เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ขอวันไร้แก่นสารนี้สิ้นสุดลง 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เอาล่ะกลับเข้าเรื่อง
บอกจะถ่วงเวลาแต่นี่มันแทบไม่มีความหมายเลยไม่ใช่รึไงในเมื่อโผล่มาแบบนี้ได้น่ะ ต่อให้อยู่ห่างกันไปสุดขอบโลกขอแค่ยัยนี่รู้ตำแหน่งระยะห่างไม่มีความหมายด้วยซ้ำ
“ไม่ล่ะแค่เห็นที่เธอทำก็มากพอแล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะวิธีเปลี่ยนเป็นโลกในอุดมคติของเธอน่ะ ไม่ใช่ว่าเขียนชื่อคนลงในสมุดแล้วคนๆ นั้นจะตายหรอกนะ”
ผมลองพูดหยอกล้อกับเธอดู ยูบาริที่เข้ามาประจันตรงหน้าผมเองก็ยังไม่เอากุญแจไปทันทีคงเพราะมือทั้งสองข้างยังจับขาผมเอาไว้ถึงไม่มีมือหยิบ จะว่าไปแค่แขนสองข้างจับขาอย่างละข้างทำไมมันสลัดไม่หลุดกันยัยนี่ไปเอาแรงมาจากไหนเนี่ย
“ไม่หรอกค่ะไม่หรอกฉันไม่อยากให้มีการเข่นฆ่ารวมถึงตัวฉันเองด้วยจะต้องไม่มีคนตายที่ฉันจะทำก็แค่การรีเซตประวัติศาสตร์และความทรงจำหรือเรียกกว้างๆ ก็คงเป็นแก่นแท้พูดอีกอย่างคือการทำให้ภาชนะ(ความจริง) กลวงแล้วเติมเต็มเข้าไปใหม่คงเข้าใจใช่ไหมค้า?”
รอยยิ้มยังคงปรากฏออกมาบนหน้าของยูบาริด้วยกันกับหูที่แหลมยาวและสัญลักษณ์ข้าวหลามตัดที่สลักไว้ภายในตาคู่นั้นมองมา
บอกตามตรงว่าไม่เลยขนาดผมที่คิดว่าดูอะไรมาเยอะก็ยังไม่เข้าใจสักนิด คนที่เข้าใจนั่นแหละที่ผมไม่เข้าใจว่าเข้าใจได้ยังไงให้กับหมอนั่น
ถึงต่อให้ยูบาริอธิบายไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดีบอกเอาไว้นะที่นี้เลยไอ้ภาชนะที่เธอว่ามานั่นน่ะมันคืออะไรยังไม่รู้ด้วยซ้ำ โลกเหรอ? หรือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ล่ะ?
“เธอทำได้เหรอ? เรื่องแบบนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันหรือคนอื่นๆ ล่ะ”
“ไม่เกิดอะไรขึ้นค่ะแค่สร้างกฎขึ้นมาโดยเป็นกฎที่ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ด้วยการใช้ ‘พันธสัญญา’ เห็นดวงจันทร์แล้วใช่ไหมคะนั่นแหละคือสวนหนึ่งของวงเวทที่จำเป็นต่อการสร้างพันธสัญญาขึ้นมาเพราะฉะนั้นจึงอยากให้โลกกลับมาหมุนอีกครั้งถ้าใส่ความทรงจำว่าเรื่องพันธะสัญญาเป็นเรื่องปกติมีมาตั้งแต่อดีตแล้วก็จะง่ายในหลายๆ เรื่องค่ะ”
พันธสัญญาจะเป็นสิ่งที่ยอมรับสินะ
ยูบาริปล่อยขาผมข้างหนึ่งและยื่นมือมาจับกุญแจในขณะที่ผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องภาชนะนั่นจะไปหามันได้จากที่ไหนและเข้าถึงยังไง? วงเวทที่ใช้ดวงจันทร์หากอิงจากสื่อบันเทิงแล้วผลของมันจะต้องรุนแรงมากแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย ผมควรจะหยุดเธอดีรึเปล่าล่ะการสร้างพันธะสัญญาขึ้นมามันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้
ผมหลับตาแน่นน่าจะเป็นเพราะเกิดกลัวขึ้นมาแต่สัมผัสที่ถูกมือจับที่ขาอยู่ก็พลันหายไปจึงรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะต้องเกิดเรื่องที่ต้องการคำอธิบายมาอีกแล้วแน่ๆ จึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจึงจะค่อยลืมตา
ตื่นเหอะ ตื่นเหอะ ตื่นเหอะ
ผมยังอยู่ในสวนบ้านตัวเองที่เดิมแต่เบื้องหน้ากลับไม่พบฟุตาบะ ยูบาริ เอ่อๆ ตอนนี้อยากเกิดอะไรก็เอาให้เต็มที่มาถึงขั้นนี้แล้วจะระเบิดภูเขาเผากระท่อมก็ตามสบายเลย
“ไม่เห็นดาวเลยนะ”
ขณะที่จิตใจผมเริ่มจะปลงกับเรื่องบ้าๆ นี้แล้วคำกล่าวทักทายของคุณฮัทสึฮารุ อากิจึงดังเข้าโทรดประสาทผมเต็มๆ เพราะรอบๆ ยังเงียบเป็นป่าช้าอยู่เหมือนเดิมผมจึงหันไปทางทิศที่เสียงลอยออกมาหรือก็คือระเบียงที่ยื่นออกมาของห้องรับแขกจึงพบเห็นฮัทสึฮารุกับน้องสาวที่แหงนหน้ามองฟ้ากันทั้งคู่ในสภาพเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้
ฮัทสึฮารุเลื่อนสายตาลงมามองผมด้วยหางตาเป็นแววตาที่เฉยเมยเหนื่อยหน่ายเหมือน
“ฮัทสึฮารุเธอจะทำยังไงต่อล่ะ?”
ผมถามขึ้นมาทันทีเพราะขี้เกียจจะให้เรื่องมันยืดยาวมากไปกว่านี้
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
หา
“ฉันไม่ใช่พระเจ้าไม่มีความสามารถที่จะไปทำอะไรได้”
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่เธอก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้วใช่ไหม? จะทำยังไงล่ะ”
ฮัทสึฮารุมองผมที่ยืนยันคำถามเดิมครู่หนึ่งและเลื่อนมือไปจับไหล่หุ่นขี้ผึ้งคิโยและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไหลผมก็รู้สึกเหมือนถูกจับด้วยเหมือนเช่นกัน
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
เสียงเธอก็ลอยมาจากด้านหลังพร้อมกันผมจึงหันกลับไปทันทีแต่ก็ไม่พบใครพริบตาที่หันกลับไปด้านหน้าอีกครั้งทุกสิ่งทุกอย่างกลับมืดสนิทรายล้อมไปด้วยสะสารมืดจนแถบจะไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นพื้นถ้าไม่ได้ยืนอยู่แต่มีเพียงตัวเองที่ยังมองเห็นได้เป็นปกติ
“จะบอกว่าเธอปฏิเสธเรื่องมีส่วนรู้เห็นในแผนการของยูบาริงั้นเหรอ?”
ผมพูดขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมืด
จากที่ฟังมาถ้าเป็นอย่างที่ยูบาริพูดการจะทำให้เกิดโลกในอุดมคติได้จำเป็นต้องมีพันธสัญญากับการรีเซตแก่นแท้ต้องขอบคุณปากยัยนั่นก่อนมาจุดๆ นี้จริงๆ
ถ้าเกิดสร้างพันธสัญญาโดยที่ไม่เปลี่ยนสามัญสำนึกของผู้คนก็จะเกิดการสงสัยและต่อต้านถึงจะยังไม่ได้บอกเนื้อหาของพันธสัญญาเป็นอะไรแต่แค่นั้นการจะไปบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรับได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะบัญญัติในพันธสัญญา
ถ้ารีเซตแก่นแท้แต่ไม่ทำให้เกิดพันธสัญญาก็จะมีโอกาสทำเรื่องที่ขัดต่อพันธะสัญญาโดยอาจจะเป็นรูปแบบของอุบัติเหตุหรือการไม่ได้ตั้งใจและในระยะยาวมนุษย์ก็จะเขียนแก้กฎของพวกเขาเองเพื่อให้ปรับเข้ากับยุคสมัย
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาของพันธสัญญาที่ยูบาริต้องการเป็นอะไรจะดีหรือร้ายก็ยังบอกไม่ได้บางทีการมีพันธสัญญาข้อผูกมัดอาจจะทำให้มนุษย์ดูเป็นระเบียบมากกว่าที่เป็นก็ได้
“ยูบาริมีท่าทีแค่ต้องการหาตัวคนที่ทำให้ห้วงเวลาหยุดเดิน เพราะถ้าหาเจอก็จะสร้างโลกในอุดมคติได้พวกเธอที่รู้จักกันมาก่อนยูบาริจึงน่าจะรู้ว่าเธอทำอะไรได้บ้าง ถ้าเป็นไปตามที่การกระทำของยูบาริเวลาตลอด 3 วันในการหาตัวการแสดงว่าเรื่องเกี่ยวกับแก่นแท้ไม่ใช่ปัญหา”
ผมพูดกับความว่างเปล่าเหมือนคนบ้าสติไม่เต็มเพราะคิดว่าฮัทสึฮารุน่าจะยังอยู่แถวๆ นี้ท่ามกลางความมืดมิดนี้
“เธอทำสำเร็จไปแล้ว ใช่ไหม?”
