เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ขอวันไร้แก่นสารนี้สิ้นสุดลง 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความก่อนจะเริ่มการสารธยามิสตีจึงนำนมอุ่นกับบลูเบอร์รีชีสพายมาวางไว้ตรงหน้าผม โดยผมหยิบตั้งแต่เรื่องที่ไปกินข้าวเที่ยงบนดาดฟ้า ฮัทสึฮารุ รวมไปถึงเรื่องที่น้องสาวแปลกไปจนมาถึงตรงนี้ได้โดยเล่าไปแค่รายละเอียดหลักๆ ข้ามบ้างอะไรบ้างตามประสาคนไม่เคยมีประสบการณ์เล่าเรื่องอะไรให้ใครฟัง อีกอย่างถ้าเป็นจินตนาการในหัวผมแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วแต่เป็นแค่จินตนาการแท้ๆ บังอาจนักนะแต่ว่าบลูเบอร์รีชีสพายอร่อยดี
พอผมแจงรายละเอียดให้เธอฟังไปเธอก็ทำหน้านิ่วครุ่นคิดเงียบๆ ระหว่างนั้นผมก็ดื่มนมอุ่นๆ รอท่ามกลางแสงเทียนที่เธอเพิ่งจุดเอาไว้ชวนให้นึกถึงบรรยากาศกินข้าวใต้แสงเทียนที่พวกละครหลังข่าวชอบใช้กัน
ผมเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาก่อนหน้าที่ตกบนพื้นที่ห่างออกไปเล็กน้อยจากโต๊ะตัวที่พวกผมนั่งอยู่พรางจ้องมองดวงตาที่ปิดลงอีกครั้งของมันด้วยความรู้สึกหวั่นๆ
รสนิยมคนกลัวผีเข้าขั้นจิตเป็นแบบนี้เองเหรอ
“เอาล่ะก่อนอื่นก็…อะ เอาอะไรติดมาด้วยน่ะ?”
เหมือนเธอจะคิดอะไรได้แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะพูดกับผมแต่กลับเกิดการสะดุดขึ้นและกลับไปเป็นสีหน้าเหมือนก่อนหน้านี้
“ไม่ใช่ของเธอหรอกเหรอ?”
“คะ คะ ใครจะไปมีตุ๊กตาแบบนั้นกันเล่า นี่ช่วยบอกหน่อยสิว่าเป็นของนายน่ะนะขอร้องล่ะนะ”
“เอ๊ะ เดี่ยวๆ ถ้านี่ไม่ใช่ของเธอแล้วก็ไม่ใช่ของฉันแล้วเป็นของใครล่ะ”
ผมมองกลับไปทางมิสตีโดยในมือกำลังถือตุ๊กตาที่ว่าอยู่และมีเหงื่อไหลออกมาจากฝ่ามือเหมือนเป็นสัญญาณของความตึงเครียดพบว่าเธอกำลังหลับตาแน่นพรางเอามือปิดหูไปด้วย
จังหวะนั้นเองราวกับมีคนรอกลั่นแกล้งรอจังหวะยืนมองอยู่ม่านตาของตุ๊กตาก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับวาจาใหม่ชวนสยองไม่แพ้ของเดิม
‘แม่จ๋าหนูมีเพื่อนแล้วล่ะ’
“ขอโทษด้วยนะนั่นท่าทางจะเป็นของเพื่อนฉันเอง ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ”
เธอมองกระดาษข้อความที่ผูกติดมากับตุ๊กตาด้วยสีหน้ามืดมน
“งั้นขอกลับเข้าเรื่อง นายคงคิดว่าฉันเป็นจินตนาการของตัวเองสินะ อื้ม จะคิดแบบนั้นก็ได้ตามใจแล้วอยากตื่นรึเปล่าล่ะ?”
