เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ขอวันไร้แก่นสารนี้สิ้นสุดลง 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเช้าขนาดที่ว่าแม้แต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันได้ขึ้นเลยด้วยซ้ำผมลุกจากเตียงขึ้นมาอย่างสดชื่นสดใสจนไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำได้และชำเลืองไปมองนาฬิกาติดผนังในห้อง
อืม ฉันเองถ้าจะทำก็ทำได้นะเนี่ย
ต่อจากนั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรขอตัดไปตอนจะกินข้าวเช้าแล้วกันซึ่งน้องสาวยังเป็นคนทำข้าวเช้าคนเดียวตามคอนเซ็ปเดิมแต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะมาเจอตอนที่กำลังทำอาหารเช้าแบบนี้ถ้าไม่นับเมื่อวานที่เธอตื่นสาย แม่ก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่นเช้าเหมือนเคยส่วนฮัทสึฮารุสักพักเดียวก็น่าจะมาเอง
“ข้าวห่อไข่ค่ะ”
น้องสาววางจานข้าวห่อไข่มาให้ผมหลังจากที่กำลังนั่งได้พอดิบพอดี ผมจ้องมองทำความเข้าใจก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา
“อ่ะๆ ยังหรอกค่ะ”
เธอส่ายนิ้วไปมาด้วยท่าทางขี้เล่นและหยิบซอสมะเขือเทศขึ้นมา
“จงอร่อยขึ้น จงอร่อยขึ้นด้วยความรักที่มีต่อพี่จ๋าจงอร่อยขึ้น”
เธอพูดแบบนั้นไปพรางเขียนตัวอักษรบนข้าวห่อไข่ว่า ‘พี่จ๋า’ ตัวสีแดงพรางส่งรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอะไรสักอย่างออกมา
แกร๊ง
เกิดเสียงของโลหะกระทบกับพื้นดังขึ้นพอมองไปที่สิ่งนั้นก็พบว่ามันเป็นช้อนที่เมื่อครู่ผมถืออยู่หมาดๆ
“โธ่ พี่นี่ล่ะก็ระวังหน่อยสิ ถ้าไม่อยากกินก็ไม่เห็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นี่นาเดี๋ยวหนูทำอะไรอย่างอื่นให้ใหม่ก็ได้นะ เอาอะไรดีล่ะ?”
ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
“เปล่าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วไม่รีบไปโรงเรียนเหมือนทุกทีเหรอ?”
“โธ่ ถ้าหนูไปพี่ก็เหงาแย่สิคะ”
รอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกอายจนอยากมุดหนีนี่มันน่ากลัวชะมัด จังหวะนี้ผมจึงได้เข้าใจนิยามของคำว่าขนลุกอย่างชัดเจนชนิดที่ว่าให้ไปแก้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานที่ให้ความหมายเดิมได้ชัดเจนกว่าแน่ๆ เลยล่ะ
ว่าแต่เขียนคำว่าพี่จ๋าแดงเถือกไว้แบบนี้แล้วมันจะไม่ทำให้รสชาติเอกลักษณ์เสียเอาเหรอ?
คุณน้องสาวนำช้อนใบใหม่มายัดมือผมแล้วบอกให้ระวังอีกครั้งก่อนจะเก็บช้อนที่ตกพื้นไปล้าง เฮ้ ตกพื้นแค่นั้นเอาเสื้อเช็ดก็ได้นะมันสิ้นเปลืองน้ำ
ถึงแม้ในอนิเมะส่วนใหญ่น้องสาวจะถูกเซตคาแรคเตอร์มาให้น่ารักคอยดูแลแล้วเรียกพี่จ๋าแต่น้องสาวในความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันแทบจะหน้ามือเป็นหลังเท้าเพราะดันไปติดอันดับประเภทสิ่งมีชีวิตอันดับสามที่ผู้ชายต้องยอมสยบซึ่งผมเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น
นี่ยามเช้าเอ๋ยขอถามหน่อยสิ การตื่นมาพบนายบ่อยๆ เนี่ยจะทำให้กลายเป็นแบบนั้นรึเปล่าไม่ยักกะเคยเห็นน้องตัวเองเป็นแบบนี้นี่นาซ้ำยังมาพร้อมกับออพชั้นเสริมเป็นความโมเอะแบบนี้ก็เคยคิดนะว่าไม่เลวแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ไหวนะเออ สมองนี่ไปหมดแล้วนะน้องข้า
“อรุณสวัสดิ์คิโย รินอรุณสวัสดิ์ เป็นอะไรเหรอ?”
ผมที่กำลังสาปแช่งยามเช้าอยู่ในใจก็ไม่ได้สนใจเสียงนั้น แต่ก็รู้ว่าเป็นเสียงของใครจึงตอบกลับไปแบบผ่านๆ โดยเริ่มกินมื้อเช้าอีกครั้งด้วยสายตาเหม่อลอยที่มองไปทางน้องสาวตัวเองกำลังเล่นกับแมวที่เลี้ยงไว้
“กำลังคิดอยู่ว่าการตื่นเช้าบ่อยๆ คงมีผลเสียที่น่ากลัวอยู่สินะน่ะ”
“มันก็มีจริงๆ นั่นแหละ ทำไมเหรอ?”
“เปล่า”
ความรู้สึก ณ ปัจจุบันของผมตอนนี้คงหนีไม่พ้นกับการกังวลไปกับผลข้างเคืองของการตื่นเช้าว่าสักวันตัวเองอาจตื่นมาทำตัวสดใสเปลืองพลังงานราวกับพนักงานร้านอาหารแต่เช้าล่ะก็ทั้งวันคงได้เหนื่อยแย่ แต่ถ้ามนุษย์ประหยัดพลังงานเบอร์ห้าอย่างฮัทสึฮารุทำตัวให้สมวัยบ้างทำตัวไร้สาระบ้างก็น่าจะดีเพราะเวลาผมเห็นเธอหลับในคาบเรียนทั้งวันพูดตามตรงรู้สึกขัดตาขัดใจอยากยกมือฟ้องอาจารย์ใจจะขาด แต่ก็ไม่ทำเพราะคติของผมคือช่างเรื่องชาวบ้านมันเรื่องของเขาแล้วเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของเรา
“ริน ริน ไม่รีบกินเดี๋ยวสายเอานะ”
ฮัทสึฮารุโบกมือผ่านหน้าผมไปมาทำให้ผมกลับมาจากห้วงของความคิดจึงหันไปมองเธอซึ่งเมื่อฮัทสึฮารุแน่ใจว่าผมกลับมาแล้วก็เดินไปที่ล้างจานทันทีอย่างน้อยยัยนี่ก็เปลี่ยนไปแค่ใบหน้าตื่นเต็มบาน ผมจึงรีบลงมือกินต่อโดยที่มีสีหน้าเป็นห่วงของน้องสาวคอยกดดันอยู่แถวนั้น
“อรุณสวัสดิ์ค่าคิริโนะคุง!”