“นั่นคือสิ่งที่บงบอกว่าฉันช่วยเหลือการสร้างโลกในอุดมคติ? หรือพยามจะบอกว่าฉันคือแก่นแท้กันนะ?”
คราวนี้เสียงก็ดังมาจากด้านหลังอีกครั้งผมจึงหันไปทำให้เห็นภาพของฮัทสึฮารุที่กำลังนั่งห้อยหัวอยู่บนนาฬิกาทรายถ้ากะด้วยตาเอาขนาดก็คงประมาณ 4 เมตรเห็นจะได้โดยที่ผมหรือกระโปงของเธอกำลังฝ่ากฎแรงโน้มถ่วงอยู่ ทำให้ผมผงะถอยห่างด้วยความตกใจ ราวกับว่าคนที่กำลังอยู่ผิดที่ผิดทิศแล้วจริงๆ คือผมเอง
“แก่นแท้ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน รู้รึเปล่าประกายแสงเหล่านี้คืออะไร ความคิด ความทรงจำ อารมณ์ และความปรารถนาของชีวิตยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงสัญชาตญาณทุกสิ่งล้วนจำเป็นต้องมีสถานที่ไว้เก็บรักษา ประวัติศาสตร์ โศกนาฏกรรม ชีวิตที่ยังอยู่ ชีวิตที่จากไปแล้ว”
เหมือนธนาคาร เธอบอกยังงั้นและส่งถอยคำออกมาเรื่อยๆ ราวกับไปนั่งฟังเทศน์ฟังธรรมพร้อมๆ กับที่ประกายแสงด้านในค่อยๆ ไหลลงสู่ด้านล่างเรื่อยๆ
โลกใบนี้มีแต่ความยุ่งเหยิง การทำลาย ฆ่าฟัน การหักหลังมากมายจนเป็นปกติ เธอก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าโลกนั้นยุ่งเหยิงแค่ไหนถึงนั่นจะเป็นสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการหาทางอยู่รอดไม่ว่าจะต้องทำร้ายใครเพื่ออิ่มท้อง ความสนุก ความอยากรู้ ความโกรธ เพื่อประเทศ เพื่อให้ตัวเองดูมีค่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยก็เป็นเรื่องราวเดิมๆ เรื่องราวที่ยุ่งเหยิง เป้าหมายของเอลฟ์ตนนั้นคือการทำให้สิ่งมีชีวิตอินทรีย์สารจนมุมถึงแม้ว่าเจ้าตัวอาจไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นแต่ผลกระทบที่จะตามมาคือสิ่งนั้น
การสร้างพันธสัญญาของต่างโลกจำเป็นต้องมีการเขียนรูปทรงเรขาคณิตทับซ้อนกันเป็นจำนวนมากจึงได้ทำการบิดเบียนตำแหน่งของดวงจันทร์ให้มาอยู่ในสภาพปัจจุบัน สาเหตุที่เลือกใช้ดาวเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งของวงเวทตามความเชื่อของพวกนั้นแล้วเชื่อว่าห้วงอวกาศมีกลุ่มพลังงานมากมายที่ลอยกระจายอยู่ทั่วทั้งระบบ เพื่อเป็นการป้องกันจากภัยพิบัติที่สภาพแวดล้อมถูกเปลี่ยนไปกะทันหันฉันจึงได้บังคับให้สลีปโหมดทำงาน
“ก็เหมือนกับร่างจิตของรินที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้”
ว่าแล้วเสร็จฮึทสึฮารุจึงกระโดลงมายังจุดที่น่าจะเป็นพื้นตรงหน้าผมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประกายแสงสุดท้ายในนาฬิการ่วงหล่นและทำให้โดยรอบกลับมาสว่างกลับมาเป็นสวนหย่อมบ้านอีกครั้งโดยที่แลกกับนาฬิกาทรายยักษ์หายไปแทน
“ฉันมีข้อเสนออยู่”
ฮัทสึฮารุ อากิจ้องมองผมด้วยสีหน้าเฉยเมยหลังจากพล่ามเรื่องที่เป็นเหมือนบทส่วนใดส่วนหนึ่งที่เอามาจากนิยายไซไฟแฟนตาซีบางเรื่องได้โดยไม่มีติดขัดโดยมีแต่เรื่องที่ทำเป็นเมินเฉยไม่ได้ทั้งนั้น
“ฉันอยากให้รินกำหนดพันธสัญญาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรฉันจะไม่ห้ามและไม่เข้าไปยุ่ง ฉันยังติดสัญญาเรื่องครั้งที่แล้วตอนเจอกันหลังเลิกเรียนจะให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง”
ฮัทสึฮารุค่อยๆ ย่างเท้ามาหาผมทีละก้าวทีละก้าว
“พันธสัญญาเป็นการสร้างกฎไม่ใช่สร้างสามัญสำนึกอยากให้จำไว้”
แล้วโลกที่พวกเธอต้องการให้เป็นมันจะเดินไปในทิศทางไหนกัน อย่ามายัดความรับผิดชอบกันง่ายๆ นะแล้วมาโยนให้ฉันแบบนี้แล้วมันไม่แย่กว่ายูบาริอีกรึไง
“รายละเอียดในความคิดของยูบาริไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นข้อมูลส่วนตัว ไม่เป็นไรไม่ต้องรับผิดชอบไม่มีใครจะลงโทษทำตามความต้องการของตัวเองไปเลย”
ถึงจะพูดยังงั้นยังงี้ก็เถอะใครมันจะไปกล้าทำได้ง่ายๆ ล่ะ จริงสิถ้าโลกยังไม่กลับมาหมุนอีกครั้งก็ทำพันธสัญญาไม่ได้นี่นา
หลังจากที่ผมเอะใจเรื่องนั้นได้ฮัทสึฮารุก็ดีดนิ้วทีหนึ่งจึงปรากฏร่างของยูบาริที่นั่งแกว่งเท้าฮำเพลงรอบนระเบียงห้องรับแขก
“อากิกตกใจหมดเลยถึงฉันจะเปลี่ยนแปลงสภาพของมิติได้แต่ก็เข้าไปที่นั่นไม่ได้กำลังกลัวอยู่เลยว่าคิริโนะคุงจะถูกส่งไปที่ไหนรึเปล่าน่ะถ้าปล่อยให้หลุดมือไปคงแย่แน่ค่ะ ฉันไม่ใส่ใจหรอกนะค้าว่าคุยเรื่องอะไรกันมารึเปล่าแต่พันธสัญญาจะต้องเกิดขึ้นค่ะ”
เธอลุกขึ้นมาและเข้ามาหาผมโดยเอามือไขว้หลังเอาไว้ระยะห่างก็สั้นลงเรื่อยๆ ผมจึงคาดหวังว่าเวลานี้พลังเร้นลับในตัวผมอาจจะบังเอิญตื่นขึ้นมาก็ได้ในรอบสิบกว่าปีแต่ความคาดหวังเล็กน้อยนั้นก็ถูกหักหลัง จนมือด้านหลังของยูบาริมามาปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยรอยแตกและจับกุญแจที่ห้อยคอผมอยู่ราวกับว่ามือนั้นเป็นมือของยมบาล ผมจึงเริ่มเอะใจนับตั้งแต่วินาทีนั้นถึงความโง่เขลาของตัวเองว่าถ้าเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าเสื้อนอกก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้แท้ๆ
วินาทีต่อมายูบาริก็ชูกุญแจที่ได้มาจากผมให้เห็นกันจะๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ย ผมกะว่าจะแปลกใจที่ยัยนี่ถอดออกไปได้ยังไงแต่มาถึงขั้นนี้แล้วเรื่องนั้นมันก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไรอีกแล้ว
“ถ้างั้นก็จะขอสะกดรอยผู้ใช้งานแล้วนะค้า”
ยูบาริแค่เอากุญแจวางไว้บนฝ่ามือเฉยๆ แล้วจู่ๆ กุญแจก็เกิดแตกขึ้นมาจนกลายเป็นผงไม่เหลือซากแล้วจึงเผยให้เห็นสีหน้าแปลกใจของยูบาริอีกครั้งของวัน ผมล่ะสงสัยจริงว่าตอนนั้นเธอแปลกใจที่กุญแจแตกรึเปล่าแต่สายตาที่จ้องมองผมกลับมาก็ตอบให้ได้ทันที
“คิริโนะคุงเป็นคนใช้กุญแจดอกนี้ใช่ไหมคะ?”
