัง” พร้อมทั้งดวงตาที่เหมือนกำลังพยายามหักห้ามใจตัวเอง

     ด้วยเหตุนั้นผมจึงโชว์กระเป๋าที่เก็บได้ให้เธอดูจากนั้นม่านตาของซาซาฮาระก็เบิกโพลงรีบค้นตัวอย่างร้อนรนและพอแน่ใจว่ากระเป๋าของตัวเองหายไปเลยยื่นมือมาทางผมด้วยท่าทางเหมือนคนฝึกสุนัขผมจึงส่งกระเป๋าให้แทนมือและความภัคดีไป

     กลับได้สักทีจะได้รีบไปทำการบ้านแล้วทำตัวไร้สาระแล้ว

     “เก็บได้ที่ไหนเหรอ ฉันไม่รู้ตัวเลยขอบคุณมากนะ”

     “ออ เก็บได้หลังจากที่เธอชนฉันหน้าห้องพักครู นี่ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ เหรอ?”

     “ตายจริงนี่ฉันนึกว่าเดินชนเสาอาคารซะอีกต้องขอโทษคิริโนะคุงด้วยนะที่ทำให้เดือดร้อนแล้วฉันจะระวังค่ะ จะว่าไปแล้วทางนั้นคือ”

     “ยินดีที่ได้รู้จักฮิเมกิ ชิกุเระ พอแนะนำตัวแบบนี้แล้วมันน่าอายนิดๆ แฮะ”

     “นั่นสินะซาซาฮาระ เนโนโกะค่ะ”

     พอมายืนเทียบกันแล้วซาซาฮาระดูเหมือนเด็กประถมไปเลย

     “ถ้าไม่ว่าอะไรฉันขอตัวก่อนนะ เอาละคุณเสาอาคารช่วยหลบไปด้วยค่ะ”

     “เฮ้ย ตั้งใจนี่หล่อน”

     “นั่นสิ โทษที”

     หลังได้หยอกล้อผมท่าทางเธอก็อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย

     “แปลกจังเลยนะคิริโนะคุงทั้งที่คุณซาซาฮาระก็รู้จักคิริโนะคุงขนาดนี้แต่กลับชนจนทำกระเป๋าตกและยังไม่รู้สึกตัวอีกแบบนี้คิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”

     “จะว่าไปเมื่อกี้ตอนอยู่ห้องพักครูเธอเหมือนจะโกรธอะไรอยู่ด้วยสิ น่าจะเพราะเรื่องนั้นมั้งถึงได้ไม่รู้สึกตัว”

     “นึกภาพคนน่ารักแบบนั้นโกรธไม่ออกเลยนะ”

     คนนะไม่ใช่มาสคอตจะให้ยิ้มตลอดได้ยังไง

     “ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นแค่นึกภาพไม่ออกแค่นั้นเองแต่เรื่องอะไรกันนะที่ทำให้โกรธจนลืมตัวขนาดนั้นได้นะ?”

     ฮิเมกิแซงหน้ามาขวางทางผมพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับตอนที่ผมเจอเธอในความฝันแสนวุ่นวายนั่น

     “คิริโนะคุงอยากรู้เหมือนกันใช่ไหมเรื่องที่ทำให้คุณซาซาฮาระโกรธได้ขนาดนั้นน่ะ”

     “…..”

     ม่าย ไม่เอาหนูจะกลับบ้าน ม่าย

     “ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวคนอื่นเดี๋ยวก็โดนเกลียดหรอก”

     “ถ้างั้นก็คิดแค่ว่าเป็นการช่วยเหลือสิ ถ้ามีเรื่องอะไรคนเราก็ช่วยกันอยู่แล้วนี่จริงไหม?”