ยูบาริที่โบกมือตามหลังส่งเสียงทักทายมาขณะที่พวกผมเพิ่งจะเดินผ่านประตูหน้าโรงเรียนมาด้วยเสียงดังฟังชัดจนอยากเดินหนีแต่คุณเธอก็เดินเข้ามาประชิดแล้วจึงไม่อาจหนีเงื้อมมือไปได้
“ยูบาริเธอตื่นกี่โมง?”
ผมยังคงเดินต่อไปเพื่อให้สายตาที่จับจ้องมาทั้งหลายที่ถูกก่อขึ้นโดยมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของคนวัยหนุ่มสาวค่อยๆ หายไป
“เอ ก็ทั่วๆ ไปนี่ค้า ทำไมเหรอ?”
ผมหยุดเดินแล้วจ้องหน้าเธอสักพักแต่ก็ไม่พบอะไรจึงถอนหายใจและออกเดินต่อ
“แค่ตื่นเช้านิดหน่อย”
“จะว่าไปแล้วอากิล่ะค้าไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?”
“ออ เหมือนจะลืมของเลยกลับไปเอาน่ะบอกว่าไม่ต้องรอ”
“งั้นเหรอๆ ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะค้า กะว่าจะแวะไปที่ๆ หนึ่งก่อนน่ะ”
เธอโบกมือให้ผมและเดินไปตามทางแยกโถงอาคารจึงอาจคิดได้ว่าไปห้องชมรมก็ได้ ส่วนผมที่เพิ่งจะเคยเห็นการโบกมือให้กันในชีวิตจริงก็เดินไปห้องเรียนของตนตามปกติโดยหยุดอยู่หน้าทางเข้าเมื่อไม่พบวี่แววฮัทสึฮารุ
“จะว่าอะไรไหมน้าถ้าฉันจะขอผ่านหน่อยน่ะ”
ตอนแรกผมก็กะจะกุมขมับอยู่แต่ต้องหันหลังไปหาต้นเสียงด้านหลังทันทีทันใดจนทำให้นิ้วมือมันอยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปฝาดกับขอบประตูทั้งสีนิ้ว
โอ๊ย! เจ็บแต่คนผิดคงเป็นผมเองแหละที่ยืนขวางประตูแบบนี้แต่ก็เพราะเธอเป็นหลักนั่นแหละ
ผมกุมนิ้วสีนิ้วแล้วหลบไปด้านข้างเธอจึงเดินเข้ามาข้างใน
“เป็นอะไรมากรึเปล่า?”
ฮิเมกิออกอาการลนลานนิดหน่อยเพราะน่าจะคิดว่าตัวเองกำลังเป็นสาเหตุอยู่ ใช่แล้วเธอนั่นแหละที่เป็นตัวการ
“ถ้าฉันบอกว่าก็เพราะเธอนั่นแหละล่ะ”
“อืม งั้นก็คงไม่เป็นไรแล้วสินะ อรุณสวัสดิ์คิริโนะคุง”
“อืม”
หลังแผนการไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนประสบผลสำเร็จผมจึงเดินไปที่นั่งตัวเองขณะที่กุมมือไปด้วย อันนี้เจ็บจริง แต่ฮิเมกิก็ยังตามผมมา
“คิริโนะคุงพยายามเข้านะในหลายๆ เรื่องน่ะ”
คงหมายถึงเรื่องที่ผมบอกไปเมื่อวานหลังเลิกเรียนกระมั้ง
หลังจากนั้นสักพักฮัทสึฮารุก็โผล่หน้ามาพร้อมกับข้าวกล่องสองกล่องผมจึงรู้ว่าตัวเองลืมเอามาจึงรู้สึกปลาบปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะทันได้พูดอะไรเธอก็ชิงพูดตัดหน้าออกมาก่อนว่า ‘ฉันเองก็ลืมเหมือนกันไม่ต้องใส่ใจ’ ผมจึงรับความรู้สึกนั้นไว้
เอาล่ะมาถึงเรื่องน่ายินดีจริงๆ กันบ้างเมื่อบุคคลที่เหมือนมีป้ายฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้าติดตัวกำลังตั้งอกตั้งใจเรียนถึงขนาดที่ว่ายกมือตอบคำถามด้วยซ้ำทำให้ผมรู้สึกกลัวจนพูดไม่ออกแต่ก็คิดไม่ได้ว่าเธอเก่งขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่ก็ ในที่สุดก็ตั้งใจเรียนสักทีนะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ช่วงพักเที่ยงฮัทสึฮารุได้คว้าสมุดวิชาภาคบ่ายของผมไปพร้อมกับของตัวเองและหายตัวไปหลังเจรจากับผมโดยบอกมาว่า ‘จะไปทำการบ้าน’ ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ สรุปว่าไม่ได้ตั้งใจเรียนเลยสักนิดสินะที่หยุดยาวนั่นก็ไม่ไปตามงานงั้นเหรอ?
ให้มันน้อยๆ หน่อยสิเธอใครๆ ก็ขี้เกียจเหมือนกันหมดนั่นแหละมันอยู่ที่ว่าใครจะมีความรับผิดชอบกับตัวเองแค่ไหนต่างหาก
“คุณฮัทสึฮารุล่ะ?”
ฮิเมกิเดินมาหาผมพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งในมือหลังจากฮัทสึฮารุออกห้องไปได้สักครู่
“ไม่อยู่แล้ว”
“อืม แบบนี้ก็แย่สิ”
ผมเหม่อออกไปนอกหน้าต่างแทนที่จะลุกแล้วไปหาที่กินข้าวตามปกติเพราะสังหรณ์เรื่องที่จะเกิดต่อไปนี้ได้นั่นเอง
แต่ฮิเมกิก็สอดกระดาษแผ่นนั้นมากั้นผมกับทิวทัศน์สวยงามของเมฆนอกหน้าต่าง
“แบบฟอร์มข้อมูลนักเรียนตอนนี้เหลือแค่ของคุณฮัทสึฮารุคนเดียวแล้วสิเราไปตามหาเขากันเถอะ”
ดูเหมือนจะเป็นแบบฟอร์มแบบเดียวกันกับที่ห้องของพวกผมหายไปจึงทำให้พวกผมต้องเขียนใหม่ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ฮัทสึฮารุหยุดยาวพอดี
“ก็แล้วทำไมไม่ให้เขาไปตั้งแต่แรกเล่า”
“ลืม”
“…เอ่อ แล้วทำไมฉันต้องไปหาด้วยล่ะในเมื่อเธอไปหาเองก็ได้นี่นา มันไม่ใช่งานของฉันสักหน่อยอีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าฮัทสึฮารุไปอยู่ไหนน่ะ”
“ก็อาจารย์คานิเอะบอกว่าถ้ามีเรื่องทุกร้อนอะไรก็ให้ไปขอคิริโนะคุงช่วยได้น่ะ”
จารย์! ผมไม่ได้รับทำงานสารพัดรับจ้างนะจารย์
เฮ้อ เอาไงดีล่ะจะค้านดีไหม ถ้าค้านต่อเกิดขุดหลุมฝังตัวเองขึ้นมาล่ะ แต่จะไปตามหายัยนั่นจากที่ไหนอีกล่ะโรงอาหารงั้นเหรอ?
“ถ้างั้นเธอจะไปเดินหาที่ไหนกัน? เดินไปมั่วๆ แล้วมันจะเจอได้ยังไงกันเล่าแล้วแบบฟอร์มนั่นต้องส่งวันไหนกันล่ะ”
“ที่จริงแล้วต้องส่งตั้งแต่เมื่อวานน่ะ เห็นบอกว่าต้องเอาไปกรอกข้อมูลในคอมพิวเตอร์ด้วย น่าแปลกเนอะที่ทั้งแบบฟอร์มกับประวัตินักเรียนในเซิฟเวอร์เองก็หายไปด้วยเนี่ย น่าแปลกนะว่าไหม”
ในเซิฟเวอร์ก็หายเหรอนี่มันโดนแฮ็กเห็นๆ แต่ใครจะมาทำเรื่องแบบนั้นกัน อาจเป็นพวกสืบราชการลับเหรอ? หรือจะเป็นองค์กรชั่วร้ายที่ไหนกันแต่ตอนนี้ก็ไม่สำคัญเพราะตอนนี้ฮัทสึฮารุอยู่ในความดูแลของครอบครัวผมซึ่งได้สร้างปัญหาให้กับหัวหน้าห้องคนนี้ จึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้นิดหน่อย
“คิริโนะคุงคุณฮัทสึฮารุจะอยู่แถวนี้จริงๆ เหรอ?”
ผมเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงคอก่อนจะตอบฮิเมกิที่ยืนข้างๆ ผม
“แน่สิ สวนหย่อมแห่งนี้ฉันมาประจำแหละ”
แน่นอนว่าแถไปเรื่อยผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าฮัทสึฮารุจะไปสถิตอยู่แถวไหนก็แค่อยากออกมากินข้าวเหมือนทุกทีเท่านั้นเอง
“นี่ตั้งใจจริงๆ รึเปล่าคิริโนะคุง?”
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องจะให้ตั้งใจหาโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรคงยาก แถมอากาศวันนี้ยังมีเมฆมากทำให้แสงแดดเข้ามาได้ไม่มากมีลมพัดอ่อนๆ บรรยากาศดีต่อใจ การที่เมินกับสภาพอากาศแบบนี้มันเป็นการเสียมารยาทนะ”
ฮิเมกิที่ฟังการสารธยาของผมก็ไหล่ตกและไปนั่งม้านั่งอีกตัวใกล้ๆ และพูดลอยๆ ออกมาว่า “เฮ้อ นั่นสินะ” แล้วก็แกะซองขนมปังของตัวเองที่เธอน่าจะซื้อเตรียมไว้แล้วเอามากินโรงเรียน
“เกือบลืมไปเลยคิริโนะคุง ค่าจ้าง”
ผมหันไปทางฮิเมกิที่ยื่นขนมปังซองหนึ่งที่ยังไม่ได้แกะมาให้ผม อา ยังไม่ทันจะหาฮัทสึฮารุเจอเลยนา เป็นคนดีซะจริงสักวันเถอะความใจดีนั่นจะกลับมาทำร้ายเธอ
“ไม่เอาอ่ะ ยังไงนั่นก็เป็นของเธอกินๆ ไปเถอะ”
“ตามใจนะ”
ผมมองฮิเมกิกินขนมปังสักพักก่อนจะกินข้าวของตัวเองต่อนานๆ ทีดูเหมือนจะต้องทำดีเพื่อสังคมอย่างจริงจังซะบ้างแล้วสิ
เอาล่ะ ที่ๆ ฮัทสึฮารุจะไป
ก่อนอื่นตอนนี้ก็ผ่านมาพอสมควรแล้วเธอจึงจะต้องมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งแล้วแน่ๆ เพื่อนของฮัทสึฮารุที่เรารู้จักมีแค่ยูบาริ จากเมื่อวานจึงทำให้รู้ว่าพวกเธอไม่ได้ไปอยู่ด้วยกัน เป็นไปได้เหมือนกันที่ยัยนั่นจะไปอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่น ชมรมก็ไม่มี ที่ฮิเมกิมาขอให้ช่วยหาก็แสดงว่าพักเที่ยงเธอเองก็ต้องไม่อยู่ติดห้องด้วย จะอ้างอิงจากนิสัยของยัยนั่นก็ไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
สมุด พักเที่ยง การบ้าน ที่ๆ เขียนได้ถ้าเป็นที่ๆ จะเขียนบนพื้นโดดๆ ได้โดยไม่มีใครว่ามีแต่พวกสถานที่เฉพาะ ม้านั่งแถวๆ นี้ก็ไม่มี ส่วนที่ๆ มีโต๊ะเองก็ต้องเป็นห้องที่ได้รับอนุญาต ป่านนี้เจ้าตัวก็น่าจะกินอะไรเสร็จไปแล้วหรือไม่ก็รีบจนไม่สนจะกินอะไร
“ฮิเมกิ ฉันพอจะรู้แล้วล่ะฮัทสึฮารุไปอยู่ที่ไหน”
“รู้แล้วเหรอที่ไหนล่ะ?”