จะไปรู้เรอะ
“มีความเป็นไปได้เฉลี่ยช่วงเวลาแล้วเป็นช่วงเดียวกันกับที่มิติหยุดไป”
ฮัทสึฮารุที่ยืนนิ่งมาได้สักพักจนเกือบถูกลืมพูดเสริมขึ้นมา นี่ไม่คิดจะทำอะไรเลยจริงๆ สินะหล่อน
“หืม งั้นก็หมายความว่าเป็นการใช้โดยไม่ต้องอาศัยตัวเมนเทนสินะทั้งที่ภายนอกก็เป็นแค่กุญแจนำทางที่วางขายแท้ๆ ถึงจะแพงก็เถอะ”
ตอนนั้นเองฮัทสึฮารุก็หยิบปากกาทำจากแก้วไม่ก็จากอัญมณีออกมาจากกระเป๋ากระโปง ฮัทสึฮารุขวงปากกาด้วยมือขวาข้างเดียวปากกาจึงค่อยๆ กลายเป็นวัตถุอะไรบางอย่างที่เหมือนกับคทาแท่งยาวแทนและยื่นมือไปทางผงกุญแจในมือยูบาริที่ทำหน้าเหมือนเจอปัญหาพอผมหันกลับไปหาฮัทสึฮารุอีกครั้งก็พบว่าผงกุญแจเมื่อครู่กลับมาเป็นกุญแจตามเดิมในมือฮัทสึฮารุแล้ว
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะแม้แต่ยูบาริเองก็อยู่ในสภาพเดียวกับผม เฮ้ๆ ในนี้เธอแฟนตาซีสุดแล้วนะอย่าตกใจเป็นเพื่อนฉันสิ กฎมวลสารอะไรนั่นน่ะช่างหัวมันก่อน
ผมจ้องมองฮัทสึฮารุนิ่งรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นและเธอก็ตอบสนองความต้องการนั้น
“ถอดรหัสลำดับการใช้งานเสร็จแล้ว”
ถึงจะมีวาจาเข้ามาแทรกความเงียบงันที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้มันหนีหายไปไหนได้จนผมที่ยืนนิ่งอยู่พักๆ ก็ถูกลมอ่อนๆ ของฤดูใบไม้ผลิพัดใส่จนรู้สึกสบายตัวขึ้นมาเล็กน้อย
“นะ นี่มันลมนี่นา!”
ยูบาริจู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา อืม ก็ลมน่ะสิ แล้วมันต่างจากอากาศตรงไหน
“คือว่างี้นะค้าคิริโนะคุงธาตุที่พวกเราจำเป็นต่อการใช้หายใจพวกฉันสรุปมาได้ว่าธาตุที่น้ำหนักต่ำกว่า 20.00 amu ลิเทียมกับเบริลเลียมเองก็ไม่ได้รับผลเหมือนกันแต่มันจะลอยอยู่ในบริเวณเดิมแต่ลมมีเรื่องของความกดอากาศกับอุณหภูมิมาด้วยทำให้ต้องอาศัยปัจจัยการเกิดเพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า”
โลกกลับมาหมุนอีกครั้งแล้ว
เธอว่างั้น
นี่ฉันอยู่ในคาบวิทยาศาสตร์หรือคาบแฟนตาซีเอาสักอย่างซิ เธอมาจากโลกแฟนตาซีก็หัดทำตัวสมหน้าที่บ้างมาเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปทำไมกันเล่า?
“อากินี่สุดยอดไปเลยนะค้า แต่มาช่วยแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอค่ะเดี๋ยวอาจจะมีปัญหากับแก่นแท้เอา”
ฮัทสึฮารุไม่ตอบรอยยิ้มขอบคุณของยูบาริแต่หันมามองผมและจากนั้นก็เอาด้ามคทายาวที่เหมือนแก้วกระแทกลงกับพื้นโดยไม่กลัวว่าจะเกิดรอยร้าวทำให้เกิดเส้นสีแดงหลายเส้นขึ้นตามพื้นแผ่ขยายไปต่อเรื่อยๆ ออกมาจากคทามันทะลุผ่านสิ่งปลูกสร้างอย่างกำแพงหรือแม้แต่ตัวบ้านโดยรอบจนออกนอกทัศนวิสัยของผมไป
วินาทีทัดมาต่อเนื่องกันละอองบางอย่างจึงร่วงลงมาจากท้องฟ้ามากมายราวกับหิมะผมจึงแหงนหน้าขึ้นไปมองทำให้พบกับกลุ่มเมฆที่ค่อยๆ สลายไปทำให้เริ่มมองเห็นดวงจันทร์ที่ปรากฏลวดลายมากมายขึ้นมา
อึ้ง ไม่มีคำพูดจะอธิบายได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วถ้าได้เห็นจากภาพถ่ายอากาศคงดีไม่น้อย ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่าประทับใจจนพูดไม่ออก ถ้าเกิดย้อนกลับไปได้ก็อยากเอากล้องชั้นเซียนมาถ่ายเก็บไว้สักรูปสองรูปจริงๆ
“อากินั่นมันการสร้างพันธสัญญาไม่ใช่เหรอ?”
“ได้แล้ว”
ฮัทสึฮารุพูดโดยที่กำลังมองมาทางผมไม่ใช่ยูบาริ
ได้อะไร? ก็อยากทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่หรอกแต่มาขนาดนี้แล้วจะบอกว่าไม่รู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แล้วถึงต่อให้เป็นคนที่ทึ่มยังไงก็ต้องรู้เหมือนกัน
“จะให้มนุษย์เขียนพันธสัญญาไม่ได้นะค้าอากิน่าจะรู้นี่นาว่ามนุษย์บนโลกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนน่ะ?”
ยูบาริทำสีหน้าลำบากใจแทนที่จะเป็นสีหน้าทุกข์ร้อน
“ก็ได้ๆ จะเอาแบบนี้สินะค้าที่โลกนี้มีแค่เผ่ามนุษย์ที่เป็นใหญ่ถึงได้เหลิงกันมาขนาดนี้”
ยูบาริยกมือขึ้นมาทางผมและดีดนิ้วหนึ่งทีทันใดนั้นพื้นที่ผมยืนอยู่ก็ร้อนขึ้นมาและเกิดไฟลุกขึ้นแต่ก่อนที่ร่างกายจะรับรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นฮัทสึฮารุก็คว้าแขนออกมาจากบริเวณนั้นและกดผมลงกับพื้น แต่การโจมตีของยูบาริไม่ได้จบแค่นั้นเมื่อบนร่างกายผมเกิดรอยแตกของมิติขึ้นและมือของยูบาริก็โผล่ออกมาราวกับเป็นปรสิตมือก็พุ่งเข้าไปทางหน้าของผมแต่ก็ถูกฮัทสึฮารุจับเอาไว้ได้ทันท่วงที
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คทาในมือฮัทสึฮารุเปลี่ยนเป็นถุงมือที่กำลังสวมไปแล้ว
เป็นเอลฟ์อย่างน้อยก็ใช้ท่าอื่นไม่ได้รึไงอีแบบนี้มันสยองนะ
“เฮ้อ ยอมค่ะ ยอมแล้ว”
จู่ๆ ยูบาริก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังรู้สึกผิดหวังออกมาพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้น
“ฉันคงสู้กับธรรมชาติไม่ชนะหรอกค่ะแต่ว่าถึงจะอย่างงั้นพันธสัญญาแต่เดิมคือสิ่งที่ฉันนำมานะค้า ฉันเองก็มีสิทธิเหมือนกันเพราะฉะนั้นฉันมีสิทธิจะเรียกร้องการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกับทรัพย์สินทางปัญญานั้น”
ผมเริ่มมองไปรอบๆ เพราะเริ่มมองเห็นพวกก้อนหินที่เริ่มถูกแรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำพิษเข้าจึงทำให้เพิ่งมาเอะใจเรื่องผลกระทบนี้ยูบาริจึงพูดต่อไป
“ฉันขอเลือกให้อากิมาเป็นข้ารับใช้ของฉันค่ะ”
ข้ารับใช้เหรอ?
ฮัทสึฮารุก้มมองผมด้วยความเงียบสงบและเผยรอยยิ้มออกมา
ขณะนั้นเองกระเบื้องหลังคาของบ้านรอบระแวกบางส่วนก็เริ่มจะปลิวขึ้นฟ้าไปแล้ว ผมหันกลับลงมามองสีหน้าของยูบาริที่ฉีกยิ้มออกมาโดยที่มีเหงื่อไหลอยู่บนใบหน้านั้น
“การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเหรอ? ไอ้ของพันนั้นน่ะมันไม่มีแต่แรกในโลกพันนี้หรอกต่อให้พยายามแค่ไหนแต่ให้มีความสามารถแค่ไหนพอถึงเวลากลับทำอะไรไม่ได้ อุดมคตินั้นมันก็แค่เรื่องเพ้อฝันโลกที่เท่าเทียมน่ะมันไม่มีอยู่จริงๆ หรอก”
วินาทีถัดมาร่างของยูบาริจู่ๆ ก็ล้มลงราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัด
“ตัดประสาทสัมผัส ...ต่อกันเถอะ”
ฮัทสึฮารุพูดขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรผมที่เห็นดังนั้นแล้วจึงรู้สึกกลัวเธอขึ้นมา มากแค่ไหนกันนะผมเองก็บอกได้แค่ว่ามากพอจะทำให้ผมตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้จึงค่อยๆ พยุงร่างตัวเองขึ้นมา
ตัวผมในตอนนี้จำเป็นจะต้องจัดระเบียบสังคมหลังจากที่ได้เห็นเรื่องบ้าๆ นี้มา ผมจะไม่ปฏิเสธความน่าเวทนาของมนุษย์แต่เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นการขัดสรรค์โดยธรรมชาติไม่ใช่เหรอ? การต่อสู้การแย่งชิงมันก็แค่สิ่งตายตัวที่จำเป็นจะต้องมีมันแต่ว่าปัญหาของทางเราก็ต้องเป็นคนจัดการกันเอง ความรุนแรงเมื่อกลายเป็นเรื่องของคนอื่นมันก็จะเป็นได้แค่ความบันเทิง ถึงจะพยายามปฏิเสธแค่ไหนนั่นก็เป็นการโกหก การแปลกแยกเป็นแค่การไม่ยอมรับสิ่งที่มีแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเป็นแค่การตัดสินทดสอบจากโลกว่ามีค่าให้เปลี่ยนแปลงแค่ไหน
ข้อมูลลำดับขั้นตอนถูกส่งตรงเข้ามาในหัวอัตโนมัติ...ฮัทสึฮารุเหรอ?
“ขอบันทึกลงในพันธสัญญา ห้ามมนุษย์หรือผู้มาจากดินแดนอื่นใช้เวทมนตร์หรือปรากฏการที่สร้างขึ้นในการใช้ ฆ่าฟัน รุกราน ทำสงคราม ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในโลกนี้”
นั่นจึงหมายความว่าห้ามใครก็ตามมาทำลายเว้นแต่จะเป็นพวกเราเอง ที่พวกเราจำเป็นต้องทำคือปกป้องตัวเองไม่ให้ทำลายตัวเอง
“ปัญหาที่ก่อโดยมนุษย์ของโลกนี้ต้องแก้ด้วยคนของโลกนี้”
เส้นพลังงานสีแดงจำนวนหนึ่งปรากฏออกมาไปกลางท้องฟ้าอย่างกับกลัวจะไม่มีคนเห็น
“และอีกข้อสุดท้ายหากมีการตายเกิดขึ้นที่โลกนี้อยากจะขอให้มีการคัดเลือกหรือสุ่มส่งไปยังต่างโลกตามเห็นควร...จะได้ไหมนะ?”
ถ้อยคำที่ผมพูดเกิดปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าตัวใหญ่ยักษ์ถึงผมจะไม่เข้าใจว่านั่นเป็นภาษาอะไรแต่ก็รู้ได้ว่านั่นเป็นถ้อยคำที่ผมพูดไม่ผิดแน่
เอาแค่นี้คงพอนะ
ฮัทสึฮารุพยักหน้ารับ
“เสร็จสมบูรณ์”
และดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่าและแสดงให้ผมดู
“ขอรับรองว่าพันธสัญญานี้เป็นความจริง”
ตัวอักษรบนฟ้าก็ตอบสนองกับคำพูดนั้นและลงมาปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นพอฮัทสึฮารุม้วน ‘กฎข้อบังคับของโลก’ เสร็จเธอก็โยนมันและหายไปกลางอากาศอีกครั้งหนึ่ง
“เอาล่ะไหนๆ ก็ทำเรื่องที่เธอขอให้แล้วเธอช่วยรีสตาร์ทสติฉันได้รึเปล่า? พอกันทีเหนื่อยจะแย่อยู่แล้วให้ตื่นได้แล้ว เหนื่อย!!”
หลังคำพูดนั้นผมก็เดินตรงไปยังรั้วบ้านและค่อยๆ ไถลตัวนั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“เข้าใจแล้ว ผลค้างเคียงขณะเขียนพันธสัญญาฉันจะเก็บกวาดเอง”
ฮัทสึฮารุเข้ามานั่งยองๆ มองผมตรงหน้า ผมจึงต้องหลับตาลงวินาทีต่อมานั้นเองสติของผมก็ถูกดึงปลั๊ก
จิ๊บ จิ๊บ
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยการปลุกของนกที่ดังมาจากนอกหน้าต่างก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในชุดนอนพร้อมกับผ้าห่มตัวเก่งจึงแยงตามองแสงที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าม่านจึงเข้าใจว่าเป็นตอนเช้า
สิ่งที่เรียกว่าวิถีชีวิตนั้นแต่ละคนต่างก็มีอยู่แตกต่างกันไปบางคนเกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างบางคนเกิดมาเพื่อใครสักคนหรือบางคนอาจเกิดมาเพื่อตามหาเหตุผลอะไรบางอย่างที่สำคัญมากกว่าการใช้ชีวิตทำงานไปวันๆ ให้กับตัวเอง
ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายข้อนี้ไม่ต้องให้ใครมาพูดเราก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ว่าจะพยายามเปลี่ยนตัวเองแค่ไหนโลกมันก็ไม่เปลี่ยนตามทำไมน่ะเหรอเพราะทุกสิ่งย่อมมีสังคมของมันเองมีรากฐานและเหตุผลที่มีมันขึ้นมา
วันนี้วันอะไรแล้วนะ?
นั่นคือคำถามแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัวผมหลังตื่นนอนก่อนพยุงตัวลงจากเตียงเสียอีกเพราะยังลังเลว่าอาจเป็นวันอาทิตย์ไม่สิขอให้เป็นแบบนั้นทีเถอะขี้เกียจชะมัดถึงร่างกายจะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแต่จิตใจกลับรู้สึกอ่อนเพลียจากฝันเมื่อครู่
เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้นและเปิดออกโดยไม่สนใจว่าผมจะตอบรึไม่ประการใด
“เฮ้อ ต้องให้ปลุกทุกเช้าแบบนี้ชักเป็นห่วงแล้วสิพี่คนนี้...”
น้องสาวผู้เข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกเอือมระอาเมื่อเห็นผมไม่ได้อยู่บนเตียงแต่กำลังจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนที่กำลังเปิดเครื่องอยู่ก็ชะงักไป
“…ขอโทษครับ”
“ตื่นแล้วก็อย่ามัวแต่เล่นสิรีบๆ ไปอาบน้ำไม่ก็ไปกินข้าวซะ!”
ผมพยายามสะกดความกลัวและถามกลับไปทั้งที่เห็นน้องตัวเองในชุดนักเรียน
“วันนี้วันอะไรเหรอครับ?”
“ก็วันพุธไงยังต้องไปโรงเรียนอีกนะรีบไปทำอะไรสักอย่างได้แล้วเดี๋ยวนี้เลย!”
งั้นเหรอ นั่นสินะถ้านี่เป็นหนังโรงตอนนี้คงกำลังจะตัดเข้าไตเติลจบแล้วสิก็เพราะเรื่องที่ฝันก่อนหน้านี้ยังจำได้แม่นจนน่าตกใจอยู่เลย
“เสียงดังกันจังเลยเดี๋ยวคุณน้าก็ตื่นหรอก”
น้ำเสียงหนึ่งลอยมาจากนอกประตูและปรากฏร่างของฮัทสึฮารุในชุดนักเรียนออกมา
“ฮัทสึฮารุ! เธอยังอยู่อีกเหรอ?”