“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้วฉันพยามทำแล้วแต่ไม่ยอมตื่นสักทีเจอเรื่องตกใจน่ากลัวก็แล้ว แต่เป็นฝันที่น่ากลัวจริงๆ นะอย่างกับเรื่องจริง”
“ตัดสินใจได้ดีแล้วฝันของนายมันไม่ดียังไงเหรอ? ถึงได้ไม่พอใจ”
“ก่อนอื่นคงเรื่องมาตอบคำถามกับจินตนาการของตัวเองล่ะ แต่ที่สำคัญคือมันสวยหรูเกินไปมันดูเหมือนเป็นโลกในอุดมคติก็จริงแต่มันก็เป็นแค่เรื่องโกหกอยู่ดีอีกอย่างพรุ่งนี้ก็ต้องไปเรียนด้วย”
“คนที่ใช้ชีวิตด้วยการโกหกไม่มีสิทธิ์พูดมั้ง เอาเถอะไม่ว่าจะตัดสินใจยังไงในเมื่อฉันได้ยินเรื่องที่เล่ามาแล้วก็คงปล่อยไว้ไม่ได้ ช่วยรออยู่ตรงนี้ก่อนล่ะเดี๋ยวฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ”
หลังคำพูดนั้นเธอก็ลุกจากเก้าอี้แล้วหายไปหลังประตูที่กั้นโซนร้านกับโซนอาศัย
แค่ตื่นจากฝันมันยากขนาดนี้เลยรึไงกันคนที่คุมความฝันตัวเองไม่ได้ทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องในหัวตัวเองอย่างผมเนี่ยมันควรจะเรียกว่ายังไงดีล่ะเป็นไอ้อ่อนของแท้เลยเหรอไม่แน่ว่าบางทีผมกำลังถูกผีอำอยู่ก็ได้ใครจะรู้ล่ะแต่ว่าถ้างั้นแล้วผีตัวนั้นต้องการอะไรจากผม
ผมนึกถึงใบหน้าของน้องสาวที่กลายเป็นเพียงตัวละครน้องสาวในไลท์โนเวล
ภาพของเหตุการณ์ในหนึ่งวันที่ผ่านมาพอมาคิดดูแล้วถ้ามันเป็นความฝันแค่เพียงวันเดียวตัวผมก็เหมือนได้กลายเป็นพระเอกในนิยายของตัวเอง สำหรับผมแค่วันเดียวนั้นก็มากพอแล้ว ขอบคุณความเครียดของตัวเองจริงๆ ที่ทำให้ผมได้เจอเรื่องราวที่แปลกใหม่
ประตูเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมิสตีที่ข้างนอกสวมเสื้อโค๊ทสีดำแต่ด้านในยังเป็นชุดนอนกับกางเกงตรงเอวยังคงคาดกระเป๋าเอาไว้และตรงมาหาผมพร้อมกับแง้มริมฝีปากขึ้น
“จริงๆ ก็ไม่อยากใช้วิธีนี้หรอกหลับตาซะ …ก็ตามใจนะอย่าหาว่าไม่เตือน”
ผมทำตามคำสั่งนั้นพรางคิดในใจว่านี่มันบทพูดเคลื่อนย้ายสถานที่นี่นาจะน่ากลัวแค่ไหนกันเชียวแต่ถ้ายิ่งน่ากลัวมากๆ ผมก็อาจจะตื่นก็ได้ถ้าไม่ก็…ชั่งมั่นละกัน เธอก็ยกหลังมือของผมขึ้นมาแล้วเขียนอะไรสักอย่างด้วยสัมผัสที่น่าจะเป็นนิ้วของเธอและในวินาทีหลังจากนั้นผมก็พบกับสภาพไร้พื้นยืนร่วงลงไปทั้งยังงั้น
ตอนแรกคิดว่ามันน่าจะเป็นเหมือนกับรูหนอนที่มีกระแสอะไรบางอย่างพัดอยู่ตลอดเวลาและความอยากรู้อยากเห็นก็ไม่ยอมทนกับสภาพสงสัยนั้นเด็ดขาดจึงรวบรวมความกล้าและค่อยๆ ลืมตาขึ้น
แต่แน่นอนนั่นเป็นสิ่งที่ผิดพอๆ กับเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีอิสระ เมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็พบผืนเมฆกว้างสุดลูกหูลูกตาจึงตระหนักว่าตัวเองกำลังตกมาจากฟ้าที่ยังไม่อาจทราบได้ว่าห่างจากพื้นไปกี่พันเมตรและในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีเพราะไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ร่วงลงมาด้วย
“ว๊ากกกกกกกก!”
ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองหาเจ้าของเสียงตรงตำแหน่งที่สูงกว่าและว่านั่นเป็นเสียงของมิสตีไม่เพียงแค่นั้นผมยังพบว่าภาพของหลุมบนดวงจันทร์ที่เคยดูในสารคดีกับของจริงที่เห็นตรงหน้ามันแตกต่างกันออกไปเพราะผมมองจากในโลกจึงยังเห็นมันเป็นสีเหลืองอยู่
เดี๋ยวๆ ไหงถึงเห็นพระจันทร์ได้ชัดขนาดนี้กันอย่างกับว่ามันหลุดวงโคจรมาเลยนิ
จะมั่วกันไปใหญ่แล้ว! โว้ย!
ขณะที่ร่างกายกำลังถลาลงไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงร้องของมิสตีเป็นซาวแทรคประกอบยังคงโหวกเหวกโวยวายจนฟังไม่รู้เรื่องเพราะเกือบจะถูกเสียงตัดผ่านอากาศกรบหมดยังคงทำหน้าที่ต่อไป ผมพยายามนึกบทสวดอะไรก็ได้ในหัวโดยไม่สนว่าจะเป็นของศาสนาไหนหรือนิกายอะไรเหรอต่อให้เป็นลัทธิที่ผมไม่รู้จักก็ได้ถ้าทำให้ผมรอดไปได้จะไปเผยแผ่ให้ทั่วโลกรับรู้เลยเอ้า
จนในที่สุดก็ผ่านชั้นเมฆมา แรงตัดอากาศที่ถาโถมเข้ากระแทกหน้าอย่างไม่เกรงใจจนผมต้องหรี่ตาลงจึงพบเจอสิ่งที่น่าคิดถึงที่สุดในช่วงไม่กี่วินาทีนี้แต่ไม่อยากให้ไปถึงที่สุดนั่นก็คือพื้นซีเมนต์ธรรมดาๆ ของบ้านเมืองที่แสนคุ้นตาผมจึงเลิกภาวนาหาลัทธิอะไรสักอย่างไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอหน่อยเถอะ
“สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น!”
หลังประโยคที่ก็อบมาจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจากพิกซา ผมก็หลับตาแน่นโดยที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเตรียมใจเสร็จแล้วรึยัง
ทั้งที่ควรกลายเป็นไปตามยถากรรมแต่ผมก็เหมือนกับถูกหยุดเอาไว้ดื้อๆ กลางอากาศผมค่อยๆ หลี่ตามองอย่างระมัดระวังปรากฏว่าเห็นพื้นอยู่ตรงหน้าห่างไปแค่ปลายจมูกจนวินาทีต่อมาผมก็ตกถึงพื้นจมูกจึงกระแทกกับพื้นจังๆ ผมกระพริบตาปริบๆ กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านหน้าในสภาพนอนคว่ำพอแน่ใจว่าตัวเองยังไม่ตายก็รีบลุกขึ้นมาแล้วตรวจดูว่ายังครบ 32 อยู่รึเปล่า
ยังอยู่ครบผมถอนหายใจที่โล่งใจกว่าครั้งไหนๆ ออกมาและมองไปดูรอบๆ จนพบกับคนที่ตกมาเหมือนผมในสภาพแบบเดียวกัน
“ทำไมต้องลงมาจากที่สูงด้วยนะของแบบนี้ใครจะไปชินได้กัน!”