ฮิเมกิลุกพรวดเอาหน้ามาใกล้จนผมต้องถอยหน้าหนี
“ห้องสมุด”
“…ทำไมเหรอ?”
ผมรู้ได้ว่าสายตาที่จ้องมองมาของฮิเมกิไม่ใช่สายตาที่ไม่เชื่อแต่เป็นเพียงสายตาของคนที่อยากรู้อยากเห็นอันใสซื่อเท่านั้น
“ถ้าต้องการจะทำการบ้านของตัวเองที่ค้างอยู่ให้เสร็จคิดว่าถ้าอยากทำในที่สงบๆ คงต้องเล็งไปที่สถานที่ๆ ใครก็ไปได้ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วคิดว่าที่ไหนบ้างล่ะที่คิดว่าเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาทั่วไปจะไปอยู่ได้”
“คุณฮัทสึฮารุยังไม่ได้ทำการบ้านเหรอ? วันนี้รู้สึกครูที่สอนจะดุมากเลยนะ”
“เอาเถอะน่า”
“ถ้าจะทำการบ้านด้วยแล้วก็คงเป็น อืม ห้องเรียนของตัวเอง ห้องชมรม สวน ห้องสมุด… อ๊ะ”
“นี่ก็เป็นแค่สิ่งที่ฉันคิดในกรณีที่ฮัทสึฮารุไม่ไปนั่งในที่ๆ ห้ามเข้าหรือมีอภิสิทธ์พิเศษใช้ห้องอะไรสักห้องได้เรื่องนั้นฉันเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน ฮัทสึฮารุไม่มีชมรมสวนที่เราอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีเหลืออีกสองที่คือห้องสมุดกับห้องเรียนและฉันขอเสนอให้เธอไปดูที่ห้องสมุดส่วนฉันจะกลับไปดูที่ห้องเอง”
“อื้ม ยังงี้นี่เองแต่รู้สึกมีอะไรแปลกๆ อยู่นะ”
“คิดไปเองน่าคิดไปเองยังไงก็ลองๆ ไปหาดูละกัน”
จากนั้นฮิเมกิก็มุ่งตรงไปทางไปห้องสมุดก่อนจะแยกไปเธอโค้งศีรษะให้ผม อย่าทำแบบนั้นสิครับนั่นมันก็แค่ข้อสันนิฐานของไอ้บ้าคนหนึ่งเองคาดหวังขนาดนั้นเกิดไม่เจอผมคงน่าแตกแย่สิ
เอาล่ะเราเองก็กลับไปหลับในห้องดีกว่าบรรยากาศกำลังดีด้วยสิ เปิดหน้าต่างแง้มไว้นิดหน่อยแล้วให้สายลมอ่อนๆ พัดโชยผ่านดีกว่า
ผมเริ่มเดินออกไปได้นิดหน่อยก็หันหลังกลับไปมองม้านั่งเมื่อครู่อย่างไร้ความหมายและเริ่มเดินต่อไปยังห้องของตัวเองอีกครั้ง และเมื่อผมมาถึงห้องก็ไม่พบฮัทสึฮารุแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจออยู่แล้วผมจึงเริ่มทำอย่างที่ได้ว่าเอาไว้
เอาล่ะผมจะสรุปเหตุการณ์ภาคบ่ายต่อจากนี้เอาผ่านๆ ก็แล้วกัน น่ายินดีที่ฮิเมกิเจอฮัทสึฮารุที่ห้องสมุดแต่เธอก็เขียนไม่ได้นั่นเพราะเธอบอกว่าเพิ่งย้ายบ้านใหม่จึงยังจำที่ตั้งอะไรของบ้านไม่ค่อยได้ซึ่งนั่นก็จริงแหละจึงจำเป็นต้องเอาไปกรอกที่บ้านและเอามาส่งตอนเช้าผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่เธอจะเขียนที่อยู่เป็นบ้านของผมลงไปหรอกแต่ก็น่าแปลกอีกแล้วทั้งที่เมื่อวานก็เพิ่งบอกฮิเมกิไปว่าเธอย้ายมาอยู่กับผมจึงจะต้องถามที่อยู่ผมแทนแน่ๆ แต่กลับไม่เป็นยังงั้น ถ้าหากถามว่าผมรู้ขนาดนั้นได้ไงนั่นเพราะฮิเมกิเล่าให้ผมฟังโดยผมไม่ได้ขอ
ก่อนจะกลับบ้านเองก็มีทั้งอาริมะที่มาชวนไปเที่ยวกับเพื่อนด้วยแต่หัวเด็ดตีนขาดผมก็ไม่อยากไปและมีทั้งจับฉลากได้รางวัลได้เครื่องปั่นน้ำผลไม้และยังมีทั้งสุ่มกาชาในเกมได้ตัวลิมิเต็ดเรียงเป็นแถว
ผมสัมผัสได้ว่าเรื่องดีๆ ที่เข้ามาในตัวผมแค่ในวันนี้มันมากเกินไปจนอดคิดไม่ได้ว่ากำลังมีใครจัดฉากเอาไว้ไม่มีทางอยู่แล้วที่คนอย่างผมจะจู่ๆ ก็มีคนมาตีสนิทด้วยทั้งเรื่องดวงเองก็ไม่เคยเห็นได้ดีเลยสักครั้ง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างก็ได้ แต่น่าเสียดายที่เพียงสิ่งเหล่านี้มันไม่อาจทำให้ผมเข้าใจเจตนาของมันได้
และไม่นานฟันเฟืองที่จะไขความยุ่งเหยิงดำเนินเรื่องต่อไปก็ได้ดำเนินมาถึงหลังจากละเลยหน้าที่ของมันมานาน
อืม ฉันเองถ้าจะทำก็ทำได้นะเนี่ย
ต่อจากนั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรขอตัดไปตอนจะกินข้าวเช้าแล้วกันซึ่งน้องสาวยังเป็นคนทำข้าวเช้าคนเดียวตามคอนเซ็ปเดิมแต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะมาเจอตอนที่กำลังทำอาหารเช้าแบบนี้ถ้าไม่นับเมื่อวานที่เธอตื่นสาย แม่ก็ยังไม่มีท่าทีจะตื่นเช้าเหมือนเคยส่วนฮัทสึฮารุสักพักเดียวก็น่าจะมาเอง