“ยังไม่ได้กินข้าวเช้านี่นา”
“พี่คิริโนะช่วยรีบๆ ไปทำธุระอะไรสักอย่างด้วยจะได้ไหมอุตส่าห์รีบไปซื้อวัตถุดิบมาทำซาบะกินแท้ๆ เชียวนะเนี่ยอย่าให้ต้องหัวเสียแต่เช้าได้ไหม”
จากนั้นคุณน้องสาวก็หันหลังและเดินหายไปด้วยอารมณ์ที่เดือดได้ที่
“ฉันไปกินข้าวก่อนนะ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็ไปสายหรอก”
ฮัทสึฮารุพูดขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อะ อืม ตอบกลับไปไม่ได้เพราะในใจจู่ๆ ผมก็ไม่สามารถตอบรับคำนั้นได้นี่ผมคิดไปเองรึว่าอะไรยังไงกันแน่ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
“นี่แหละคือความจริงใหม่ของเธอ”
เธอตอบผมก่อนที่ตัวผมเองจะทันได้ตั้งคำถามในใจขึ้นมาด้วยซ้ำ
ความจริงใหม่
“ขอต้อนรับ”
บอกจะถ่วงเวลาแต่นี่มันแทบไม่มีความหมายเลยไม่ใช่รึไงในเมื่อโผล่มาแบบนี้ได้น่ะ ต่อให้อยู่ห่างกันไปสุดขอบโลกขอแค่ยัยนี่รู้ตำแหน่งระยะห่างไม่มีความหมายด้วยซ้ำ
“ไม่ล่ะแค่เห็นที่เธอทำก็มากพอแล้ว แล้วจะทำยังไงล่ะวิธีเปลี่ยนเป็นโลกในอุดมคติของเธอน่ะ ไม่ใช่ว่าเขียนชื่อคนลงในสมุดแล้วคนๆ นั้นจะตายหรอกนะ”
ผมลองพูดหยอกล้อกับเธอดู ยูบาริที่เข้ามาประจันตรงหน้าผมเองก็ยังไม่เอากุญแจไปทันทีคงเพราะมือทั้งสองข้างยังจับขาผมเอาไว้ถึงไม่มีมือหยิบ จะว่าไปแค่แขนสองข้างจับขาอย่างละข้างทำไมมันสลัดไม่หลุดกันยัยนี่ไปเอาแรงมาจากไหนเนี่ย
“ไม่หรอกค่ะไม่หรอกฉันไม่อยากให้มีการเข่นฆ่ารวมถึงตัวฉันเองด้วยจะต้องไม่มีคนตายที่ฉันจะทำก็แค่การรีเซตประวัติศาสตร์และความทรงจำหรือเรียกกว้างๆ ก็คงเป็นแก่นแท้พูดอีกอย่างคือการทำให้ภาชนะ(ความจริง) กลวงแล้วเติมเต็มเข้าไปใหม่คงเข้าใจใช่ไหมค้า?”
รอยยิ้มยังคงปรากฏออกมาบนหน้าของยูบาริด้วยกันกับหูที่แหลมยาวและสัญลักษณ์ข้าวหลามตัดที่สลักไว้ภายในตาคู่นั้นมองมา
บอกตามตรงว่าไม่เลยขนาดผมที่คิดว่าดูอะไรมาเยอะก็ยังไม่เข้าใจสักนิด คนที่เข้าใจนั่นแหละที่ผมไม่เข้าใจว่าเข้าใจได้ยังไงให้กับหมอนั่น
ถึงต่อให้ยูบาริอธิบายไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดีบอกเอาไว้นะที่นี้เลยไอ้ภาชนะที่เธอว่ามานั่นน่ะมันคืออะไรยังไม่รู้ด้วยซ้ำ โลกเหรอ? หรือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ล่ะ?
“เธอทำได้เหรอ? เรื่องแบบนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันหรือคนอื่นๆ ล่ะ”
“ไม่เกิดอะไรขึ้นค่ะแค่สร้างกฎขึ้นมาโดยเป็นกฎที่ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ด้วยการใช้ ‘พันธสัญญา’ เห็นดวงจันทร์แล้วใช่ไหมคะนั่นแหละคือสวนหนึ่งของวงเวทที่จำเป็นต่อการสร้างพันธสัญญาขึ้นมาเพราะฉะนั้นจึงอยากให้โลกกลับมาหมุนอีกครั้งถ้าใส่ความทรงจำว่าเรื่องพันธะสัญญาเป็นเรื่องปกติมีมาตั้งแต่อดีตแล้วก็จะง่ายในหลายๆ เรื่องค่ะ”
พันธสัญญาจะเป็นสิ่งที่ยอมรับสินะ
ยูบาริปล่อยขาผมข้างหนึ่งและยื่นมือมาจับกุญแจในขณะที่ผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องภาชนะนั่นจะไปหามันได้จากที่ไหนและเข้าถึงยังไง? วงเวทที่ใช้ดวงจันทร์หากอิงจากสื่อบันเทิงแล้วผลของมันจะต้องรุนแรงมากแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย ผมควรจะหยุดเธอดีรึเปล่าล่ะการสร้างพันธะสัญญาขึ้นมามันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้
ผมหลับตาแน่นน่าจะเป็นเพราะเกิดกลัวขึ้นมาแต่สัมผัสที่ถูกมือจับที่ขาอยู่ก็พลันหายไปจึงรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะต้องเกิดเรื่องที่ต้องการคำอธิบายมาอีกแล้วแน่ๆ จึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจึงจะค่อยลืมตา
ตื่นเหอะ ตื่นเหอะ ตื่นเหอะ
ผมยังอยู่ในสวนบ้านตัวเองที่เดิมแต่เบื้องหน้ากลับไม่พบฟุตาบะ ยูบาริ เอ่อๆ ตอนนี้อยากเกิดอะไรก็เอาให้เต็มที่มาถึงขั้นนี้แล้วจะระเบิดภูเขาเผากระท่อมก็ตามสบายเลย
“ไม่เห็นดาวเลยนะ”
ขณะที่จิตใจผมเริ่มจะปลงกับเรื่องบ้าๆ นี้แล้วคำกล่าวทักทายของคุณฮัทสึฮารุ อากิจึงดังเข้าโทรดประสาทผมเต็มๆ เพราะรอบๆ ยังเงียบเป็นป่าช้าอยู่เหมือนเดิมผมจึงหันไปทางทิศที่เสียงลอยออกมาหรือก็คือระเบียงที่ยื่นออกมาของห้องรับแขกจึงพบเห็นฮัทสึฮารุกับน้องสาวที่แหงนหน้ามองฟ้ากันทั้งคู่ในสภาพเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้
ฮัทสึฮารุเลื่อนสายตาลงมามองผมด้วยหางตาเป็นแววตาที่เฉยเมยเหนื่อยหน่ายเหมือน
“ฮัทสึฮารุเธอจะทำยังไงต่อล่ะ?”
ผมถามขึ้นมาทันทีเพราะขี้เกียจจะให้เรื่องมันยืดยาวมากไปกว่านี้
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
หา
“ฉันไม่ใช่พระเจ้าไม่มีความสามารถที่จะไปทำอะไรได้”
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่เธอก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้วใช่ไหม? จะทำยังไงล่ะ”
ฮัทสึฮารุมองผมที่ยืนยันคำถามเดิมครู่หนึ่งและเลื่อนมือไปจับไหล่หุ่นขี้ผึ้งคิโยและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไหลผมก็รู้สึกเหมือนถูกจับด้วยเหมือนเช่นกัน
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
เสียงเธอก็ลอยมาจากด้านหลังพร้อมกันผมจึงหันกลับไปทันทีแต่ก็ไม่พบใครพริบตาที่หันกลับไปด้านหน้าอีกครั้งทุกสิ่งทุกอย่างกลับมืดสนิทรายล้อมไปด้วยสะสารมืดจนแถบจะไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นพื้นถ้าไม่ได้ยืนอยู่แต่มีเพียงตัวเองที่ยังมองเห็นได้เป็นปกติ
“จะบอกว่าเธอปฏิเสธเรื่องมีส่วนรู้เห็นในแผนการของยูบาริงั้นเหรอ?”
ผมพูดขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมืด
จากที่ฟังมาถ้าเป็นอย่างที่ยูบาริพูดการจะทำให้เกิดโลกในอุดมคติได้จำเป็นต้องมีพันธสัญญากับการรีเซตแก่นแท้ต้องขอบคุณปากยัยนั่นก่อนมาจุดๆ นี้จริงๆ
ถ้าเกิดสร้างพันธสัญญาโดยที่ไม่เปลี่ยนสามัญสำนึกของผู้คนก็จะเกิดการสงสัยและต่อต้านถึงจะยังไม่ได้บอกเนื้อหาของพันธสัญญาเป็นอะไรแต่แค่นั้นการจะไปบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรับได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะบัญญัติในพันธสัญญา
ถ้ารีเซตแก่นแท้แต่ไม่ทำให้เกิดพันธสัญญาก็จะมีโอกาสทำเรื่องที่ขัดต่อพันธะสัญญาโดยอาจจะเป็นรูปแบบของอุบัติเหตุหรือการไม่ได้ตั้งใจและในระยะยาวมนุษย์ก็จะเขียนแก้กฎของพวกเขาเองเพื่อให้ปรับเข้ากับยุคสมัย
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาของพันธสัญญาที่ยูบาริต้องการเป็นอะไรจะดีหรือร้ายก็ยังบอกไม่ได้บางทีการมีพันธสัญญาข้อผูกมัดอาจจะทำให้มนุษย์ดูเป็นระเบียบมากกว่าที่เป็นก็ได้
“ยูบาริมีท่าทีแค่ต้องการหาตัวคนที่ทำให้ห้วงเวลาหยุดเดิน เพราะถ้าหาเจอก็จะสร้างโลกในอุดมคติได้พวกเธอที่รู้จักกันมาก่อนยูบาริจึงน่าจะรู้ว่าเธอทำอะไรได้บ้าง ถ้าเป็นไปตามที่การกระทำของยูบาริเวลาตลอด 3 วันในการหาตัวการแสดงว่าเรื่องเกี่ยวกับแก่นแท้ไม่ใช่ปัญหา”
ผมพูดกับความว่างเปล่าเหมือนคนบ้าสติไม่เต็มเพราะคิดว่าฮัทสึฮารุน่าจะยังอยู่แถวๆ นี้ท่ามกลางความมืดมิดนี้
“เธอทำสำเร็จไปแล้ว ใช่ไหม?”
“นั่นคือสิ่งที่บงบอกว่าฉันช่วยเหลือการสร้างโลกในอุดมคติ? หรือพยามจะบอกว่าฉันคือแก่นแท้กันนะ?”
คราวนี้เสียงก็ดังมาจากด้านหลังอีกครั้งผมจึงหันไปทำให้เห็นภาพของฮัทสึฮารุที่กำลังนั่งห้อยหัวอยู่บนนาฬิกาทรายถ้ากะด้วยตาเอาขนาดก็คงประมาณ 4 เมตรเห็นจะได้โดยที่ผมหรือกระโปงของเธอกำลังฝ่ากฎแรงโน้มถ่วงอยู่ ทำให้ผมผงะถอยห่างด้วยความตกใจ ราวกับว่าคนที่กำลังอยู่ผิดที่ผิดทิศแล้วจริงๆ คือผมเอง
“แก่นแท้ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน รู้รึเปล่าประกายแสงเหล่านี้คืออะไร ความคิด ความทรงจำ อารมณ์ และความปรารถนาของชีวิตยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงสัญชาตญาณทุกสิ่งล้วนจำเป็นต้องมีสถานที่ไว้เก็บรักษา ประวัติศาสตร์ โศกนาฏกรรม ชีวิตที่ยังอยู่ ชีวิตที่จากไปแล้ว”
เหมือนธนาคาร เธอบอกยังงั้นและส่งถอยคำออกมาเรื่อยๆ ราวกับไปนั่งฟังเทศน์ฟังธรรมพร้อมๆ กับที่ประกายแสงด้านในค่อยๆ ไหลลงสู่ด้านล่างเรื่อยๆ
โลกใบนี้มีแต่ความยุ่งเหยิง การทำลาย ฆ่าฟัน การหักหลังมากมายจนเป็นปกติ เธอก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าโลกนั้นยุ่งเหยิงแค่ไหนถึงนั่นจะเป็นสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการหาทางอยู่รอดไม่ว่าจะต้องทำร้ายใครเพื่ออิ่มท้อง ความสนุก ความอยากรู้ ความโกรธ เพื่อประเทศ เพื่อให้ตัวเองดูมีค่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัยก็เป็นเรื่องราวเดิมๆ เรื่องราวที่ยุ่งเหยิง เป้าหมายของเอลฟ์ตนนั้นคือการทำให้สิ่งมีชีวิตอินทรีย์สารจนมุมถึงแม้ว่าเจ้าตัวอาจไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นแต่ผลกระทบที่จะตามมาคือสิ่งนั้น
การสร้างพันธสัญญาของต่างโลกจำเป็นต้องมีการเขียนรูปทรงเรขาคณิตทับซ้อนกันเป็นจำนวนมากจึงได้ทำการบิดเบียนตำแหน่งของดวงจันทร์ให้มาอยู่ในสภาพปัจจุบัน สาเหตุที่เลือกใช้ดาวเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งของวงเวทตามความเชื่อของพวกนั้นแล้วเชื่อว่าห้วงอวกาศมีกลุ่มพลังงานมากมายที่ลอยกระจายอยู่ทั่วทั้งระบบ เพื่อเป็นการป้องกันจากภัยพิบัติที่สภาพแวดล้อมถูกเปลี่ยนไปกะทันหันฉันจึงได้บังคับให้สลีปโหมดทำงาน
“ก็เหมือนกับร่างจิตของรินที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้”
ว่าแล้วเสร็จฮึทสึฮารุจึงกระโดลงมายังจุดที่น่าจะเป็นพื้นตรงหน้าผมเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประกายแสงสุดท้ายในนาฬิการ่วงหล่นและทำให้โดยรอบกลับมาสว่างกลับมาเป็นสวนหย่อมบ้านอีกครั้งโดยที่แลกกับนาฬิกาทรายยักษ์หายไปแทน
“ฉันมีข้อเสนออยู่”
ฮัทสึฮารุ อากิจ้องมองผมด้วยสีหน้าเฉยเมยหลังจากพล่ามเรื่องที่เป็นเหมือนบทส่วนใดส่วนหนึ่งที่เอามาจากนิยายไซไฟแฟนตาซีบางเรื่องได้โดยไม่มีติดขัดโดยมีแต่เรื่องที่ทำเป็นเมินเฉยไม่ได้ทั้งนั้น
“ฉันอยากให้รินกำหนดพันธสัญญาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรฉันจะไม่ห้ามและไม่เข้าไปยุ่ง ฉันยังติดสัญญาเรื่องครั้งที่แล้วตอนเจอกันหลังเลิกเรียนจะให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง”
ฮัทสึฮารุค่อยๆ ย่างเท้ามาหาผมทีละก้าวทีละก้าว
“พันธสัญญาเป็นการสร้างกฎไม่ใช่สร้างสามัญสำนึกอยากให้จำไว้”
แล้วโลกที่พวกเธอต้องการให้เป็นมันจะเดินไปในทิศทางไหนกัน อย่ามายัดความรับผิดชอบกันง่ายๆ นะแล้วมาโยนให้ฉันแบบนี้แล้วมันไม่แย่กว่ายูบาริอีกรึไง
“รายละเอียดในความคิดของยูบาริไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นข้อมูลส่วนตัว ไม่เป็นไรไม่ต้องรับผิดชอบไม่มีใครจะลงโทษทำตามความต้องการของตัวเองไปเลย”
ถึงจะพูดยังงั้นยังงี้ก็เถอะใครมันจะไปกล้าทำได้ง่ายๆ ล่ะ จริงสิถ้าโลกยังไม่กลับมาหมุนอีกครั้งก็ทำพันธสัญญาไม่ได้นี่นา
หลังจากที่ผมเอะใจเรื่องนั้นได้ฮัทสึฮารุก็ดีดนิ้วทีหนึ่งจึงปรากฏร่างของยูบาริที่นั่งแกว่งเท้าฮำเพลงรอบนระเบียงห้องรับแขก
“อากิกตกใจหมดเลยถึงฉันจะเปลี่ยนแปลงสภาพของมิติได้แต่ก็เข้าไปที่นั่นไม่ได้กำลังกลัวอยู่เลยว่าคิริโนะคุงจะถูกส่งไปที่ไหนรึเปล่าน่ะถ้าปล่อยให้หลุดมือไปคงแย่แน่ค่ะ ฉันไม่ใส่ใจหรอกนะค้าว่าคุยเรื่องอะไรกันมารึเปล่าแต่พันธสัญญาจะต้องเกิดขึ้นค่ะ”
เธอลุกขึ้นมาและเข้ามาหาผมโดยเอามือไขว้หลังเอาไว้ระยะห่างก็สั้นลงเรื่อยๆ ผมจึงคาดหวังว่าเวลานี้พลังเร้นลับในตัวผมอาจจะบังเอิญตื่นขึ้นมาก็ได้ในรอบสิบกว่าปีแต่ความคาดหวังเล็กน้อยนั้นก็ถูกหักหลัง จนมือด้านหลังของยูบาริมามาปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยรอยแตกและจับกุญแจที่ห้อยคอผมอยู่ราวกับว่ามือนั้นเป็นมือของยมบาล ผมจึงเริ่มเอะใจนับตั้งแต่วินาทีนั้นถึงความโง่เขลาของตัวเองว่าถ้าเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าเสื้อนอกก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้แท้ๆ
วินาทีต่อมายูบาริก็ชูกุญแจที่ได้มาจากผมให้เห็นกันจะๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ย ผมกะว่าจะแปลกใจที่ยัยนี่ถอดออกไปได้ยังไงแต่มาถึงขั้นนี้แล้วเรื่องนั้นมันก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไรอีกแล้ว
“ถ้างั้นก็จะขอสะกดรอยผู้ใช้งานแล้วนะค้า”
ยูบาริแค่เอากุญแจวางไว้บนฝ่ามือเฉยๆ แล้วจู่ๆ กุญแจก็เกิดแตกขึ้นมาจนกลายเป็นผงไม่เหลือซากแล้วจึงเผยให้เห็นสีหน้าแปลกใจของยูบาริอีกครั้งของวัน ผมล่ะสงสัยจริงว่าตอนนั้นเธอแปลกใจที่กุญแจแตกรึเปล่าแต่สายตาที่จ้องมองผมกลับมาก็ตอบให้ได้ทันที
“คิริโนะคุงเป็นคนใช้กุญแจดอกนี้ใช่ไหมคะ?”
จะไปรู้เรอะ
“มีความเป็นไปได้เฉลี่ยช่วงเวลาแล้วเป็นช่วงเดียวกันกับที่มิติหยุดไป”
ฮัทสึฮารุที่ยืนนิ่งมาได้สักพักจนเกือบถูกลืมพูดเสริมขึ้นมา นี่ไม่คิดจะทำอะไรเลยจริงๆ สินะหล่อน
“หืม งั้นก็หมายความว่าเป็นการใช้โดยไม่ต้องอาศัยตัวเมนเทนสินะทั้งที่ภายนอกก็เป็นแค่กุญแจนำทางที่วางขายแท้ๆ ถึงจะแพงก็เถอะ”
ตอนนั้นเองฮัทสึฮารุก็หยิบปากกาทำจากแก้วไม่ก็จากอัญมณีออกมาจากกระเป๋ากระโปง ฮัทสึฮารุขวงปากกาด้วยมือขวาข้างเดียวปากกาจึงค่อยๆ กลายเป็นวัตถุอะไรบางอย่างที่เหมือนกับคทาแท่งยาวแทนและยื่นมือไปทางผงกุญแจในมือยูบาริที่ทำหน้าเหมือนเจอปัญหาพอผมหันกลับไปหาฮัทสึฮารุอีกครั้งก็พบว่าผงกุญแจเมื่อครู่กลับมาเป็นกุญแจตามเดิมในมือฮัทสึฮารุแล้ว
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะแม้แต่ยูบาริเองก็อยู่ในสภาพเดียวกับผม เฮ้ๆ ในนี้เธอแฟนตาซีสุดแล้วนะอย่าตกใจเป็นเพื่อนฉันสิ กฎมวลสารอะไรนั่นน่ะช่างหัวมันก่อน
ผมจ้องมองฮัทสึฮารุนิ่งรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นและเธอก็ตอบสนองความต้องการนั้น
“ถอดรหัสลำดับการใช้งานเสร็จแล้ว”
ถึงจะมีวาจาเข้ามาแทรกความเงียบงันที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้มันหนีหายไปไหนได้จนผมที่ยืนนิ่งอยู่พักๆ ก็ถูกลมอ่อนๆ ของฤดูใบไม้ผลิพัดใส่จนรู้สึกสบายตัวขึ้นมาเล็กน้อย
“นะ นี่มันลมนี่นา!”
ยูบาริจู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา อืม ก็ลมน่ะสิ แล้วมันต่างจากอากาศตรงไหน
“คือว่างี้นะค้าคิริโนะคุงธาตุที่พวกเราจำเป็นต่อการใช้หายใจพวกฉันสรุปมาได้ว่าธาตุที่น้ำหนักต่ำกว่า 20.00 amu ลิเทียมกับเบริลเลียมเองก็ไม่ได้รับผลเหมือนกันแต่มันจะลอยอยู่ในบริเวณเดิมแต่ลมมีเรื่องของความกดอากาศกับอุณหภูมิมาด้วยทำให้ต้องอาศัยปัจจัยการเกิดเพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า”
โลกกลับมาหมุนอีกครั้งแล้ว
เธอว่างั้น
นี่ฉันอยู่ในคาบวิทยาศาสตร์หรือคาบแฟนตาซีเอาสักอย่างซิ เธอมาจากโลกแฟนตาซีก็หัดทำตัวสมหน้าที่บ้างมาเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปทำไมกันเล่า?
“อากินี่สุดยอดไปเลยนะค้า แต่มาช่วยแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอค่ะเดี๋ยวอาจจะมีปัญหากับแก่นแท้เอา”
ฮัทสึฮารุไม่ตอบรอยยิ้มขอบคุณของยูบาริแต่หันมามองผมและจากนั้นก็เอาด้ามคทายาวที่เหมือนแก้วกระแทกลงกับพื้นโดยไม่กลัวว่าจะเกิดรอยร้าวทำให้เกิดเส้นสีแดงหลายเส้นขึ้นตามพื้นแผ่ขยายไปต่อเรื่อยๆ ออกมาจากคทามันทะลุผ่านสิ่งปลูกสร้างอย่างกำแพงหรือแม้แต่ตัวบ้านโดยรอบจนออกนอกทัศนวิสัยของผมไป
วินาทีทัดมาต่อเนื่องกันละอองบางอย่างจึงร่วงลงมาจากท้องฟ้ามากมายราวกับหิมะผมจึงแหงนหน้าขึ้นไปมองทำให้พบกับกลุ่มเมฆที่ค่อยๆ สลายไปทำให้เริ่มมองเห็นดวงจันทร์ที่ปรากฏลวดลายมากมายขึ้นมา
อึ้ง ไม่มีคำพูดจะอธิบายได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วถ้าได้เห็นจากภาพถ่ายอากาศคงดีไม่น้อย ทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่าประทับใจจนพูดไม่ออก ถ้าเกิดย้อนกลับไปได้ก็อยากเอากล้องชั้นเซียนมาถ่ายเก็บไว้สักรูปสองรูปจริงๆ
“อากินั่นมันการสร้างพันธสัญญาไม่ใช่เหรอ?”
“ได้แล้ว”
ฮัทสึฮารุพูดโดยที่กำลังมองมาทางผมไม่ใช่ยูบาริ
ได้อะไร? ก็อยากทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่หรอกแต่มาขนาดนี้แล้วจะบอกว่าไม่รู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แล้วถึงต่อให้เป็นคนที่ทึ่มยังไงก็ต้องรู้เหมือนกัน
“จะให้มนุษย์เขียนพันธสัญญาไม่ได้นะค้าอากิน่าจะรู้นี่นาว่ามนุษย์บนโลกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนน่ะ?”
ยูบาริทำสีหน้าลำบากใจแทนที่จะเป็นสีหน้าทุกข์ร้อน
“ก็ได้ๆ จะเอาแบบนี้สินะค้าที่โลกนี้มีแค่เผ่ามนุษย์ที่เป็นใหญ่ถึงได้เหลิงกันมาขนาดนี้”
ยูบาริยกมือขึ้นมาทางผมและดีดนิ้วหนึ่งทีทันใดนั้นพื้นที่ผมยืนอยู่ก็ร้อนขึ้นมาและเกิดไฟลุกขึ้นแต่ก่อนที่ร่างกายจะรับรู้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นฮัทสึฮารุก็คว้าแขนออกมาจากบริเวณนั้นและกดผมลงกับพื้น แต่การโจมตีของยูบาริไม่ได้จบแค่นั้นเมื่อบนร่างกายผมเกิดรอยแตกของมิติขึ้นและมือของยูบาริก็โผล่ออกมาราวกับเป็นปรสิตมือก็พุ่งเข้าไปทางหน้าของผมแต่ก็ถูกฮัทสึฮารุจับเอาไว้ได้ทันท่วงที
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คทาในมือฮัทสึฮารุเปลี่ยนเป็นถุงมือที่กำลังสวมไปแล้ว
เป็นเอลฟ์อย่างน้อยก็ใช้ท่าอื่นไม่ได้รึไงอีแบบนี้มันสยองนะ
“เฮ้อ ยอมค่ะ ยอมแล้ว”
จู่ๆ ยูบาริก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังรู้สึกผิดหวังออกมาพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้น
“ฉันคงสู้กับธรรมชาติไม่ชนะหรอกค่ะแต่ว่าถึงจะอย่างงั้นพันธสัญญาแต่เดิมคือสิ่งที่ฉันนำมานะค้า ฉันเองก็มีสิทธิเหมือนกันเพราะฉะนั้นฉันมีสิทธิจะเรียกร้องการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกับทรัพย์สินทางปัญญานั้น”
ผมเริ่มมองไปรอบๆ เพราะเริ่มมองเห็นพวกก้อนหินที่เริ่มถูกแรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำพิษเข้าจึงทำให้เพิ่งมาเอะใจเรื่องผลกระทบนี้ยูบาริจึงพูดต่อไป
“ฉันขอเลือกให้อากิมาเป็นข้ารับใช้ของฉันค่ะ”
ข้ารับใช้เหรอ?
ฮัทสึฮารุก้มมองผมด้วยความเงียบสงบและเผยรอยยิ้มออกมา
ขณะนั้นเองกระเบื้องหลังคาของบ้านรอบระแวกบางส่วนก็เริ่มจะปลิวขึ้นฟ้าไปแล้ว ผมหันกลับลงมามองสีหน้าของยูบาริที่ฉีกยิ้มออกมาโดยที่มีเหงื่อไหลอยู่บนใบหน้านั้น
“การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมเหรอ? ไอ้ของพันนั้นน่ะมันไม่มีแต่แรกในโลกพันนี้หรอกต่อให้พยายามแค่ไหนแต่ให้มีความสามารถแค่ไหนพอถึงเวลากลับทำอะไรไม่ได้ อุดมคตินั้นมันก็แค่เรื่องเพ้อฝันโลกที่เท่าเทียมน่ะมันไม่มีอยู่จริงๆ หรอก”
วินาทีถัดมาร่างของยูบาริจู่ๆ ก็ล้มลงราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัด
“ตัดประสาทสัมผัส ...ต่อกันเถอะ”
ฮัทสึฮารุพูดขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรผมที่เห็นดังนั้นแล้วจึงรู้สึกกลัวเธอขึ้นมา มากแค่ไหนกันนะผมเองก็บอกได้แค่ว่ามากพอจะทำให้ผมตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้จึงค่อยๆ พยุงร่างตัวเองขึ้นมา
ตัวผมในตอนนี้จำเป็นจะต้องจัดระเบียบสังคมหลังจากที่ได้เห็นเรื่องบ้าๆ นี้มา ผมจะไม่ปฏิเสธความน่าเวทนาของมนุษย์แต่เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นการขัดสรรค์โดยธรรมชาติไม่ใช่เหรอ? การต่อสู้การแย่งชิงมันก็แค่สิ่งตายตัวที่จำเป็นจะต้องมีมันแต่ว่าปัญหาของทางเราก็ต้องเป็นคนจัดการกันเอง ความรุนแรงเมื่อกลายเป็นเรื่องของคนอื่นมันก็จะเป็นได้แค่ความบันเทิง ถึงจะพยายามปฏิเสธแค่ไหนนั่นก็เป็นการโกหก การแปลกแยกเป็นแค่การไม่ยอมรับสิ่งที่มีแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเป็นแค่การตัดสินทดสอบจากโลกว่ามีค่าให้เปลี่ยนแปลงแค่ไหน
ข้อมูลลำดับขั้นตอนถูกส่งตรงเข้ามาในหัวอัตโนมัติ...ฮัทสึฮารุเหรอ?
“ขอบันทึกลงในพันธสัญญา ห้ามมนุษย์หรือผู้มาจากดินแดนอื่นใช้เวทมนตร์หรือปรากฏการที่สร้างขึ้นในการใช้ ฆ่าฟัน รุกราน ทำสงคราม ละเมิดสิทธิของผู้อื่นในโลกนี้”
นั่นจึงหมายความว่าห้ามใครก็ตามมาทำลายเว้นแต่จะเป็นพวกเราเอง ที่พวกเราจำเป็นต้องทำคือปกป้องตัวเองไม่ให้ทำลายตัวเอง
“ปัญหาที่ก่อโดยมนุษย์ของโลกนี้ต้องแก้ด้วยคนของโลกนี้”
เส้นพลังงานสีแดงจำนวนหนึ่งปรากฏออกมาไปกลางท้องฟ้าอย่างกับกลัวจะไม่มีคนเห็น
“และอีกข้อสุดท้ายหากมีการตายเกิดขึ้นที่โลกนี้อยากจะขอให้มีการคัดเลือกหรือสุ่มส่งไปยังต่างโลกตามเห็นควร...จะได้ไหมนะ?”
ถ้อยคำที่ผมพูดเกิดปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าตัวใหญ่ยักษ์ถึงผมจะไม่เข้าใจว่านั่นเป็นภาษาอะไรแต่ก็รู้ได้ว่านั่นเป็นถ้อยคำที่ผมพูดไม่ผิดแน่
เอาแค่นี้คงพอนะ
ฮัทสึฮารุพยักหน้ารับ
“เสร็จสมบูรณ์”
และดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่าและแสดงให้ผมดู
“ขอรับรองว่าพันธสัญญานี้เป็นความจริง”
ตัวอักษรบนฟ้าก็ตอบสนองกับคำพูดนั้นและลงมาปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้นพอฮัทสึฮารุม้วน ‘กฎข้อบังคับของโลก’ เสร็จเธอก็โยนมันและหายไปกลางอากาศอีกครั้งหนึ่ง
“เอาล่ะไหนๆ ก็ทำเรื่องที่เธอขอให้แล้วเธอช่วยรีสตาร์ทสติฉันได้รึเปล่า? พอกันทีเหนื่อยจะแย่อยู่แล้วให้ตื่นได้แล้ว เหนื่อย!!”
หลังคำพูดนั้นผมก็เดินตรงไปยังรั้วบ้านและค่อยๆ ไถลตัวนั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“เข้าใจแล้ว ผลค้างเคียงขณะเขียนพันธสัญญาฉันจะเก็บกวาดเอง”
ฮัทสึฮารุเข้ามานั่งยองๆ มองผมตรงหน้า ผมจึงต้องหลับตาลงวินาทีต่อมานั้นเองสติของผมก็ถูกดึงปลั๊ก
จิ๊บ จิ๊บ
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยการปลุกของนกที่ดังมาจากนอกหน้าต่างก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในชุดนอนพร้อมกับผ้าห่มตัวเก่งจึงแยงตามองแสงที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าม่านจึงเข้าใจว่าเป็นตอนเช้า
สิ่งที่เรียกว่าวิถีชีวิตนั้นแต่ละคนต่างก็มีอยู่แตกต่างกันไปบางคนเกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างบางคนเกิดมาเพื่อใครสักคนหรือบางคนอาจเกิดมาเพื่อตามหาเหตุผลอะไรบางอย่างที่สำคัญมากกว่าการใช้ชีวิตทำงานไปวันๆ ให้กับตัวเอง
ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายข้อนี้ไม่ต้องให้ใครมาพูดเราก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ว่าจะพยายามเปลี่ยนตัวเองแค่ไหนโลกมันก็ไม่เปลี่ยนตามทำไมน่ะเหรอเพราะทุกสิ่งย่อมมีสังคมของมันเองมีรากฐานและเหตุผลที่มีมันขึ้นมา
วันนี้วันอะไรแล้วนะ?
นั่นคือคำถามแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัวผมหลังตื่นนอนก่อนพยุงตัวลงจากเตียงเสียอีกเพราะยังลังเลว่าอาจเป็นวันอาทิตย์ไม่สิขอให้เป็นแบบนั้นทีเถอะขี้เกียจชะมัดถึงร่างกายจะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแต่จิตใจกลับรู้สึกอ่อนเพลียจากฝันเมื่อครู่
เสียงเคาะประตูห้องของผมก็ดังขึ้นและเปิดออกโดยไม่สนใจว่าผมจะตอบรึไม่ประการใด
“เฮ้อ ต้องให้ปลุกทุกเช้าแบบนี้ชักเป็นห่วงแล้วสิพี่คนนี้...”
น้องสาวผู้เข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกเอือมระอาเมื่อเห็นผมไม่ได้อยู่บนเตียงแต่กำลังจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนที่กำลังเปิดเครื่องอยู่ก็ชะงักไป
“…ขอโทษครับ”
“ตื่นแล้วก็อย่ามัวแต่เล่นสิรีบๆ ไปอาบน้ำไม่ก็ไปกินข้าวซะ!”
ผมพยายามสะกดความกลัวและถามกลับไปทั้งที่เห็นน้องตัวเองในชุดนักเรียน
“วันนี้วันอะไรเหรอครับ?”
“ก็วันพุธไงยังต้องไปโรงเรียนอีกนะรีบไปทำอะไรสักอย่างได้แล้วเดี๋ยวนี้เลย!”
งั้นเหรอ นั่นสินะถ้านี่เป็นหนังโรงตอนนี้คงกำลังจะตัดเข้าไตเติลจบแล้วสิก็เพราะเรื่องที่ฝันก่อนหน้านี้ยังจำได้แม่นจนน่าตกใจอยู่เลย
“เสียงดังกันจังเลยเดี๋ยวคุณน้าก็ตื่นหรอก”
น้ำเสียงหนึ่งลอยมาจากนอกประตูและปรากฏร่างของฮัทสึฮารุในชุดนักเรียนออกมา
“ฮัทสึฮารุ! เธอยังอยู่อีกเหรอ?”
“ยังไม่ได้กินข้าวเช้านี่นา”
“พี่คิริโนะช่วยรีบๆ ไปทำธุระอะไรสักอย่างด้วยจะได้ไหมอุตส่าห์รีบไปซื้อวัตถุดิบมาทำซาบะกินแท้ๆ เชียวนะเนี่ยอย่าให้ต้องหัวเสียแต่เช้าได้ไหม”
จากนั้นคุณน้องสาวก็หันหลังและเดินหายไปด้วยอารมณ์ที่เดือดได้ที่
“ฉันไปกินข้าวก่อนนะ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็ไปสายหรอก”
ฮัทสึฮารุพูดขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อะ อืม ตอบกลับไปไม่ได้เพราะในใจจู่ๆ ผมก็ไม่สามารถตอบรับคำนั้นได้นี่ผมคิดไปเองรึว่าอะไรยังไงกันแน่ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
“นี่แหละคือความจริงใหม่ของเธอ”
เธอตอบผมก่อนที่ตัวผมเองจะทันได้ตั้งคำถามในใจขึ้นมาด้วยซ้ำ
ความจริงใหม่
“ขอต้อนรับ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