เธอค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นมาและหยิบปืนจากกระเป๋าหลังขึ้นมาเพื่อตรวจดูว่าพังรึเปล่า
ผมมองไปรอบๆ จึงพบว่าเป็นสวนสาธารณะที่อยู่หน้าสถานีถึงจริงๆ ตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนแต่เพราะพระจันทน์จึงทำให้สว่างปานรุ่งสาง
เงียบ
เงียบสนิทชนิดที่ว่าไม่มีเสียงแมลงสักตัวหรือเสียงรถเลยราวกับเป็นโลกที่ถูกปล่อยร้างในขณะที่รถรางยังคงจอดนิ่งไม่ใช่สิมันหยุดนิ่งต่างหากคนที่เดินอยู่บนทางเท้าก็เหมือนกัน ผมแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งยังกลุ่มเมฆที่เคยผ่านมา
“ฟังนะคิริโนะอย่าให้กุญแจห่างตัวเด็ดขาดล่ะไม่งั้นจบไม่สวยแน่”
เวลาแบบนี้ที่ก็ไม่รู้ว่ามันแบบไหนกันผมมีแต่ต้องเชื่อฟังเท่านั้นและค่อยเอากุญแจที่มีสายคล้องนั้นมาสวมคอ ตอนแรกก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่ามันคล้องคอถึงได้ยังไงโดยไม่รัดแต่เอาเถอะตอนนี้ก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว
“ต้องทำอะไรบ้างล่ะ?”
“จะว่าไปแล้วจะถามตอนนี้ก็ยังไงอยู่ นายไม่แปลกใจบ้างเหรอ?”
เธอพูดขึ้นมาพรางเอาแผงกระสุนเลื่อนออกมาดูไปพราง
“ตอนนี้รู้สึกตรึงเครียดจนคิดว่าที่ร่างจริงคงมีเหงื่อไหลแล้วล่ะมั้งนะ”
ขณะนั้นเองท่ามกลางความเงียบสงัดนั้นดันเกิดเสียงหัวเราะในลำคอเกิดขึ้นจนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเสียงของวิญญาณร้ายอาฆาตเหมือนเป็นการจงใจกึกก้องไปทั่วจนราวกับว่าดังมาจากทุกสารทิศ
“ทุกคนไม่ได้เจอกันนานนะค้า คิริโนะคุงก็ตั้งสามวันแล้วมาสเตอร์เองก็คิดถึงเหมือนกันนะค้าแต่ผมไปโดนอะไรมาเหรอ?”
สำนวนที่เหมือนกับคอยหรอกหลอนสมองขี้เล่นแบบนี้ทำให้ผมนึกออกมาได้แค่คนเดียวจึงมองไปรอบๆ อีกครั้ง
“ก็วิธีเดินทางที่เธอให้มามันเลวร้ายสุดๆ เลยไงล่ะเพราะงี้ของไม่มีมาตรฐานกำกับบัญญัติจากกระทรวงมันเลยอันตรายไง?”
“น่าๆ ใช้ได้ก็พอแล้วน่ายังไงก็เถอะทุกท่านค้า”
อยู่ไหน ตรงไหนกัน
“มาเล่นกันหน่อยไหมคะ?”
เสียงแหลมกึกก้องนั้นจู่ๆ ก็ดังมาจากข้างหูผมพร้อมกับลมหายใจของเธอผมจึงเผลอถอยห่างจากตรงนั้นจึงพบกับใบหน้าของฟุตาบะ ยูบาริที่มาพร้อมกับรอยยิ้มประจำตัว
“นี่ๆ มาสเตอร์จู่ๆ โลกก็หยุดหมุนไปซะแล้วยังงี้ก็แย่สินะคะสามวันมานี้รู้สึกอยากจะเบื่อตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
3 วัน? อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งวันดิเฮ้ยจะมั่วก็ให้มีขอบเขตหน่อยแล้วอย่ามาโผล่ข้างหูฉันได้ไหม?