“ข้าวห่อไข่ค่ะ”
น้องสาววางจานข้าวห่อไข่มาให้ผมหลังจากที่กำลังนั่งได้พอดิบพอดี ผมจ้องมองทำความเข้าใจก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา
“อ่ะๆ ยังหรอกค่ะ”
เธอส่ายนิ้วไปมาด้วยท่าทางขี้เล่นและหยิบซอสมะเขือเทศขึ้นมา
“จงอร่อยขึ้น จงอร่อยขึ้นด้วยความรักที่มีต่อพี่จ๋าจงอร่อยขึ้น”
เธอพูดแบบนั้นไปพรางเขียนตัวอักษรบนข้าวห่อไข่ว่า ‘พี่จ๋า’ ตัวสีแดงพรางส่งรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอะไรสักอย่างออกมา
แกร๊ง
เกิดเสียงของโลหะกระทบกับพื้นดังขึ้นพอมองไปที่สิ่งนั้นก็พบว่ามันเป็นช้อนที่เมื่อครู่ผมถืออยู่หมาดๆ
“โธ่ พี่นี่ล่ะก็ระวังหน่อยสิ ถ้าไม่อยากกินก็ไม่เห็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นี่นาเดี๋ยวหนูทำอะไรอย่างอื่นให้ใหม่ก็ได้นะ เอาอะไรดีล่ะ?”
ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
“เปล่าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วไม่รีบไปโรงเรียนเหมือนทุกทีเหรอ?”
“โธ่ ถ้าหนูไปพี่ก็เหงาแย่สิคะ”
รอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกอายจนอยากมุดหนีนี่มันน่ากลัวชะมัด จังหวะนี้ผมจึงได้เข้าใจนิยามของคำว่าขนลุกอย่างชัดเจนชนิดที่ว่าให้ไปแก้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานที่ให้ความหมายเดิมได้ชัดเจนกว่าแน่ๆ เลยล่ะ
ว่าแต่เขียนคำว่าพี่จ๋าแดงเถือกไว้แบบนี้แล้วมันจะไม่ทำให้รสชาติเอกลักษณ์เสียเอาเหรอ?
คุณน้องสาวนำช้อนใบใหม่มายัดมือผมแล้วบอกให้ระวังอีกครั้งก่อนจะเก็บช้อนที่ตกพื้นไปล้าง เฮ้ ตกพื้นแค่นั้นเอาเสื้อเช็ดก็ได้นะมันสิ้นเปลืองน้ำ
ถึงแม้ในอนิเมะส่วนใหญ่น้องสาวจะถูกเซตคาแรคเตอร์มาให้น่ารักคอยดูแลแล้วเรียกพี่จ๋าแต่น้องสาวในความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันแทบจะหน้ามือเป็นหลังเท้าเพราะดันไปติดอันดับประเภทสิ่งมีชีวิตอันดับสามที่ผู้ชายต้องยอมสยบซึ่งผมเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น
นี่ยามเช้าเอ๋ยขอถามหน่อยสิ การตื่นมาพบนายบ่อยๆ เนี่ยจะทำให้กลายเป็นแบบนั้นรึเปล่าไม่ยักกะเคยเห็นน้องตัวเองเป็นแบบนี้นี่นาซ้ำยังมาพร้อมกับออพชั้นเสริมเป็นความโมเอะแบบนี้ก็เคยคิดนะว่าไม่เลวแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ไหวนะเออ สมองนี่ไปหมดแล้วนะน้องข้า
“อรุณสวัสดิ์คิโย รินอรุณสวัสดิ์ เป็นอะไรเหรอ?”
ผมที่กำลังสาปแช่งยามเช้าอยู่ในใจก็ไม่ได้สนใจเสียงนั้น แต่ก็รู้ว่าเป็นเสียงของใครจึงตอบกลับไปแบบผ่านๆ โดยเริ่มกินมื้อเช้าอีกครั้งด้วยสายตาเหม่อลอยที่มองไปทางน้องสาวตัวเองกำลังเล่นกับแมวที่เลี้ยงไว้
“กำลังคิดอยู่ว่าการตื่นเช้าบ่อยๆ คงมีผลเสียที่น่ากลัวอยู่สินะน่ะ”
“มันก็มีจริงๆ นั่นแหละ ทำไมเหรอ?”
“เปล่า”
ความรู้สึก ณ ปัจจุบันของผมตอนนี้คงหนีไม่พ้นกับการกังวลไปกับผลข้างเคืองของการตื่นเช้าว่าสักวันตัวเองอาจตื่นมาทำตัวสดใสเปลืองพลังงานราวกับพนักงานร้านอาหารแต่เช้าล่ะก็ทั้งวันคงได้เหนื่อยแย่ แต่ถ้ามนุษย์ประหยัดพลังงานเบอร์ห้าอย่างฮัทสึฮารุทำตัวให้สมวัยบ้างทำตัวไร้สาระบ้างก็น่าจะดีเพราะเวลาผมเห็นเธอหลับในคาบเรียนทั้งวันพูดตามตรงรู้สึกขัดตาขัดใจอยากยกมือฟ้องอาจารย์ใจจะขาด แต่ก็ไม่ทำเพราะคติของผมคือช่างเรื่องชาวบ้านมันเรื่องของเขาแล้วเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของเรา
“ริน ริน ไม่รีบกินเดี๋ยวสายเอานะ”
ฮัทสึฮารุโบกมือผ่านหน้าผมไปมาทำให้ผมกลับมาจากห้วงของความคิดจึงหันไปมองเธอซึ่งเมื่อฮัทสึฮารุแน่ใจว่าผมกลับมาแล้วก็เดินไปที่ล้างจานทันทีอย่างน้อยยัยนี่ก็เปลี่ยนไปแค่ใบหน้าตื่นเต็มบาน ผมจึงรีบลงมือกินต่อโดยที่มีสีหน้าเป็นห่วงของน้องสาวคอยกดดันอยู่แถวนั้น
“อรุณสวัสดิ์ค่าคิริโนะคุง!”