     แล้วทำไมฉันต้องช่วยเธอล่ะ ถ้าสงสัยนักก็ไปถามเจ้าตัวเลยสิส่วนตัวคิดว่าคงไม่ยอมบอกหรอกแล้วไอ้คนที่ช่วยเหลือคนที่ลำบากนั่นน่ะในความเป็นจริงมันไม่มีหรอกมีแต่จะคอยกดหัวเท่านั้นแหละ

     “น่าๆ แถวๆ นี้ไม่มีใครแล้วนี่นาแถมครั้งที่แล้วคิริโนะเองก็ช่วยฉันเรื่อง...เอ๊ะเหมือนกับว่ามีเรื่องที่คิริโนะคุงเคยช่วยฉันอยู่แต่ก็นึกไม่ออก อืม จะว่าไปเรื่องนี้ก็แปลกอยู่นะเหมือนความทรงจำมันรางๆ”

     เฮ้ ฮัทสึฮารุทำไมเรื่องในฝันของฉันมันถึงไปปนในความคิดของฮิเมกิได้ล่ะไม่ใช่ว่าลบไปแล้วเหรอ? แล้วนั่นมันในฝันฉันนะ

     “พวกเราเกิดมาในยุคของวิทยาศาสตร์ยุคแห่งเหตุและผลการทดลองและการพิสูจน์ถ้ามีเรื่องที่มารบกวนก็ต้องหาคำตอบสิ”

     งั้นฉันคงเกิดผิดที่ผิดสมัยแล้วล่ะ

     “คิริโนะคุง ใบหน้าของคนที่กำลังขอความช่วยเหลือน่ะปล่อยเอาไว้ไม่ได้หรอกนะถึงจะทำกลบเกลื่อนแต่ก็แสดงออกมา”

     ฮิเมกิยืนขวางทางไม่ไปไหนช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าคาบชมรมได้สักพักจึงไม่มีใครขึ้นลงบันไดตัวนี้เพื่อสร้างโอกาสหนีของผมเลยจึงกลายเป็นว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยอมความจุ้นจ้านของยัยนี่เลยจริงๆ

     “เฮ้อ ก็ได้ ถ้างั้นมีความคิดอะไรอยู่แล้วบ้างล่ะ”

     “หืม อืม...ก็คิดว่าเรื่องที่ทำให้คนเราโกรธก็ต่างกันไปเมื่อกี้คิริโนะคุงบอกว่าห้องพักครูแสดงว่าเป็นเรื่องของหายหรือไม่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติของอีกคนหนึ่งรึเปล่า?”

     ที่ว่ามาก็มีเหตุผล

     “ถ้างั้นช่างมัน เรื่องที่ว่าซาซาฮาระไปเจอกับเรื่องอะไรมาก่อน ซาซาฮาระเป็นสมาชิกชมรมถ่ายภาพที่มีสมาชิกชายหญิงอยู่รวมราวๆ สิบคนจากที่ดูเมื่อกี้”

     “เป็นเรื่องเกี่ยวกับชมรมด้วยงั้นเหรอ?”

     “บางทีนะ ฉันคิดว่าถ้าเป็นเรื่องความประพฤติคงไม่มีใครเขาไปฟ้องอาจารย์กันจริงๆ หรอกสมมุติว่าถ้าเธอมีปัญหากับใครแล้วเธอจะไปฟ้องอาจารย์รึเปล่าล่ะ?”

     “ก็ไม่ได้ฟ้องนะถ้าไม่ใช่เรื่องที่ยอมกันไม่ได้ก็ไม่ทำหรอก ถ้างั้นเรื่องของหายล่ะ?”

     “คิดว่าเรื่องของหายก็คล้ายๆ กัน ก็ถึงได้บอกไงว่าให้ชั่งเรื่องที่ว่าไปเจออะไรมาก่อน ชมรมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกแต่เป็นสถานที่คนไม่รู้จักกันไปนัดเจอกันเพื่อทำตามวัตถุประสงค์ร่วมกันสินะ”

     ฮิเมกิหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งมองผมด้วยสายตาเวทนาแต่ก็ไม่ยอมพูดเพราะคิดว่าตอนนี้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผมจะพูดมากกว่า

     “จะไปสอบถามหรือไปฟ้องเรื่องอะไรยังไงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญกับซาซาฮาระพอตัว”

     ถูกคนในชมรมรังแกรึเปล่า...ไม่อ๊ะ ท่าทางสมาชิกในห้องแต่ละคนก็อยู่ในอาการไร้ชีวิตชีวาเหมือนกันคนที่แกล้งคงไม่มีทางสำนึกผิดอยู่แล้ว แล้วถ้าถูกแกล้งก็น่าจะออกชมรมไปตั้งนาน ยังมีเรื่องการที่กลับห้องชมรมไปอย่างไม่ลังเลนั่นอีก