“ฉันกำลังทำงานอยู่ดีๆ ทั้งที่กำลังไปได้สวยแท้ๆ แต่โลกกลับหยุดหมุนไปแล้วเนี่ยสิจะทำอะไรก็ทำต่อไม่ได้เลย”
ยูบาริยักไหล่ครั้งหนึ่งพูดออกมาโดยมีสีหน้าเหมือนกับกำลังเสียดายอะไรบางอย่าง
“ถ้ารู้ก็ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าใครเป็นคนทำน่ะขนาดที่โลกของฉันยังไม่มีของที่รุนแรงแบบนี้เลย? หืม คิริโนะคุงไอ้นั่นน่าสนใจจังเลยนะค้าขอฉันดูหน่อยได้ไหมมันสวยมากเลยโดยเฉพาะ ‘อักษรที่ถูกเขียนอยู่บนนั้น’ น่ะ”
ยูบาริเข้ามาหาผมโดยการเขย่งกระโดดมาเหมือนเด็กเล่นตั้งเตไม่มีผิดมิสตีก็ดึงแขนผมไปด้านหลังเธอก่อนที่ยูบาริจะกระโดดมาถึงสุดปลายตารางในหัวของเธอ
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นงานอะไรแต่ช่วยบอกหน่อยได้รึเปล่าล่ะท่าจะสำคัญน่าดูนะ?”
สายตาของผมยังจ้องมองไปที่ยูบาริเพื่อดูว่าเธอจะเสียบาลานซ์ล้มก้นจ้ำบ้ำรึเปล่าแต่เธอก็หยุดกระโดดและค่อยเงยหน้าขึ้นมามองพวกผมก่อน
“จัดระเบียบสังคมก็แค่นั้นแหละ อ่ะ ไม่มีใครต้องตายหรอกนะค้าไม่ต้องห่วง”
อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะที่คิดว่าคำพูดนั้นดูเท่เป็นบ้าเลยแต่เมื่อมิสตีหันหลังมาหาด้วยสีหน้าบึ้งตึงจึงปราบปลื้มกับคำพูดนั้นได้แค่ไม่กี่วินาที
“คิริโนะอย่าให้กุญแจห่างตัวล่ะ”
“มาสเตอร์ มาสเตอร์ ทำแบบนี้ไม่ดีนะค้าเพื่อโลกในอุดมคติแล้วฉันจำเป็นจะต้องให้โลกหมุนอีกครั้งนะค้า โลกที่ไม่มีสงคราม การก่อการร้าย หักหลังแย่งชิง ดินแดนที่เหมือนกับโลกแห่งอนิเมะสโลว์ไลฟ์ พอดีเลยคิริโนะคุงสนใจรึเปล่าคะโลกในอุดมคติน่ะ คิริโนะคุงก็เข้าใจใช่ไหมคะว่าความเป็นจริงมันน่ารังเกียจแค่ไหน”
ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ ทำไมในฝันมันถึงจริงจังกันขนาดนี้ได้กันผมนี่มีพรสวรรค์ในการเขียนนิยายงั้นเหรอ
จังหวะนั้นมิสตีจึงจ่อปืนไปที่ยูบาริและไม่มีการลังเลใดๆ เธอลั่นไกใส่ยูบาริหลายครั้งแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียวแต่เธอก็ยิงไปแล้วจริงๆ แทนที่เบื้องหน้าของผมจะเป็นภาพที่ยูบาริต้องสาหัสกลับเกิดหมอกจางๆขึ้นและมันก็ค่อยๆ แผ่ขยายมาจนถึงตำแหน่งที่พวกผมยืนอยู่
“หืม สร้างเมจิกแจมเมอร์กันได้แล้วเหรอพัฒนาไปกันเร็วจังนะค้าแต่ถึงอย่างงั้นก็ยังเอามาใช้ในสภาพเหนือห้วงเวลาแบบนี้ได้ฉลาดกันเหลือเกินนะค้า”
ยูบาริเอามือเท้าสะเอวพร้อมกับใบหน้ายิ้มอ่อนๆ เหมือนครูอนุบาล
“สมแล้วจริงๆ ต่อให้อยู่ในสภาพเหนือห้วงเวลาแบบนี้ก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติรวมทั้งการโจมตีด้วย”
“คิริโนะหนีไปจากตรงนี้ซะยัยนี่อันตราย”
คนพวกนี้พูดเรื่องอะไรกันน่ะ
“อา นั่นสินะไหนๆ ก็ว่างกันมาสามวันแล้วมาเล่นด้วยกันหน่อยแล้วกัน แค่เล่นนะอย่าเอาจริงล่ะฉันสู้ไม่ได้”
เอ๋ จะตีกันทั้งทีไปบอกเค้ายังงั้นทำไมครับมิสตี
ยูบาริทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“อื้ม ได้สิคะ 3 วันงั้นก็ 180 วิก็แล้วกันนะค้า”
ยูบาริหยิบมือถือขึ้นมาตอนนั้นเองที่มิสตีหันมากระซิบกับผมว่าให้รีบกลับไปที่บ้านผมจึงรีบวิ่งออกไปจากบริเวณนั้นโดยมียูบาริยืนยิ้มโบกมือมาให้จากด้านหลังก่อนที่เธอจะปล่อยมือถือตัวเองลงจากมือจนทำให้มันลอยค้างกลางอากาศแบบเดียวกับตอนรีโมทผม
“เอาล่ะตั้งเวลาเรียบร้อยแล้วก่อนอื่นก็มาวอร์มอัพกันเถอะค่ะ”
ผมออกวิ่งไปตามเส้นทางอันคุ้นเคย พอรู้ตัวอีกทีผมก็มาถึงบ้านด้วยลำแข็งของตัวเองล้วนๆ มันเป็นอะไรที่เหนื่อยชนิดที่ว่าถ้าไม่ตั้งสติให้ดีคงเป็นลมซะตรงนี้ไปแล้ว ผมจึงถอดเสื้อนอกออกเพราะในที่สุดกี่มีเวลาทำแบบนั้นสักที
นี่มันเรื่องอะไรกันผมดูอนิเมะกับดูหนังมากไปสินะถึงได้เก็บมาคิดเป็นเรื่องเป็นราวได้ถึงเพียงนี้สมองของมนุษย์นี่น่ากลัวชะมัด
“เอาล่ะ คราวนี้ตัวเดินเรื่องต่อไปจะเป็นเธอรึเปล่าฮัทสึฮารุ?”
ผมพูดลอยๆ พรางปีนรั้วบ้านตัวเองคล้ายนักย่องเบาสมัครเล่นและยื่นมือไปจับลูกบิดประตูบ้าน อย่างที่คิดมันไม่ยอมขยับแม้แต่องศาเดียว ลองใช้วิธีเดียวกับที่ไปโผล่ร้านนั้นก็แล้วแต่ก็เปิดไม่ออกอยู่ดีแสดงว่ามันน่าจะต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างถึงจะทำได้
ด้วยความจำของผมถ้าจำไม่ผิดก่อนออกมาฮัทสึฮารุเปิดบานเลื่อนเอาไว้ด้วยนี่นา ผมจึงเดินไปวนดูแต่ก็พบว่ามันปิดไปแล้วจึงลองพยายามเปิด แต่ก็ไร้ความหมายเช่นเดิมผมจึงเอาหน้าแนบกับกระจกมองเข้าไปข้างในโดยไม่ได้คิดอะไรก็พบว่าไม่มีอะไรแปลกไปเลย
ใช่ นั่นจึงเป็นเรื่องแปลกที่มันไม่แปลกอะไร
ผมตระหนักได้ว่าความไม่สมเหตุสมผลของมันไร้ความรับผิดชอบมากเมื่อผมไม่พบกับแสงไฟที่เปิดทิ้งไว้ก่อนออกมา สมาร์ทโฟนที่ลอยข้าง กระเป๋าเรียนของน้องสาว ที่สำคัญทั้งสองคนนั้นไม่อยู่
ที่นี่มันที่ไหนกันหรือจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นไปเลยดีล่ะจะได้ตอบมาชัดๆ ไปเลย ผมเริ่มจะจนปัญญาแล้วถ้าใครรู้ก็อย่ามัวแต่กักรีบๆ บอกมาได้แล้ว ในหัวผมมันไม่ได้วิเศษขนาดนั้นสักหน่อยจะให้จินตนาการของที่สุดยอดอย่างงี้ขึ้นมาได้ไง
ผมเดินอ้อมไปทางฝั่งห้องของฮัทสึฮารุและจ้องมองบานประตูระเบียงที่ปิดกันสนิทของห้องนั้น ถึงจะถูกบอกมาว่าให้หนีกลับมาบ้านก็เถอะแต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อเนี่ยสิ ยังไงก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี เวลาแบบนี้ถ้าเป็นในหัวผมตามพล็อตอันซ้ำซากแล้วก็น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างสิมิสตีเองก็บอกว่าถ่วงเวลาแต่เพื่ออะไรกัน?
ผมลองเอ่ยปากเรียกฮัทสึฮารุเบาๆ ถึงจะถูกบอกว่าโลกหยุดหมุนไปแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าเรียกใครเสียงดังๆ อยู่ดีโดยเฉพาะในเวลา…..ว่าแต่ตอนนี้มันก็โมงกันกลางคืนหรือว่ารุ่งสาง ระหว่างทางผมก็พอเจอกับรถหรือคนอยู่บ้างแต่พวกเขาเหล่านั้นก็แข็งเป็นหุ่นเหมือนกันหมดจึงบอกความแตกต่างของเวลาไม่ได้
เธอเป็นคนทำงั้นเหรอฮัทสึฮารุ?
จะว่าไปเมื่อกี่ยูบาริพูดจาเหมือนจะชักชวนผมด้วยนี่นะทำนองว่าจะสร้างโลกในอุดมคติอะไรประมาณนั้นส่วนมิสตีก็ให้มาตามฮัทสึฮารุไปหยุดยูบาริงั้นสิ
“ฮัทสึฮารุถ้าอยู่ก็ตอบหน่อยตัวละครย้ายมาอยู่อย่างเธอน่าจะมีความลับอะไรอยู่จริงไหม?”
ผมลองพูดขึ้นโดยไม่ได้หวังว่ามันจะทำให้เธอออกมาและตอนนั้นเองราวกับเสียงหลอกหลอนของวิญญาณผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของยูบาริดังขึ้นมาจากใต้เท้า พอก้มลงไปมองก็ปรากฏมือทั้งสองข้างพุ่งขึ้นมาจับขาผมเอาไว้แน่นจนหนีไปไหนไม่ได้โดยมีเศษของภาพดินกระจายออกไปรอบๆ ราวกับเป็นเศษกระจก
“คี รี โนะ คุง จบเกมแล้วค่า”
ยัยนี่มันตัวอะไรกันเนี่ยน่ากลัวชะมัด ผมพยายามมองไปรอบๆ หายูบาริและพบว่าอากาศตรงเบื้องหน้าเกิดรอยร้าวขึ้นและร่างที่เป็นคนทำก็เดินออกมาจากสิ่งนั้นด้วยรอยยิ้มที่น่าจะเป็นของยูบาริคนเดิมเพิ่มเติมคือหูที่แหลมยาวออกไปด้านข้างและนัยน์ตาของเธอก็ปรากฏว่ามีภาพของข้าวหลามตัดอยู่ข้างในนั้น มือทั้งสองข้างของเธอก็จมอยู่ในห้วงอากาศหรือไม่ก็มิติตามแต่จะเรียกอยู่
“คิริโนะคุงช่วยส่งกุญแจมาด้วยค่ะ ยังไงก็ขยับไปไหนไม่ได้แล้วนี่ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะฉันไม่ได้วางแผนจะทำลายโลกหรืออะไรเทือกนั้นหรอกและก็ไม่คิดจะครองโลกด้วยเรื่องยุ่งยากแบบนั้นคงต้องขอผ่าน”
ยูบาริเดินมาหาผมที่ทำหน้าเอ๋อใส่เธอจึงหัวเราะอย่างสนุกสนานขึ้นมา
“อะไรกันคะนึกว่าจะไม่แปลกใจกับเอลฟ์ซะอีก อ้อ แล้วก็นี่ไม่ใช่คอสเพลย์นาจะลองจับหูดูก็ได้นะค้า”
ถึงจะพูดงั้นก็เถอะแต่มันไม่ใช่ของที่จะเจอได้ถ้าไม่ไปอยู่ในกองถ่ายหรืองานคอสเพลย์มันไม่ได้มีเกลื่อนกลาดตามท้องถนนสักหน่อยแต่นี่ไม่ใช่โลกแฟนตาซีนะโผล่มาได้ไงเพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