ยูบาริที่โบกมือตามหลังส่งเสียงทักทายมาขณะที่พวกผมเพิ่งจะเดินผ่านประตูหน้าโรงเรียนมาด้วยเสียงดังฟังชัดจนอยากเดินหนีแต่คุณเธอก็เดินเข้ามาประชิดแล้วจึงไม่อาจหนีเงื้อมมือไปได้
“ยูบาริเธอตื่นกี่โมง?”
ผมยังคงเดินต่อไปเพื่อให้สายตาที่จับจ้องมาทั้งหลายที่ถูกก่อขึ้นโดยมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของคนวัยหนุ่มสาวค่อยๆ หายไป
“เอ ก็ทั่วๆ ไปนี่ค้า ทำไมเหรอ?”
ผมหยุดเดินแล้วจ้องหน้าเธอสักพักแต่ก็ไม่พบอะไรจึงถอนหายใจและออกเดินต่อ
“แค่ตื่นเช้านิดหน่อย”
“จะว่าไปแล้วอากิล่ะค้าไม่ได้มาด้วยกันเหรอ?”
“ออ เหมือนจะลืมของเลยกลับไปเอาน่ะบอกว่าไม่ต้องรอ”
“งั้นเหรอๆ ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัวก่อนนะค้า กะว่าจะแวะไปที่ๆ หนึ่งก่อนน่ะ”
เธอโบกมือให้ผมและเดินไปตามทางแยกโถงอาคารจึงอาจคิดได้ว่าไปห้องชมรมก็ได้ ส่วนผมที่เพิ่งจะเคยเห็นการโบกมือให้กันในชีวิตจริงก็เดินไปห้องเรียนของตนตามปกติโดยหยุดอยู่หน้าทางเข้าเมื่อไม่พบวี่แววฮัทสึฮารุ
“จะว่าอะไรไหมน้าถ้าฉันจะขอผ่านหน่อยน่ะ”
ตอนแรกผมก็กะจะกุมขมับอยู่แต่ต้องหันหลังไปหาต้นเสียงด้านหลังทันทีทันใดจนทำให้นิ้วมือมันอยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปฝาดกับขอบประตูทั้งสีนิ้ว
โอ๊ย! เจ็บแต่คนผิดคงเป็นผมเองแหละที่ยืนขวางประตูแบบนี้แต่ก็เพราะเธอเป็นหลักนั่นแหละ
ผมกุมนิ้วสีนิ้วแล้วหลบไปด้านข้างเธอจึงเดินเข้ามาข้างใน
“เป็นอะไรมากรึเปล่า?”
ฮิเมกิออกอาการลนลานนิดหน่อยเพราะน่าจะคิดว่าตัวเองกำลังเป็นสาเหตุอยู่ ใช่แล้วเธอนั่นแหละที่เป็นตัวการ
“ถ้าฉันบอกว่าก็เพราะเธอนั่นแหละล่ะ”
“อืม งั้นก็คงไม่เป็นไรแล้วสินะ อรุณสวัสดิ์คิริโนะคุง”
“อืม”
หลังแผนการไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนประสบผลสำเร็จผมจึงเดินไปที่นั่งตัวเองขณะที่กุมมือไปด้วย อันนี้เจ็บจริง แต่ฮิเมกิก็ยังตามผมมา
“คิริโนะคุงพยายามเข้านะในหลายๆ เรื่องน่ะ”
คงหมายถึงเรื่องที่ผมบอกไปเมื่อวานหลังเลิกเรียนกระมั้ง
หลังจากนั้นสักพักฮัทสึฮารุก็โผล่หน้ามาพร้อมกับข้าวกล่องสองกล่องผมจึงรู้ว่าตัวเองลืมเอามาจึงรู้สึกปลาบปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะทันได้พูดอะไรเธอก็ชิงพูดตัดหน้าออกมาก่อนว่า ‘ฉันเองก็ลืมเหมือนกันไม่ต้องใส่ใจ’ ผมจึงรับความรู้สึกนั้นไว้
เอาล่ะมาถึงเรื่องน่ายินดีจริงๆ กันบ้างเมื่อบุคคลที่เหมือนมีป้ายฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้าติดตัวกำลังตั้งอกตั้งใจเรียนถึงขนาดที่ว่ายกมือตอบคำถามด้วยซ้ำทำให้ผมรู้สึกกลัวจนพูดไม่ออกแต่ก็คิดไม่ได้ว่าเธอเก่งขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่ก็ ในที่สุดก็ตั้งใจเรียนสักทีนะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ช่วงพักเที่ยงฮัทสึฮารุได้คว้าสมุดวิชาภาคบ่ายของผมไปพร้อมกับของตัวเองและหายตัวไปหลังเจรจากับผมโดยบอกมาว่า ‘จะไปทำการบ้าน’ ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ สรุปว่าไม่ได้ตั้งใจเรียนเลยสักนิดสินะที่หยุดยาวนั่นก็ไม่ไปตามงานงั้นเหรอ?
ให้มันน้อยๆ หน่อยสิเธอใครๆ ก็ขี้เกียจเหมือนกันหมดนั่นแหละมันอยู่ที่ว่าใครจะมีความรับผิดชอบกับตัวเองแค่ไหนต่างหาก
“คุณฮัทสึฮารุล่ะ?”
ฮิเมกิเดินมาหาผมพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งในมือหลังจากฮัทสึฮารุออกห้องไปได้สักครู่
“ไม่อยู่แล้ว”
“อืม แบบนี้ก็แย่สิ”
ผมเหม่อออกไปนอกหน้าต่างแทนที่จะลุกแล้วไปหาที่กินข้าวตามปกติเพราะสังหรณ์เรื่องที่จะเกิดต่อไปนี้ได้นั่นเอง
แต่ฮิเมกิก็สอดกระดาษแผ่นนั้นมากั้นผมกับทิวทัศน์สวยงามของเมฆนอกหน้าต่าง
“แบบฟอร์มข้อมูลนักเรียนตอนนี้เหลือแค่ของคุณฮัทสึฮารุคนเดียวแล้วสิเราไปตามหาเขากันเถอะ”
ดูเหมือนจะเป็นแบบฟอร์มแบบเดียวกันกับที่ห้องของพวกผมหายไปจึงทำให้พวกผมต้องเขียนใหม่ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ฮัทสึฮารุหยุดยาวพอดี
“ก็แล้วทำไมไม่ให้เขาไปตั้งแต่แรกเล่า”
“ลืม”
“…เอ่อ แล้วทำไมฉันต้องไปหาด้วยล่ะในเมื่อเธอไปหาเองก็ได้นี่นา มันไม่ใช่งานของฉันสักหน่อยอีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าฮัทสึฮารุไปอยู่ไหนน่ะ”
“ก็อาจารย์คานิเอะบอกว่าถ้ามีเรื่องทุกร้อนอะไรก็ให้ไปขอคิริโนะคุงช่วยได้น่ะ”
จารย์! ผมไม่ได้รับทำงานสารพัดรับจ้างนะจารย์
เฮ้อ เอาไงดีล่ะจะค้านดีไหม ถ้าค้านต่อเกิดขุดหลุมฝังตัวเองขึ้นมาล่ะ แต่จะไปตามหายัยนั่นจากที่ไหนอีกล่ะโรงอาหารงั้นเหรอ?
“ถ้างั้นเธอจะไปเดินหาที่ไหนกัน? เดินไปมั่วๆ แล้วมันจะเจอได้ยังไงกันเล่าแล้วแบบฟอร์มนั่นต้องส่งวันไหนกันล่ะ”
“ที่จริงแล้วต้องส่งตั้งแต่เมื่อวานน่ะ เห็นบอกว่าต้องเอาไปกรอกข้อมูลในคอมพิวเตอร์ด้วย น่าแปลกเนอะที่ทั้งแบบฟอร์มกับประวัตินักเรียนในเซิฟเวอร์เองก็หายไปด้วยเนี่ย น่าแปลกนะว่าไหม”
ในเซิฟเวอร์ก็หายเหรอนี่มันโดนแฮ็กเห็นๆ แต่ใครจะมาทำเรื่องแบบนั้นกัน อาจเป็นพวกสืบราชการลับเหรอ? หรือจะเป็นองค์กรชั่วร้ายที่ไหนกันแต่ตอนนี้ก็ไม่สำคัญเพราะตอนนี้ฮัทสึฮารุอยู่ในความดูแลของครอบครัวผมซึ่งได้สร้างปัญหาให้กับหัวหน้าห้องคนนี้ จึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้นิดหน่อย
“คิริโนะคุงคุณฮัทสึฮารุจะอยู่แถวนี้จริงๆ เหรอ?”
ผมเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงคอก่อนจะตอบฮิเมกิที่ยืนข้างๆ ผม
“แน่สิ สวนหย่อมแห่งนี้ฉันมาประจำแหละ”
แน่นอนว่าแถไปเรื่อยผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าฮัทสึฮารุจะไปสถิตอยู่แถวไหนก็แค่อยากออกมากินข้าวเหมือนทุกทีเท่านั้นเอง
“นี่ตั้งใจจริงๆ รึเปล่าคิริโนะคุง?”
“กองทัพต้องเดินด้วยท้องจะให้ตั้งใจหาโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรคงยาก แถมอากาศวันนี้ยังมีเมฆมากทำให้แสงแดดเข้ามาได้ไม่มากมีลมพัดอ่อนๆ บรรยากาศดีต่อใจ การที่เมินกับสภาพอากาศแบบนี้มันเป็นการเสียมารยาทนะ”
ฮิเมกิที่ฟังการสารธยาของผมก็ไหล่ตกและไปนั่งม้านั่งอีกตัวใกล้ๆ และพูดลอยๆ ออกมาว่า “เฮ้อ นั่นสินะ” แล้วก็แกะซองขนมปังของตัวเองที่เธอน่าจะซื้อเตรียมไว้แล้วเอามากินโรงเรียน
“เกือบลืมไปเลยคิริโนะคุง ค่าจ้าง”
ผมหันไปทางฮิเมกิที่ยื่นขนมปังซองหนึ่งที่ยังไม่ได้แกะมาให้ผม อา ยังไม่ทันจะหาฮัทสึฮารุเจอเลยนา เป็นคนดีซะจริงสักวันเถอะความใจดีนั่นจะกลับมาทำร้ายเธอ
“ไม่เอาอ่ะ ยังไงนั่นก็เป็นของเธอกินๆ ไปเถอะ”
“ตามใจนะ”
ผมมองฮิเมกิกินขนมปังสักพักก่อนจะกินข้าวของตัวเองต่อนานๆ ทีดูเหมือนจะต้องทำดีเพื่อสังคมอย่างจริงจังซะบ้างแล้วสิ
เอาล่ะ ที่ๆ ฮัทสึฮารุจะไป
ก่อนอื่นตอนนี้ก็ผ่านมาพอสมควรแล้วเธอจึงจะต้องมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งแล้วแน่ๆ เพื่อนของฮัทสึฮารุที่เรารู้จักมีแค่ยูบาริ จากเมื่อวานจึงทำให้รู้ว่าพวกเธอไม่ได้ไปอยู่ด้วยกัน เป็นไปได้เหมือนกันที่ยัยนั่นจะไปอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่น ชมรมก็ไม่มี ที่ฮิเมกิมาขอให้ช่วยหาก็แสดงว่าพักเที่ยงเธอเองก็ต้องไม่อยู่ติดห้องด้วย จะอ้างอิงจากนิสัยของยัยนั่นก็ไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
สมุด พักเที่ยง การบ้าน ที่ๆ เขียนได้ถ้าเป็นที่ๆ จะเขียนบนพื้นโดดๆ ได้โดยไม่มีใครว่ามีแต่พวกสถานที่เฉพาะ ม้านั่งแถวๆ นี้ก็ไม่มี ส่วนที่ๆ มีโต๊ะเองก็ต้องเป็นห้องที่ได้รับอนุญาต ป่านนี้เจ้าตัวก็น่าจะกินอะไรเสร็จไปแล้วหรือไม่ก็รีบจนไม่สนจะกินอะไร
“ฮิเมกิ ฉันพอจะรู้แล้วล่ะฮัทสึฮารุไปอยู่ที่ไหน”
“รู้แล้วเหรอที่ไหนล่ะ?”
ฮิเมกิลุกพรวดเอาหน้ามาใกล้จนผมต้องถอยหน้าหนี
“ห้องสมุด”
“…ทำไมเหรอ?”
ผมรู้ได้ว่าสายตาที่จ้องมองมาของฮิเมกิไม่ใช่สายตาที่ไม่เชื่อแต่เป็นเพียงสายตาของคนที่อยากรู้อยากเห็นอันใสซื่อเท่านั้น
“ถ้าต้องการจะทำการบ้านของตัวเองที่ค้างอยู่ให้เสร็จคิดว่าถ้าอยากทำในที่สงบๆ คงต้องเล็งไปที่สถานที่ๆ ใครก็ไปได้ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วคิดว่าที่ไหนบ้างล่ะที่คิดว่าเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาทั่วไปจะไปอยู่ได้”
“คุณฮัทสึฮารุยังไม่ได้ทำการบ้านเหรอ? วันนี้รู้สึกครูที่สอนจะดุมากเลยนะ”
“เอาเถอะน่า”
“ถ้าจะทำการบ้านด้วยแล้วก็คงเป็น อืม ห้องเรียนของตัวเอง ห้องชมรม สวน ห้องสมุด… อ๊ะ”
“นี่ก็เป็นแค่สิ่งที่ฉันคิดในกรณีที่ฮัทสึฮารุไม่ไปนั่งในที่ๆ ห้ามเข้าหรือมีอภิสิทธ์พิเศษใช้ห้องอะไรสักห้องได้เรื่องนั้นฉันเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน ฮัทสึฮารุไม่มีชมรมสวนที่เราอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีเหลืออีกสองที่คือห้องสมุดกับห้องเรียนและฉันขอเสนอให้เธอไปดูที่ห้องสมุดส่วนฉันจะกลับไปดูที่ห้องเอง”
“อื้ม ยังงี้นี่เองแต่รู้สึกมีอะไรแปลกๆ อยู่นะ”
“คิดไปเองน่าคิดไปเองยังไงก็ลองๆ ไปหาดูละกัน”
จากนั้นฮิเมกิก็มุ่งตรงไปทางไปห้องสมุดก่อนจะแยกไปเธอโค้งศีรษะให้ผม อย่าทำแบบนั้นสิครับนั่นมันก็แค่ข้อสันนิฐานของไอ้บ้าคนหนึ่งเองคาดหวังขนาดนั้นเกิดไม่เจอผมคงน่าแตกแย่สิ
เอาล่ะเราเองก็กลับไปหลับในห้องดีกว่าบรรยากาศกำลังดีด้วยสิ เปิดหน้าต่างแง้มไว้นิดหน่อยแล้วให้สายลมอ่อนๆ พัดโชยผ่านดีกว่า
ผมเริ่มเดินออกไปได้นิดหน่อยก็หันหลังกลับไปมองม้านั่งเมื่อครู่อย่างไร้ความหมายและเริ่มเดินต่อไปยังห้องของตัวเองอีกครั้ง และเมื่อผมมาถึงห้องก็ไม่พบฮัทสึฮารุแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเจออยู่แล้วผมจึงเริ่มทำอย่างที่ได้ว่าเอาไว้
เอาล่ะผมจะสรุปเหตุการณ์ภาคบ่ายต่อจากนี้เอาผ่านๆ ก็แล้วกัน น่ายินดีที่ฮิเมกิเจอฮัทสึฮารุที่ห้องสมุดแต่เธอก็เขียนไม่ได้นั่นเพราะเธอบอกว่าเพิ่งย้ายบ้านใหม่จึงยังจำที่ตั้งอะไรของบ้านไม่ค่อยได้ซึ่งนั่นก็จริงแหละจึงจำเป็นต้องเอาไปกรอกที่บ้านและเอามาส่งตอนเช้าผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่เธอจะเขียนที่อยู่เป็นบ้านของผมลงไปหรอกแต่ก็น่าแปลกอีกแล้วทั้งที่เมื่อวานก็เพิ่งบอกฮิเมกิไปว่าเธอย้ายมาอยู่กับผมจึงจะต้องถามที่อยู่ผมแทนแน่ๆ แต่กลับไม่เป็นยังงั้น ถ้าหากถามว่าผมรู้ขนาดนั้นได้ไงนั่นเพราะฮิเมกิเล่าให้ผมฟังโดยผมไม่ได้ขอ
ก่อนจะกลับบ้านเองก็มีทั้งอาริมะที่มาชวนไปเที่ยวกับเพื่อนด้วยแต่หัวเด็ดตีนขาดผมก็ไม่อยากไปและมีทั้งจับฉลากได้รางวัลได้เครื่องปั่นน้ำผลไม้และยังมีทั้งสุ่มกาชาในเกมได้ตัวลิมิเต็ดเรียงเป็นแถว
ผมสัมผัสได้ว่าเรื่องดีๆ ที่เข้ามาในตัวผมแค่ในวันนี้มันมากเกินไปจนอดคิดไม่ได้ว่ากำลังมีใครจัดฉากเอาไว้ไม่มีทางอยู่แล้วที่คนอย่างผมจะจู่ๆ ก็มีคนมาตีสนิทด้วยทั้งเรื่องดวงเองก็ไม่เคยเห็นได้ดีเลยสักครั้ง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างก็ได้ แต่น่าเสียดายที่เพียงสิ่งเหล่านี้มันไม่อาจทำให้ผมเข้าใจเจตนาของมันได้
และไม่นานฟันเฟืองที่จะไขความยุ่งเหยิงดำเนินเรื่องต่อไปก็ได้ดำเนินมาถึงหลังจากละเลยหน้าที่ของมันมานาน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