     ถ้าเป็นของหายล่ะ ของที่สำคัญขนาดที่ว่ายอมไม่ได้ถ้ามีของสำคัญขนาดนั้นก็คงไม่เอามาอวดที่โรงเรียนเว้นแต่ว่าจะถูกบังคับ

     เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นได้วันนี้หรือสองสามวันก่อนรึเปล่านะ รู้สึกยิ่งดำดิ่งก็เหมือนเริ่มออกทะเลไปเรื่อยๆ ทุกขณะจริง

     “อาจารย์ที่ซาซาฮาระไปปรึกษารู้สึกจะชื่ออาสึกะเขาเป็นที่ปรึกษาห้องไหนรึเปล่า?”

     “อาจารย์อาสึกะเหรออย่างน้อยก็คิดว่าไม่ได้เป็นให้ห้องไหนในปีหนึ่งนะแต่จะว่าไปแล้วรู้สึกว่าสอนวิทยาศาสตร์เฉพาะปีสามด้วยนี่นา”

     ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะตัวเองจะได้ไม่ต้องหน้าแตกแล้ว แปลว่าความขัดแย้งมาจากนอกห้องที่ประจำชั้นอยู่ มาถูกทางแล้วจริงๆ สินะ ว่าก็ว่าเหอะฮิเมกิทำไมถึงรู้เรื่องที่ว่าสอนเฉพาะปีสามกันขนาดผมไปห้องพักครูบ่อยแล้วแท้ๆ เชียว

     “เป็นไงๆ คิดอะไรได้รึยัง”

     “ขอเรียงลำดับในหัวก่อน”

     อาจารย์ที่ปรึกษา ชมรมถ่ายภาพ บรรยากาศหม่นหมองของสมาชิก ความโกรธ กลับไปห้องชมรมโดยไม่ลังเล เรื่องที่ยอมกันไม่ได้ โกรธอยู่คนเดียว

     ผมถอนหายใจรับออกซิเจนใหม่เข้าเลี้ยงสมองครั้งหนึ่ง

     “บางทีซาซาฮาระอาจจะโกรธเรื่องของบางอย่างพังหรือหายไปในห้องชมรม”

     ผมพูดยังงั้นออกมาลอยๆ และเบียนหน้าไปหาฮิเมกิก็พบว่าเธอกำลังตั้งอกตั้งใจรอฟังคำพูดของผมราวกับดวงตาคู่นั้นเป็นหิ่งห้อยที่พร้อมจะบินออกจากเบ้าตาทุกขณะจนผมเองก็รู้สึกเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อถูกเพื่อนร่วมชั้นจ้องขนาดนี้

     “พูดต่อสิ”

     “นะ นี่เธอเห็นเรื่องทุกข์ร้อนคนอื่นเป็นเรื่องสนุกจริงๆ ด้วยสินะ?”

     หลังคำพูดนั้นฮิเมกิก็ทำท่าเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ถูกดุจนภาพลักษณ์หัวหน้าห้องจะปลิวหายไปพร้อมกับเสียงหวดลูกเบสบอลที่ชมรมเบสบอลเล่นกลางสนามอยู่ขณะนี้

     “ฉันไม่ได้ตั้งใจยังงั้นนะ”

     แล้วจะมาบอกฉันทำไม ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะมีรสนิยมแบบไหนแต่เดี๋ยวจะดำน้ำไปจนกว่าจะยอมปล่อยให้ฉันกลับบ้านสักทีล่ะ

     “คิดว่าเรื่องน่าจะเกี่ยวกับชมรมเป็นหลัก ในกรณีนี้ฉันคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งของเพราะว่าโดยส่วนใหญ่เวลานี้มักจะต้องไปถามใครสักคนอย่างอาจารย์ที่ปรึกษาประมาณว่า”

 

     ‘อาจารย์ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ?’

     ‘ไม่รู้เหมือนกัน’

     ‘ไม่รู้จริงเหรอคะ อะไรกันไม่จริงน่า’

 

     “ประมาณนั้น คิดว่าไอ้ของที่เป็นต้นเหตุจะต้องเป็นของที่อยู่ในชมรมใช้ในชมรมและเป็นของสำคัญ”

     จู่ๆ ม่านตาของฮิเมกิก็เบิกขึ้น

     “ระ รึว่าจะเป็นกล้องน่ะ! งั้นนี่ก็เป็นอาชญากรรมเลยไม่ใช่เหรอ?”

     ดีล่ะเข้าทางแล้วมาจบเรื่องเอาไว้แค่นี้แหละ

     “บางทีอาจจะเป็นกล้องหรือรูปภาพอะไรสักอย่างหายก็ได้ทั้งคู่ คงต้องมาดูกันว่าพรุ่งนี้เธอจะร้องเรียนอะไรรึเปล่าอีกทีถ้าเป็นกล้องก็คงจะยื่นเรื่องไปแต่ถ้าเป็นรูปถึงยื่นเรื่องไปก็ไม่มีใครรับมีอยู่สองอย่างแค่นี้”

     เกิดความเงียบขึ้น ก็อยากพูดแบบนั้นให้เข้าบรรยากาศอยู่หรอกแต่เสียงวิ่งของชมรมเบสบอลที่แหกปากตลอดเวลาก็ทำให้เหมือนอยู่ในสนามแข่งประจำจังหวัดยังไงยังงั้น

     “ถ้างั้นแล้ว...”

     ผมยกมือขึ้นเหมือนพนักงานโบกรถเพื่อหยุดสิ่งที่ฮิเมกิอยากจะพูดต่อ มันแน่อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะพูดอะไร

     “อย่าเข้าไปลึกกว่านี้เลยนี่ก็มาถึงขีดจำกัดที่พวกเราเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นแล้ว”

     “แต่ว่าคิริโนะคุงจะปล่อยคนที่ทำเรื่องแบบนี้ไว้งั้นเหรอ?”

     “นี่ๆ ใจเย็นก่อนสินี่ก็แค่เรื่องที่ฉันคิดเป็นแค่สมมุติฐานเฉยๆ ไม่มีหลักฐานยืนยันด้วย”

     สายตาของฮิเมกิเริ่มตกลงจนราวกับว่าจะพยายามรับทุกข์แทนซาซาฮาระ

     “แล้วถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ?”

     เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้พวกผู้ใหญ่จัดการกันเอง

     “ถ้าเป็นยังงั้นจริงก็ขอให้คนร้ายสำนึกผิดและชดใช้คุณซาซาฮาระ...ไม่สิต้องลงโทษและค่อยให้สำนึกทีหลังถึงจะได้ผลกว่า”

     “อืม งั้นเหรอเหนื่อยหน่อยนะ ถ้างั้นก็ฉันกลับก่อนล่ะ”

     ในที่สุดผมก็หาช่องออกมาได้สักทีจะขอตรงกลับบ้านไปเลยแล้วกัน แต่ขณะที่ผมเดินไปทางประตูใหญ่ก็อดที่จะหันกลับไปมองฮิเมกิที่ยังทำสีหน้าอมทุกข์ไม่ได้และก็นึกขึ้นมาได้อีกเรื่องพอดีซึ่งเป็นเรื่องที่ตอนแรกผมกะว่าจะไม่ใส่ใจแต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ขอทำตามมารยาทอันน้อยนิดของตัวเองหน่อยแล้วกัน

     “ฮิเมกิจะว่าไปแล้วก่อนที่เธอมาเจอฉันเมื่อกี้จะทำอะไรงั้นเหรอ?”

     สิ้นสุดคำพูดนั้นฮิเมกิก็เอียงคอมองด้วยความสงสัยสักพักแต่แล้วสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปจนซีดเผือดและคิดไปเองรึเปล่าว่าผมเห็นเหงื่อไหลออกมาจากใบหน้านั้นด้วย

     “ละ ลืมไปเลยว่าฉันจะต้องรีบเอาสมุดเช็คชื่อไปส่งให้วิชาการ”

     “ยังไม่ได้ส่งอีกเหรอ? เกิดเขาล็อควันเปลี่ยนไม่ได้แล้วไม่เท่ากับว่าหนีทั้งห้องเหรอ?”

     “ขอโทษทีจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”

     ผมยืนมองฮิเมกิจนเธอเดินเร็วหายเข้าไปในอาคารหลักและค่อยหันหน้าไปทางประตูใหญ่และก้าวเท้าอีกครั้ง

 

     “กลับเลยละกัน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา